ตอนที่ 148 เวทีดวลนักเรียน
ถ้าไม่มีเคล็ดวิชาเทียบฟ้ามาเติมเต็มเพลงหอกเทียบฟ้า ต่อให้หว่างชงได้เรียน ก็จะยังห่างชั้นกับเขาอยู่มาก อีกอย่างหนึ่ง เขาก็ประมวลกระบวนท่าเหล่านี้มาจากหนังสือของหว่างชง เพราะฉะนั้นถ้าจะสอนวิชาให้เขาก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
ดังนั้นจางเซวียนจึงตอบรับคำขอของหว่างชงโดยไม่ลังเล
แน่นอนว่าจางเซวียนไม่อาจถ่ายทอดเคล็ดวิชาเต็มรูปแบบให้ได้ เพราะเพลงหอกเทียบฟ้านั้นยิ่งใหญ่จนน่าหวาดหวั่น ต่อให้เขาถ่ายทอดไป ตัวมันเองก็ยังคงไร้เทียมทานอยู่ดี
“ผม…”
หว่างชงเอ่ยปากขอโดยมิกล้าคาดหวังมากนัก เมื่อได้ยินจางเซวียนตอบตกลง เขาถึงกับตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น ดวงตาแดงก่ำขึ้นมา
ผู้เชี่ยวชาญมักถ่ายทอดกระบวนท่าที่ตนเองคิดค้นขึ้นให้กับลูกหลานและลูกศิษย์เท่านั้น ไม่มีทางแพร่งพรายให้คนนอก ตัวเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น นอกจากบุตรชายแล้ว เขาไม่เคยถ่ายทอดกระบวนท่าที่ตัวเองคิดค้นให้กับผู้ใดเลย
แต่นักปรุงยาจางเต็มใจที่จะถ่ายทอดเคล็ดวิชาอันล้ำลึกนี้ให้เขาโดยง่าย ความใจกว้างเยี่ยงนี้…
“เคล็ดวิชานี้ล้ำลึกมาก ผมขอเรียนโดยไม่จ่ายค่าตอบแทนไม่ได้หรอก…” หว่างชงเอ่ยขึ้นหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
แม้อีกฝ่ายจะเต็มใจถ่ายทอดให้เขา แต่ก็เป็นการไม่เหมาะไม่ควรที่เขาจะรับสิ่งใดไว้โดยไม่มีการตอบแทน
ก็เหมือนกับการมอบของหมั้นให้ก่อนที่จะแต่งงานกับลูกสาวของใครสักคน โลกนี้มีอะไรฟรีกันเล่า?
“นักปรุงยาจางกำลังต้องการเงินเพื่อซื้อยา ฉันว่าจะดีที่สุดถ้านายจะมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เป็นค่าเล่าเรียน” โอวหยางพูดแทรกขึ้นมา
จางเซวียนเพิ่งมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เขา เป็นค่ายาที่เขาออกให้ล่วงหน้า เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมองหาหนทางที่จะหาเงินมาใช้คืนเขาอีก ในเมื่อเพื่อนเก่าต้องการจะตอบแทน ก็เป็นการดีที่สุดที่จะให้เขามอบเงินให้จางเซวียน
อีกอย่างหนึ่ง หลังจากถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้หว่างชงแล้ว จางเซวียนก็จะเปรียบเสมือนอาจารย์ของเขา ถ้าต่อไปจางเซวียนเกิดจู้จี้เรียกร้องขึ้นมา หว่างชงอาจไม่สามารถตอบแทนบุญคุณนี้ได้ และจะตกที่นั่งลำบาก
แต่คิดกลับกัน ถ้าจางเซวียนอยากเรียนวรยุทธที่หว่างชงคิดค้นขึ้นล่ะ…เขาจะสอนให้หรือไม่?
“ตกลง!”
เมื่อเข้าใจเจตนาของเพื่อนเก่า หว่างชงรีบพยักหน้า เขาหันไปสั่งงานกับพ่อบ้าน
ไม่นาน พ่อบ้านก็กลับมาพร้อมกับเงินจำนวนหนึ่ง และมอบให้จางเซวียน
“นี่คือค่าเล่าเรียน ผมหวังว่านักปรุงยาจางจะรับไว้ มันเป็นการไม่เหมาะไม่ควรหากผมจะเรียนกระบวนท่าของคุณโดยไม่มีสิ่งใดตอบแทน…”
“ฮะ?” จางเซวียนตาโต
เราฝันไปหรือเปล่า?
ตั้งใจมาเรียนเพลงหอก แต่…ทำไมกลายเป็นผู้สอนไปได้…ยิ่งไปกว่านั้น เราได้เงินด้วยหรือนี่?
จางเซวียนไม่อาจปฏิเสธเงินนั้นได้ เขากะดูแล้วว่าน่าจะไม่น้อยกว่าสองล้านเหรียญ
เมื่อรับเงินแล้ว เขาเริ่มสาธิตกระบวนท่าอย่างช้าๆ รวมทั้งอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับแนวคิดและการใช้งานกระบวนท่าเหล่านั้น
ด้วยความเป็นผู้คร่ำหวอดในศิลปะการใช้หอก แม้หว่างชงจะยังเข้าไม่ถึงจิตวิญญาณเพลงหอก แต่เขามีความรู้ความเข้าใจที่ฝังลึกลงไปถึงกระดูก ด้วยการสาธิตเพียงครั้งเดียว เขาก็เข้าใจแนวคิดได้เกือบทั้งหมด แม้พลังและความแข็งแกร่งจะยังห่างไกลจากต้นแบบ แต่กระบวนท่าของเขาก็ไร้ที่ติ
“นักปรุงยาจาง ขอบคุณที่ถ่ายทอดวิชาให้ผม!”
เมื่อได้เรียนแล้ว หว่างชงจึงเข้าใจว่าเคล็ดวิชานี้ทรงพลังอย่างไร เขาประหลาดใจกับความแข็งแกร่งของมัน และรู้ได้ว่าหากเพียรฝึกปรือทักษะนี้ต่อไป ไม่เกินหนึ่งปี เขาจะต้องเข้าถึงจิตวิญญาณเพลงหอกและแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้
ไม่ว่าเขาจะได้จ่ายค่าเล่าเรียนหรือไม่ จางเซวียนก็นับว่าเป็นกึ่งอาจารย์ของเขาไปแล้ว
การเป็น ‘กึ่งอาจารย์’ นั้นคือการที่ใครสักคนได้เรียนหนึ่งหรือสองกระบวนท่าจากอีกคนหนึ่ง หรือได้รับคำชี้แนะจากคนนั้น เห็นหว่างชงจับทางได้ จางเซวียนจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อ เช่นเดียวกับโอวหยางเฉิง ทั้งคู่เอ่ยคำลาและออกจากบ้านหลังนั้น
“ประธานโอวหยาง ได้โปรดเป็นธุระเรื่องยาพวกนั้นให้ผมด้วย ผมจะชำระคืนให้คุณเมื่อถึงเวลา” จางเซวียนเอ่ยขึ้นเมื่อพ้นจากบ้านของหว่างชง
“สบายๆน่ะ!” โอวหยางเฉิงพยักหน้า
ก่อนหน้านี้ เขาคิดว่าหากพ่อหนุ่มคนนี้ขยันศึกษาเล่าเรียน เขาจะต้องกลายเป็นนักปรุงยาระดับ 2 ดาวคนแรกของอาณาจักรเทียนเซวียนได้ แต่ความคิดนั้นหายไปจากใจของเขาแล้ว
จากคนที่เพิ่งจะเริ่มต้น แค่อ่านหนังสือสองชั่วโมง ก็สามารถคิดค้นกระบวนท่าที่แม้แต่หว่างชงยังยกย่อง แถมยังเข้าถึงจิตวิญญาณเพลงหอก…เขาเล่นใหญ่ได้ขนาดนี้ ต่อไปจะต้องมีชื่อเสียงขจรขจายทั่วโลกแน่
“กลับโรงเรียนดีกว่า” จางเซวียนได้ยาบำรุงร่างกายและยาฟื้นฟูพละกำลังมาแล้ว เขาตั้งใจจะมอบให้ลูกศิษย์เพื่อที่พวกเขาจะได้พัฒนาวรยุทธได้รวดเร็วขึ้น
หลังจากร่ำลาโอวหยางเฉิง เขารีบกลับห้องเรียน แต่เมื่อเข้าไปก็เห็นหวังหยิ่งอยู่ในห้องคนเดียว ที่เหลือหายตัวไปหมด
“คนอื่นๆอยู่ที่ไหน?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
เขาทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งแบบเร่งรัดให้เด็กพวกนี้ แต่นี่…ไม่แม้แต่จะมาเรียน
“พวกเขา…เอ่อ…” ไม่คิดว่าอาจารย์จางจะมาตอนนี้ หวังหยิ่งให้หวาดหวั่นนัก เธอพูดติดอ่างด้วยความกลัว
อาจารย์จางบอกไว้เมื่อวานตอนเลิกชั้นว่าจะมีกิจธุระ และอาจไม่มาสอนสักพัก แล้วทำไมกลับมาเร็วนัก?
“บอกมา!” จางเซวียนโกรธหน้าดำหน้าแดง
เพื่อปลุกสภาวะพิเศษและเยียวยาบาดแผลของลูกศิษย์ เขาต้องฝ่าฟันความเหนื่อยยาก ทั้งการเข้าทดสอบเป็นนักปรุงยา ทั้งการปลอมตัวเป็นปรมาจารย์ แต่เจ้าพวกนี้กลับโดดเรียน น่าโมโหนัก
ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เขาจะไม่ยอมลำบากลำบนขนาดนั้นเลย นี่เขาเสียสละมากไปหรือเปล่า?
ถ้านักเรียนไม่ฝึกฝนด้วยตัวเอง ต่อให้อาจารย์ช่วยเหลือขนาดไหน ก็ยากที่จะไปไกลได้ โคลนเหลวเละนั้นย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ ไม่ว่าคุณจะถือมันขึ้นไปไว้ที่สูงขนาดไหนก็ตาม
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห สีหน้าของจางเซวียนเย็นเยียบ
“อาจารย์…” หวังหยิ่งตัวสั่น
เธอเป็นคนหัวอ่อน เห็นอาจารย์จางมีสีหน้าเช่นนั้นก็กลัวจนพูดไม่ออก
ปัง!
ประตูเปิดผาง มีเสียงตะโกนมาก่อนตัว “หวังหยิ่ง ไปเร็วๆเข้า เขาเริ่มสู้กันแล้ว…” พูดไปได้ครึ่งประโยค เจ้าของเสียงเห็นสีหน้าเย็นเยียบของจางเซวียน ถ้อยคำที่เหลือติดอยู่ในคอ
“อาจารย์จาง…” เจ้าของเสียงตัวสั่น เจ้าอ้วนหยวนเทานั่นเอง
“เริ่มสู้กันแล้วรึ นี่มาหาพวกไปช่วย? ผมมาที่นี่เพื่อสอนพวกคุณให้ไปสู้กันอย่างนั้นหรือ?” น้ำเสียงจางเซวียนเย็นเยียบ
“ผม…” หยวนเทาหน้าซีด
“เพิ่งเรียนได้แค่อย่างสองอย่างก็ออกไปสู้กันแล้ว ไม่ต้องการให้ผมเป็นอาจารย์ของคุณแล้วใช่ไหม?” อันที่จริงจางเซวียนไม่ได้โกรธ แต่เขาเจ็บปวดใจนัก
แม้จะเพิ่งสอนลูกศิษย์กลุ่มนี้ได้ไม่นาน แต่เขาก็ดูแลเหมือนญาติสนิท ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของพวกเขา แต่นี่กลับออกไปหาเรื่องท้าตีท้าต่อยกัน พอตกที่นั่งลำบากก็วิ่งกลับมาหาพวก…
เขารู้สึกหมดเรี่ยวแรงที่เจ้าพวกนี้ไม่โตเสียที
“อาจารย์จาง มันไม่ใช่…” มีสีหน้ากังวลใจบนใบหน้าอวบอูมของหยวนเทา
“ไม่ใช่อะไร? ถ้าอย่างนั้นบอกผมมา ต่อสู้อะไรกัน แล้วที่มาเรียกหวังหยิ่งไปช่วยนี่หมายความว่าอย่างไร? ถ้าโกหกแม้สักคำล่ะก็ อย่าได้คิดจะเรียกผมว่าอาจารย์อีก!” จางเซวียนสะบัดเสื้อคลุมอย่างหงุดหงิด
ถ้าเจ้าพวกนี้ไม่มีค่าพอให้ดูแลล่ะก็ เขาจะไม่เสียเวลาทุ่มเทความพยายามอีก อย่างมากก็แค่ออกจากโรงเรียนหงเทียนและไปจากอาณาจักรเทียนเซวียนเสีย
มีหอสมุดเทียบฟ้าอยู่ในครอบครอง บนโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้ จะมีที่ไหนที่เขาไปไม่ได้?
เหตุผลที่เขายังอยู่ก็เพราะตัวตนเดิมของเขาเกี่ยวข้องกับที่นี่ รวมถึงความรับผิดชอบที่เขามีต่อลูกศิษย์กลุ่มนี้
“เอ่อ…” หยวนเทาตัวสั่นอีกชั่วครู่ก่อนจะกัดฟันตอบ “เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ วันนี้มีการจัดสรรทรัพยากรในการฝึกวรยุทธ และพวกเขาบอกว่าอาจารย์จางน่ะ… เป็นอาจารย์ที่ห่วยแตกที่สุดในโรงเรียน จึงไม่ควรมีสิทธิ์ได้รับส่วนแบ่ง พวกเราโมโหมากจึงไปโต้แย้งกับพวกเขา ก็เลยเกิดปะทะกันขึ้นมา…”
“จัดสรรทรัพยากรในการฝึกวรยุทธรึ?” จางเซวียนอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะนึกได้
จริงสิ ทุกเดือนทางโรงเรียนจะมีการจัดสรรทรัพยากรให้อาจารย์แต่ละคน โดยปริมาณทรัพยากรที่อาจารย์แต่ละคนได้รับจะขึ้นอยู่กับจำนวนลูกศิษย์และผลการทดสอบประเมินอาจารย์
อาจารย์สามารถใช้ทรัพยากรเหล่านี้เอง หรือมอบให้ลูกศิษย์เพื่อเป็นรางวัลจูงใจให้ฝึกหนักขึ้นก็ได้ โดยทั่วไป การจัดสรรนี้จะดำเนินการโดยฝ่ายกิจการนักเรียน
ฝ่ายกิจการนักเรียนคือแผนกที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องการสอบ รวมถึงการจัดสรรทรัพยากรในการฝึกวรยุทธให้กับนักเรียนและอาจารย์
จ้าวหย่าเป็นนักเรียนใหม่ที่สอบเข้าได้ติดอันดับท็อปเท็น จึงไม่ต้องใช้ห้องพักร่วมกับนักเรียนคนอื่น ซึ่งฝ่ายการศึกษาก็เป็นผู้จัดสรรห้องพักให้
“พาผมไป!” เมื่อรู้ว่าบรรดาลูกศิษย์กำลังยืนหยัดเพื่อเขา จางเซวียนรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจ พร้อมกับความเดือดดาลที่พลุ่งขึ้นมา
เจ้าพวกนั้น…
“ครับ!”
หยวนเทาไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาเดินนำจางเซวียนไปทันที มีหวังหยิ่งตามไปติดๆ ทั้งสามคนเดินตรงไปยังฝ่ายกิจการนักเรียน
ฝ่ายกิจการนักเรียน
“ทางสมาคมอาจารย์ได้รับรองแล้วว่าอาจารย์จางไม่มีความผิด, อาจารย์โจว เหตุใดจึงยังปฏิเสธที่จะจัดสรรทรัพยากรให้เขาอีก?” เจิ้งหยางจ้องชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเดือดดาล
เขาคืออดีตนักเรียนที่กลายมาเป็นอาจารย์, โจวเทียน
“ไม่มีความผิดรึ? มีเอกสารอยู่ตรงนี้หรือเปล่า ทางสมาคมแจ้งเราหรือยัง?”
โจวเทียนเลิกคิ้วและมีสีหน้าเย้ยหยัน “ในเมื่อไม่มีอะไรสักอย่าง เพราะฉะนั้นจางเซวียนก็ยังคงเป็นอาจารย์ที่ห่วยที่สุดในโรงเรียน เป็นคนที่ได้ศูนย์คะแนนในการทดสอบประเมินอาจารย์ ให้ทรัพยากรไปก็สิ้นเปลืองเปล่า อย่ามาโทษผมนะว่าไม่จัดสรรทรัพยากรการฝึกวรยุทธให้คุณ โทษตัวเองเถอะที่เลือกอาจารย์ผิด!”
ตามคำโบราณว่าไว้ ทรัพย์สิน, เพื่อนฝูง, คำชี้แนะ และสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้ ทรัพย์สินต้องมาเป็นที่หนึ่ง ซึ่งจากเรื่องนี้ ก็เห็นได้ชัดแล้วว่ามันสำคัญต่อการฝึกวรยุทธอย่างไร
นี่คือหลักการในพุทธศาสนาซึ่งบอกไว้ถึงสี่อย่างที่จำเป็นต่อการเข้าถึงความรู้ หากปราศจากทรัพย์สินมากพอ คนคนหนึ่งก็ไม่อาจทุ่มเทให้กับการฝึกวรยุทธได้ หากไม่มีเพื่อน ก็ยากที่จะไปได้ไกล หากไม่ได้รับคำชี้แนะ ก็อาจหลงไปจากเส้นทางที่ถูก และหากอยู่ในสิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสม ก็จะได้รับผลกระทบจากสภาวะที่ไม่ดีนั้น
นี่คือเหตุผลที่หวังหยิ่งลังเลตอนที่จางเซวียนแจ้งให้ทราบว่าเธออาจจะต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนทรัพยากรในการฝึกวรยุทธ
ทุกเดือน โรงเรียนหงเทียนจะทำการจัดสรรทรัพยากรในการฝึกวรยุทธให้กับนักเรียนและอาจารย์ ส่วนมากเป็นยาระดับพื้นๆ แม้มันจะไม่มีประโยชน์มากนักกับเหล่าอาจารย์ แต่สำหรับนักเรียนที่เพิ่งเริ่มฝึกวรยุทธนั้น มันเปรียบเสมือนยาวิเศษทีเดียว
นี่คือเหตุที่ผู้คนจำนวนมากพัฒนาวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว
“ถึงทางสมาคมอาจารย์จะยังไม่ส่งเอกสารมา แต่เราก็รู้ว่าอาจารย์ทุกคนในโรงเรียนหงเทียน ไม่ว่าจะมีผลการประเมินแย่แค่ไหน ตราบใดที่เขายังมีลูกศิษย์ ก็จะต้องได้รับผงหลอมลมหายใจ! แล้วพวกคุณมีสิทธิอะไรที่ไม่มอบมันให้พวกเรา?” จ้าวหย่าก้าวออกมา
ผงหลอมลมหายใจเป็นทรัพยากรเพื่อการฝึกวรยุทธขั้นพื้นฐานที่สุดที่นักเรียนชั้นต้นใช้กัน มันช่วยให้ผู้มีวรยุทธขั้นจวีซีสัมผัสถึงพลังงานในอากาศได้ดีขึ้น
ผงหลอมลมหายใจนั้นไม่อาจนับว่าเป็นยา ขนาดเหวินเฉว่ที่ยังไม่ได้เป็นแม้แต่นักปรุงยามือใหม่ก็สามารถผลิตมันได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีราคาไม่แพง ตามกฏของโรงเรียน อาจารย์ทุกคนที่มีนักเรียนจะต้องได้รับผงนี้
พวกคุณอาจหาข้ออ้างอะไรก็ได้ที่จะไม่จัดสรรทรัพยากรราคาแพงให้พวกเรา แต่หากคุณปฏิเสธที่จะมอบผงนี้ให้เราด้วย นั่นชัดเจนแล้วว่าคุณกำลังทำให้พวกเราลำบาก!
“มีกฏอยู่ก็จริง แต่ก็มีเงื่อนไขระบุไว้ว่าถ้านักเรียนมีคุณสมบัติไม่เหมาะสม ฝ่ายกิจการนักเรียนก็มีสิทธิที่จะไม่จัดสรรทรัพยากรให้ได้ พวกคุณฝ่าฝืนระเบียบของฝ่ายกิจการนักเรียนและมาสร้างความวุ่นวายที่นี่ เพราะฉะนั้น ก็สมควรแล้วที่ผมจะปฏิเสธข้อเรียกร้องของคุณ!” โจวเทียนพูดจาวางท่า
“คุณ…” เมื่อเห็นอีกฝ่ายแสดงออกอย่างชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้ จ้าวหย่าหายใจถี่และหน้าแดงก่ำ
“ทำไม? คุณไม่พอใจระเบียบของผมหรือ?”
โจวเทียนกระดกมุมปาก “ถ้าคุณไม่พอใจ มีเวทีดวลนักเรียนอยู่ตรงนั้น คุณสามารถท้าดวลกับลูกศิษย์ของผมได้ และถ้าคุณเอาชนะพวกเขาได้ทั้งหมด
ไม่เพียงแต่ผมจะให้ผงหลอมลมหายใจเท่านั้น แต่จะมอบลูกกลอนหลอมลมหายใจให้ด้วย!
“จำไว้ว่ามันคือ ลูกลอนหลอมลมหายใจเชียวนะ ก็พวกคุณมาเอะอะโวยวายให้ผมจัดสรรทรัพยากรให้จางเซวียนไม่ใช่หรือ? ถึงมันจะไม่ใช่ยาจริงๆ แต่ก็ใกล้เคียงมาก ให้ผลดีแม้แต่กับนักรบขั้นพี่เชวี่ย อาจารย์ทั่วไปจะต้องได้รับทุกเดือน ถ้าคุณกล้ายื่นคำท้าและทำได้สำเร็จ ผมจะมอบให้คุณสามลูก!”
เวทีดวลนักเรียนนั้นเป็นวิถีทางหนึ่งในการจัดการกับความขัดแย้งระหว่างอาจารย์กับนักเรียน ในจำนวนวิถีทางทั้งหมด จะเป็นรองก็แค่เวทีดวลอาจารย์เท่านั้น ข้อกำหนดนั้นง่ายมาก หากนักเรียนผู้ท้าอาจารย์สามารถเอาชนะลูกศิษย์ทุกคนในสังกัดของอาจารย์ผู้นั้นได้ อาจารย์คนดังกล่าวจะต้องเอ่ยคำขอโทษ