Skip to content

Library Of Heaven’s Path 1385

ตอนที่ 1385 เขาช่างถ่อมเนื้อถ่อมตัวเสียจริงๆ !

ถึงจางชุนจะปฏิเสธที่จะเล่ารายละเอียด แต่สภาพดูไม่ได้ของเขาก็เกินพอที่จะทำให้ปรมาจารย์เฟยรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“ส่วนจางเฟิง…ผมได้ข่าวว่าปรมาจารย์จางท้าทายเขาที่สมาคมผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณ และกลายเป็นนักปราชญ์รุ่นเยาว์คนใหม่ สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากได้เป็นนักปราชญ์รุ่นเยาว์คนใหม่ก็คือร่ายมนต์ใส่จางเฟิงและทำให้เขาทำร้ายตัวเองอย่างรุนแรง…”

ปรมาจารย์เฟยสะบัดข้อมือและยื่นตราหยกสื่อสารออกมา

ด้วยความอึกทึกครึกโครมที่นักเรียนในสังกัดของเขาได้สร้างขึ้น จึงเป็นธรรมดาที่ในฐานะผู้มีหน้าที่ดูแลจะต้องได้รับข่าวคราวเรื่องนี้

“เขากลายเป็นนักปราชญ์รุ่นเยาว์คนใหม่ของสมาคมผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณและร่ายมนต์ใส่กายเนื้อของคนที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นหรือ?” จางหยู่อ้าปากค้าง เขาแทบล้มลงไปกองกับพื้น

ที่ผ่านมา เขาคิดว่าคนคนเดียวในบรรดานักเรียนใหม่ที่คู่ควรต่อการที่เขาจะสนใจก็คือฟงสืออี้ แต่ใครจะไปคิดว่ามีปีศาจอีกตัวหนึ่งอยู่ในหมู่พวกเขาด้วย…

คนอื่นอาจไม่คุ้นเคยกับคนเหล่านั้น แต่เขารู้จักคู่พี่น้องจางชุนกับจางเฟิงเป็นอย่างดี ทั้งคู่เป็นอัจฉริยะชั้นยอดของตระกูลจาง เป็นไอดอลของเขามาเนิ่นนาน แต่กลับพ่ายแพ้ให้กับนักเรียนใหม่คนหนึ่ง…

ถ้าเขาไม่ได้ยินเรื่องนี้จากปากของปรมาจารย์เฟยโดยตรง ก็คงไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง

“ด้วยความแข็งแกร่งและความสามารถของเขา ทำไมเขาถึงได้แค่อันดับที่ 50 ในการสอบเข้าล่ะ?” คำถามนี้พลันปรากฏขึ้นในสมองของจางหยู่ เขาตั้งคำถามออกมา

ในเมื่อตัวเขายังได้ที่ 2 จางเซวียนก็ควรจะได้ที่ 1 อย่างง่ายดายด้วยศิลปะเพลงดาบที่เขากำลังสำแดงอยู่

“น่าจะเป็นเพราะเขามีบุคลิกถ่อมตัวและต้องการจะเก็บตัวเงียบๆ ไม่อย่างนั้น มันจะไม่บังเอิญมากไปหน่อยหรือที่จะได้ที่ 50 พอดี ไม่ขาดไม่เกิน…” เมื่อหวนคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการสอบเข้า ปรมาจารย์เฟยพูด

มันเป็นช่วงเวลา 3 นาทีสุดท้ายเท่านั้นที่จางเซวียนก้าวขึ้นมาสู่อันดับที่ 50 ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีวี่แววของเขาเลย ชัดเจนว่าเขายับยั้งตัวเองไว้ตลอดการทดสอบ

“คุณพูดถูก…” จางหยู่ก็ได้ยินเรื่องนั้นมาเหมือนกัน เขาพยักหน้าอย่างยอมรับและชื่นชม

จางหยู่อดอุทานออกมาไม่ได้ “เขาช่างถ่อมเนื้อถ่อมตัวเสียจริงๆ !”

เพื่อเพิ่มโอกาสในการเป็นนักปราชญ์รุ่นเยาว์ของปูชนียสถานนักปราชญ์ พวกเขาทุกคนพยายามผลักดันตัวเองให้แสดงความสามารถอย่างโดดเด่นที่สุดในการสอบเข้า อย่างเขาเป็นตัวอย่าง เขาไม่ได้หลับตาเลยตลอด 3 วันของการทดสอบ เพราะเกรงว่าการพลั้งเผลอเพียงชั่วครู่อาจหมายถึงการสูญเสียโอกาส

แต่ชายหนุ่มกลับพอใจเพียงแค่ได้เข้าสู่โซนหัวกะทิ จะได้อันดับไหนก็ไม่มีความหมายสำหรับเขา

และถึงแม้จะถูกสงสัยแคลงใจจากผู้คนมากมาย แต่ก็ไม่ได้เดือดร้อนใจที่จะพูดจาแก้ตัว

สงบนิ่งราวกับทะเลสาบ เข้าถึงสันติสุขภายในอันสมบูรณ์แบบ นี่คือผู้เชี่ยวชาญตัวจริง ผู้ปราดเปรื่องอย่างแท้จริง คนที่มีความถ่อมตัวเท่านั้นที่จะทำได้

“จริงด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะการท้าดวลของฟงสืออี้ ผมคงไม่มีวันรู้ว่ามีนักรบที่ไร้เทียมทานขนาดนี้อยู่ในหมู่นักเรียนใหม่” ปรมาจารย์เฟยตั้งข้อสังเกต

เขากำลังจะชื่นชมจางเซวียนต่อไป ก็พอดีกับที่นักเรียนคนหนึ่งเดินเข้ามาหาและกระซิบ 2-3 คำ เขาเลิกคิ้วขึ้นทันทีแล้วรีบหันกลับไป

“ผู้อาวุโสหานฟู่ อะไรทำให้คุณมาถึงที่นี่?” ปรมาจารย์เฟยตั้งคำถามด้วยความสุภาพสูงสุด

จางหยู่ก็รีบหันกลับไป เขาเห็นผู้อาวุโสคนหนึ่งที่มีผมและเคราสีขาวราวหิมะกำลังยืนตรงหน้า ชายชราแผ่รังสีอันโดดเด่นออกมา ราวกับเทพเจ้าจากสรวงสวรรค์

“ผู้อาวุโสหานฟู่?” จางหยู่หวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปูชนียสถานนักปราชญ์และสิ่งที่เกิดกับตระกูลจาง ใบหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

“ผู้อาวุโสอันดับ 1 ของสมาคมผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณแห่งปูชนียสถานนักปราชญ์, ผู้เชี่ยวชาญระดับเซียนขั้น 8-สูงสุด” จางหยู่ตั้งข้อสังเกตด้วยความตกตะลึง

เขารีบประสานมือและคารวะ “จางหยู่แห่งตระกูลจางคารวะผู้อาวุโสหาน!”

“ไม่ต้องมีพิธีรีตองไปหรอก” ผู้อาวุโสหานโบกมืออย่างสบายๆ ก่อนจะหันไปมองที่สังเวียนอย่างกระวนกระวาย “เมื่อไหร่ปรมาจารย์จางจะเสร็จสิ้นการดวล?”

“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสหานมีเหตุผลอะไรถึงตามหาปรมาจารย์จาง ถ้าเป็นเรื่องด่วน ผมช่วยคุณยับยั้งการดวลไว้ก่อนได้” ปรมาจารย์เฟยพูด

อีกฝ่ายเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดของสมาคมผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณแห่งปูชนียสถานนักปราชญ์ ต่อให้ปรมาจารย์จางได้เป็นนักปราชญ์รุ่นเยาว์คนใหม่ ก็ไม่น่าจะใช่เหตุผลที่อีกฝ่ายต้องมาตามหาเขาถึงที่นี่

“ผมไม่รู้ว่าควรจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร…” ได้ยินคำถามของปรมาจารย์เฟย ผู้อาวุโสหานหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย “อันที่จริง ผมแค่อยากถามเขาว่าเมื่อไหร่หุ่นอารักขาที่เขาร่ายมนต์ใส่ไว้ก่อนหน้านี้จะวิ่งเสร็จ ตอนนี้ความเร็วและการตีวงพื้นที่ของมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำลายสิ่งปลูกสร้างของสมาคมของเราและสมาคมใกล้เคียงไปถึง 4 แห่งแล้ว ถ้ามันไม่หยุดเร็วๆ นี้ ผมเกรงว่าสมาคมผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณของเราจะเป็นตัวการที่ทำให้ทั้งปูชนียสถานนักปราชญ์ต้องเดือดร้อน…”

เพียงแค่ร่ายมนต์ให้หุ่นอารักขาออกเดินได้ 7 ก้าว ผู้นั้นก็ทำลายสถิติของสมาคมผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณที่มีมาตลอด 3000 ปีแล้ว แต่ไม่เพียงชายหนุ่มจะทำให้หุ่นอารักขาอบอุ่นร่างกายได้ ยังทำให้มันวิ่งอย่างไม่หยุดหย่อน ตอนนี้ก็ปาเข้าไป 4 ชั่วโมงแล้ว แต่มันยังวิ่งไม่หยุด ทำอย่างไรก็ไม่ยอมหยุด เขาพยายามยับยั้งมัน แต่ก็ถูกสอยกระเด็นกลับมาทุกครั้ง บอกได้เลยว่าจนปัญญา

และพูดกันตามตรง ก็คงจะยังไม่หนักหนาเท่าไหร่หากหุ่นวิ่งไปเรื่อยๆ ตามระดับความเร็วของมัน เพราะด้วยธรรมชาติของโลหะที่ใช้หลอมตัวหุ่น ไม่ช้ามันก็คงจะหยุด แต่หุ่นนั่นทำทั้งกระโดดกบ ลุกนั่ง ยกขา วิ่งเหยาะๆ วิ่งเร็ว วิ่งถอยหลัง และแถมตีลังกาด้วย…

ดูเหมือนเท่านั้นจะยังไม่พอ ความเร็วของมันก็ยิ่งเร็วขึ้นๆ จนถึงกับขยายอาณาเขตไปจนทั่วสมาคมต่างๆ ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับสมาคมผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณ ทำลายทุกอย่างที่อยู่ในเส้นทางของมันจนราบเป็นหน้ากลอง

ถ้ามันยังไม่หยุดเร็วๆ นี้ สมาคมอื่นคงต้องใช้หุ่นอาขาของตัวเองเช่นกัน และนั่นคงจะเป็นเรื่องใหญ่

“หุ่นอารักขาของสมาคมผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณยังคงวิ่งไม่หยุดหรือ?”

“มันทำลายสิ่งปลูกสร้างของสมาคมอื่นๆ ไปแล้วเรียบร้อย?”

ปรมาจารย์เฟยกับจางหยู่แทบจะทรงตัวไม่อยู่

“อีกอย่าง ตอนที่ผมมาที่นี่ ผมเห็นศาลเจ้าแห่งผู้หยั่งรู้ก็ราบเป็นหน้ากลองเหมือนกัน ตามที่ผมได้ยินมา ดูเหมือนเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับเขาด้วย ผมจึงออกจะกังวลว่าอาจทำให้เขามีปัญหาได้” ผู้อาวุโสหานพูด

“ศาลเจ้าแห่งผู้หยั่งรู้ถูกทำลายเป็นหน้ากลอง?” ปรมาจารย์เฟยกับจางหยู่มองหน้ากันพร้อมกับอ้าปากค้าง

เกิดอะไรขึ้นกับชายผู้ถ่อมตัว?

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่คนถ่อมเนื้อถ่อมตัวจะทำได้!

เมื่อทนไม่ไหวอีกต่อไป พวกเขาจึงหันกลับไปมองที่สังเวียน และสิ่งที่เห็นก็คือฟงสืออี้ถูกกดดันจากปราการที่เหมือนกับแก้วใสซึ่งอยู่รอบสังเวียน ใบหน้าของเขาถอดสีขณะที่กระแสดาบฉีของจางเซวียนโจมตีเขาอย่างต่อเนื่องจากด้านหลัง นัยน์ตาของเขาดูเลื่อนลอย ราวกับจะหมดหวังในชีวิตนี้ไปแล้ว

“ทรงพลังจริงๆ …”

ปราการสี่ด้านที่ฟงสืออี้ที่เตรียมการไว้ล่วงหน้าพังทลายไปหมดแล้ว สภาพของเขาตอนนี้เขาไม่ต่างอะไรกับขอทานที่ดูน่าสมเพชคนหนึ่ง

เมื่อเห็นภาพนั้น ทั้งคู่ได้แต่กลืนน้ำลายอึกใหญ่

สำหรับกระแสดาบฉีที่ทรงพลังถึงขนาดทำลายปราการป้องกันตัวได้…ประสิทธิภาพการโจมตีของเขาไม่ใช่สิ่งที่แม้แต่ปรมาจารย์เฟยจะทำได้เลย

“ปรมาจารย์จาง ผมอยากถามว่าเมื่อไหร่ที่…” เห็นกระแสดาบฉียังคงพุ่งเข้าโจมตีฟงสืออี้ไม่หยุดหย่อน ไม่มีสัญญาณว่าจะหยุดลง ปรมาจารย์เฟยตะโกน

แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ฟงสืออี้ก็ตะโกนลั่น “คุณ คุณโกหก! โกหก! คุณบอกว่าคุณใช้พละกำลังแค่ 1 ใน 6 ของพละกำลังเต็มพิกัด แต่ที่จริงก่อนหน้านี้คุณใช้เพียงแค่ 1 ใน 10 เท่านั้น!”

ศิษย์สายตรงของปรมาจารย์หยางแทบเสียสติ

เมื่อครั้งแรกที่จางเซวียนบอกเขาว่าใช้พละกำลังไปแค่ 1 ใน 3 ของทั้งหมด เขาคิดทันทีว่านั่นเป็นเรื่องโกหก แต่เมื่ออีกฝ่ายบอกว่าแท้ที่จริงแล้วมันคือ 1 ใน 6 เขาก็ยิ่งเชื่อในข้อสันนิษฐานเดิมของตัวเองมากขึ้น นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาเสนอให้มาที่นี่เพื่อจะดูว่าคำพูดของอีกฝ่ายเป็นความจริงหรือไม่…

แต่ลงท้าย การบอกว่าใช้พละกำลังเพียง 1 ใน 6 ก็เป็นเรื่องโกหกเช่นกัน…

เพราะมันไม่ใช่ 1 ใน 6 แต่เป็น 1 ใน 10!

มันคือ 1 ใน 10 แค่พูดออกมาว่า 1ใน 10 เท่านั้น! มันเรื่องอะไรคุณถึงพูดว่า 1 ใน 6? เพราะเหตุนั้น ผมถึงไม่ได้ป้องกันตัวเองมากพอ และถูกซ้อมเสียจนเกือบตาย!

รู้ตัวหรือเปล่าว่าการถ่อมตัวของคุณเกือบทำให้ผมตายไปแล้ว?

ในตอนนั้น พลังปราณภายในร่างของจางเซวียนก็เหือดแห้งไปจนเกือบหมดเมื่อเคล็ดวิชาดาบฟาดฟันทะเลถึงจุดสิ้นสุด เขาหอบหายใจเอาอากาศเข้าไปและมีสีหน้าจนปัญญา

แม้พลังปราณของเขาจะเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าจากปริมาณเดิมเพราะการฝ่าด่านวรยุทธครั้งล่าสุดจากนักรบการละทิ้งช่องว่างขั้นต้นไปเป็นการละทิ้งช่องว่างขั้นสูงสุด แต่เขาก็ยังไม่อาจควบคุมเคล็ดวิชาดาบฟาดฟันทะเลได้เต็มที่ เมื่อสำแดงมันออกมาจึงต้องใช้พลังปราณไปจนหมดกว่าที่จะหยุดมันได้

ที่ผ่านมา ด้วยความที่มีพลังปราณไม่มากพอ เคล็ดวิชาดาบฟาดฟันทะเลจึงมักจะหยุดลงหลังจากผ่านไปเพียง 2 อึดใจ แต่คราวนี้ กระแสดาบฉีสามารถโจมตีได้ถึง 10 นาทีเต็มๆ ก่อนที่จะสิ้นสุดลง

จางเซวียนระบายลมหายใจยาวและถอนดาบกลับคืนจากสังเวียนก่อนจะเงยหน้าขึ้น สิ่งแรกที่เขาเห็นคือฟงสืออี้ถูกต้อนให้จนมุมอยู่กับปราการโปร่งแสงของสังเวียน โดยอยู่ในท่วงท่าประหลาด เสื้อผ้าของเขาฉีกขาดไปเกือบหมด และถึงจะยังมีลมหายใจ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส

“ผมไม่ได้โกหกคุณ ตอนที่ผมสำแดงศิลปะเพลงดาบ ผมเกิดแรงบันดาลใจบางอย่างขึ้นมาใหม่ ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพของมันได้อีกเล็กน้อย…” จางเซวียนรีบเข้าไปช่วยฟงสืออี้ออกจากปราการป้องกันตัวนั้นขณะอธิบายด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วน

คราวนี้ไม่ใช่ความผิดของเขา เขาไม่ได้โกหกอีกฝ่ายเลย เป็นเพราะเขาไม่เคยสำแดงเคล็ดวิชาดาบฟาดฟันทะเลด้วยพละกำลังระดับนี้มาก่อน จึงมีเวลามากมายที่เขาจะทดลองสิ่งใหม่ๆ ท่ามกลางการสำแดงเคล็ดวิชานั้น ด้วยการลองผิดลองถูก เขาสามารถขัดเกลาพละกำลังของเคล็ดวิชาดาบฟาดฟันทะเลได้ ทำให้ประสิทธิภาพการโจมตีของมันแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

แม้ตอนนี้จะไม่มีข้อบกพร่องอยู่ในเคล็ดวิชาดาบฟาดฟันทะเลแล้ว แต่พละกำลังในการโจมตีของมันก็ยังได้รับผลกระทบจากการทำงานร่วมกันระหว่างจิตวิญญาณกับท่วงท่าของเขา จึงเป็นธรรมดาที่หากสองอย่างนี้มีความสอดคล้องกันมากขึ้นเท่าไหร่ ศิลปะเพลงดาบก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

“คุณยกระดับพละกำลังของศิลปะเพลงดาบได้ในระหว่างที่สำแดงมันหรือ?” ฟงสืออี้กระอักเลือดออกมา

มันเป็นศิลปะเพลงดาบที่ทรงพลังพออยู่แล้ว แถมคุณก็ยังเพิ่มพละกำลังของมันได้ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่นาที ใครก็ตามที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเพลงดาบควรจะก้มหัวด้วยความอับอายเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณ!

ใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าฟงสืออี้จะระงับอารมณ์ได้ เขามองจางเซวียนอย่างดุดันและพูดว่า “คุณช่างไร้เทียมทานจริงๆ แต่ในฐานะปรมาจารย์ ความรับผิดชอบหลักของพวกเราไม่ใช่การต่อสู้ แต่อยู่ที่การอบรมสั่งสอน ผมจึงอยากขอท้าทายคุณเข้าสู่การดวลการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์!”

ถึงตอนนี้ จางเซวียนแจ้งผู้อาวุโสหานฟู่แล้วว่าจะควบคุมหุ่นอารักขาได้อย่างไร เมื่อได้ยินว่าฟงสืออี้ยังอยากดวลกับเขาอีก จึงอดพูดไม่ได้ว่า “ทำไมเราไม่ลืมมันเสียล่ะ? ผมเกรงว่าคุณจะได้รับความบอบช้ำ”

เขาไม่เข้าใจว่าทำไมฟงสืออี้ถึงยืนกรานที่จะดวลกับเขาอยู่นั่น แต่หากทั้งคู่ยังแข่งขันกันในเรื่องการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์อีก ก็มีโอกาสที่อีกฝ่ายจะต้องได้รับความบอบช้ำทางจิตใจ ถึงขั้นที่อาจเสียสติไปได้

“ไม่มีอะไรที่จะบอบช้ำทั้งนั้น! ท่านอาจารย์ของผมบอกว่าผมจะเป็นศิษย์สายตรงเพียงคนเดียวของเขา แต่จู่ๆ คุณก็ปรากฏตัวขึ้นมา ผมจึงอยากรู้ว่าคุณแข็งแกร่งสักแค่ไหน ถึงทำให้ท่านอาจารย์ถือเป็นข้อยกเว้นและรับคุณเป็นศิษย์สายตรงอีกคน!” ฟงสืออี้คำราม

ถือเป็นข้อยกเว้น? คำนั้นทำให้จางเซวียนตาโต

เท่าที่ฟัง ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่รู้ว่าเขาเป็นตัวปลอม ฟงสืออี้คิดว่าปรมาจารย์หยางแอบรับเขาเป็นศิษย์สายตรงลับหลัง จึงมาเผชิญหน้ากับเขาด้วยความอิจฉา

และก็แน่นอนว่าอีกฝ่ายย่อมไม่คาดคิดว่าจะต้องพ่ายแพ้หมดรูปแบบนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!