Skip to content

Library Of Heaven’s Path 1387

ตอนที่ 1387 หมอที่ไม่ได้เรื่อง

นายแพทย์แต่ละคนต่างแบกความรับผิดชอบหนักอึ้งไว้บนบ่า อย่างคำกล่าวที่ว่า “หมอที่ไร้ความสามารถอาจฆ่าคนได้” ดังนั้น หากนายแพทย์คนหนึ่งไม่แน่ใจในสภาวะร่างกายของคนไข้ ก็ย่อมดีที่สุดที่จะไม่ทำการรักษาคนไข้ผู้นั้น ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะเป็นอันตรายกับตัวเขาและคนอื่นๆ

“นายแพทย์ไป๋ ผมรู้ดีว่าคุณเป็นห่วง แต่นั่นไม่ใช่เหตุผล เหตุผลที่ผมหยุดการฝึกฝนเคล็ดวิชาพลังหยินเย็นก็เพราะผมคิดว่ามันเกิดปัญหาขึ้นกับวรยุทธของผม ปรมาจารย์จางไม่สมควรถูกตำหนิในเรื่องนี้” ผู้อาวุโสเลี่ยวพูดอย่างอ่อนแรง

“ทั้งที่เขาทำกับคุณถึงขนาดนี้แล้ว คุณยังออกรับแทนเขาอีกหรือ?” ผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่คำรามเมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสเลี่ยว

“เขาบอกได้ทันทีว่าผมฝึกฝนเคล็ดวิชาพลังหยินเย็นอยู่เพียงแค่มองแวบเดียว ผมจึงพบว่าคำพูดของเขาเชื่อถือได้” ผู้อาวุโสเลี่ยวตอบเบาๆ

เคล็ดวิชาพลังหยินเย็นนั้นเป็นหนึ่งในเทคนิควรยุทธที่ไม่ส่งผลกระทบต่อพลังปราณ ทำให้ยากที่จะมองเห็น แต่ชายหนุ่มคนนี้รับรู้ได้เพียงแค่มองแวบเดียว เขารู้สึกตกตะลึงมากในวินาทีนั้น และเมื่อกลับถึงที่พักก็นำเรื่องนี้มาขบคิด และรู้สึกว่าคำพูดของชายหนุ่มมีเหตุผล จึงตัดสินใจลดการฝึกฝนเทคนิควรยุทธนี้ลง

ในตอนแรก เขารู้สึกว่าตัวเองมีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ใครจะไปคิดว่าเพลิงพิษจะเกิดกำเริบขึ้นมากะทันหันเมื่อ 3 วันก่อน ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้?

แม้แต่ผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่ก็ยังจนปัญญากับอาการของเขา

เพราะไม่มีทางเลือกอื่น เขาจึงหวนนึกถึงคำพูดของชายหนุ่ม และตัดสินใจมาตามหา

การที่ชายหนุ่มมองเห็นเคล็ดวิชาพลังหยินเย็นของเขาและมีพละกำลังแข็งแกร่งตั้งแต่อายุยังน้อย อยู่ในระดับที่แม้แต่องค์หญิงน้อยแห่งตระกูลหลัวยังเทียบชั้นไม่ได้ เขาจึงคิดว่าอีกฝ่ายย่อมมีวิธีที่จะแก้ปัญหาที่เขาประสบอยู่ในตอนนี้

และนั่นก็นำไปสู่คำพูดเมื่อครู่นี้ที่เขากล่าวว่าอยากจะรับชายหนุ่มเป็นอาจารย์

ขอแค่อาการเจ็บป่วยของเขาได้รับการแก้ไข จะมีผลเสียหายอะไรหากเขาจะรับชายหนุ่มคนนี้เป็นอาจารย์จริงๆ ?

ถ้าชายหนุ่มสามารถรักษาอาการของเพลิงพิษทิศเหนือนี้ได้จริงๆ นั่นย่อมหมายความว่าทักษะการรักษาโรคของเขาเหนือชั้นจนถึงขั้นที่เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงของปูชนียสถานนักปราชญ์ยังต้องทึ่ง

“น่าเชื่อถือ? ถ้าเขาน่าเชื่อถือจริงๆ คุณคิดว่าคุณจะตกอยู่ในสภาพนี้หรือ?” ผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่ยิ่งโมโหจนแทบระเบิด

เขาไม่เข้าใจความคิดของเพื่อนเก่าคนนี้เลยจริงๆ

เขาเป็นผู้เยียวยาสวรรค์แห่งปูชนียสถานนักปราชญ์ แทนที่จะเชื่อเขา เพื่อนเก่าคนนี้กลับเลือกที่จะไว้ใจนักเรียนใหม่คนหนึ่งที่เพิ่งเข้าท้าทายทางเดินหุ่นเมื่อไม่กี่วันก่อน

“พอได้แล้ว! ขอผมดูอาการของเขาหน่อย!” เห็นทั้งคู่ยังถกเถียงกันไม่หยุด จางเซวียนเดินไปหาผู้อาวุโสเลี่ยว

ก่อนหน้านี้เขาใช้หอสมุดเทียบฟ้าตรวจสอบอาการของผู้อาวุโสเลี่ยวแล้ว และด้วยสภาพของเขาการจะหยุดฝึกฝนเคล็ดวิชาพลังหยินเย็นนั้นไม่เป็นปัญหาอะไร แล้วทำไมเพลิงพิษถึงตีกลับขึ้นมากะทันหัน?

“ดูอาการของเขา? รู้จักเรื่องการรักษาโรคด้วยหรือ?” ผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่คำรามเยาะ

จางเซวียนสะบัดข้อมือและยื่นตราสัญลักษณ์ให้

ผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่รับมาแล้วก้มลงมอง แววตาของเขาปรากฏความประหลาดใจ

มันคือตราสัญลักษณ์นายแพทย์ที่มีดาว 7 ดวงอยู่บนนั้น

ในฐานะนายแพทย์ระดับ 7 ดาว ต่อให้ทักษะการรักษาโรคของชายหนุ่มเหนือชั้นกว่าเขา ก็ไม่ควรจะเป็นคนที่ทำให้คนไข้ต้องตกอยู่ในสภาพนี้

เมื่อรู้แล้วว่าชายหนุ่มไม่ได้มาเล่นๆ ผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่มีอาการเป็นปฏิปักษ์น้อยลง เขาโบกมือ “เอาเถอะ ตรวจสอบอาการก็แล้วกัน หวังว่าวันนี้คุณจะให้คำตอบที่ผมพอใจได้นะ!”

ปรมาจารย์เฟยกับคนอื่นๆ ก็เฝ้าดูสถานการณ์อย่างสนใจ อยากรู้ว่าชายหนุ่มจะทำอะไรต่อไป

จางเซวียนเพิ่งแสดงความสามารถอันน่าทึ่งในศิลปะเพลงดาบไปเมื่อครู่ ความสามารถในการชี้แนะผู้อื่นเรื่องการฝึกฝนวรยุทธก็ถือว่าไม่ธรรมดา แถมเขายังได้เป็นนักปราชญ์รุ่นเยาว์คนใหม่ของสมาคมผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณด้วย ถ้าเขาจะเชี่ยวชาญในวิถีทางแห่งการรักษาโรคอีกอย่างหนึ่งก็ถือว่าน่าทึ่งมาก

จางเซวียนไม่ใส่ใจฝูงชน เขาเดินไปหาผู้อาวุโสเลี่ยวและทาบนิ้วลงบนชีพจรของอีกฝ่าย

ครู่ต่อมาก็ส่ายหน้า

เมื่อเห็นทีท่าของชายหนุ่มผิดปกติ ผู้อาวุโสเลี่ยวถามด้วยความสงสัย “มีอะไร?”

“เอ่อ…” จางเซวียนเงียบงันไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างลังเล “ผู้อาวุโสเลี่ยว ผมอยากจะขอหารือเรื่องสำคัญบางอย่างกับคุณ”

“ปรมาจารย์จางเชิญพูดได้เลย ตราบใดที่คุณทำให้ผมพ้นจากอาการเจ็บปวดนี้ได้ ผมจะไม่ปฏิเสธคำขออะไรของคุณทั้งนั้น” ผู้อาวุโสเลี่ยวตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ราวกับชายชราที่พร้อมจะสละร่างได้ทุกขณะ

“ดีแล้ว” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาพูดอย่างจริงจัง “ผมอยากจัดการให้คุณสลบไปสักครู่หนึ่ง”

“จัดการให้ผมสลบ?”

“ใช่แล้ว ถ้าคุณไม่สะดวกใจ คุณจะทำให้ตัวเองสลบเองก็ได้ เพราะทันทีที่คุณสลบ ผมจะสามารถค้นหาต้นตอของอาการป่วยและรักษาคุณได้” จางเซวียนเกาหัวอย่างกระอักกระอ่วน

“….” ผู้อาวุโสเลี่ยว

“….” นายแพทย์ไป๋หยู่

ด้วยสภาพตอนนี้ของผู้อาวุโสเลี่ยว เห็นชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เขาลุกขึ้นยืนและออกหมัดพื้นฐาน วิธีที่รวดเร็วที่สุดคือจัดการให้อีกฝ่ายสลบไปและใช้หอสมุดเทียบฟ้าวิเคราะห์เขาเหมือนกับเป็นของล้ำค่าชิ้นหนึ่ง

ก่อนหน้านี้ จางเซวียนใช้สมุนไพรเพื่อทำให้คนไข้สลบได้ แต่คงใช้การไม่ได้กับนักรบระดับเซียนขั้น 7 อย่างผู้อาวุโสเลี่ยว

“พูดจาเหลวไหล!” ยังไม่ทันที่ผู้อาวุโสเลี่ยวจะได้ตอบอะไร ผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่ก็ตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว

ในฐานะประธานสมาคมนายแพทย์ของปูชนียสถานนักปราชญ์ เขามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเรื่องกรรมวิธีการวินิจฉัยโรค รวมถึงโรคที่ประหลาดและหายากด้วย แต่การที่ต้องทำให้คนไข้สลบไปก่อนนั้น พูดก็พูดเถอะ…เขาไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน!

เมื่อคนคนหนึ่งถูกทำให้สลบไป จะมีกระบวนการบางอย่างเกิดขึ้นกับการทำงานของอวัยวะภายใน การตรวจสอบอาการบาดเจ็บภายนอกนั้นเป็นเรื่องที่พอทำได้ แต่การวิเคราะห์อาการบอบช้ำภายในของคนไข้ที่อยู่ในสภาวะสลบนั้นเป็นเรื่องทำได้ยาก แต่ชายหนุ่มกลับขอให้ผู้อาวุโสเลี่ยวทำตัวเองให้สลบตั้งแต่แรก เขาคิดบ้าบออะไรอยู่?

“ว่าอย่างไร? คุณจะจัดการตัวเองให้สลบ หรือจะให้ผมทำแทน?” จางเซวียนไม่ใส่ใจผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่ที่กำลังโมโห เขายิ้มและมองหน้าผู้อาวุโสเลี่ยว

“ผม…” ผู้อาวุโสเลี่ยวเองก็สงสัยว่ามีการวินิจฉัยแบบนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ จึงหันไปมองผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่ตามสัญชาตญาณเพื่อหาคำยืนยัน

“ช่างมันเถอะ ผมจะทำเอง” เห็นความลังเลของผู้อาวุโสเลี่ยว จางเซวียนเงื้อมือขึ้นและพุ่งเป้าไปที่กลางศีรษะของผู้อาวุโสเลี่ยว

ฟึ่บ!

อากาศโดยรอบบีบอัดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ทำให้หายใจลำบาก ขณะที่สันมือของจางเซวียนกำลังจะแตะหน้าผากของอีกฝ่าย เขาก็ดึงมือกลับทันที

บึ้มมม!

เกิดเสียงดังสนั่นเป็นเวลาสั้นๆ และผู้อาวุโสเลี่ยวก็สลบไป

“นั่นคือ…ศาสตร์การบีบอัดอากาศเคลียร์จิตวิญญาณใช่ไหม? ศาสตร์ลับที่แม้แต่นายแพทย์ระดับ 8 ดาวยังทำไม่ได้?” ผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่หรี่ตาด้วยความตกตะลึง

“การบีบอัดอากาศเคลียร์จิตวิญญาณ?” ปรมาจารย์เฟยถามอย่างงงๆ

“มีอาการบาดเจ็บและอาการป่วยบางอย่างที่การรักษานั้นทำได้ยากสำหรับผู้ที่มีสภาพจิตไม่แข็งแรงพอ ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสับสนในระหว่างการรักษา จึงดีที่สุดหากจะทำให้คนไข้สลบไปก่อน แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็แล้วแต่ ย่อมสร้างความบอบช้ำระดับหนึ่งให้กับร่างกายของคนไข้ การบีบอัดอากาศเคลียร์จิตวิญญาณนี้จะใช้เสียงดังที่เป็นผลจากการเคลื่อนไหวของฝ่ามือเพื่อกระตุ้นจิตวิญญาณต้นกำเนิด ทำให้ผู้นั้นสูญเสียสติสัมปชัญญะไปชั่วคราว”

“พูดได้เลยว่า ความสามารถในการทำให้คนไข้สลบโดยไม่ก่อให้เกิดความบอบช้ำใดๆ แก่ร่างกายนั้นสามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากให้กับคนไข้ที่อยู่ในภาวะวิกฤติและไม่อาจรับความบอบช้ำได้อีกแล้ว ด้วยเหตุนี้ นายแพทย์ส่วนใหญ่จึงพยายามเสาะหาที่จะเรียนรู้ศาสตร์นี้ แม้ในอีกแง่หนึ่งมันจะถือเป็นบทเพลงบรรเลงปีศาจก็ตาม แต่โชคไม่ดีที่ศาสตร์นี้เรียนรู้และฝึกฝนให้เชี่ยวชาญได้ยากมาก แม้แต่ผมก็ยังทำไม่ได้ ใครจะไปคิดว่าหมอนั่นจะทำได้ถึงขนาดนี้?”

ถึงตอนนั้น ผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่ก็เกิดความสงสัยขึ้นมาขณะถามว่า “หรือว่าเขาจะเป็นมือบรรเลงบทเพลงปีศาจที่มีทักษะสูงส่งด้วย?”

ส่วนอีกด้านหนึ่ง เมื่อเห็นผู้อาวุโสเลี่ยวสลบไปแล้ว จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาทาบนิ้วลงบนชีพจรของอีกฝ่ายอีกครั้ง

วิ้ง!

หนังสือเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้า เขารีบพลิกดู

เพียงแค่มอง คิ้วของเขาก็ขมวดทันที เขาหันไปตวาดใส่ผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ด้านหลัง “คุณน่ะเป็นหมอที่ไม่ได้เรื่อง คุณมีความสุขแล้วใช่ไหมที่ได้ทำให้ผู้อาวุโสเลี่ยวใกล้ตาย?”

“คุณว่าอะไรนะ?” ผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่หน้าดำคร่ำเครียดเมื่อได้ยินคำนั้น

ในฐานะผู้เยียวยาสวรรค์ของปูชนียสถานนักปราชญ์ อย่าว่าแต่ผู้อาวุโสที่มีหน้าที่จัดการ ต่อให้ผู้อาวุโสระดับสูงสุดก็ยังต้องปฏิบัติตัวต่อเขาด้วยความเคารพ แต่เจ้าหนุ่มคนนี้บังอาจเรียกเขาว่าหมอที่ไม่ได้เรื่อง? ความโมโหทำให้เขาแทบจะระเบิด

ฟึ่บ!

เมื่อควบคุมอารมณ์ไม่ได้อีกต่อไป รังสีแผดกล้าก็แผ่ออกจากร่างของเขา ทำให้พื้นที่โดยรอบ เปรียบเสมือนอยู่ท่ามกลางฤดูหนาว ทุกคนตัวแข็งทื่อไปทันที

นักรบระดับเซียนขั้น 8 สูงสุด!

นักรบระดับนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นชนชั้นนำของทวีปแห่งปรมาจารย์เลยทีเดียว!

จางเซวียนไม่สนใจแรงกดดันจากรังสีของไป๋หยู่ เขาตวาด “คุณยังไม่รู้อีกหรือว่าผมพูดอะไร? ถ้าคุณไม่รู้วิธีที่จะรักษาผู้อาวุโสเลี่ยวแล้วล่ะก็ เก็บมือของคุณไว้ให้ดีเถอะ ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะเรียกตัวเองว่าผู้เยียวยาสวรรค์ น่าจะเรียกว่าผู้อำลาสวรรค์มากกว่า!”

“คุณ…” เห็นความเหยียดหยามในดวงตาของอีกฝ่าย ผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่รู้สึกโมโหจนหน้าอกแทบจะระเบิด

เขาไม่เคยถูกเหยียดหยามขนาดนี้มาก่อน

เขาจ้องจางเซวียนอย่างเย็นชาขณะถอนพลังกลับคืนและสะบัดแขนเสื้อและพูดต่อ “ไม่ว่าภูมิหลังของคุณจะเป็นอย่างไร ถ้าคุณไม่สามารถอธิบายให้ผมพอใจได้ในวันนี้ อย่ากล่าวหาว่าผมรุนแรงกับคุณก็แล้วกัน!”

ผู้ที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะเข้าสู่ปูชนียสถานนักปราชญ์ได้ล้วนมาจากภูมิหลังที่มีระดับทั้งนั้น ถึงผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่จะโมโหสักแค่ไหน แต่เขาก็ไม่กล้าทำอะไรแบบหุนหันพลันแล่น

“คุณยังต้องให้ผมอธิบายอีกหรือ?” จางเซวียนส่ายหน้า

เขาหันไปมองผู้อาวุโสเลี่ยวที่สลบอยู่ แล้วยกขาขึ้นเตะศีรษะของอีกฝ่ายทันที

“คุณทำอะไรน่ะ!” ผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่คำรามด้วยความตกตะลึง

ด้วยพละกำลังและความเร็วจากลูกเตะของจางเซวียน หากโดนเข้าจังๆ ล่ะก็ ใบหน้าของผู้อาวุโสเลี่ยวจะต้องยับเยินแน่!

คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือไง?

คุณมาที่นี่เพื่อรักษา แต่อันดับแรกคุณก็ทำให้คนไข้สลบ จากนั้นคุณก็ติเตียนผมไม่หยุด พอมาถึงตอนนี้ ก็ถึงกับพยายามฆ่าคนไข้ของตัวเองอีก

คุณนั่นแหละที่ต้องเข้ารับการรักษา!

ฟึ่บ!

ผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่รีบสะบัดข้อมือเพื่อสร้างการแบ่งแยกมิติขึ้นป้องกันการโจมตีจากจางเซวียน

“เอาเขาออกไปให้พ้นทาง” เมื่อเผชิญหน้ากับปราการของผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่ จางเซวียนเลิกคิ้วและสะบัดข้อมือ

ไป๋หยู่ยังคงงงงันกับคำพูดของจางเซวียน แต่ก่อนที่เขาจะทันรู้ว่าหมายความว่าอะไร ก็ถึงกับหัวใจกระตุกด้วยความหวาดกลัว

อสูรมังกรบาดาลปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าต่อตาทุกคน หางอันหนาหนักของมันตวัดเข้าใส่ผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่

“คุณ…” ยังไม่ทันที่ผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่จะได้ตอบโต้ ก็ถูกฟาดเข้าที่หัวไหล่อย่างแรง ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่เข้าโจมตีทำให้เขาถูกสอยกระเด็นไป

เขามีวรยุทธระดับเดียวกันกับอสูรมังกรบาดาล แต่ฝ่ายหลังทรงพลังกว่าเขามากด้วยสายเลือดมังกรที่มีมาตั้งแต่เกิด ยิ่งไปกว่านั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนเขาไม่ทันระวังตัว ทำให้ต้องถอยไม่เป็นกระบวนตั้งแต่ต้น

“แก ไอ้สารเลว!” ผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่คำรามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

เขาเตรียมจะพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร อสูรมังกรบาดาลก็เข้าขวางหน้า

แม้ร่างกายของมันจะใหญ่โต แต่การเคลื่อนไหวของอสูรมังกรบาดาลก็รวดเร็วราวกับสายฟ้า กรงเล็บมหึมาของมันฉีกพื้นที่ที่เป็นช่องว่างจนขาดออกจากกันและพร้อมจะตวัดเข้าใส่เขา

ด้วยความเร็วของกรงเล็บนั้น ไป๋หยู่รู้ดีว่าเขาไม่อาจหลบได้ทัน จึงได้แต่กำหมัดแน่นเพื่อเผชิญหน้ากับการโจมตี

การปะทะกันระหว่าง 2 ผู้เชี่ยวชาญทำให้เกิดคลื่นความสั่นสะเทือนแผ่ออกไปทั่วปราการโปร่งแสงที่กั้นสังเวียนแต่ละอันเอาไว้ มันสั่นสะท้านไม่หยุด ราวกับพร้อมจะสลายไปเพราะแรงกดดันนั้น

ในเวลาเดียวกัน การสั่นสะเทือนของมิติก็แผ่ขยายออกไปอย่างเห็นได้ชัด ผลักดันฝูงชนให้ต้องถอยหลังไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!