ตอนที่ 168 ความสามารถในการหยั่งรู้ของปรมาจารย์
อึ้ง!
ทุกคนตัวสั่นราวกับโดนสายฟ้าฟาด
ตอนแรกพวกเขาคิดว่าซุนฉางอาจพูดผิด หรือไม่ตัวเองก็หูฝาด แต่แล้วเจ้าหมอนี่ก็ย้ำคำเดิม
สาปแช่งครอบครัวของปรมาจารย์หลิว…
ช่างบังอาจนัก บ้าเอ๊ย! เจ้าอ้วน นี่แกเอาความมั่นใจมาจากไหน?
ปรมาจารย์หยวนหยู่ยืนตัวแข็ง น้ำตาไหลอาบหน้า
เราแค่พูดถึงการปรากฏตัวของปรมาจารย์หยางชวน ไม่ได้ตั้งใจจะให้ร้ายใครเลย ตอนนี้ก็เป็นเรื่องแล้ว ถ้าปรมาจารย์หลิวกริ้วโกรธขึ้นมา ต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ และถ้าหยางชวนเกิดเป็นปรมาจารย์ตัวจริงขึ้นมา แล้วเขาถือเอาเรื่องนี้เป็นประเด็น จะต้องเกิดศึกตามมาอย่างแน่นอน หลังจากนั้น…
อ้อ… คงไม่มีหลังจากนั้นอีกแล้วแหละ
ทุกคนอึ้ง ซุนฉางคิดว่าอาการนั้นหมายถึงการที่เขาพูดได้ตรงเป้า เขายืนยืดอย่างภาคภูมิใจ
นั่นคือวิธีการที่ปรมาจารย์ใช้กับหลิงเทียนหยู่ ทันทีที่เขาเอ่ยปากพูด อีกฝ่ายก็สยบ เขาลอกเลียนกิริยาท่าทางของจางเซวียนมาทุกกระเบียดนิ้ว ทำตัวให้ดูเหมือนเป็นผู้สูงส่งในสายตาของชาวโลก
เขาเชิดหน้า ชำเลืองลงมองอีกฝ่ายว่าจะยอมรับในความยิ่งใหญ่ของเขาและคุกเข่าลงเพื่อขนานนามเขาว่า ‘ปรมาจารย์’หรือไม่ แต่ก็ได้เห็นเฉพาะสีหน้าเย็นชาของฝ่ายนั้น อันที่จริงแม้แต่เหล่าองครักษ์ก็ชูดาบในท่าเตรียมพร้อม
“นายท่าน ผมจะฆ่ามัน…” องครักษ์ตวาดและเตรียมพุ่งเข้าใส่
“ฮึ? ทำไมถึงใช้ไม่ได้ผลล่ะ?” เห็นอาการขององครักษ์ ถึงซุนฉางจะงี่เง่าขนาดไหนก็ยังรู้ว่ามีบางอย่างผิดพลาด เขาตกใจ หรือว่าคำพูดเหล่านั้นไม่ถูกต้อง? แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังตัดสินใจว่าจะต้องวางท่าและวางอำนาจต่อไป
เมื่อไรก็ตามที่ปรมาจารย์พูด เขาก็เห็นอีกฝ่ายโกรธเคืองเช่นกัน แต่หลังจากที่คำพูดของเขาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง คนเหล่านั้นก็ยอมแพ้ทันที
คิดได้เช่นนั้น ความมั่นใจของซุนฉางกลับมาอีกครั้ง “แล้วอย่างนี้ล่ะ, อนุญาตให้ผมกดภรรยาของคุณเถอะ…อ้อ แต่ภรรยาของคุณไม่ได้อยู่ตรงนี้นี่…เอางี้… ไอ้สัตว์… สวาปามมากเกินไปแล้ว” หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยทวนทุกคำพูดของปรมาจารย์
ทุกคนเงียบกริบ
น้องชาย ผมคิดว่าแค่คุณสาปแช่งครอบครัวของปรมาจารย์หลิวก็กล้าพอแล้ว นี่ยังกร่างไม่หยุด
อยากสัมผัสภรรยาของปรมาจารย์หลิว เรียกเขาว่าสัตว์ บอกเขาว่าเขายัดห่าเกินพิกัด…ผมเห็นคนไร้ยางอายมาก็มาก แต่ไม่เคยเห็นใครจะไร้ยางอายได้เท่าคุณ…
ปรมาจารย์หลิวหน้าชา ใบหน้าของเขากระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ ดูเดือดดาลจนแทบจะลมจับ ถ้าไม่ใช่เพราะความอดทนอดกลั้นอันน่าทึ่งของเขา เขาคงจะตบเจ้าหมอนี่ทีเดียวตายสนิท
“นายท่าน ได้โปรดอนุญาตให้ผมฆ่าไอ้งั่งที่กล้าหยามเกียรติท่านด้วยเถิด!”
อาหยิน–องครักษ์ ประสานมือคารวะขณะขออนุญาตปรมาจารย์หลิว
“บอกมันไปว่าฉันเป็นใคร!” ปรมาจารย์หลิวสะบัดเสื้อคลุม
เขาอยากฆ่าไอ้หมอนี่เช่นกัน แต่ความยโสโอหังของอีกฝ่ายทำให้เขายังกริ่งเกรง
ถ้าเจ้านายไม่ใช่ปรมาจารย์ พ่อบ้านต่ำต้อยจะกล้าแสดงกิริยาเช่นนี้หรือ?
ถ้าอีกฝ่ายเป็นปรมาจารย์ผู้น่าทึ่งตัวจริงขึ้นมา ตัวเขาคงไม่อาจต้านทานความโกรธเกรี้ยวของปรมาจารย์ได้แน่ หากพบว่าพ่อบ้านถูกสังหาร
เพราะฉะนั้น สงบใจไว้จะดีกว่า เขาตัดสินใจจะเปิดเผยตัวตนและดูทีท่าของฝ่ายนั้น
“ไอ้อ้วน นายท่านของเราคือท่านกงเจว๋ผู้ทรงเกียรติแห่งอาณาจักรเป๋ยอู๋ที่ 2, ปรมาจารย์หลิวหลิง…” อาหยินก้าวออกมาข้างหน้าและประกาศ
“อย่างกับผมจะสนว่าคุณเป็นกงเจว๋หรืออะไร…” พูดยังไม่ทันจบ ร่างอ้วนสั่นสะท้าน เขาเอ่ยถาม “คุณว่าอะไรนะ? ปรมาจารย์รึ? เขาเป็นปรมาจารย์อย่างนั้นหรือ?”
เขาอาจดูแคลนท่านกงเจว๋ของอาณาจักรอื่นได้ แต่ไม่อาจทำเช่นนั้นกับปรมาจารย์
“นายท่านของเราเป็นปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว แกหยามเกียรติเขา แกต้องตาย!” อาหยินกัดฟัน
ปรมาจารย์ไม่ใช่คนที่ใครต่อใครจะมาดูถูกได้ การสาปแช่งทั้งครอบครัวของเขาต่อหน้าธารกำนัล บอกว่าต้องการกดภรรยาของเขาและเรียกเหยียดเขาว่าเป็นสัตว์ เท่านี้ก็เพียงพอจะถูกพิพากษาให้ตายเป็นร้อยครั้ง
“ถึงตายรึ?” ริมฝีปากของซุนฉางกระตุก เขาแทบจะทรุดตัวลงคุกเข่าด้วยความกลัว
เขานึกว่าเมื่อปรมาจารย์ไม่อยู่ เขาก็ควรจะวางท่าให้เหมือนผู้เชี่ยวชาญเพื่อปรมาจารย์จะได้ประทับใจ แต่กลับกลายเป็นว่าตัวเขาเป็นไอ้งั่งเสียเอง
เจ้านายเขาก็ทำเช่นนี้ แต่เหตุใดเขาจึงสามารถทำให้อีกฝ่ายคุกเข่าลงด้วยความกลัวได้ แทบจะไม่กล้าหายใจเสียงดังเสียด้วยซ้ำ ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ตัวเขากลับต้องเจอกับปรมาจารย์ตัวจริง
ทำไมถึงเหลื่อมล้ำเช่นนี้ ทั้งที่เราเป็นมนุษย์เหมือนกัน?
ดูหมิ่นปรมาจารย์นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย เราจะทำอย่างไรดี?
ใบหน้าอวบอูมของซุนฉางยับย่นอย่างหนัก เขาร่ำๆจะจะปล่อยโฮ
“ไปรายงานเจ้านายของคุณว่าปรมาจารย์หลิวหลิง ปรมาจารย์จวงเชียน และปรมาจารย์เจิงเฟยอยู่ที่นี่ ส่วนเรื่องของคุณ ผมจะจัดการเป็นส่วนตัวกับเจ้านายของคุณเอง!”
เห็นพ่อบ้านร่างอ้วนที่เคยวางท่ายโสกลัวจนตัวสั่น ปรมาจารย์หลิวหลิงโบกมือให้เขาไป
ถ้าอีกฝ่ายเป็นปรมาจารย์ตัวจริง การปล่อยบริวารของเขาไปก็ถือเป็นการไว้หน้าเขาอย่างหนึ่ง แต่ในทางกลับกัน ถ้าอีกฝ่ายเป็นตัวปลอม เขาก็จะเล่นใหญ่เพื่อจัดการในทันที คิดเสียว่าแก้แค้นให้กับการถูกหยามเกียรติ
“ท่านปรมาจารย์ออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้า…ผมไม่รู้ว่าเมื่อไรเขาจะกลับ…” เห็นอีกฝ่ายยังไม่เอาเรื่องเขาตอนนี้ ซุนฉางถอนหายใจอย่างโล่งอก
เมื่อรู้ตัวตนของอีกฝ่ายแล้ว เขาก็ไม่กล้าวางท่ายโสอีกต่อไป
“คุณไม่รู้หรือว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร?” หลิวหลิงกับคนอื่นๆขมวดคิ้ว
พวกเขารอไม่ได้
“ใช่” ซุนฉางพยักหน้ารับ
“เอาล่ะ นี่นามบัตรของพวกเรา คุณเก็บไว้ เราจะมาขอเข้าพบเมื่อปรมาจารย์ของคุณกลับมา” หลิวหลิงสั่งงานองครักษ์ อาหยินก้าวออกมาเพื่อยื่นสมุดแนะนำตัวให้
“ขอรับ!” ซุนฉางไม่กล้าพูดอะไร เขารีบรับสมุดแนะนำตัวจากมือขององครักษ์ เมื่อเห็นคำว่าปรมาจารย์จารึกอยู่บนนั้น คิ้วของเขาขมวดมุ่นโดยไม่รู้ตัว
“ไปกันเถอะ!” เมื่อปรมาจารย์เจ้าของบ้านไม่อยู่ ทั้งสามปรมาจารย์ก็ไม่อยากเสียเวลากับพ่อบ้านอีก พวกเขาหันหลังกลับ
เมื่อคนเหล่านั้นลับตาไปแล้ว ซุนฉางถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาปาดเหงื่อเย็นๆบนร่างก่อนจะเดินไปยังลานบ้าน
เมื่อเข้าไปข้างใน ซุนฉางรู้สึกเข่าอ่อนจนแทบจะร่วงลงกับพื้น
ดูเหมือนว่าการปลอมตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญนั้นไม่ง่ายเลย เกือบถูกเก็บโดยไม่มีใครรู้เสียแล้ว…เราจะไม่มีวันทำเช่นนี้อีก…
“ปรมาจารย์หลิว ใยท่านไม่สังหารเจ้าคนที่หยามเกียรติท่าน?”
เมื่อพ้นจากฝูงชน อาหยิน–องครักษ์อดตั้งคำถามไม่ได้
ผู้ที่ก้าวขึ้นมาเป็นปรมาจารย์ได้ย่อมไร้ความปรานี ปรมาจารย์หลิวไม่เคยลังเลเมื่อถึงคราวต้องสังหารผู้ใด แต่เหตุใดเขาจึงอดทนอดกลั้นกับคำพูดของพ่อบ้านร่างอ้วนคนนั้น?
“พี่เจิง ท่านคิดว่าอย่างไร?” หลิวหลิงไม่ตอบคำถาม และหันไปถามปรมาจารย์เจิงเฟย
“เจ้าของคฤหาสน์น่าจะไม่ธรรมดา ถ้าเขาเป็นปรมาจารย์ตัวจริงก็คงจะมีความสามารถเหนือกว่าพวกเรา” เจิงเฟยพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
“เห็นด้วย!” ปรมาจารย์จวงเชียนพยักหน้าเช่นกัน
“แต่…เรายังไม่ได้เห็นเจ้าของคฤหาสน์เลยนี่?” เมื่อฟังบทสนทนาของสามปรมาจารย์ ไม่ว่าใครก็คงงุนงง พวกเขายังไม่ได้เห็นปรมาจารย์ที่พ่อบ้านร่างอ้วนกลมพูดถึงเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ แน่ใจได้อย่างไรว่าความสามารถของอีกฝ่ายสูงส่งกว่าตัวเอง แม้แต่หยวนหยู่ซึ่งตามไปด้วยก็ไม่เข้าใจ
“เราไม่เจอเขา แต่เราเจอพ่อบ้านของเขานี่” ปรมาจารย์หลิวพูด
“ไอ้เหยาะแหยะนั่นน่ะหรือ?” อาหยินยิ่งงงหนัก ไอ้อ้วนนั่นมีอะไรพิเศษ?
“พวกคุณมองเห็นแต่เปลือกนอก!” ปรมาจารย์หลิวส่ายหน้า ผมตรวจสอบสภาวะร่างกายของเจ้าพ่อบ้านนั่นด้วยสายตาคร่าวๆแล้ว จัดว่าไม่เลวทีเดียว ถ้าพูดกันตามหลักการ วรยุทธของเขาน่าจะอยู่ในขั้น 3-เจิ้นซี่ แต่พวกคุณไม่เห็นหรือว่าเขาแข็งแรงแค่ไหน?”
“นักรบขั้น 4-ผีกู่ ระดับสูง…” อาหยินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา
“ใช่ อันที่จริงเขาเข้าถึงผีกู่ขั้นสูงสุดแล้ว แต่ยังควบคุมพลังปราณของตัวเองได้ไม่เต็มที่ คงเพิ่งจะฝ่าด่านวรยุทธมาได้ไม่นาน ประกอบกับที่ปรมาจารย์หยวนหยู่พูดว่า เจ้าซุนฉางคนนี้เมื่อก่อนก็เป็นแค่พ่อค้าในห้าง เป็นไปได้ว่าการที่วรยุทธของเขาพุ่งพรวดน่าจะเชื่อมโยงกับการได้รับคำชี้แนะจากปรมาจารย์เจ้าของคฤหาสน์…”
ปรมาจารย์หลิวมีสีหน้าเคร่งขรึม “ดูจากสภาพร่างกายและระดับวรยุทธ พลังปราณในร่างของเขาน่าจะจมดิ่งมาเนิ่นนานอันเนื่องจากความไม่บริสุทธิ์ เขายังคงมีจุดที่ติดขัดอยู่ทั่วร่าง แต่เขาสามารถฝ่าด่านวรยุทธได้ภายในเวลาแค่สองสามวัน แถมยังเพิ่มระดับความแข็งแกร่งได้ถึงหนึ่งขั้น แม้แต่ผมก็ก็ยังทำเช่นนั้นได้ยาก”
ในฐานะปรมาจารย์ พวกเขาเชี่ยวชาญในการชี้แนะด้านวรยุทธให้กับผู้คน ดังนั้นจึงรับรู้ความพิเศษของซุนฉางได้โดยง่าย
สภาพร่างกายของซุนฉางมีพื้นที่ที่ถูกปิดกั้นอยู่ ทำให้พลังปราณอันไม่บริสุทธิ์ของเขาเกิดการอุดตัน ถ้าว่ากันตามหลักการ ก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่เขาจะเข้าถึงเจิ้นซี่ขั้นสูงสุดได้ แต่ตรงกันข้ามเขากลับไปได้ถึงผีกู่ขั้นสูง ถึงพวกเขาจะไม่ฉลาดเฉลียวนัก แต่ก็มองออกอย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายมีความสามารถอันน่าทึ่ง
ถ้าจางเซวียนได้ยินข้อสรุปนี้ คงจะอึ้งตะลึงไปเช่นกัน
ปรมาจารย์ไม่ได้เป็นเพียงการอวดโก้ แต่ความสามารถในการหยั่งรู้ของพวกเขานั้นน่าทึ่งอย่างแท้จริง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดทุกคนจึงยำเกรงปรมาจารย์ สายตาคมกริบของพวกเขานั้นไม่ใช่สิ่งที่ใครจะต่อกรได้
“ถ้าผมพูดไม่ผิด เจ้านายของเขาใช้พลังปราณอันบริสุทธิ์อย่างยิ่งมาทำลายสิ่งกีดขวางในร่างของซุนฉางและหลอมเอาพลังปราณที่อุดตันอยู่ออกไป ทำให้เขาฝ่าด่านวรยุทธได้ ซึ่งพลังปราณที่จมสะสมมาเนิ่นนานหลายปีนี่เองที่เป็นเหตุให้วรยุทธของเขาพุ่งพรวดจนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่ผีกู่ขั้นสูง!” ปรมาจารย์จวงผู้เงียบขรึมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น
ถ้าซุนฉางอยู่ตรงนี้คงถึงกับอึ้ง เพราะปรมาจารย์พูดได้ตรงกับประสบการณ์ของเขาราวกับตาเห็น
“การหลอมเอาพลังปราณที่จมอยู่ออกไป ทั้งยังทำลายสิ่งกีดขวางในร่างกายได้ด้วย พลังปราณของผู้นั้นคงจะอยู่ในขั้นกลางเป็นอย่างน้อย หรือไม่…วรยุทธของเขาก็น่าจะอยู่ในขั้นจงซรือ!”
ปรมาจารย์หลิวพยักหน้าอย่างเห็นพ้องกับปรมาจารย์จวง จากนั้น เขาหันไปทางอาหยินและเอ่ย “ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีพลังปราณขั้นกลาง หรือมีวรยุทธขั้นจงซรือ…หรือต่อให้เขาไม่ได้เป็นปรมาจารย์ ก็ไม่ใช่คนที่เราจะต่อกรด้วยได้ ในอีกแง่หนึ่ง ถ้าเขาเป็นปรมาจารย์ตัวจริง แม้จะไม่มีประสบการณ์มากเท่าพวกเรา ก็เป็นไปได้ว่าเขาน่าจะมีพลังที่เหนือกว่า ถ้าเราสังหารพ่อบ้านของเขาก็จะไม่อาจปรองดองกับเขาได้อีก เราควรวางตัวดีๆไว้ก่อนจะดีกว่า อีกอย่าง เจ้าพ่อบ้านนั่นก็ไม่ได้สลักสำคัญ เขากลัวแทบตายแล้วหลังจากรู้ว่าเราเป็นใคร”
“เข้าใจแล้ว!” อาหยินพยักหน้า
เขารู้ว่าปรมาจารย์ผู้นี้มีความสามารถในการหยั่งรู้อันน่าทึ่ง รู้ลึกไปถึงรายละเอียดแม้เพียงเล็กน้อย ดังนั้นจึงไม่ซักถามอะไรอีก
“น่าทึ่งนัก!” ได้ยินข้อสรุปเช่นนั้น ปรมาจารย์หยวนหยู่ถึงกับอ้าปากค้างอย่างประหลาดใจ
ไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดปรมาจารย์จึงเป็นผู้ทรงเกียรติ มองปราดเดียวก็วิเคราะห์ได้มากมายขนาดนี้ สายตาของพวกเขาช่างเฉียบแหลมจนน่าสะพรึง
“แต่นายท่าน เขาไม่อยู่ในคฤหาสน์เราจะทำอย่างไรดี?” อาหยินถาม
“ถึงไม่อยู่ในคฤหาสน์ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะพิสูจน์ตัวตนของเขาไม่ได้นี่ รายงานฮ่องเต้ถึงเรื่องนี้ เรียนพระองค์ให้เรียกคนสองสามคนที่หยางชวนผู้นี้เคยให้การรักษาไปยังพระราชวัง ฉันจะตรวจสอบพวกเขาเอง…” ปรมาจารย์หลิวสั่งการ
“ได้!” อาหยินพยักหน้า
ได้ยินเช่นนั้น ปรมาจารย์หยวนหยู่ประทับใจอย่างยิ่ง
คนผู้นั้นจะอยู่หรือไม่ก็ไม่สำคัญ เรื่องที่เขาได้ช่วยหลิงเทียนหยู่ ตู้เหมี่ยวชวน หลัวชง และนักปรุงยาเฉินเสี่ยวนั้นไม่ใช่ความลับ… หากได้ตั้งคำถามกับคนเหล่านั้นพร้อมๆกัน พวกเขาก็จะเข้าใจสถานการณ์
จะได้รู้กันเสียทีว่าฝ่ายนั้นเป็นปรมาจารย์ตัวจริงหรือไม่