ตอนที่ 150 ถ่ายทอดวรยุทธเพลงหอก
“ได้ ตกลงตามนั้นแหละ ถ้าคุณไม่คืนคำเสียก่อน” จางเซวียนหัวเราะขณะตอบตกลง
“อาจารย์จาง…”
ได้ยินเขาตัดสินใจเช่นนั้น จ้าวหย่ากับพรรคพวกถึงกับยืนไม่ติด
อาจารย์ล้อพวกเราเล่นใช่ไหม?
สองสามวันมานี้ วรยุทธของพวกเขาพัฒนาขึ้นมาก แต่ให้ดวลกับคนระดับอาจารย์นี่มัน…เป็นไปไม่ได้!
ตกลงไปแล้วเรียบร้อย ก็เท่ากับยอมแพ้แล้วใช่หรือไม่?
“ถ้าคุณมั่นใจเช่นนั้นก็ทำเลย พวกเขาจะรวมตัวกันดวลกับผมทีเดียว หรือจะดวลกันตัวต่อตัว?” โจวเทียนแสยะยิ้ม
จางเซวียนมีลูกศิษย์เพียงห้าคน ต่อให้เขาออมมือให้ก็ยังเทียบชั้นกันไม่ได้อยู่ดี
“คิดมากไปหรือเปล่า อย่างคุณน่ะ ลูกศิษย์ของผมคนไหนก็เอาชนะคุณได้”
จางเซวียนส่ายหน้า
“คุณ…” ถูกอีกฝ่ายดูหมิ่นเช่นนั้น โจวเทียนโกรธหน้าดำหน้าแดง
คร้านจะต่อปากต่อคำด้วย จางเซวียนหันมาสนใจจ้าวหย่ากับคนอื่นๆ
เมื่อสบตาเขา เหล่าลูกศิษย์ให้กังวลใจนัก
เอาชนะการดวลนักเรียนยังไม่ได้เลย แต่นี่ไปท้าอาจารย์…
“พวกคุณอีกสองสามคนยังไม่ได้แสดงฝีมือเลย แต่ถ้าผมส่งพวกคุณไปดวลกับอาจารย์โจว มันจะเป็นการ…รังแกคนอ่อนแอกว่า เจิ้งหยาง คุณไปดวลกับเขาไป!” จางเซวียนมองไปรอบๆ จากนั้นก็ชี้ไปที่เจิ้งหยาง
ได้ยินเช่นนั้น ฝูงชนที่อยู่รายรอบต่างลมแทบจับ
น้องชาย คิดดีแล้วหรือที่จะเล่นใหญ่ขนาดนี้?
ต่อให้อยากจะโอ้อวด มันก็ควรจะสมจริงหน่อย ใช่ไหม?
ถึงเจิ้งหยางจะมีความสามารถ แต่เขาเพิ่งดวลกับคู่ต่อสู้หลายต่อหลายคน ทั้งยังหมดสภาพ ไม่เห็นหรือว่าเขาถือหอกแทบจะไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ แม้แต่เชือดไก่สักตัวก็คงทำไม่ได้ แล้วจะส่งเขาไปดวลกับโจวเทียนหรือ?
แถมยังบอกว่า…เป็นการรังแกอีกฝ่ายหนึ่ง
รังแกพ่อง!
ดูจากสภาพเจิ้งหยาง ต่อให้โจวเทียนไม่ทำอะไร เขาก็พร้อมจะทรุดลงไปกองด้วยตัวเองอยู่แล้ว…
ไม่เพียงแค่คนอื่นๆที่สับสน เจิ้งหยางเองก็อ้าปากค้าง
“อาจารย์ ผม…” เขาใกล้บ้าแล้ว
อาจารย์จาง ช่วยหยุดแกล้งกันแบบนี้ได้ไหม?
เขารู้สภาพตัวเองตอนนี้ดีว่าไม่อาจสู้กับนักเรียนคนไหนได้อีก ป่วยการจะพูดถึงอาจารย์โจวเทียน ต่อให้อาจารย์ออมมือจนเหลือแค่วรยุทธขั้น 1…เขาก็ยังเอาชนะไม่ได้อยู่ดี
เขากำลังจะบอกอาจารย์จางถึงสภาพร่างกายของตัวเอง แต่ก่อนจะได้พูด จางเซวียนก็ขัดขึ้น “อย่าเพิ่งหน้าบานตอนนี้ ค่อยฉลองหลังปราบอาจารย์โจวได้แล้วก็ยังไม่สาย!”
หน้าบาน?
หน้าบานอะไรกัน!
ผมจะปล่อยโฮอยู่แล้ว อาจารย์ไม่เห็นหรือ?
เจิ้งหยางตัวสั่นและดูพร้อมจะเป็นลมได้ทุกขณะ
“รนหาที่ตายแท้ๆ…”
โจวเทียนจับตามองอยู่ รู้ดีว่าจางเซวียนจงใจทำเช่นนี้เพื่อฉีกหน้าเขา เขาเม้มริมฝีปากอย่างเดือดดาล ดวงตาวาววับด้วยความโกรธ
ไม่ใส่ใจสายตาแปลกๆจากคนรอบข้าง จางเซวียนถามโจวเทียน “ก่อนจะดวล ผมขอสอนวรยุทธเพลงหอกกระบวนท่าใหม่เสียก่อน อาจารย์โจวคงไม่ว่าอะไรกระมัง?”
“สายไปแล้วกระมัง!” โจวเทียนคำราม
“ไม่สำคัญหรอกว่าจะสายไปแล้วหรือยัง มีเวลาพอเสมอถ้ามันจะทำให้คุณพ่ายแพ้ได้!” จางเซวียนยิ้ม เขาเดินเข้าไปหาเจิ้งหยางและพูดว่า “นี่ ผมจะสอนวรยุทธเพลงหอกให้คุณ ดูให้ดีๆและเรียนรู้ด้วย!”
จากนั้น เขาคว้าหอกมาจากมือของเจิ้งหยาง และด้วยการขยับฝ่ามือเพียงเล็กน้อย เขาก็เริ่มแสดงกระบวนท่า
กระบวนท่านั้นดูไม่มีความล้ำลึกอะไรเลย เหมือนการเคลื่อนไหวในท่วงท่าทั่วไป ไม่ได้ดูเหมือนวรยุทธเพลงหอกแม้แต่น้อย เหมือนการจ้วงแทงเล่นขำๆ
“อาจารย์คนนี้…เล่นตลกอยู่หรือเปล่า?”
“ไอ้แบบนี้เรียกว่าวรยุทธเพลงหอกรึ? ศิลปะการต่อสู้ของ ‘หมูป่าตัวผู้ปะทะหมูป่าตัวเมีย’ ยังจะดีกว่านี้เสียอีก!”
“ฉันเคยเห็นคนโกหกหลอกลวงพ่อแม่ แต่เพิ่งจะเคยเห็นอาจารย์หลอกลวงลูกศิษย์ของตัวเองก็ครั้งนี้ เจิ้งหยางโดนไปแล้วเรียบร้อย!”
“ได้อาจารย์แบบนี้ เก่งแค่ไหนก็ไปไม่รอด…”
จางเซวียนสอนเจิ้งหยางต่อหน้าทุกคน ต่างเห็นกระบวนท่าของเขาโดยทั่วหน้า ผ่านไปครู่หนึ่งแต่ละคนก็รับไม่ได้
คุณเรียกสิ่งนี้ว่าวรยุทธเพลงหอกหรือ?
แม้แต่ท่ากวาดพื้นยังล้ำลึกกว่ากระบวนท่าของคุณหลายเท่า…
“เข้าใจหรือยัง?” จางเซวียนไม่สนใจเสียงวิจารณ์ของฝูงชน เขามองเจิ้งหยาง
“เข้าใจครับ…” เจิ้งหยางอยากจะร้องไห้
ท่วงท่าแบบนี้ต้องเรียนด้วยหรือ?
เขาฝึกฝนใกล้ชิดกับหอกมาตั้งแต่หกขวบ…ทุกกระบวนท่าในหนังสือยังซับซ้อนกว่าที่อาจารย์สอนเขาอยู่ตอนนี้มากมายนัก
“เอาล่ะ ในเมื่อเข้าใจแล้ว ไปดวลกับอาจารย์โจวได้!” จางเซวียนพยักหน้าและรุนร่างของเจิ้งหยางเบาๆ
เจิ้งหยางใกล้ปล่อยโฮเต็มทีเมื่อได้ยินคำสั่งของอาจารย์ แต่เมื่อฝ่ามือของอาจารย์แตะไหล่เขา กระแสพลังปราณก็พุ่งเข้าสู่ร่างกายของเขาทันที
พลังปราณนั้นบริสุทธิ์และเข้มข้นมาก เขารู้สึกได้ว่าทุกสิ่งที่ตกค้างและถูกปิดกั้นอยู่ในร่างกายของเขาได้หลุดออกไป ราวกับได้ดื่มน้ำทิพย์ ความเหนื่อยล้าหายวับไปสิ้น เขากลับมาสดชื่นอีกครั้ง
ความเหนื่อยล้าก็เหมือนกับอาการเจ็บป่วย และบ่อยครั้งที่มีสาเหตุมาจากสภาพร่างกายบางส่วนที่ถูกปิดกั้นเอาไว้ ด้วยพลังปราณบริสุทธิ์ของจางเซวียน การเคลียร์พื้นที่เหล่านั้นทำได้ไม่ยาก
“อย่าฝืนนะ ปล่อยตัวไปตามท่วงท่าจากพลังปราณของผม แล้วปรับลมหายใจให้พลิ้วไปพร้อมกับมัน”
เจิ้งหยางยังคงตกตะลึงกับทีท่าของอาจารย์จางตอนที่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายแว่วอยู่ข้างหู
รู้ว่าอาจารย์จะไม่ทำให้เขาผิดหวังเป็นแน่ เจิ้งหยางรีบรวบรวมสมาธิและปรับลมหายใจ
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
พลังปราณที่เข้าสู่ร่างของเขานั้นไหลเวียนไปทุกส่วน ชั่วพริบตานั้นเจิ้งหยางก็รู้สึกว่าเขากลายเป็นหอกที่อาจแทงทะลุได้ถึงสวรรค์
“นี่คือ…กรรมวิธีหลอมลมหายใจเข้ากับวรยุทธเพลงหอกหรือ?” ถึงเจิ้งหยางจะ
งี่เง่าบ้าง แต่เขาก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทันที
ไม่ว่าจะเป็นวรยุทธเพลงหอกหรือศิลปะการต่อสู้ชนิดไหนก็ตาม เหนือสิ่งอื่นใด ผู้ฝึกฝนจะต้องรู้วิธีหลอมรวมลมหายใจเข้ากับวรยุทธนั้น
เมื่อลมหายใจของผู้ฝึกฝนเป็นหนึ่งเดียวกับวรยุทธแล้ว การปลดปล่อยพลังสูงสุดย่อมเป็นไปได้ ท่วงท่าที่ออกมาจะดูฉูดฉาดบาดตามาก แม้ว่าในความเป็นจริงจะใช้พลังในการเข้าปะทะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แม้เจิ้งหยางจะไม่เคยเข้าถึงพลังขั้นใดๆของศิลปะการใช้หอก แต่เขาก็ใช้ชีวิตอยู่กับหอกมาตั้งแต่เล็ก หอกได้เป็นส่วนหนึ่งของเขา วินาทีที่เขารู้สึกได้ถึงการหลอมรวมลมหายใจนั้น เขาเข้าใจทันทีว่าเคล็ดวิชานี้ล้ำลึกกว่าทุกเคล็ดวิชาเพลงหอกที่เขาเคยร่ำเรียนมา
กระบวนท่านั้นดูง่ายดายอย่างที่คนโง่เง่าที่ไหนก็เรียนได้ แต่เมื่อหลอมรวมเข้ากับลมหายใจแล้ว ก็ชัดเจนว่ากระบวนท่าอันเรียบง่ายที่มาพร้อมกับทฤษฎีการใช้หอกอันล้ำลึกนั้นคือวรยุทธอันล้ำเลิศ!
“มีกระบวนท่าทรงพลังเช่นนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ?” เขาตกตะลึง ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
คำว่าล้ำลึกก็ยังไม่เพียงพอที่จะใช้พรรณนากระบวนท่านั้น มันเหลือเชื่อเกินกว่าที่กระบวนท่าใดจะเป็นไปได้ เจิ้งหยางยังคงตื่นเต้นกับเสียงของอาจารย์จางที่ก้องอยู่ในหู
“อย่าปล่อยใจฟุ้งซ่าน ทำความคุ้นเคยกับการหลอมรวมลมหายใจ แล้วผนวกมันเข้ากับวรยุทธเพลงหอก!”
รู้ว่าอาจารย์กำลังถ่ายทอดกระบวนท่าอันล้ำลึกอย่างไม่น่าเชื่อให้เขา เจิ้งหยางรวบรวมสมาธิและพยายามหลอมรวมลมหายใจ
เคล็ดวิชาการต่อสู้ทุกรูปแบบมีกระบวนการหลอมรวมลมหายใจเฉพาะตัว ในการเรียนเคล็ดวิชาเหล่านั้น ผู้เรียนจะต้องค่อยๆเปิดทุกจุดในร่างกายที่ถูกปิดกั้นให้โล่งเพื่อการนี้ มันเป็นขั้นตอนที่เหนื่อยยากและต้องใช้เวลายาวนาน
อย่างเจิ้งหยาง เขาเป็นแค่นักรบขั้น 1-จวีซี และมีเพียงลมหายใจในร่างกาย ยังไม่สามารถสร้างพลังปราณขึ้นได้เองเลยด้วยซ้ำ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองปีในการเปิดเส้นทางที่จำเป็นต่อการฝึกเคล็ดวิชานั้น
แต่จางเซวียนทำให้ทุกสิ่งแตกต่างออกไป
พลังปราณของจางเซวียนเป็นปราณบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะพุ่งไปที่ใดก็จะขจัดเอาสิ่งสกปรกตกค้างออกไปด้วย รวมถึงการเปิดจุดที่จำเป็นในร่างกาย ไม่ถึงสองอึดใจ เส้นทางในร่างกายของเจิ้งหยางที่จำเป็นต่อการหลอมรวมลมหายใจก็ถูกเปิดโล่ง
“มันเหมือนกับ ผม…เชี่ยวชาญมันแล้วอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อรู้สึกถึงลมหายใจที่ปลอดโปร่ง เจิ้งหยางก็เข้าใจความจริงนี้ทันที เพียงชั่วขณะเดียว เขาก็เชี่ยวชาญในกระบวนท่า ราวกับว่าฝึกฝนมาแล้วหลายปี
“ใช่ รักษากระแสพลังปราณในร่างของคุณไว้ให้ดี แกล้งทำเป็นปวกเปียกอ่อนแอไว้ แต่เมื่อเริ่มดวลกับอาจารย์โจวเมื่อไรล่ะก็ ต้องซัดทีเดียวให้หมอบ!”
เสียงของจางเซวียนยังก้องอยู่
เจิ้งหยางพยักหน้าเงียบๆอย่างเข้าใจนัยของประโยคนั้น แต่ก็สงสัยไปด้วย…ทำไมพลังปราณของอาจารย์จางจึงคงอยู่ในร่างกายของเขาได้โดยไม่ทำให้ร่างกายแปรปรวนเลย?
คุณสมบัติของพลังปราณในร่างของคนๆหนึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามวรยุทธที่ผู้นั้นกำลังฝึกอยู่ ดังนั้น เมื่อพลังปราณของผู้หนึ่งถูกถ่ายทอดเข้าสู่ร่างของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการช่วยฝ่าด่านวรยุทธหรืออะไรก็ตาม จะมีความเป็นไปได้สูงที่ร่างกายของผู้รับพลังปราณจะแปรปรวน และอาจทำให้วรยุทธของผู้นั้นวิปริตผิดเพี้ยนไปได้
แต่เจิ้งหยางกลับไม่รู้สึกถึงความแปรปรวนใดๆเลยในขณะที่พลังปราณของอาจารย์จางถูกถ่ายทอดเข้าสู่ร่าง เขาอัศจรรย์ใจนัก แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมัวคิดเรื่องพวกนั้น หลังจาก ‘ฝืนใจ’ คารวะ เขาเอ่ย “อาจารย์โจว เชิญ!”
จากนั้นก็กระโดดขึ้นสังเวียน
เจิ้งหยางแสร้งทำท่าเหมือนจะตกลงมาถ้าลมหอบใหญ่ไม่บังเอิญพัดตอนนั้นพอดี ฝูงชนที่เห็นสภาพของเขาต่างงงงัน
บ้าแล้ว นี่เอาจริงๆหรือ?
จะดวลกับอาจารย์ด้วยกระบวนท่าเพลงหอกที่แม้แต่หมูก็ทำได้ แถมสภาพร่างกายยังพร้อมจะพังได้ทุกขณะ คิดได้อย่างไรว่าจะชนะ…
โจวเทียนหน้าตึง ความคิดหนึ่งวาบขึ้นในสมอง
เราติดกับเสียแล้ว
เจ้าหนุ่มนี่ตั้งใจจะสังเวยลูกศิษย์ตั้งแต่ต้น เพื่อจะบีบให้สังคมมองเราเป็นคนชั่วช้าไป
ถ่ายทอดกระบวนท่าที่แม้แต่จะใช้ฆ่าไก่ก็ยังไม่สำเร็จให้กับลูกศิษย์ หึ… ตัวมันเองนี่แหละบ้อท่ายิ่งกว่าไก่?
“จางเซวียน แกมันเลว!”
เมื่อคิดได้ว่าฝ่ายนั้นตั้งใจหยามหน้า โจวเทียนกัดฟันและกระโดดขึ้นสังเวียน
“อาจารย์โจว ได้โปรดออมมือให้ผมด้วย…” เจิ้งหยางชูหอกขึ้นด้วยอาการป้อแป้ถึงขีดสุด
ทุกคนต่างพูดไม่ออกเมื่อเห็นว่าแค่ท่วงท่าง่ายๆก็ทำเอาเจิ้งหยางเหงื่อตกด้วยความอ่อนล้า
นานมาแล้วที่ไม่มีใครยื่นคำท้าดวลอาจารย์ ต่างไม่คาดคิดว่าคนแรกที่ยื่นคำท้าในรอบหลายปีจะผิดประหลาดขนาดนี้
ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไปจะต้องร่ำลือกันกระฉ่อนแน่
“อาจารย์…ทำไมคุณถึงไม่ให้ฉันไปแทนเจิ้งหยาง!” จ้าวหย่าพูดขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว
“ดูไปก่อนเถอะ” จางเซวียนไม่ขยายความ
เห็นอาจารย์มั่นอกมั่นใจขนาดนั้น จ้าวหย่าสับสน แต่ก็ไม่กล้าถามอะไรอีก จึงหันไปจับตาการดวลแทน
“ออมมือให้คุณรึ? โทษอาจารย์จางสุดที่รักของคุณเถอะที่ทำให้คุณต้องลำบาก!” นึกถึงเจตนาของจางเซวียนแล้ว โจวเทียนยิ่งเดือดดาล
“ถ้าอย่างนั้น ผมต้องขออภัยในความไร้มารยาทของผมไว้ล่วงหน้าก็แล้วกัน!” เจิ้งหยางรู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เปิดฉากก่อนแน่ อันเนื่องมาจากความเหลื่อมล้ำระหว่างทั้งคู่ เขาจึงไม่รอช้า พุ่งหอกเข้าใส่ฝ่ายนั้นทันที
ปลายหอกสั่นสะท้านราวกับว่าผู้ถือหอกนั้นไร้เรี่ยวแรง
มันคือกระบวนท่ากากๆพื้นๆที่จางเซวียนเพิ่งถ่ายทอดให้เขานั่นเอง
“ได้!”
เห็นเจ้าเด็กนี่อาจหาญออกกระบวนท่าปะทะเขา โจวเทียนยิ่งโมโห เขาลดระดับวรยุทธของตัวเองลงไปอยู่ที่ขั้น 1-จวีซี และเข้าโจมตีเจิ้งหยางด้วยมือเปล่า ปราศจากอาวุธใดๆ
เผชิญหน้ากับหอกด้วยมือเปล่า!
แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีใครถือหางเจิ้งหยาง ทุกคนคิดว่าเขาต้องแพ้แน่
“ทีนี้ก็…”
เห็นอีกฝ่ายประเมินเขาต่ำถึงขนาดใช้มือเปล่า เจิ้งหยางตาโต เขารีบใช้พลังปราณที่จางเซวียนเพิ่งถ่ายทอดให้ ในพริบตานั้นตัวเขาก็เปลี่ยนไป ถ้าก่อนหน้านี้เป็นแกะเชื่องๆ ตอนนี้ก็กลายเป็นเสือดุร้ายดีๆนี่เอง
บูม!
หอกพุ่งตรงเข้าใส่ยอดอกของโจวเทียน
“อะไรกัน?”
โจวเทียนหรี่ตา รับรู้ได้ถึงอันตรายของการโจมตีนั้น