ตอนที่ 161 มังกรคู่ผงาดฟ้า
โอ้โฮ!
จางเซวียนหยุดดู
แม้ว่าปรมาจารย์ลู่เฉินจะมีหนังสือจำนวนมหาศาล แต่เขาก็ตั้งใจจะพลิกดูให้หมดภายในเวลาสองชั่วโมง หนังสือจำนวนหลายหมื่นเล่มซึ่งหน้าตาเหมือนกันไปหมดบนชั้นหนังสือพวกนั้นปรากฏขึ้นในหอสมุดในสมองของเขา
ทำความเข้าใจการวาดภาพเบื้องต้น, เทคนิคการวาดภาพฉบับสมบูรณ์, รวมภาพชุดตะวันตกดิน…
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการวาดภาพ เกือบทั้งหมดของหนังสือเกี่ยวกับการวาดภาพที่มีอยู่ในอาณาจักรเทียนเซวียนนั้นมีอยู่ในห้องหนังสือแห่งนี้ มีแม้กระทั่งหนังสือที่หายากในท้องตลาดจำนวนหลายร้อยเล่ม
ปรมาจารย์ด้านการวาดภาพท่านอื่นไม่อาจทำเช่นนี้ได้ แต่เพราะการมีตำแหน่งเป็นถึงราชครูของฮ่องเต้เซินจุยที่ทำให้ฮ่องเต้สั่งการให้บริวารไปจัดหาหนังสือเหล่านี้มาให้เขา
“ทั้งหมดนี่ก็น่าจะพอแล้ว!”
เมื่อบันทึกข้อมูลจากหนังสือทั้งหมดไว้ในสมองแล้ว จางเซวียนก็หยุด เขาพึมพำ “เนื้อหาที่ต้องใช้!”
พรึ่บ!
เนื้อหาที่จำเป็นจากหนังสือจำนวนนับไม่ถ้วนถูกหยิบออกมาประมวลไว้ในหนังสือเล่มใหม่
จางเซวียนเปิดหนังสือและเริ่มต้นอ่าน
“การวาดภาพนั้นแบ่งออกเป็นการวาดและการประดิษฐ์ตัวอักษร มันช่วยขจัดความหุนหันพลันแล่น ทำให้ผู้วาดเข้าถึงสภาวะที่จิตใจสงบ…”
บทนำจะอธิบายถึงความเข้าใจในการวาดภาพเป็นหลัก จากนั้นก็จะแสดงรายละเอียดของการใช้พู่กัน วิธีการเขียนถ้อยคำ และการลงสี
ทุกงานมีรายละเอียดเฉพาะตัวและการวาดภาพก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แม้จะต้องการความขยันหมั่นเพียรในการฝึกฝน แต่ถ้าผู้ฝึกมีอาจารย์คอยชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดและปรับปรุงตัวเองได้อย่างรวดเร็ว
หอสมุดได้รวบรวมใจความสำคัญจากหนังสือเกี่ยวกับการวาดภาพจำนวนหลายหมื่นเล่มเพื่อประมวลกันขึ้นเป็นหนังสือพิเศษเล่มเดียว ในอีกแง่หนึ่งมันเป็นหนังสือที่ตัดตรงไปถึงเป้าหมาย หากตั้งใจอ่านก็จะพบว่าไม่มีเนื้อหาที่อ้อมค้อม ความเข้าใจเรื่องการวาดภาพของจางเซวียนจึงพุ่งพรวดขึ้นสูงลิ่ว
จางเซวียนยืนนิ่งงัน อ่านหนังสืออย่างช้าๆ
เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบได้ เขาลืมตาขึ้นอย่างกะทันหันและเห็นนัยน์ตาสีดำสนิทคู่หนึ่งจ้องมา
“เฮ้ย!”
เจ้าของนัยน์ตาคู่นั้นเห็นพฤติกรรมประหลาดของจางเซวียน และอยากรู้ว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นหรือเปล่า เมื่อจางเซวียนลืมตาขึ้นกะทันหัน เขาร้องลั่นและถอยกรูด
“ปรมาจารย์ลู่เฉิน?” จางเซวียนเพิ่งเห็นเต็มตาว่านั่นคือปรมาจารย์ลู่เฉิน
ปรมาจารย์ด้านการวาดภาพมองจางเซวียนอย่างหวาดระแวง ราวกับเขาเป็นสัตว์ป่าดึกดำบรรพ์มาซุ่มมองอะไรสักอย่าง
“มีอะไรหรือ?” จางเซวียนงงเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขา
ผมไม่ได้จะฆ่าคุณเสียหน่อย ทำท่าทางแบบนี้ทำไมกัน?
“คุณไม่ได้…ไม่ได้ฝ่าด่านอะไรสำเร็จใช่ไหม?” ปรมาจารย์ลู่เฉินถามอย่างระแวง
“ฝ่าด่าน? ไม่นี่!” จางเซวียนงง
“ดีแล้ว…” ปรมาจารย์ลู่เฉินยังเข็ดจากเรื่องครั้งก่อน เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกและพูดต่อ “เห็นคุณอยู่ในนี้ตั้งนานแล้ว ผมเลยเข้ามาดู…”
ตอนแรกเขาคิดว่าจางเซวียนจะมาพลิกดูหนังสือสักสิบนาที ไม่คิดว่าจะปาเข้าไปสี่ชั่วโมง เมื่อรอไม่ไหวจึงเข้ามาดู
เมื่อเดินเข้ามาในห้องหนังสือก็เห็นจางเซวียนยืนหลับตาอยู่หน้าชั้นหนังสือ ราวกับกำลังหลับ
เขานึกออกทันทีว่า เมื่อครั้งที่แล้ว หลังจากจางเซวียนอ่านหนังสือไปสองสามเล่ม ก็หลับตาและเข้าภวังค์ จากนั้นห้องหนังสือของเขาก็พินาศวายป่วง ร่างของเขาเขาปลิวไปทุกทิศทาง เกือบจะเอาชีวิตอันมีค่าของเขาไปทิ้งเสียแล้ว คราวนี้มันไม่ควรจะเกิดขึ้นอีก
กำลังนึกตรึกตรองอยู่ว่าควรจะทำอย่างไร ก็พอดีอีกฝ่ายลืมตาขึ้นเสียก่อน ถ้าจะพูดอย่างไม่อาย เขาต้องใช้ความกล้าทั้งหมดของตัวเองเลยทีเดียวในการเข้ามายังห้องนี้
“การฝ่าด่านจากขั้นเดิมของตัวเองนี่มันง่ายอย่างนั้นเลยหรือ?”
เห็นเขาจับตามอง จางเซวียนพลันรู้สึกตัว เขาโคลงศีรษะและยิ้มเจื่อนๆ
แม้จางเซวียนจะไม่พูดอะไร แต่ปรมาจารย์ลู่เฉินก็เข้าใจ เขารู้สึกเจ็บหน่วงในอกและริมฝีปากกระตุกอย่างแรง
ไม่ง่ายอย่างนั้นหรือ?
คราวที่แล้ว ไม่ใช่คุณหรืออย่างไรที่ฝ่าด่านได้อย่างง่ายดาย?
เรื่องจริงก็คือคุณฝ่าด่านที่คุณเคยติดขัดอยู่ได้สำเร็จ ส่วนผมแทบจะทำอะไรไม่ได้ แถมยังเอาชีวิตเกือบไม่รอด
ยิ่งคิดก็ยิ่งเพลียใจ ลืมเสียดีกว่า ดีแล้วที่ครั้งนี้คุณฝ่าด่านไม่สำเร็จ มิฉะนั้นผมคงต้องพิจารณาอย่างจริงจังว่าทำอย่างไรจึงจะกันคุณออกจากห้องหนังสือของผมไปได้ตลอดกาล…
“เป็นอย่างไรบ้าง ปรับสภาวะจิตของคุณได้หรือยัง?” ลู่เฉินเปลี่ยนเรื่อง
“เรียบร้อยแล้ว ไปกันเถิด” จางเซวียนพยักหน้า
เมื่อกลับไปถึงห้องนั่งเล่น เขาเห็นหวงหวี่กับไป๋ซวินจ้องมา จะว่าไป การที่เขาใช้เวลาถึงสี่ชั่วโมงในการสงบใจนั้น มันก็ออกจะเข้าใจได้ยากจริงๆ
“เป็นอย่างไรบ้าง?” สีหน้าของปรมาจารย์หยวนหยู่ไม่สู้ดี บ่ายนี้เขาตั้งใจจะไปขอพบปรมาจารย์หยางชวน แต่เจ้าหนุ่มคนนี้ใช้เวลาปรับสภาวะจิตใจจนพระอาทิตย์ตก เมื่อประกอบกับความเคลือบแคลงที่มีอยู่ก่อนหน้า ก็ต้องนับว่าเขามีน้ำอดน้ำทนอย่างยิ่งที่ไม่กลับไปเสียก่อน
“เอ่อ… ผมพร้อมแล้ว!” เห็นทุกคนจ้องเขาเป็นตาเดียว จางเซวียนรู้สึกผิดและอับอายนัก
“คุณเริ่มวาดได้เลย” ปรมาจารย์ลู่เฉินเร่งจางเซวียนเมื่อเห็นเห็นบรรยากาศชักจะไม่ดี
“ครับ!” เขาสำรวจเทคนิคการวาดภาพที่ถูกบันทึกไว้ในหอสมุดเทียบฟ้าอีกครั้ง จางเซวียน เดินไปที่โต๊ะและหยิบพู่กันขึ้นมา
เมื่อเห็นจางเซวียนกำลังจะวาด ความสนใจของหวงหวี่และไป๋ซวินยิ่งมีมากขึ้นอีก พวกเขามองอย่างตื่นเต้น พวกเขาอยากรู้ว่าปรมาจารย์จางจะรังสรรค์ผลงานชิ้นเอกแบบไหนขึ้นมา หลังจากที่ใช้เวลาปรับสภาวะจิตใจอยู่เนิ่นนาน
แม้แต่ปรมาจารย์หยวนหยู่ก็ยังอดสนใจไม่ได้ ถ้าเจ้าหนุ่มคนนี้พยายามสร้างภาพหลอกลวงทุกคนอยู่จริงๆ เขานี่แหละจะเป็นผู้ลงทัณฑ์ด้วยตัวเอง…
เห็นทุกสายตาจับจ้องเขาอยากตั้งอกตั้งใจ จางเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “ปรมาจารย์ลู่ ท่านมีกระดาษทดหรือไม่? ผมอยากทดลองพู่กันก่อน”
การวาดภาพมิได้เหมือนกับการฝึกวรยุทธ ที่คนคนหนึ่งจะถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่ร่างของอีกคนหนึ่งเพื่อเริ่มการต่อสู้ ไม่ว่าผู้นั้นจะมีความรู้เรื่องการวาดภาพมากเพียงใด ในครั้งแรกก็จะต้องเริ่มต้นด้วยการทดลองความเข้ากันกับมือไม้ของตนเอง
เขาไม่เคยวาดภาพหรือจับพู่กันมาก่อนเลย ในครั้งแรกเขาจะต้องทดลองความอ่อนแข็งของพู่กัน รวมทั้งความเข้มหรือสว่างของสีที่จะปรากฏบนกระดาษก่อนจะเริ่มวาดจริง
มันคือเหตุผลเดียวกับที่เขาไม่อาจเป็นนักปรุงยาตัวจริงได้ในทันใด แม้ว่าจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับการปรุงยามามากมาย
การปรุงยาต้องการการฝึกฝนอย่างหนัก ในขณะที่การวาดภาพให้ความสำคัญกับสภาวะจิตใจของผู้วาด แม้ทักษะยังอ่อนด้อย แต่หากใส่จิตวิญญาณลงไปในภาพวาดได้ ก็ยังนับว่าเป็นงานที่น่าประทับใจ
“ไม่ต้องหรอก วาดไปเลย!” สีหน้าของปรมาจารย์หยวนหยู่แย่ลงไปอีก
ถ้าฝ่ายนั้นเป็นปรมาจารย์ด้านการวาดภาพตัวจริง เหตุใดจึงต้องลองพู่กัน?
เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามถ่วงเวลา
อืม ถ่วงได้ถ่วงไป อีกไม่นานหรอก ผมจะดูว่าคุณจะใช้ข้อแก้ตัวแบบไหนอีก
จางเซวียนไม่เห็นสายตาประหลาดของปรมาจารย์หยวนหยู่ เขาหยิบพู่กันมาจุ่มลงในสีน้ำแล้วป้ายสองสามครั้งบนกระดาษ จากนั้นก็หยิบพู่กันอีกอันหนึ่งมาจุ่มน้ำแล้วระบายสีด้วยทีท่าสบายๆ
“เทคนิคการป้ายสีที่ง่ายที่สุด? ต้องทดลองกระทั่งแบบนี้…ปรมาจารย์จางคงไม่ใช่เพิ่งวาดภาพเป็นครั้งแรกหรอกนะ?” เห็นการกระทำเช่นนั้น หวงหวี่ก็พึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว
การป้ายสีเป็นหนึ่งในเทคนิคที่ง่ายที่สุดของการวาดภาพ อธิบายคร่าวๆก็คือ ใช้น้ำเป็นตัวกระจายสีให้ทั่วผืนผ้าใบและสร้างเอฟเฟ็คท์ใหม่ๆในการกระจายแสงขึ้นมา ซึ่งก็เหมือนกับการออกหมัดยาวในศิลปะการต่อสู้ ใครก็ตามที่วาดรูปเป็นจะต้องเข้าใจ…
คนอื่นๆก็แค่ทดสอบความแข็งอ่อนของพู่กันและความเข้มสว่างของสี แต่ชายผู้นี้ทดสอบทุกอย่างตามที่หนังสือบอก ราวกับเด็กน้อยอยากรู้อยากเห็นที่เพิ่งออกมาเผชิญโลกกว้างเป็นครั้งแรก
ทุกคนทำหน้าเหมือนท้องผูก
น้องชาย พวกเรารอคุณหลายชั่วโมงแล้ว จะช่วยเร็วกว่านี้หน่อยได้ไหม?
หากเป็นเช่นนี้ เราคงแก่ตายเสียก่อนที่จะได้เห็นภาพวาดของคุณ
“ตอนเราจับพู่กันครั้งแรกก็เป็นเช่นนี้ อยากทดลองไปเสียทุกสิ่งอย่าง…เราไม่รู้อะไรเลยเช่นกัน…” ไป๋ซวินให้สงสัย แม้แต่เขาก็ยังรู้ว่ามีบางอย่างผิดเพี้ยนไป
ปรมาจารย์ลู่กับปรมาจารย์หยวนหยู่สะบัดพู่กันได้ในชั่วพริบตา ราวกับนักดาบชักดาบออกจากฝักทีเดียว แต่คุณ…นี่คุณทำอะไรอยู่?
แม้ปรมาจารย์จางที่เขานับถือจะจับพู่กันด้วยท่าที่ถูกต้อง แต่กลับดูขัดเขินราวกับเป็นการจับพู่กันครั้งแรก อย่าบอกนะว่าที่คุณเข้าไปอ่านหนังสือเพื่อสงบใจนั้นเป็นข้ออ้างเพื่อไปเรียนการวาดภาพ
แม้ปรมาจารย์ลู่เฉินก็ไม่เข้าใจว่าจางเซวียนจะทำอะไร
“ผมพร้อมแล้ว!”
หลังจากทดลองพู่กันอยู่ครู่หนึ่ง จางเซวียนก็รู้สึกว่าท่วงท่าและความรู้ในสมองของเขาเข้าที่เข้าทาง เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มเลย!” ปรมาจารย์ลู่เฉินชิงพูดก่อนที่ชายหนุ่มตรงหน้าจะทำอย่างอื่นอีก
จางเซวียนก็พยักหน้าและเดินตรงไปยังกระดาษเปล่า กระดิกนิ้วเพียงครั้งเดียวพู่กันก็ลอยขึ้นมา เขาฉวยไว้และจุ่มมันลงในหมึก และในขณะเดียวกันมืออีกข้างก็ถือพู่กันไว้อีกด้าม
ฟิ้ว!
พู่กันทั้งสองด้ามเริ่มร่ายลีลาบนกระดาษราวกับมีชีวิต ภาพวาดเริ่มปรากฏขึ้นทีละน้อยบนกระดาษแผ่นนั้น
“นี่มัน…มังกรคู่ผงาดฟ้า?”
ได้เห็นฉากตรงหน้า ปรมาจารย์หยวนหยู่ที่ตั้งใจจะเปิดโปงจางเซวียนถึงกับตาเบิกโพลงด้วยความตะลึง ส่วนปรมาจารย์ลู่เฉินได้แต่ยืนโงนเงนและหวิดลมจับ
“มังกรคู่ผงาดฟ้าคืออะไร?” เห็นอาการอึ้งตะลึงของทั้งสองปรมาจารย์ ไป๋ซวินอดถามไม่ได้
“โดยปกติ เวลาวาดภาพ เราจะใช้พู่กันด้ามเดียววาดลายเส้นคร่าวๆก่อนลงสี” ลู่เฉินอธิบาย
หวงหวี่และไป๋ซวินพยักหน้า
เมื่อสองสามสัปดาห์ที่แล้วพวกเขาได้เรียนขั้นตอนพื้นฐานของการวาดภาพ ผู้วาดจะสร้างลายเส้นคร่าวๆก่อนที่จะเติมหมึกหรือสีลงไปเป็นรายละเอียด
“ก็เหมือนกับการสร้างบ้าน ผู้สร้างจะเริ่มด้วยการวางโครงสร้างพื้นฐานก่อนจะเพิ่มวัสดุอื่นเข้าไป ซึ่งการวางโครงสร้างพื้นฐานให้กับภาพวาดนี้ทำให้การวาดภาพเป็นกระบวนการที่เชื่องช้าและเหน็ดเหนื่อย!”
ปรมาจารย์ลู่เฉินพูดต่อ “เพื่อให้ใช้เวลาน้อยลง จิตกรน่าทึ่งบางคนจึงสร้างเทคนิคมังกรคู่ผงาดฟ้าขึ้น ตามชื่อของมันนั่นแหละ ผู้วาดจะแบ่งสมาธิไปทำสองอย่างในเวลาเดียวกัน ทั้งสองมือจะแยกขาดจากกันโดยสิ้นเชิง เริ่มต้นวาดบนกระดาษทั้งฝั่งซ้ายและขวาไปพร้อมๆกัน โดยไม่มีการสร้างลายเส้นคร่าวๆของภาพ ผู้วาดจะวาดไปตามความคิดที่มีอยู่ในหัวในเวลานั้น และเมื่อพู่กันทั้งสองด้ามมาบรรจบกัน ภาพวาดนั้นก็จะเสร็จสมบูรณ์”
“ด้วยวิธีนี้ ก็จะวาดได้เร็วกว่าการใช้พู่กันด้ามเดียว แต่ก็ยากกว่ากันมาก!”
“อย่างแรก ผู้วาดจะต้องมีภาพที่ชัดเจนในใจว่าภาพวาดของตนเองควรจะออกมาเป็นเช่นไร แม้แต่รายละเอียดที่เล็กที่สุด อย่างที่สอง ผู้วาดจะต้องมีความสามารถในการแบ่งแยกสมองออกเป็นสองส่วน และทำงานได้สองอย่างพร้อมกันโดยไม่มีข้อบกพร่อง อย่างสุดท้าย ผู้วาดจะต้องมีทักษะล้ำเลิศในการใช้สี โดยเมื่อสีสันของภาพวาดทั้งสองด้านมาบรรจบกันนั้นจะต้องมีความลงตัว…”
“บอกได้เลยว่านี่เป็นเทคนิคที่สูงส่งนัก แม้แต่พี่หยวนหยู่กับผมก็ยังทำไม่ได้…” ปรมาจารย์ลู่เฉินโคลงศีรษะ ใบหน้าแบบผู้อาวุโสของเขายังคงมีสีหน้าแบบคนที่ไม่เชื่อสายตาตัวเองอยู่
คนคนหนึ่งจะต้องมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมจึงจะสามารถใช้เทคนิคมังกรคู่ผงาดฟ้าในการวาดภาพได้ หากมิได้ฝึกฝนมาเป็นสองสามทศวรรษ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเชี่ยวชาญเทคนิคนี้ แต่จางเซวียนใช้มัน…
จะเหนือชั้นไปถึงไหน?
“หยุดตะลึงก่อน การวาดภาพวิธีนี้จะต้องมาบรรจบกันอย่างสมบูรณ์ตรงกึ่งกลางภาพ จึงจะพูดได้ว่าประสบความสำเร็จ ถ้าทำเช่นนั้นไม่ได้ ทั้งภาพก็เสียเปล่า!” หายตะลึงแล้ว ปรมาจารย์หยวนหยู่พูดเสียงหนักแน่น
เทคนิคมังกรคู่ผงาดฟ้านั้นน่าทึ่งก็จริง แต่ต่อให้ผู้วาดวาดภาพแต่ละฝั่งได้ดีแค่ไหน หากไม่สามารถมาบรรจบกันได้ก็ถือว่าล้มเหลว
เหมือนกับหลักการสร้างบ้านอีกเช่นเดิม แม้ตัวบ้านทั้งสองฝั่งจะสร้างด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงไร้เทียมทาน แต่หากสุดท้ายทั้งสองฝั่งไม่สามารถมาเชื่อมกันได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าอย่างไร สิ่งปลูกสร้างนั้นก็ถือว่าล้มเหลวอยู่ดี