Skip to content

Library Of Heaven’s Path 17

ตอนที่ 17 ลอบสังหาร

ไม่นานนักจางเซวียนก็หาหนังสือที่อยากได้จากชั้นหนังสืออย่างครบถ้วน ระหว่างอาจารย์ด้วยกันเอง แม้จะแข็งแกร่งที่สุดก็เป็นได้เพียงนักรบขั้นห้า เมื่อเข้าสู่ขั้นหกก็จะกลายเป็นหนึ่งในเหล่าปรมาจารย์ทันที ที่นี่เป็นหอสมุดของอาจารย์ จึงไม่มีการสะสมเคล็ดวิชาขั้นหก ขั้นห้าจึงกลายเป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุด และถูกวางไว้ในแถวท้ายสุด

“หนังสือของขั้นห้าน้อยกว่าขั้นสี่เป็นเท่าตัวเลยแฮะ” เป็นเคล็ดวิชาเหมือนกัน แต่ขั้นสี่มีหนึ่งพันถึงสองพันเล่ม ส่วนขั้นห้ากลับมีเพียงพันกว่าเล่ม เรียกได้ว่าหายไปเกือบครึ่ง แต่เมื่อคิดดีๆ ก็ไม่แปลกใจอะไรนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ล้วนมีการแบ่งลำดับชั้น ระดับยิ่งสูงก็ยิ่งหายากและมีน้อย แม้ว่าโรงเรียนแห่งนี้จะมีประวัติอันยาวนาน แต่บุคลากรที่มาถึงขั้นห้าได้ ก็คงมีจำนวนน้อยกว่าขั้นสี่มาก หนังสือที่เหลือไว้ให้ก็ต้องน้อยลงเป็นธรรมดา

เขาส่ายหัวไปมา หยิบออกมาเล่มหนึ่งและเริ่มเปิดอ่าน ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง หนังสือนับพันเล่มบนชั้นหนังสือก็ถูกจางเซวียนเปิดอ่านไปจนหมด ภายในหอสมุดเทียบฟ้าของเขามีหนังสือเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว จางเซวียนก็ลอบยิ้ม กล่าวอำลากับผู้เฒ่าโม่เรียบร้อยเขาก็จากไปอีกครั้ง

เมื่อเห็นจางเซวียนไม่ได้ตั้งใจดูเช่นเคย เอาแต่เดินเปลี่ยนเล่มไปมา ผู้เฒ่าโม่ก็ได้แต่นินทาเขาในใจ

หลังกลับไปถึงที่พัก จางเซวียนก็ทำเหมือนเดิม ค้นหาส่วนที่ถูกต้องของวิชาต่างๆ ไม่นานนัก หอสมุดในหัวเขาก็สร้างหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา แต่ที่ต่างออกไปคือครั้งนี้มีชื่อมาที่ปกด้วย ซึ่งก็คือ ‘เคล็ดวิชาเทียบฟ้า’ ที่จางเซวียนตั้งให้คราวก่อน

เอ้า… ฝึกกันต่อ

นักรบขั้นห้า – ติ่งลี่ ความจริงก็คือการสานต่อขั้นสี่ – ผีกู่เท่านั้น เรื่องที่ต้องทำหลักๆ ในการฝึกขั้นนี้คือการเอาปราณภายในร่างมาเพิ่มพลังให้แก่กล้ามเนื้อ ยิ่งหลอมรวมปราณกับกล้ามเนื้อได้มากแค่ไหน พลังที่ได้รับก็ยิ่งมากขึ้น เมื่อเห็นคำอธิบายภายในหอสมุดเทียบฟ้าแล้ว จางเซวียนจึงพยายามควบคุมปราณที่สว่างใสให้เคลื่อนไปในร่างกายอย่างช้าๆ เข้ากับจังหวะของร่างกาย

ความสามัคคีระหว่างกล้ามเนื้อและลมปราณเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ขั้นติ่งลี่ – ระดับต่ำ

ขั้นติ่งลี่ – ระดับกลาง

ขั้นติ่งลี่ – ระดับสูง

ขั้นติ่งลี่ – ระดับสูงสุด

บึ้ม!

สี่ชั่วโมงได้ผ่านไปอีกครั้ง ร่างของเขาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ในที่สุดจางเซวียนก็ลืมตาขึ้น สีหน้าแสดงถึงความไม่อยากจะเชื่อ “เราก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของขั้นติ่งลี่แล้วอย่างนั้นหรือ?”

เดิมคิดว่า การก้าวเข้าสู่นักรบขั้นห้าคงต้องฝึกฝนเป็นเวลานาน ไม่คิดเลยว่าจะใช้เวลาเพียงสี่ชั่วโมงก็ถึงจุดสูงสุดแล้ว สำหรับจางเซวียนคนเดิม การฝึกวิชานั้นยากเทียบเท่ากับการบินไปยังสวรรค์ แต่สำหรับจางเซวียนคนใหม่ที่ฝึกวิชาเทียบฟ้านั้นง่ายดายยิ่งนัก ใช้เวลาเพียงหนึ่งคืน เขาก็ข้ามจากขั้นสามมาถึงจุดสูงสุดของขั้นห้าไปแล้ว… นี่เขากำลังฝันกลางวันใช่ไหมเนี่ย

หากไม่ติดที่ไม่รู้ว่าขั้นหกต้องเปิดจุดไหนในร่าง ตอนนี้เขาคงถึงขั้นหกแล้วล่ะ

นักรบขั้นหก – พี่เชวี่ย มีความสามารถในการเปิดจุดทั่วร่างกาย ทุกครั้งที่เปิดจุดหนึ่งจุด กำลังภายในจะสูงขึ้น ปราณในร่างก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ตามคำเล่าลือ ร่างกายคนเรามีจุดทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดจุด แต่ที่สามารถเปิดออกได้มีเพียงเจ็ดสิบสองจุดเท่านั้น ทว่าลำดับการเปิดจุดเหล่านี้ แตกต่างออกไปตามสภาพร่างกายของแต่ละคน หากไม่สามารถเรียงลำดับการเปิดจุดในร่างของตนได้ถูกต้อง จะสามารถเปิดออกได้เพียงสามสิบหรือสี่สิบจุด ไม่สามารถเพิ่มไปมากกว่านี้ได้

ก็เหมือนการทำความสะอาดแม่น้ำ หากเริ่มจากต้นน้ำไปยังปลายน้ำแล้วล่ะก็ จะสามารถทำความสะอาดได้ยอดเยี่ยมที่สุด แต่หากเริ่มจากปลายน้ำขึ้นไปยังด้านบน ต่อให้ทำความเสร็จแล้ว ต้นน้ำด้านบนก็ยังปล่อยให้น้ำไหลออกมาอีก ทำให้สกปรกอยู่เหมือนเดิม

การเปิดจุดก็เป็นเช่นนี้ ถ้าเรียงลำดับไม่ถูกต้อง จุดอื่นๆ จะตันและเปิดออกไม่ได้อีก ดังนั้น ถ้ากำลังภายในยังไม่ถึงขั้น จางเซวียนก็ไม่กล้าเสี่ยง แต่ว่าเขาไม่รีบร้อน คืนเดียวข้ามมาสองขั้นถือว่าดีมากแล้ว คนอื่นจะอย่างไรไม่ทราบได้ แต่สำหรับเขา เขาพอใจมากแล้ว

“ไม่จำเป็นจริงๆ อย่าเพิ่งเปิดเผยระดับกำลังภายในของตัวเองจะดีกว่า”

สำหรับการเป็นนักข้ามมิติ แม้หนังสือจะอ่านมาไม่เยอะ แต่ละครนั้นเคยดูอยู่ เขารู้ว่าหากมีของดีก็ไม่ควรแสดงออกไป เดิมเขาเป็นอาจารย์ที่อ่อนหัดที่สุดของโรงเรียน คืนเดียวกลับก้าวข้ามไปถึงสองขั้น ถ้าคนอื่นรู้เข้าคงไม่วายถูกสงสัย “ไหนขอลองดูสิว่าตอนนี้มีพลังเท่าไหร่แล้ว”

หลังจากตัดสินใจได้ จางเซวียนก็ไปที่เสาหินวัดพลังอีกครั้ง จำได้ว่าตอนที่อยู่ขั้นห้า – ระดับต่ำ เขายังมีพลังโจมตีถึงห้าติ่ง ตอนนี้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว เขาจะมีพลังเท่าไรกันนะ?

ตูม!

เสาหินส่องแสงวูบวาบ แสดงตัวเลขขึ้น

8 ติ่ง

“พลังแปดติ่งเลยงั้นหรือ? เทียบกับนักรบขั้นหกที่เปิดจุดมาแล้วถึงสี่จุดเลยนะเนี่ย” จางเซวียนตาสว่างขึ้นทันที

ระดับที่สูงสุดของนักรบขั้นห้า เดิมควรจะมีพลังเพียงสี่ติ่ง แต่เมื่อถึงขั้นเปิดจุดแล้ว ทุกครั้งที่เปิดหนึ่งจุดพลังจะเพิ่มขึ้นหนึ่งติ่ง ตอนนี้เขาอยู่ในระดับที่สูงสุดของนักรบขั้นห้า แต่ว่ากลับมีพลังถึงแปดติ่งซึ่งเทียบเท่ากับนักรบขั้นหกที่เปิดจุดมาถึงสี่จุดเลยทีเดียว “สมกับเป็นวิชาเทียบฟ้า เจ๋งจริงๆ”

หลังชมไปชุดใหญ่ จางเซวียนก็เตรียมตัวหาของกินแล้วพักผ่อน จู่ๆ ใบหูของเขาก็ขยับ จางเซวียนกล่าวออกมาว่า “ดึกขนาดนี้แล้ว จะมีใครมาทำอะไรที่นี่อีกเล่า?”

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย

พอกำลังภายในเพิ่มขึ้น การฟังและสายตาก็ได้รับการพัฒนาเพิ่มขึ้นเช่นกัน เขาสามารถได้ยินเสียงที่ห่างจากห้องพักไปไม่ไกลได้อย่างชัดเจน มีคนผู้หนึ่งกำลังจ้องมองมายังห้องพักของตน “ดูจากทิศทางที่เขาจ้องแล้ว คงเป็นห้องของเรานี่แหละ ตอนนี้น่าจะยังไม่รู้ว่าเราอยู่ตรงนี้”

ตอนนี้จางเซวียนไม่ได้อยู่ในห้องพักของตน แต่อยู่หลังเสาหินวัดพลังที่ไม่ไกลจากหอพักมาก เขาพยายามเงียบเสียงเข้าไว้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายหาพบ “ไหนขอดูหน่อยสิ ว่าใครมาหาเรื่องฉัน”

ไม่คาดว่าเพิ่งจะฝึกวิชาเสร็จก็มีคนมาหาเรื่อง ความสงสัยภายในใจจางเซวียนเพิ่มขึ้นทันที เขาพยายามค้นหาความทรงจำของจางเซวียนคนเดิม แต่กลับไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน

“ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม อย่าเพิ่งให้รู้ระดับกำลังภายในของเรา” กำลังจะไปหาอีกฝ่าย อยู่ๆ ในใจก็มีความคิดเช่นนี้ปรากฏขึ้น

คนทั่วโรงเรียนล้วนรู้ว่าเขาเป็นไอ้ห่วยแตกที่มีระดับกำลังภายในเพียงขั้นสาม หากตอนนี้จู่ๆ กลายเป็นขั้นห้า – ระดับสูงสุด คนอื่นจะไม่ตกใจไปรึ?

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป แน่นอนว่าต้องมีคนจำนวนหนึ่งที่จะเข้ามาสังเกตการณ์ชีวิตของเขา ดังนั้นไม่ว่าคนผู้นี้จะเป็นใคร จางเซวียนก็ไม่สามารถปล่อยให้มาตรวจสอบเขาได้

เขานึกย้อนรวบรวมเหตุการณ์ไปยังภาพความทรงจำในอดีตอันแสนห่วยแตกของจางเซวียนคนเดิม เขาฉีกแขนเสื้อตัวเองแล้วยกขึ้นเพื่อปกปิดใบหน้า หลังจากจัดเตรียมความพร้อม จางเซวียนอาศัยความมืดมิดยามค่ำคืนค่อยๆ ย่องไปหาบุคคลปริศนาคนนั้น

แม้จะเพิ่งเลื่อนขั้นกำลังภายใน และไม่เคยเรียนรู้วิชาตัวเบาใดๆ แต่เขาฝึกฝนวิชาเทียบฟ้า ดังนั้นจึงควบคุมร่างกายได้เป็นอย่างดี อีกทั้งคุ้นเคยกับสิ่งรอบข้าง ทำให้คนอื่นไม่สามารถสังเกตได้ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ตรงไหน

ด้วยระยะห่างนี้ ทำให้เขาสามารถเห็นบุคคลปริศนาในชุดสีดำที่ปิดบังใบหน้าเอาไว้ จางเซวียนแยกไม่ออกว่าเป็นใคร ได้ยินเพียงคำที่เจ้านั้นเอ่ยออกมา “ไอ้หนุ่ม แกกล้ามากที่มายุ่มย่ามกับนายหญิงน้อยของพวกเรา!”

จางเซวียนจ้องไปที่เงาดำนั่น “เอ๊ะ! น้ำเสียงฟังดูคุ้นๆ…” คิ้วของเขาขมวดเป็นปม จางเซวียนแน่ใจว่าตนเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน แต่นึกไม่ออกว่าเขาเคยได้ยินมันจากที่ไหน

ขณะที่เขากำลังพยายามนึก เงาดำด้านหน้าก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปยังที่พักของเขาพร้อมกริชอันคมกริบในมือ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!