ตอนที่ 19 ล้อมกรอบ
หลังจากรัวหมัดใส่อารมณ์แบบไม่ยั้ง ในที่สุดความโกรธของจางเซวียนก็เริ่มทุเลาลงไปบ้าง
เขาก้มหน้าลงไปมองหน้ากากของเหยาฮั่นซึ่งอยู่ในสภาพหลุดลุ่ยไม่เป็นชิ้นดีจากการรัวหมัดอย่างรุนแรงของเขา สภาพของเหยาฮั่นตอนนี้ แม้แต่แม่ของเขาเองก็อาจจะจำบุตรชายไม่ได้
ตอนนี้จางเซวียนหายโกรธและมองทะลุถึงปัญหาของเขาอย่างชัดเจน ‘ชายผู้นี้คือพ่อบ้านของเจ้าเมืองไป๋หยูเปรียบเสมือนท่านลุงของศิษย์เรา ให้บทเรียนเขาแค่นี้ก็พอแล้วล่ะมั้ง’ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คนคนนี้ยังคงเป็นลุงของจ้าวหย่า หากเขาตัดสินใจปลิดชีพมัน เขาก็ต้องสูญเสียลูกศิษย์ที่เขาเพิ่งรับมาอย่างแน่นอน
การปรองดองระหว่างเขากับลูกศิษย์ก็จะสูญเปล่า
นอกจากนี้ เมืองไป๋หยูยังเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับสามในอาณาจักรเทียนเซวียน คนระดับเจ้าเมืองเช่นพ่อของจ้าวหย่าคงจะทรงอิทธิพลอย่างมาก ถ้าพ่อบ้านของเขาถูกฆ่าตาย เขาคงไม่ปล่อยจางเซวียนเอาไว้แน่ เขาจะต้องมาตรวจสอบอย่างละเอียด ถ้าเป็นเช่นนั้น ปัญหาก็จะยิ่งลุกลามใหญ่โตไปกันใหญ่
การมาใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ของจางเซวียนยังไม่มั่นคงนัก ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดถ้าเขาจะไม่หาเรื่องแย่ๆ มาซ้ำเติมตัวเอง
‘จะให้พวกเขามาสงสัยเราไม่ได้!’ ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจของจางเซวียน
ในเมื่อฆ่าไม่ได้ก็คงต้องปล่อยไป แต่หากเหยาฮั่นตื่นขึ้นมาแล้วย้อนคิด จะต้องสงสัยแน่ว่าเมื่อคืนใครลอบทำร้ายตัวเอง
‘ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องหาตัวล่อ จริงสิ… วันนี้เพิ่งมีคนมาหาเรื่องเราพอดีเลยนี่…’ อยู่ๆ ก็นึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาได้ เขาก็คือซั่งปิงที่มากับอาจารย์คนสวยเสิ่นปี้หรู
เขาเพิ่งมีเรื่องขัดแย้งกับจางเซวียนเมื่อตอนบ่ายที่พบหน้า อย่างไรเสียเจ้านั่นก็เป็นถึงหลานของผู้อาวุโสชื่อดัง ถึงเหยาฮั่นอยากจะแก้แค้นก็คงไม่กล้า
แต่ถ้าจะไปแก้แค้นก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
เมื่อคิดถึงจุดนี้ จางเซวียนจึงมองไปทางเหยาฮั่นที่ถูกตนทำร้ายจนไม่เหลือสภาพคน กดเสียงให้ต่ำ แล้วพูดกรอกหูอีกฝ่ายว่า “ฉันมีปัญหากับจางเซวียนเพราะตอนบ่ายมันมาหาเรื่องฉัน คืนนี้เลยกะจะมาแก้แค้นมันเสียหน่อย แต่ถ้าหากมันถูกเอาคืนถึงขั้นตัดไอ้นั่นทิ้งไปล่ะก็… ปี้… เอาเถอะ เธอคนนั้นคงจะโกรธฉันแน่ จะโทษก็โทษตัวแกเองที่มาไม่ถูกเวลาก็แล้วกัน”
“…” เหยาฮั่นเพิ่งรู้ว่าทำไมตนถึงถูกกระทืบ อยากจะด่ากลับ แต่ริมฝีปากก็บวมเป่งเหมือนไส้กรอก ทำให้เขาอยากพูดก็พูดไม่ออก
“ไสหัวไป” เมื่อเห็นเหยาฮั่นเข้าใจสิ่งที่ตนอยากจะสื่อ ก็ไม่พูดมากอีก จางเซวียนยืนขึ้นและใช้ลูกเตะส่งร่างของเหยาฮั่นไปไกลกว่าสิบเมตร
‘เวรเอ๊ย!’ ภายในใจกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ ทว่าเหยาฮั่นก็รู้ว่าหากไปเอาคืนตอนนี้ คนที่พ่ายแพ้ต้องเป็นตนอย่างแน่นอน จึงรีบคลานหนีไป
แต่เขาก็จำข้อมูลเอาไว้ได้สองจุด หนึ่ง คนที่กระทืบเขาคืนนี้เคยมีปัญหากับจางเซวียนเมื่อตอนบ่าย สอง เขาผู้นั้นกับจางเซวียนน่าจะชอบผู้หญิงคนเดียวกัน และชื่อของผู้หญิงคนนั้นมีพยางค์หนึ่งคือ ‘ปี้’
เมื่อรู้สองอย่างนี้ การจะหาว่าใครเป็นคนที่ทำร้ายเขาก็ไม่ยากนักหรอก
เมื่อเห็นเหยาฮั่นจากไป จางเซวียนถึงค่อยโล่งอก เขาเก็บข้าวของแล้วเดินกลับไปยังห้องพัก ความจริงคืนนี้ก็น่าหวาดเสียวอยู่ ไม่อยากจะคิดเลยว่าหากตนไม่มีวิชาติดตัวแล้วผล็อยหลับไปจะเป็นอย่างไร
แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ปลอดภัยแล้ว “การจะอยู่รอดในโลกใบนี้ พละกำลังสำคัญที่สุดสินะ” จางเซวียนพูดกับตนเองในใจระหว่างหลับตานอน หากคืนนี้ระดับขั้นของเขาไม่ได้เพิ่มสูงขึ้น แม้จะรู้จุดอ่อนของเหยาฮั่นก็คงสู้ไม่ไหว คนที่เสียเปรียบต้องเป็นเขาแน่ ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือเพิ่มระดับกำลังภายในและพัฒนาเคล็ดวิชาการต่อสู้
วันรุ่งขึ้น เขาตื่นตั้งแต่ฟ้าเพิ่งเริ่มสว่าง แม้จะนอนไปเพียงสองชั่วโมงแต่กลับไม่มีความรู้สึกง่วงเลยสักนิด “ควรไปสอนได้แล้วล่ะ” พูดจบก็สวมเสื้อและก้าวไปยังห้องเรียนของตน
ไม่นานนักจางเซวียนก็มาถึงห้องเรียน เมื่อเปิดประตูเข้าไป สิ่งแรกที่เห็นคือเด็กอ้วนที่วิ่งเข้ามาหาอย่างตื่นเต้น “อาจารย์จางมาแล้วหรือครับ ผมทำความสะอาดห้องเรียนเสร็จหมดแล้วนะ”
เขาก็คือเจ้าอ้วนน้อยหยวนเทา ศิษย์คนล่าสุดของจางเซวียนนั่นเอง ไม่น่าเชื่อว่าจะมาถึงห้องคนแรก แถมยังทำความสะอาดห้องเรียนเสียเอี่ยมอ่อง
“ใช้ได้” จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ
“อาจารย์ครับ ในเมื่ออาจารย์บอกว่าใช้ได้ ควรจะให้ของขวัญอะไรศิษย์สักหน่อยไหม? ตำรายุทธ์สักสองสามเล่มอะไรแบบนี้…”
“รอไปก่อน รอจนศิษย์คนอื่นมาพร้อมหน้า ผมจะสอนทีเดียว” จางเซวียนสะบัดมือ
คนแรกที่มาคือเด็กอ้วนหยวนเทา คนที่สองกลับเป็นศิษย์ที่ชนะพนันได้มา…หลิวหยาง ทว่าสภาพอารมณ์ของหลิวหยางกลับไม่ดีเท่าเจ้าอ้วน ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ สายตาที่มองมายังจางเซวียนก็ระคนดูแคลน
สำหรับหลิวหยางแล้ว ที่จางเซวียนสามารถชนะพนันได้เพราะว่าโชคช่วยเท่านั้น ให้อัจฉริยะอย่างเขามาเรียนกับอาจารย์แบบนี้ จะพัฒนาได้สักแค่ไหนกัน
คนที่สามที่มาถึงคือเด็กหนุ่มที่ถนัดหอกยาว เจิ้งหยาง… สำหรับเขาแล้ว อาจารย์จางสามารถมองข้อบกพร่องของเขาออกและให้คำชี้แนะจนพลังของเขาเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว เขาจึงเชื่อใจอย่างมาก จะบอกว่าตอนนี้เขาเป็นคนเดียวที่เชื่อใจจางเซวียนก็คงได้
คนที่สี่คือหวังหยิ่ง สาวน้อยขี้อายคนนี้ เมื่อเข้ามาแล้วเห็นว่ายังมีศิษย์คนอื่นอยู่ด้วยก็หน้าแดงและหนีไปยังมุมห้องทันที
“วันนี้คงจะรู้วิธีแก้ไขปัญหาส่วนตัวของฉันเสียที…” จ้าวหย่าลืมตาขึ้น
อาจารย์ที่แย่ที่สุดในโรงเรียนกลับชี้ปัญหาของเธอออกมาได้ หลังกลับมายังห้องพัก จ้าวหย่าถึงกับมึนงง เกือบเที่ยงคืนจึงหลับลง ไม่ว่าที่อีกฝ่ายพูดจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ วันนี้ไปเรียนก็คงจะได้รู้กัน เธอคิดได้ดังนี้จึงรีบสวมเสื้อและเดินออกจากห้องไป
จ้าวหย่าเป็นถึงบุตรสาวของเจ้าเมืองไป๋หยู และยังเป็นหนึ่งในสิบของศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของรุ่น แน่นอนว่าจะนอนห้องพักธรรมดาไม่ได้ เธอได้ที่พักเป็นบ้านหลังหนึ่งที่มีห้องมากมายแถมยังมีสวนเล็กๆ อีกด้วย ส่วนพ่อบ้านของเธอ… ลุงเหยา ก็พักอยู่ในบ้านหลังน้อยที่ห่างไปไม่ไกลนัก
“ลุงเหยา ฉันไปเรียนแล้วนะ” เมื่อภายในบ้านไม่มีเสียงตอบรับ จ้าวหย่าเรียกไปพักหนึ่งก็ไม่ได้เรียกต่อ เตรียมจะก้าวออกไป
“นายหญิงน้อย รอผมก่อนครับ ผมไปด้วย” เสียงเรียกดังขึ้น ประตูบ้านถูกเปิดออกทันที เหยาฮั่นก้าวออกมา
เมื่อเห็นสภาพของเขา จ้าวหย่าได้แต่อึ้งอยู่กับที่ “ลุงเหยา ลุง…ไปทำอะไรมาเนี่ย?” ใบหน้าบวมช้ำ ขอบตาม่วงคล้ำ คืนเดียวที่ไม่พบหน้า ทำไมคุณลุงพ่อบ้านที่เดิมแข็งแกร่งไร้เทียมทานถึงได้กลายสภาพเป็นแบบนี้ได้ เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือลุงเหยา
“อ๋อ… นี่หรือ” เขาชี้ไปยังใบหน้าตนเอง “เมื่อคืนฝึกแรงไปหน่อย ไม่ทันระวังตบโดนตัวเองเข้า” เหยาฮั่นกล่าว
“…” มีใครฝึกยุทธ์แล้วตบตัวเองบ้าง?
คุณหาข้ออ้างที่ดีกว่านี้หน่อยไม่ได้แล้วหรือไง? จะให้ฉันเชื่อได้อย่างไร
“ลุงเหยา เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ใครเป็นคนทำร้ายลุง ถ้ารับมือไม่ไหวจริงๆ ฉันจะไปบอกท่านพ่อให้” จ้าวหย่าเริ่มโมโห
“นายหญิงน้อย คุณไม่ต้องสนใจหรอก นี้เป็นปัญหาของผม ผมแก้ไขเองได้ นายหญิงน้อยรีบไปเข้าเรียนเถอะ ผมอยากดูสิว่าคนที่นายหญิงน้อยกราบเป็นอาจารย์นั้นเป็นอย่างไร หากเหมือนกับที่คนเขาเล่าลือกัน ผมจะไปบอกท่านเจ้าเมืองให้เปลี่ยนอาจารย์ให้เอง…” เหยาฮั่นสะบัดมือ ทว่าการกระทำเช่นนั้นทำให้บาดแผลของเขาฉีกออกอีกครั้ง เขาเหงื่อตกทันที
“ก็ได้” เมื่อเห็นเขาไม่ให้ตนไปยุ่งด้วย จ้าวหย่าก็ไม่พูดมาก ทั้งสองเดินไปยังห้องเรียนของจางเซวียน
เดินไปสักพัก เธอเห็นเหยาฮั่นตัวสั่น เหงื่อเต็มแผ่นหลัง จ้าวหย่าจึงกล่าวออกมาอย่างเป็นห่วง “ลุงเหยา ลุงบาดเจ็บขนาดนี้กลับไปพักเถอะ ฉันเข้าเรียนคนเดียวได้ ไม่ต้องส่งหรอก”
เมื่อคืนจางเซวียนลงมืออย่างไร้เมตตา แม้จะทายาและพักผ่อนไปหลายชั่วโมง แต่บาดแผลที่ได้ยังคงหนักหนาสาหัส ลุกขึ้นมาเดินได้อย่างนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว
“นายหญิงน้อย ตอนบอกลากับท่านเจ้าเมือง ท่านก็ได้บอกกับผมเอาไว้แล้วว่าจะต้องเลือกอาจารย์ที่ดีให้นายหญิงน้อยให้ได้ แต่คุณกลับเลือกคนคนนี้ ผมจะกลับไปเสนอหน้ากับท่านเจ้าเมืองได้อย่างไร” เหยาฮั่นกล่าวต่อ “ไม่ว่าอย่างไร ผมจะต้องให้นายหญิงน้อยเห็นตัวตนที่แท้จริงของเจ้านั่นให้ได้ ให้คุณรู้ว่ามันต่ำต้อยขนาดไหน
มีเพียงนายหญิงน้อยที่ใสซื่อของผมเท่านั้นแหละที่ติดกับมัน คนอย่างเจ้านั่นรับลูกศิษย์คนที่สองไม่ได้แน่ๆ ถ้าไม่เชื่อเดี๋ยวนายหญิงน้อยรอดูได้เลย…”
ประตูห้องเรียนเปิดออก สิ่งที่อยู่ภายในห้องก็เผยออกมาให้เห็น จางเซวียนและลูกศิษย์ทั้งสี่กำลังจะเริ่มบทเรียนกันอยู่