ตอนที่ 16 ทำความสะอาดกล้ามเนื้อและกระดูก
“ลองดู”
เมื่อมีหนังสือที่ไร้จุดบกพร่องอยู่ในมือ จางเซวียนก็เริ่มฝึกฝนทันที เขาทำตามวิธีที่บันทึกไว้ภายในหนังสือ ‘เคล็ดวิชาเทียบฟ้า’ ของตน ทุกๆ ช่องว่างของผิวหนังเริ่มดูดซึมพลังจากธรรมชาติเข้าสู่ภายในร่าง เดิมทีนักรบขั้นสี่นั้นจะมีความสามารถของสามขั้นข้างต้นรวมเข้าไปด้วย นั่นก็คือ
ขั้นหนึ่ง – จวีซี ในขอบเขตจวีซี ผู้ฝึกตนจะได้เรียนรู้การหายใจโดยธรรมชาติและกักเก็บลมปราณจากธรรมชาติรอบกายเข้าไปในร่าง
ขั้นสอง – ตันเถียน ขั้นนี้ผู้ฝึกสามารถเอาลมปราณจากธรรมชาติไปเก็บไว้ในจุดตันเถียน และกระจายไปทั่วร่างกายเพื่อปรับโครงสร้างร่างกายจากคนธรรมดาให้กลายเป็นนักรบอย่างแท้จริง
ขั้นสาม – เจิ้นชี่ ผู้ฝึกสามารถเปลี่ยนลมหายใจของตนเองให้เป็นพลังปราณ แล้วกักเก็บไว้ในจุดตันเถียนได้
ขั้นสี่ – ผีกู่ ผู้ฝึกสามารถเอาพลังปราณที่มีไปหล่อเลี้ยงผิวหนังและกระดูก ทำให้อวัยวะต่างๆ มีความแข็งแกร่งมากพอ เพื่อเตรียมขยับไปเป็นขั้นของผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง
สามขั้นแรกของนักรบเป็นการสร้างรากฐานกำลังภายในหรือที่เรียกกันว่าพลังปราณในร่าง มีเพียงแค่ขั้นสี่เท่านั้นที่ผลลัพธ์ของการฝึกจะแสดงผลต่อส่วนต่างๆ ของร่างกาย นี่คือสาเหตุที่ทำให้ร่างของผู้ฝึกห่างไกลจากความเจ็บป่วยและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
วิธีการฝึกของตำราหงเทียนเก้าขั้น เป็นการใช้พลังปราณที่ไหลออกจากจุดตันเถียนไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ในขณะเดียวกันมันจะช่วยปรับโครงสร้าง อุณหภูมิในร่าง กระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และผิวหนังตามไปด้วย
กึก กึก กึก กึก!
กระแสลมปราณไหลผ่านเส้นเลือด หล่อเลี้ยงไปทั่วร่างของเขา ปราณบริสุทธิ์จะแก้ไขและเติมเต็มในส่วนที่บกพร่อง ระหว่างที่มันไหลผ่านเส้นเลือด
กึก กึก!
การเสริมสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อใช้เวลาไม่นานนัก มันให้ความรู้สึกราวกับได้รับการเติมเต็มด้วยไฟบริสุทธิ์อันร้อนแรง ให้ความอบอุ่นไม่จบสิ้น
บูม!
หลังจากปราณบริสุทธิ์ไหลเวียนไปทั่วร่างกายของเขาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ร่างของเขาก็สั่นกระตุก จางเซวียนรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังข้ามผ่านคอขวดที่ติดอยู่ กระแสความผ่อนคลายพุ่งออกจากร่างของเขา
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าร่างของตนถูกพันธนาการไว้ด้วยบางสิ่ง แต่ตอนนี้ร่างกายของเขาทั้งเบาและสดชื่น เขาสามารถควบคุมทุกๆ การเคลื่อนไหวได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด มันให้ความรู้สึกราวกับว่าเขาเป็นหนอนตัวหนึ่งที่เพิ่งจะทะลวงรังไหมแล้วถือกำเนิดใหม่เป็นผีเสื้อ
“นักรบขั้นสี่ – ผีกู่ ในที่สุดเราก็ข้ามผ่านขั้นนี้ไปจนได้” พอลืมตาขึ้น จางเซวียนยังไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง การข้ามผ่านขั้นผีกู่ได้ทำลายขีดจำกัดของร่างกายเขา และยิ่งทำให้ก้าวไปในขั้นที่สูงขึ้นได้โดยไม่ยาก
นี่เขานั่งสมาธิมานานแค่ไหนแล้ว สองหรือสี่ชั่วโมง
“เหม็นจัง?” ด้วยความสงสัย เขาก้มหน้ามองร่างของตน เพิ่งรับรู้ว่าผิวหนังที่สกปรกค่อยๆ ลอกออกทีละชั้น ปราณในร่างของเขาตอนนี้แข็งแกร่งพอที่จะขับไล่สิ่งสกปรกออกทางผิวหนัง ชำระกล้ามเนื้อและกระดูกเพื่อปรับปรุงร่างกาย
การเกิดใหม่…
มนุษย์ทุกคนล้วนต้องการอาหารเพื่อการอยู่รอด แต่ยิ่งกิน ร่างกายก็ยิ่งสะสมสิ่งสกปรกมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อนักรบก้าวผ่านขั้นผีกู่ได้ เขาจะสามารถหล่อเลี้ยงร่างกายด้วยปราณบริสุทธิ์และหวนคืนสู่ธรรมชาติ “เราเคยได้ยินว่านักรบขั้นที่สูงกว่าผีกู่สามารถทำแบบนี้ได้ แต่ไม่นึกว่าจะขับสิ่งสกปรกออกมาจากตัวได้มากขนาดนี้” กลิ่นฉุนจากร่างของตัวเองทำให้จางเซวียนรับไม่ได้ เขาคว้าถังและเริ่มทำความสะอาดตัวเอง
ครู่เดียว เขาก็เสร็จสิ้นการทำความสะอาด ในตอนนี้จางเซวียนตระหนักว่าร่างกายของเขาบริสุทธิ์เหมือนหยกและเนียนลื่นเหมือนกระจก รอยแผลเป็นทั้งหมดที่เขาสะสมมาจากการฝึกซ้อมก่อนหน้าได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ตอนนี้ผิวของเขาเนียนนุ่มราวกับเด็กทารกแรกเกิด บางทีอาจจะนุ่มนวลกว่าเด็กทารกซะอีก
“ปราณของฉัน…” หลังจากประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายแล้ว เขาจึงเบนความสนใจไปยังจุดตันเถียนบ้าง ร่างกายของเขาเริ่มสั่นเทิ้ม พลังปราณอันมืดมนที่อยู่ในจุดตันเถียนของเขาก่อนหน้านี้ แปรสภาพเป็นน้ำบริสุทธิ์และส่งกลิ่นหอมสดชื่นไปทั่ว “ไม่เพียงแต่ร่างกายเท่านั้นที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง แม้แต่คุณภาพของปราณภายในร่างก็ยกระดับขึ้นเช่นเดียวกัน เคล็ดวิชาเทียบฟ้านี่ทรงประสิทธิภาพเหลือเกิน”
จางเซวียนผงะ การเลื่อนขั้นเข้าสู่ขั้นผีกู่นั้น ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะต้องหล่อเลี้ยงร่างกายของพวกเขาอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยหนึ่งปี แต่จางเซวียนกลับใช้เวลาน้อยกว่าสี่ชั่วโมง ไม่เพียงเท่านั้น คุณภาพของปราณในร่างก็ได้รับการพัฒนาเช่นกัน หอสมุดเทียบฟ้ามอบหนังสืออะไรมาให้เขากันเนี่ย?
นี่คือวิธีที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด
“ขอทดสอบพลังหน่อยสิ ในเมื่อก้าวผ่านขั้นผีกู่แล้ว ก็ควรจะมีกำลังมากกว่าเดิมแล้วสินะ ไม่แน่ว่าตอนนี้เราอาจมีพลังหมัดหนักเป็นตันแล้วก็ได้”
เขาเดินมายังเสาหินวัดแรงที่ห่างจากที่พักไม่ไกลมากนัก เสาหินวัดแรงแบบนี้แทบจะมีอยู่ทุกที่ของโรงเรียน เพื่อให้เด็กมีโอกาสวัดพลังของตนเองได้ทุกที่ทุกเวลา
นักรบขั้นห้า – ติ่งลี่… เมื่อก้าวข้ามขั้นชำระเนื้อหนังหรือผีกู่แล้ว นักรบจะก้าวเข้าสู่ขั้นติ่งลี่ และจะได้รับพลังหนึ่งติ่ง หรือก็คือพลังประมาณหนึ่งพันกิโลกรัมในทันที พลังเช่นนี้ ต่างจากพลังของคนธรรมดาอย่าง
สิ้นเชิง มนุษย์ที่ครอบครองพลังขั้นติ่งลี่สามารถแข่งขันกับสัตว์ใหญ่นานาชนิดได้เลยทีเดียว
เนื้อหาของวิชาเทียบฟ้าที่จางเซวียนฝึกซ้อมนั้นทำให้เขาเปลี่ยนไป เขาก้าวผ่านขั้นผีกู่ เข้าสู่ขั้นติ่งลี่เป็นที่เรียบร้อย มาลองวัดพลังกันหน่อย จะเหมือนกับที่เล่าลือกันว่ามีพลังหมัดเป็นตันจริงหรือไม่
หายใจเข้าออก ทำใจให้นิ่ง ดึงศอกกลับและต่อยออกไปอย่างแรง
ผ่านไปไม่นานนัก บนเสาหินก็มีอักษรปรากฏออกมา
5 ติ่ง นี่คือสิ่งที่ปรากฏขึ้น
“เป็น…เป็นไปได้อย่างไร” จางเซวียนตะลึงอีกครั้ง อึ้งไปทันที
นี่เรื่องจริงหรือ?
ตามหลักแล้ว… นักรบขั้นติ่งลี่ แรกเริ่มเดิมทีควรจะมีพลังเพียงหนึ่งติ่งนี่นา ส่วนติ่งลี่ระดับกลางก็มีสองติ่ง ระดับสูงสามติ่ง และระดับสูงสุดมีพลังถึงสี่ติ่ง แต่นี่เขาเพิ่งจะก้าวผ่านผีกู่มาสู่ติ่งลี่ ก็ได้ครอบครองพลังถึงห้าติ่งแล้วรึ เกิดอะไรขึ้น?
บ้าเกินไปแล้ว!
“จะต้องเป็นเพราะเคล็ดวิชาเทียบฟ้าช่วยพัฒนาความแข็งแกร่งของเราเป็นแน่…” ผ่านไปสักพักเขาจึงคิดได้ เขาเป็นอัจฉริยะหรือไม่เขารู้ตัวเองดี คำอธิบายเดียวก็คือ… ผลจากการฝึกตามเคล็ดวิชาเทียบฟ้านั่นเอง
วิชานี้ไม่เพียงแต่กำจัดข้อบกพร่องและของเสียในร่างกาย ยังพัฒนาปราณในร่างให้สูงขึ้นอีกด้วย ทำให้พลังหมัดที่เขาปล่อยออกมามีอานุภาพสูง ไม่เช่นนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้คนที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ขั้นติ่งลี่ มีพลังหมัดที่เทียบเท่านักรบขั้นหก
ช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก
“นักรบขั้นห้า มีเพียงอาจารย์ระดับสูงบางคนถึงจะก้าวเข้ามาถึงจุดนี้ได้” เฉาฉงที่ขั้นเดียวกับเขา อย่าไปพูดถึงเลย “เมื่อถึงขั้นนี้แล้วก็ควรไปหาวิชาใหม่ๆ มาฝึกเพิ่มแล้วสินะ…” พอขั้นพลังของเขาเพิ่มสูงอย่างรวดเร็ว ปัญหาก็เพิ่มตามไปด้วย
หนังสือของขั้นสี่ที่หามาอ่านตั้งเยอะกลับไร้ประโยชน์ไปทันที หากเขาอยากจะฝึกวิชาต่อก็ต้องไปหาวิชาของขั้นห้ามาแทน “ตอนนี้ยังไม่ถือว่าดึก หอสมุดน่าจะยังไม่ปิด” จางเซวียนเดินไปหอสมุดอีกครั้ง
เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลที่อยากแอบลักไก่ในการฝึก ทางโรงเรียนจึงได้ตั้งกฎเอาไว้ว่าจะต้องมีขั้นพลังถึงเสียก่อน จึงจะสามารถเข้าอ่านวิชาของขั้นนั้นๆ ได้ ผ่านไปสักพักจางเซวียนก็มาถึง
“มาอีกแล้วงั้นหรือ?” เมื่อเห็นว่าเป็นจางเซวียน ผู้เฒ่าโม่ที่เฝ้าหน้าหอสมุดก็ขมวดคิ้วทันที
เจ้านี่พึ่งจะจากไปไม่นาน กลับมาอีกทำไม?
“ท่านผู้เฒ่าโม่ ผมอยากขอดูตำราของขั้นห้าสักหน่อย” จางเซวียนกล่าว เขาคงไม่สามารถบอกได้ว่าตนผ่านขั้นสี่ก้าวเข้าสู่ขั้นห้าแล้วภายในเวลาสี่ชั่วโมง หากเป็นเช่นนั้น แม้เขาจะถูกฆ่าตาย ศพก็ยังมีโอกาสที่จะถูกนำไปทำการทดลอง
จากขั้นสี่ไปขั้นห้า พลังที่แผ่ออกจากร่างก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก หากไม่ใช่คนที่ฝึกฝนอย่างโชกโชนมาก่อน จะไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าเขาอยู่ขั้นไหนแล้ว แน่นอนว่าผู้เฒ่าโม่นั้นแข็งแกร่ง แต่ใครจะไปคิดล่ะว่า คนตรงหน้าเพิ่งกลับไปครู่เดียวก็ผ่านไปหนึ่งขั้นแล้ว
“ตำราขั้นห้า คิดจะทำอะไรของคุณน่ะ?” สีหน้าผู้เฒ่าโม่ดำคล้ำขึ้นทันใด ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีต่อเจ้านี่หายไปอย่างสิ้นเชิง ตำราของขั้นสี่ก็ไม่คัดลอก แล้วพอมาอีกครั้งก็บอกว่าอยากศึกษาตำราขั้นห้า พูดเป็นเล่น!
“คือ… ผู้อาวุโสโม่ เรื่องมันเป็นแบบนี้ วันนี้ผมได้รับลูกศิษย์มาคนหนึ่ง ผู้ปกครองของเขาสอบถามผมเกี่ยวกับการฝึกในขั้นห้า มีบางเรื่องที่ผมไม่สามารถที่จะหาคำตอบให้เขาได้ ทำให้เขามองผมอย่างดูแคลน ดังนั้น…ผมจึงจะมาหาคำตอบที่นี่เพื่อเตรียมรับมือกับคำถามที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตน่ะครับ” จางเซวียนเตรียมคำตอบนี้เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
“ผู้ปกครองบางคนก็รับมือได้ยากอย่างที่คุณว่า” ได้ยินคำอธิบายนี้ผู้เฒ่าโม่ก็พยักหน้า เขากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “คุณเข้าไปดูได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรคุณก็ห้ามลองฝึกนะ ถ้าคุณพยายามฝึกขั้นห้าโดยที่ยังไม่ผ่านขั้นสี่แล้วล่ะก็ ถ้าเกิดอะไรขึ้น แม้แต่พระเจ้าก็ช่วยคุณไม่ได้”
“ครับ ผมเข้าใจ”
“เอาล่ะ ไปได้!” ผู้เฒ่าโม่โบกมือไล่และปิดตาลง “ตำราการฝึกขั้นห้าอยู่ในแถวสุดท้าย”
“ครับ” จางเซวียนรีบเข้าไป
“เจ้าเล่ห์ ไร้สาระ” หลังจากที่จางเซวียนเดินเข้าไป ผู้เฒ่าโม่ก็สบถด่าเขาอีกสองสามคำ