ตอนที่ 170 พายุก่อตัว
อาณาจักรเทียนเซวียน
“ปรมาจารย์หลิวและปรมาจารย์จวงแห่งอาณาจักรเป๋ยอู๋ที่สอง และปรมาจารย์เจิงแห่งอาณาจักรฮ่านอู๋มาที่นี่ และไปขอเข้าพบหยางชวนคนนี้ด้วยกันรึ?”
“จริง เขาพูดกันว่าหลังจากขอเข้าพบแล้ว พวกเขาก็เรียกตัวหลิงเทียนหยู่
ตู้เหมี่ยวชวน กับคนที่เหลือเข้าวัง ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่นั่น แต่วันต่อมา ทั้งสามปรมาจารย์ก็ไปยังคฤหาสน์นั่นอีก…ไปอีก…พวกเขาไปที่นั่นติดต่อกันถึงห้าวัน แต่ก็ยังคงไม่ได้พบเจ้าของคฤหาสน์”
“บ้าแล้ว! เขาถึงกับเชิดใส่ปรมาจารย์เชียวหรือ? ฉันรู้จักปรมาจารย์หลิว เขาเป็นหนึ่งในปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวที่เก่งกาจมาก คิดดูสิว่าคนระดับนี้มาถูกทิ้งไว้หน้าประตู…ปรมาจารย์หยางคนนี้จะเก่งถึงขนาดไหนกัน?”
“ฉันกลัวว่าเขาอาจจะไม่ได้เป็นแค่ปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวน่ะสิ!”
ไม่มีใครเคยได้ยินชื่อหยางชวน แม้แต่สภาอาจารย์ก็หาข้อมูลเกี่ยวกับชื่อนี้ไม่พบ ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงพากันสงสัยในตัวเขาและคิดว่าเขาอาจไม่ใช่ปรมาจารย์ตัวจริง
แต่สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว
ปรมาจารย์หลิว ปรมาจารย์เจิง และปรมาจารย์จวงต่างก็เป็นนักปรุงยาอย่างเป็นทางการ พวกเขาเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในอาณาจักรโดยรอบ ทั้งสามคนขอเข้าพบปรมาจารย์หยางติดต่อกันถึงห้าวัน แต่ก็ทำไม่ได้แม้ผ่านประตู ต่อให้ด้อยปัญญาอย่างไรก็มองออกว่าหยางชวนคนนี้ไม่ใช่บุคคลธรรมดา
“เขาเป็นปรมาจารย์ แต่ไม่ปรากฏตัวตนแน่ชัด…ชื่อของเขา หยางชวน…นี่ก็คงจะเป็นชื่อปลอม”
“ปรมาจารย์น่ะชอบเดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิต เพื่อเป็นการฝึกฝนจิตใจและเติมพลังให้กับจิตวิญญาณ เป็นไปได้ไหมว่าเขาอาจจะเป็นปรมาจารย์ระดับสูงผู้อยู่ระหว่างการเดินทางนั้น?”
“ฉันก็ไม่รู้…แต่ถ้าจริงล่ะก็ อาณาจักรเทียนเซวียนก็มีขุมทองแล้ว!”
“จริงด้วย ปรมาจารย์น่ะเป็นสัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่งของประเทศ ถ้าประเทศไหนมีปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวสักคน ก็เรียกว่าเป็นอาณาจักรชั้น 2 ถ้ามีปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวสักคน ก็เรียกได้ว่าเป็นอาณาจักรชั้น 1 และถ้ามีปรมาจารย์ระดับ 3 ดาวล่ะก็ จะถือว่าเป็นอาณาจักรอันทรงเกียรติ!”
“ถ้าอาณาจักรใดได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรอันทรงเกียรติล่ะก็ จะมีสิทธิสร้างระบบการขนส่งเดินทางอันใหญ่โต เพื่อรองรับการส่งออกและนำเข้าทรัพยากร ส่งผลต่อความรุ่งเรืองของอาณาจักร ผลประโยชน์ที่ได้รับน่ะเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้เลยทีเดียว…”
ข่าวลือทุกรูปแบบแพร่สะพัดไปทั่วอาณาจักร
“ฝ่าบาท แม้ทั้งสามปรมาจารย์จะไม่แน่ใจและยังคงมีข้อสงสัย แต่จากมุมมองของทาสรับใช้ผู้ต่ำต้อยอย่างกระหม่อม ดูเหมือนว่าหยางชวนผู้นี้จะมีความสามารถมากมายนัก มิเช่นนั้นคงไม่อาจรักษาผู้คนมากมายได้อย่างง่ายดาย ต่อให้เขาไม่ใช่ปรมาจารย์ก็คงจะเป็นนายแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ น่าจะมีความหวังในการรักษาผู้อาวุโส”
ในพระราชวัง ขันทีเก่าแก่วิเคราะห์ข่าวที่ได้รับมา
“อืม ส่งคนไปเฝ้าที่หน้าคฤหาสน์ของเขา หยางชวนออกจากคฤหาสน์เมื่อไร รายงานเราทันที เราจะไปขอพบ” ฮ่องเต้มีสีหน้าหมดหวัง
“พ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีเก่าแก่พยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
“นี่เป็นโอกาสหายากนะ หว่างเชา ถ้าเราทำให้ปรมาจารย์สนใจและฝากตัวเป็นศิษย์ของเขาได้ เราจะต้องกลายเป็นปรมาจารย์ได้แน่!”
ในห้องเรียนกว้างใหญ่ของโรงเรียนหงเทียน ลู่ฉวินจ้องชายอ่อนวัยกว่าตรงหน้าอย่างตื่นเต้น
“จริงๆนะ ไม่ว่าอย่างไร เราก็จะต้องขอเข้าพบและทำให้เขาประทับใจให้ได้!” หว่างชงพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “ต่อให้เราไม่ได้เป็นศิษย์ เราก็คงฝ่าด่านได้สำเร็จแน่หากเขาให้คำชี้แนะ”
“ถูก!” ลู่ฉวินพยักหน้า
“เอาล่ะ แล้วเรื่องจางเซวียนไปถึงไหนแล้ว?” หว่างเชานึกขึ้นได้
“เขารึ?” ลู่ฉวินเอามือไพล่หลัง มองไปข้างหน้าอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า
“เขาก็แค่ก้อนหินรองฝ่าเท้าให้ผมก้าวขึ้นเป็นปรมาจารย์เท่านั้น เขาไม่มีความหมายใดๆเลย ไม่ต้องกังวลไปหรอก นักเรียนทุกคนที่ผมเลือกให้เข้าประลองนั้นได้รับการฝึกฝนวิชาอย่างลับๆแล้ว ภายในสองสามวันนี้พวกเขาจะต้องฝ่าด่านวรยุทธไปยังขั้นต่อไปให้ได้ ทุกคนจะต้องชนะการประลองอย่างขาดลอย และด้วยเหตุนั้น ปรมาจารย์จะต้องหันมาสนใจผมอย่างแน่นอน!”
“ยอดเยี่ยม! ผมคงต้องขอแสดงความยินดีกับคุณล่วงหน้า…” หว่างชงประสานมือคารวะอย่างกระตือรือร้น
สถานการณ์เช่นนี้แพร่กระจายไปทั่วอาณาจักร
การปรากฏตัวของปรมาจารย์หยางชวนได้ปลุกความสนใจของทุกกลุ่มอำนาจ สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่คฤหาสน์ ดูเหมือนว่าคฤหาสน์ที่ไม่มีความสะดุดตาใดๆนี้จะกลายเป็นศูนย์กลางของเสียงร่ำลือกระซิบกระซาบภายในเมืองหลวง
พายุเริ่มก่อตัวแล้ว
ในเวลานั้น จางเซวียนได้อ่านหนังสือในหอสมุดจบจนถึงชั้นสุดท้าย
การพลิกหนังสือห้าวันต่อเนื่องโดยไม่หยุดพักได้ดูดเอาเรี่ยวแรงของเขาไปจนหมดสิ้น แถมยังมีการฝึกวรยุทธด้วย เขาจึงไม่อยู่ในอารมณ์จะพูดจาอะไรทั้งนั้น
“ยังเหลืออีกหนึ่งแถว…”
รู้ดีว่าการได้เข้ามาในหอสมุดพระราชวังนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จางเซวียนจึงตัดสินใจที่จะบันทึกข้อมูลจากหนังสือทั้งหมดลงในหอสมุดเทียบฟ้าก่อนที่จะทำสิ่งอื่น แม้ว่างานนี้จะทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยจนแทบจะเป็นลมได้ทุกขณะ
เมื่อเห็นว่าตัวเองพลิกหนังสือมาจนถึงแถวสุดท้ายแล้ว นัยน์ตาของจางเซวียนเป็นประกายด้วยความปลื้มปีติจนน้ำตาไหล
ในที่สุดก็เห็นปลายทาง หลังจากทำงานหนักมาตลอดห้าวัน
“ฮึ? นี่มันหนังสือเกี่ยวกับยาพิษ…”
หนังสือในแถวนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีการใช้ยาพิษ การผสมยาพิษ การตรวจสอบว่าถูกพิษหรือไม่ และการใช้ยาพิษกับผู้อื่น และเช่นเดียวกับหัวข้ออื่นๆในหอสมุด คือหนังสือทั้งหมดล้วนเป็นเนื้อหาขั้นพื้นฐาน
“เราควรจะพลิกดู!”
ฟึ่บ! จางเซวียนไล่นิ้วพลิกดูหนังสืออย่างช้าๆ เนื้อหาทั้งหมดถูกบันทึกลงในสมองของเขาทันที
ในบรรดาอาชีพจำนวนนับไม่ถ้วน อาชีพผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษนี้อยู่เหนือกว่าเก้าอาชีพระดับบนเสียอีก แต่ก็เช่นเดียวกับฆาตกร มันเป็นงานชั่วร้าย พวกเขาซ่อนตัวอยู่ได้แต่ในเงามืดและไม่มีโอกาสได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ดังนั้นจึงมีคนจำนวนไม่มากที่เต็มใจจะเรียนศาสตร์นี้ สุดท้ายอาชีพนี้จึงตกลงไปอยู่ในเก้าอาชีพระดับล่าง
แน่นอนว่าจางเซวียนก็ไม่ได้อยากเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษ แต่อย่างไรมันก็ยังมีประโยชน์ เพราะมันอาจช่วยเขาในการรับมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษคนอื่นๆได้
ในเมื่อเราห้ามเจตนาร้ายของผู้อื่นไม่ได้ เราก็ไม่ควรลดระดับความระแวดระวังของตัวเอง
สองชั่วโมงต่อมา เขาก็พลิกหนังสือเกี่ยวกับยาพิษได้ครบทุกเล่ม
“เราควรรีบกลับไปงีบเสียหน่อย…”
หลังจากบันทึกเนื้อหาของหนังสือทั้งหมดในหอสมุดพระราชวังลงสมองแล้ว จางเซวียนรู้สึกว่าความเหน็ดเหนื่อยตลอดห้าวันที่ผ่านมานั้นพุ่งถึงขีดสุด ทั้งหมดที่เขาคิดออกเวลานี้คือหาที่นอน
แม้เขาจะสำเร็จวรยุทธพี่เชวี่ยขั้นสูงสุดแล้ว แถมร่างกายก็ยังแข็งแรงกว่าคนอื่น แต่การอดหลับอดนอนตลอดห้าวันโดยที่ต้องใช้สมาธิกับสิ่งหนึ่งตลอดเวลา ทำให้เขาใกล้พังเต็มที
แต่ถึงอย่างไรก็คุ้มค่ากับความพยายาม
ประวัติศาสตร์ของอาณาจักรเทียนเซวียนนั้นยาวนานมากกว่าพันปี แต่หนังสือที่มีอยู่ที่นี่ก็มิได้ลึกซึ้งจนอาจเรียกได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาลับ ทั้งหมดที่มีอยู่คือหนังสือขั้นพื้นฐานจำนวนมหาศาลในทุกศาสตร์
อย่างไรก็ตาม ในภาวะเช่นนี้ คนอื่นๆจะพบว่าเป็นการยากที่จะแยกความจริงออกจากความเท็จ โดยเฉพาะเมื่อมีเนื้อหามากมายล้นเหลืออยู่ในหอสมุด ยิ่งอ่านมากก็จะยิ่งสับสนมาก แต่สำหรับจางเซวียนผู้ครอบครองหอสมุดเทียบฟ้า สิ่งนี้ไม่ใช่ปัญหา
ตราบใดที่เขาตั้งใจ เขาก็จะสามารถสกัดเอาเนื้อหาสำคัญของแต่ละศาสตร์ออกมาสร้างเป็นเคล็ดวิชาเทียบฟ้าได้ ก่อเกิดเป็นความรู้เฉพาะด้านในหนังสือแต่ละเล่ม เพื่อประโยชน์ของตัวเขาเอง
จางเซวียนเดินออกจากหอสมุด เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าและนึกขึ้นได้ว่าใช้เวลาในหอสมุดไปห้าวันแล้ว “ยังพักไม่ได้ เราสั่งยาปลดปล่อยพลังหยินและเลือดแรดยักษ์ไปเกือบสิบวันแล้ว ของคงจะมาถึงเร็วๆนี้…”
ขณะเดินไปตามถนน เขานึกขึ้นได้ว่าเส้นตายสิบวันกำลังใกล้เข้ามา และนี่ไม่ใช่เวลาที่จะนอน ของที่เขาฝากประธานโอวหยางซื้อนั้นคงใกล้มาถึงเต็มที
“เราควรกลับไปที่คฤหาสน์ก่อน สองสามวันมานี้อาจมีใครฝากเรื่องไว้ เป็นไปได้ว่าเราอาจหาเงินมาจ่ายค่าของได้ทั้งหมด…”
จางเซวียนยังขาดเงินอีกสองล้าน หลังจากเข้าไปในตรอกเพื่อแปลงกายเป็นหยางชวนแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์
จางเหลียวกับจางโม่เป็นหัวขโมยตัวฉกาจของอาณาจักรเทียนเซวียน
ทั้งคู่เจาะจงปล้นคนรวยเพื่อเอามาช่วยคนจน จะว่าไปก็อาจเรียกได้ว่าเป็นหัวขโมยผู้ชอบธรรม
ด้วยการเคลื่อนไหวอันคล่องแคล่วและแผนการที่วางไว้อย่างดี พวกเขาไม่เคยพลาดพลั้งเลยตลอดหลายปีที่ทำอาชีพนี้มา ทางอาณาจักรเทียนเซวียนได้ตั้งค่าหัวของทั้งคู่ไว้สูงลิ่ว แต่ก็น่าขำตรงที่ไม่มีใครเคยได้เห็นหน้าตาของทั้งคู่เลยด้วยซ้ำ
“ตรงหน้าเรานี่คือคฤหาสน์ของตู้เฉียว เขาเป็นมหาเศรษฐีผู้ชั่วร้าย ทำแต่เรื่องผิดศีลธรรมมาทั้งชีวิต ถึงจะต้องเผชิญกับโจรสลัดจนธุรกิจล่มสลาย แต่อูฐผอมแห้งก็ยังตัวใหญ่กว่าม้าอยู่ดี เราคงมีเงินใช้เหลือเฟือถ้าปล้นเขา…”
จางเหลียวหัวเราะหึๆและมุ่งหน้าไป
เนื่องจากถูกตามล่าอย่างหนัก พวกเขาจึงออกจากอาณาจักรเทียนเซวียนไปกว่าครึ่งปีแล้ว เมื่อหวนกลับมาก็พุ่งเป้าไปที่พ่อค้าตู้เฉียวทันที
“อืม แต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องวางแผนให้รัดกุมก่อน ต้องประเมินทักษะและพฤติกรรมขององครักษ์ในคฤหาสน์ก่อนจะเริ่มทำการใดได้” จางโม่พยักหน้า
เมื่อใดก็ตามที่สองคู่หูตัดสินใจจะทำการปล้น พวกเขาจะเฝ้าสังเกตเป้าหมาย ดูแผนผังที่พักให้แน่ใจ และหาจุดอ่อนในการตอบโต้ของคนผู้นั้น ต่อเมื่อแน่ใจแล้วว่าจะทำการสำเร็จ พวกเขาจึงจะเริ่ม
นี่คือเหตุผลที่ทำให้พวกเขาไม่เคยพลาด แม้จะปล้นมาแล้วกว่า 50 หลังคาเรือน
“บ้านตรงหน้านี้หรือ เราเคยมาครั้งหนึ่งแล้วนี่…ใช่ไหม?”
เลี้ยวออกจากตรอก จางเหลียวเดินตรงไป กำลังจะซุ่มดูคฤหาสน์ที่พวกเขาตั้งใจจะเข้าไปสำรวจภายใน แต่แล้วก็ต้องตะลึงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
จางโม่หน้าซีด นัยน์ตาเบิกโพลงอย่างงุนงง
มีคนยืนเข้าคิวเป็นแถวยาวหน้าคฤหาสน์ น่าจะตกหลายร้อยคน คงต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ผู้คนมากมายต้องการเข้าพบเจ้าของคฤหาสน์ แต่ประตูคฤหาสน์ก็ยังปิดตายอยู่ และดูไม่มีวี่แววว่าจะเปิดในระยะเวลาอันใกล้
“ดูสิ! นั่นใช่มังกร 8 ฝ่ามือ หลิวไคหยวนหรือเปล่า?” จางเหลียวจำบุคคลผู้หนึ่งในกลุ่มฝูงชนได้ทันใด เขาหน้าซีดเผือด
“ใช่เขาล่ะ…มังกร 8 ฝ่ามือ หลิวไคหยวน เขาเป็นที่รู้จักในฐานะนักรบเร่ร่อน สำเร็จวรยุทธทงฉวนขั้นสูง และเป็นหนึ่งในนักรบตัวฉกาจของอาณาจักร ว่าแต่…เขาได้รับบาดเจ็บจากการเดินทางไปล่าตัวสัตว์ร้ายและหลังจากนั้นก็หายตัวไปจากวงการไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่? แถมยังมาเข้าคิวหน้าประตูด้วย?” จางโม่ประหลาดใจ
“เดี๋ยว…นั่น…ฟงจวิน มังกรหินหมัดเหล็กมิใช่หรือ?
เขาสำเร็จวรยุทธทงฉวนขั้นกลาง เป็นผู้เชี่ยวชาญอันดับหนึ่งของเมืองหานเสว่ ว่ากันว่าหมัดเหล็กของเขาทำลายได้แม้แต่หินก้อนมหึมา เขาเป็นผู้ทรงอำนาจในระดับที่แม้ฮ่องเต้เซินจุยยังทรงนับเป็นสหาย เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่? เข้าคิวรึ?”
“ดวงตานกอินทรี ต้วนจิ่วเจียง? ตะปูเหล็ก หลงชวนไห่? นักปราชญ์หน้าหยก
หูเสี่ยวไป๋…”
ในตอนแรก เขานึกว่าฝูงชนที่เข้าแถวอยู่นั้นเป็นสามัญชนธรรมดา แต่เมื่อจดจำบางคนได้จึงมองดูอย่างใกล้ชิด เมื่อกวาดสายตาไปยังใบหน้าของผู้คนในแถวแล้ว
จางเหลียวถึงกับตัวสั่นและแทบลมจับด้วยความกลัว…
ทั้งหมดล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของอาณาจักรเทียนเซวียน แม้ผู้ที่มีวรยุทธอ่อนด้อยที่สุดก็ยังสำเร็จทงฉวนขั้นต้น
แม้พวกเขาจะซ่อนกลเม็ดเด็ดพรายไว้มากมาย แต่หากต้องเผชิญหน้ากับผู้คนเหล่านี้แม้เพียงคนเดียว ก็คงไม่อาจหนีรอดไปได้ ต้องถูกสังหารในทันทีอย่างแน่นอน…
มันเป็นเช่นนั้นแหละ…
ขนาดตอนที่ฮ่องเต้เซินจุยเชิญคนพวกนี้เข้าวัง ก็ยังมีน้อยคนที่ปรากฏตัว แล้วเหตุใดผู้ทรงภูมิที่ยโสโอหังและมีหัวขบถถึงขนาดกล้าปฏิเสธคำเชิญของฮ่องเต้ จึงมายืนเข้าแถวหน้าประตูคฤหาสน์แห่งนี้เล่า?
นี่เราตาฝาดหรือเปล่า…
จางเหลียวกับจางโม่สบตากัน ต่างเกาศีรษะอย่างขัดใจ
ถ้าคนพวกนี้แค่มาเข้าแถวก็ยังไม่น่าประหลาดใจเท่าไรนัก แต่ดูจากการที่พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดังเพราะกลัวว่าจะรบกวนผู้ที่อยู่ในคฤหาสน์… ไม่กล้าแม้แต่จะเคาะประตูโดยยอมยืนอยู่ข้างนอก…
บ้าแล้ว! สวรรค์ บอกได้ไหมว่าใครกันแน่ที่เป็นบ้า คนพวกนั้นหรือเรา?
นี่มันบ้านของตู้เฉียวไม่ใช่หรือ?
พ่อค้าต๊อกต๋อยแบบนั้นมีเกียรติขึ้นมาขนาดนี้ได้อย่างไร เขาทำให้ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้เต็มใจมายืนรอหน้าประตูโดยไม่บ่นแม้สักคำได้อย่างไรกัน?