Skip to content

Library Of Heaven’s Path 2

ตอนที่ 2 ความอัปยศอดสู

หลังจากที่เขามองไปรอบตัวและลองเอื้อมคว้าหนังสืออยู่นาน จางเซวียนก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเปรียบเสมือนดวงจันทร์ที่ลอยอยู่เหนือพื้นน้ำ ทำอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะหยิบฉวยออกมาได้ คิดได้ดังนั้น เขาจึงเลิกล้มการกระทำที่ไร้สาระนี้

“เที่ยงพอดี เดี๋ยวหลังมื้อเที่ยง เราจะต้องหาลูกศิษย์มาเพิ่มอีกซักสองสามคนให้ได้” เขาจ้องมองออกไปยังนอกหน้าต่างซึ่งพระอาทิตย์กำลังตั้งฉากพอดี เช้าที่ผ่านมา เด็กนักเรียนหลายคนเดินผ่านห้องเขาไปอย่างไม่แยแส ไม่ว่าเขาจะสะกดจิตคนเหล่านั้นอย่างไรก็ดูเหมือนจะไร้ผล ความอดทนของเขาเริ่มน้อยลงทุกที

เขาเป็นคนที่มาจากอีกโลกหนึ่ง แค่นี้ก็มีความพิเศษเหนือใครไปมากแล้ว หากยังไม่สามารถเกลี้ยกล่อมคนในยุคล้าหลังแบบนี้ให้มาเป็นศิษย์ แล้วจะมีอะไรให้เขาภาคภูมิใจกับการเป็นคนโลกยุคไฮเทคโนโลยีอีกล่ะ เขาสะบัดหัวทิ้งเรื่องรกสมองนี้ไป แล้วก็เดินไปยังโรงอาหารของโรงเรียน

เช่นเดียวกับโรงเรียนมัธยมในโลกของเขาก่อนหน้า โรงเรียนหงเทียนมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ห้องอาหารสามารถรองรับคนได้กว่าหมื่น หลังจากที่เขาประสบความสำเร็จในการเกลี้ยกล่อมนักเรียนให้ยอมรับเขาเป็นอาจารย์ได้บ้างแล้ว เขาก็ไม่รอช้าที่จะเริ่มมื้อกลางวันอย่างมีความสุขกับอาหารอันโอชาสามสี่อย่างในมุมหนึ่งของโรงอาหาร

“คุณคงจะเป็นอาจารย์จางสินะ?” ขณะที่เขากำลังเพลิดเพลินกับมื้อกลางวัน เสียงเสียงหนึ่งก็ลอยมากระทบหู น้ำเสียงฟังดูหยิ่งยโสโอหัง เขาเงยหน้าขึ้นไปปะทะกับชายเจ้าของเสียงที่จ้องมองมาด้วยสายตายิ้มเยาะ แววตาไร้ความอบอุ่นใดๆ รอยยิ้มที่แสยะออกมาก็เป็นรอยยิ้มจอมปลอม ไม่จริงใจเลยสักนิด

“คุณคงเป็นอาจารย์เฉา?” จางเซวียนจำเขาได้ ชื่อเต็มของอาจารย์เฉาคือเฉาฉง เขาเข้ามาเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนแห่งนี้ในระยะเวลาไล่เลี่ยกับจางเซวียน เป็นอาจารย์ที่ชอบทำตัวเปรียบเทียบกับอาจารย์คนอื่นๆ เป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง เจ้าของร่างก่อนคงไม่สามารถทนแรงกดดันเช่นนี้ได้ จึงเป็นสาเหตุที่เขาดื่มหนักจนถึงแก่ความตาย

“วันนี้เป็นวันเปิดรับสมัครศิษย์ ศิษย์จะเลือกอาจารย์ของพวกเขา การรับสมัครของคุณเป็นอย่างไรบ้าง ดูจากความสุนทรีย์ในมื้อกลางวันของคุณวันนี้ ผลลัพธ์ที่ได้คงไม่เลวเท่าไหร่สินะ นี่คือเหล่าบรรดาลูกศิษย์ของผมที่เพิ่งคัดเลือกมา มีสมัครมาทั้งหมด 12 คน เราเลยมาทานกลางวันเพื่อพูดคุยและสร้างความคุ้นเคยกันมากขึ้นก่อนที่พวกเขาจะไปจัดแจงเรื่องห้องพัก”

อาจารย์เฉาจ้องมองเขาด้วยสีหน้าท่าทางโอ้อวด เริ่มที่จะคุยโม้ถึงความเก่งกาจของตน ไม่ต้องสงสัยว่าเขามาที่นี่ก็เพื่อคุยข่มโดยเฉพาะ ตัวจางเซวียนเองไม่ได้มีเรื่องบาดหมางใดๆกับอาจารย์เฉา แต่เพราะว่าทั้งสองได้ก้าวเข้ามาเป็นอาจารย์ในระยะเวลาที่ไล่เลี่ยกัน ดังนั้นจึงไม่อาจปฎิเสธได้ว่าทั้งสองมักจะถูกคนนำมาเปรียบเทียบกันในเรื่องของความสามารถ ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเพียงเพราะคิดว่าผลงานจะปรากฎให้เห็นเอง

เด็กๆกลุ่มใหญ่จ้องมองมาที่เขาแล้วก็เริ่มซุบซิบๆๆนินทาอย่างตื่นเต้น พวกเขาดูมีชีวิตชีวาและใคร่รู้ในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

“ทุกท่าน ผมขอแนะนำให้ท่านรู้จัก อาจารย์จาง ดาวเด่นของโรงเรียนของเรา เขาเป็นอาจารย์คนเดียวที่ได้คะแนนต่ำที่สุดในการสอบประเมิน นั่นคือศูนย์คะแนน นับเป็นผู้ที่สร้างประวัติศาสตร์อันน่าเลวร้ายให้กับโรงเรียนของเรา” อาจารย์เฉาแนะนำเขาให้บรรดาคนที่อยู่ในโรงอาหารได้รู้จัก…

“สอบประเมินได้ศูนย์คะแนนเนี่ยนะ?”

“โอ้ ฉันเคยได้ยินกิตติศัพท์เขามาก่อน เคยมีคนบอกว่า ศิษย์ของเขาส่วนใหญ่ไม่ค่อยปกติ ยังมีคนสติไม่สมประกอบด้วยนะ”

“ฉันก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน มีคนเตือนว่าอย่าไปเรียนกับเขาเลย เพราะนอกจากจะไม่พัฒนาไปไหนแล้ว ยังเหมือนกันเป็นการฆ่าตัวตายทางอ้อม ตอนที่ได้ยินนั้นยังไม่เคยเห็นหน้าอาจารย์จาง ที่แท้ก็หน้าตาแบบนี้นี่เอง”

ทันทีที่ทุกคนในโรงอาหารรู้จักจางเซวียนอย่างเป็นทางการ ความโกลาหลก็เกิดขึ้น

ระดับคะแนนของของผู้ที่เป็นอาจารย์นั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับการประเมินในหลากหลายแง่มุมแล้ว ผลการสอบของบรรดาศิษย์ก็มีผลเช่นกัน ตราบใดที่เขายังพอมีลูกศิษย์อยู่บ้าง คะแนนก็ย่อมที่จะกระเตื้องขึ้นมา และอาจารย์ที่ไม่ได้เลยซักคะแนนเดียวเช่นเขา จึงนับเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์อันยอดแย่นี้

“คุณแนะนำผมจบแล้วรึยัง?” แม้อาจารย์เฉาจะเยาะเย้ยถากถางเขา จางเซวียนก็ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเพราะคนที่ได้ศูนย์คะแนนคือจางเซวียนคนก่อน ไม่ใช่ตัวเขาในปัจจุบัน แล้วเขาจะเดือดร้อนทำไม? แม้ว่าเขาจะไม่ได้โกรธเคืองอะไร แต่ก็ค่อนข้างรำคาญการกระทำของอาจารย์เฉาที่ยกตนข่มท่านแบบนี้ เขาโบกมือไล่อย่างหมดความอดทนพร้อมกับบอกว่า “ถ้าแนะนำเสร็จแล้ว ก็รีบไปซะ อย่ามาขัดจังหวะมื้ออาหารของผม”

เฉาฉงนึกแปลกใจว่าทำไมชายผู้นี้ถึงไม่มีความละอายแม้แต่น้อย ทั้งๆที่เรื่องของเขาถูกเปิดเผยต่อหน้าสาธารณะชนและมันค่อนข้างจะน่าละอาย แต่ทำไมเขากลับทำตรงกันข้าม มิหนำซ้ำเขากล้าไล่ตนไปไกลๆอีกด้วย เขาเอาสองมือไขว้หลังแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงตำหนิว่า “นี่คุณไม่รู้สึกละอายบ้างเลยหรือที่ได้ศูนย์คะแนนในการทดสอบน่ะ คุณไม่ได้มีความรู้สึกอดสูกับมันเลยงั้นรึ?”

“อดสู? ทำไมล่ะ ผมต้องรู้สึกด้วยหรือ? คุณก็เพิ่งป่าวประกาศต่อหน้าสาธารณชนไม่ใช่หรือว่าผมทำลายสถิติและตอนนี้ผมก็กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงไปแล้ว ศิษย์ใหม่ทุกคนรู้จักผมทั้งนั้น ว่าแต่คุณเถอะ?” จางเซวียนชี้ไปที่บรรดาลูกศิษย์ที่อยู่เบื้องหลังของเฉาฉง “คุณทำคะแนนในการสอบครั้งนี้ได้เท่าไหร่กันเชียว? ก่อนที่ศิษย์เหล่านั้นจะมาถึงโรงเรียน พวกเขาทุกคนรู้จักมักจี่กับคุณมาก่อนรึ… ก็เปล่า? และถ้าไม่ใช่เพราะคุณเรียกร้องจะเลี้ยงอาหารพวกเขา คุณคิดหรือว่าพวกเขาจะยอมรับคุณเป็นอาจารย์จริงๆ? ตอนนี้คุณเป็นอาจารย์ไร้ชื่อไร้นาม ไม่เป็นที่รู้จัก แล้วยังกล้ามาคุยโวต่อหน้าผม มันน่าภูมิใจตรงไหนผมถามหน่อย?”

“อ๋า” ถ้าเป็นคนอื่นที่ได้คะแนนต่ำ เขาต้องเจียมเนื้อเจียมตัวเพราะกลัวคนอื่นจะดูถูกเหยียดหยาม กลัวเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่เจ้านี่เป็นใครกัน หยิ่งยโสโอ้อวดไม่เหมือนกับคนที่ได้คะแนนต่ำเลย มิหนำซ้ำยังมาว่าอาจารย์เฉาผู้ซึ่งได้คะแนนมากกว่าเสียด้วย

เฉาฉงโกรธจนแทบจะระเบิด เจ้านี่หน้ามันหนาจริงๆ น่าแปลกที่ผลการสอบออกมาแย่เจ้าตัวยังภาคภูมิใจอยู่ได้ บรรดาศิษย์ทำหน้าเหวอไปตามๆกันแต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

ชื่อเสียงอะไรไม่สนใจเลยรึ?

อาจารย์ท่านนี้ไม่ไร้ยางอายไปหน่อยหรือ?

ทั้งอัปยศ หน้าด้าน นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย? การที่จางเซวียนคนก่อนได้คะแนนเป็นศูนย์ในการสอบวุฒิการศึกษาก็เป็นเรื่องของเขา มันไม่ใช่เรื่องที่ทุเรศอะไรมากมายนี่ จางเซวียนคนก่อนไม่ใช่ดารานักร้องที่จำเป็นสร้างภาพจอมปลอมทั้งหลายแหล่ และที่สำคัญ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นนี่นะ?

หน้าของเฉาฉงแดงกล่ำด้วยความโกรธ “หน้าที่หลักของอาจารย์ยังคงเป็นการสอน วันนี้ผมจะไม่เสียเวลาทะเลาะกับคุณแล้ว ไว้เราค่อยมาว่ากันหลังจากคุณหาลูกศิษย์ได้ จากนั้นก็จะรู้เองว่าศิษย์ใครมีพัฒนาการมากกว่ากัน” เขาพูดทิ้งท้ายไว้ แล้วก็หันหลังเดินจากไป

ทันทีที่เหตุการณ์สิ้นสุดลง มีเด็กสาวกับชายชราคู่หนึ่งกำลังพูดถึงเขาอยู่ด้านหลัง “จริงๆแล้ว อาจารย์คนนั้นก็ไม่ได้แย่นะ ลักษณะบุคลิกท่าทางเขาออกจะดูดี” เสียงเด็กสาวเอ่ยแบบมึนงง แม้จะไม่ได้ชื่นชมโดยตรงแต่น้ำเสียงก็มีความลังเลไม่แน่ใจกับสิ่งที่พูดไปเช่นกัน

“นายหญิงน้อยฟังผมนะ ก่อนที่พวกเราจะมาที่นี่ คุณชายได้มอบหมายให้ผมพานายหญิงน้อยไปฝากเนื้อฝากตัวกับอาจารย์ลู่ฉวิน แต่นายหญิงก็ไม่เชื่อฟังผม กลับหนีไปเลือกเขาคนนี้มาเป็นอาจารย์แทน” เสียงของชายชราคนหนึ่งแหบห้าวแต่ก็ยังคงจับคำพูดได้

“อาจารย์ท่านนั้น… ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คุณว่า เขา… เขาเป็นคนดี เขาสัญญาว่าจะชี้แนะฉัน เขายังบอกอีกนะว่าถ้าฉันฝึกอย่างถูกต้อง ฉันจะกลายเป็นดาวเด่นของชั้นปี…” เด็กสาวตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ้อมแอ้มไม่แน่ใจ

“ถ้าต้องเรียนกับเขา นายหญิงยังหวังที่จะเป็นอันดับต้นๆของรุ่นอยู่อีกงั้นรึ เขาไม่มีทางแนะนำได้แน่นอน นายหญิงน้อย คุณรู้รึเปล่าว่าเขาเป็นใคร? เขาเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่สุด ไม่ได้ความที่สุดในโรงเรียนแห่งนี้ เขาได้ศูนย์คะแนนในการตรวจสอบวุฒิภาวะของอาจารย์… นายหญิงของกระผมต้องรีบถอนใบสมัครของคุณอย่างด่วนที่สุด ไม่อย่างนั้นหากคุณชายรู้จะต้องฆ่าผมแน่…” เสียงชายชราอ้อนวอนเด็กสาว

“พี่ชายใหญ่” ทันทีที่ได้ยินชื่อที่ชายชรานำมาอ้าง สาวน้อยเริ่มที่จะหวาดกลัว ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวและตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ทันทีที่จบบทสนทนาของเด็กสาวและชายชราคู่นี้ ดวงตาเฉาฉงทั้งเปล่งประกายและเบิกโพลงด้วยความตื่นเต้น เขาเดินไปหาที่จางเซวียนที่กำลังกินข้าวอยู่ กล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า “อาจารย์จาง เด็กสาวคนนั้นเป็นศิษย์ที่คุณเพิ่งรับมาใช่ไหม? สงสัยคุณจะได้รับข่าวร้ายในไม่ช้านี้เพราะเธอกำลังจะถอนตัวจากคลาสเรียนของคุณ”

กฎที่นี่มีอยู่ว่า อาจารย์สามารถรับศิษย์ได้ด้วยตัวเองและในขณะเดียวกันศิษย์ก็สามารถเลือกอาจารย์ด้วยตัวของพวกเขาเอง และถ้าศิษย์คนไหนค้นพบว่าอาจารย์ไม่เหมาะสมกับพวกเขา พวกเขาสามารถนำหยกสัญลักษณ์แทนตัวมาคืนให้กับครูใหญ่เพื่อทำการยกเลิกได้ เสียงของเฉาฉงดังพอที่จะทำให้ทุกคนในโรงอาหารหันมามอง รวมไปถึงบ่าวและนายหญิงที่กำลังปรึกษากันอยู่

“นายหญิงน้อย คุณตกลงเรียนกับอาจารย์ท่านนั้นรึ ?” ชายชรากล่าวพร้อมจ้องไปที่จางเซวียน

“ค่ะ” เด็กสาวพยักหน้ารับหงึกๆ

ได้ยินดังนั้นชายชราก็รีบลุกขึ้นและเดินไปหาจางเซวียนอย่างรวดเร็ว “อาจารย์จาง นายหญิงน้อยของตระกูลเราได้ตัดสินใจถอนตัวออกจากการเป็นศิษย์ของคุณแล้ว”

“ผู้เฒ่าหลิว…” เด็กสาวตกใจ เธอไม่คาดว่าชายชราจะดำเนินการได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ใบหน้าของเธอแดงขึ้นมาอย่างฉับไว มองไปที่จางเซวียนด้วยท่าทีขอลุแก่โทษแล้วกล่าวว่า “อาจารย์คะ ฉัน…”

ใช่แล้ว เธอหวังหยิ่ง ลูกศิษย์ที่จางเซวียนเพิ่งรับมานั่นเอง

“หวังหยิ่ง คุณรู้ใช่มั้ยว่าผมไม่รับลูกศิษย์ง่ายๆ เหตุผลที่ผมรับคุณเพราะโชคชะตาได้พาเรามาพบกัน ทำไมคุณถึงได้ยอมสละโอกาสที่ดีเช่นนี้ไปเล่า? คุณรู้หรือไม่ว่ามีคนมากแค่ไหนอยากจะมาเป็นศิษย์ผม แต่ผมปฎิเสธพวกเขาไป” แน่นอนจางเซวียนไม่มีทางยอมให้เธอจากไป

เขาใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อที่เกลี้ยกล่อมเธอ ไม่มีทางซะหรอกที่จะปล่อยให้เธอหลุดมือ เขาปรับโทนเสียงให้ดูแข็งกร้าวขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจในตัวของบ่าวชรา

“คิดอะไรไร้สาระ…” เมื่อบทสนทนาของเขาดังขึ้น คนที่เพิ่งรู้จักเขาอย่างถ่องแท้รอบโรงอาหารต่างก็รู้สึกตกอกตกใจในความเกรี้ยวกราดของเขา

“พี่ชายทำไมคุณทำตัวไร้ยางอายถึงเพียงนี้เล่า คุณรับลูกศิษย์เพียงเพราะการเดินทางของโชคชะตาเนี่ยนะ? มิน่า ถึงไม่มีใครยอมเป็นศิษย์คุณ…”

“ฉัน… ฉันไม่ได้ตั้งใจ…” น้ำเสียงที่ดุดันของจางเซวียนทำให้หวังหยิ่งเริ่มที่จะลังเล ก่อนที่เธอจะอธิบายอะไรออกมามากกว่านี้ ก็มีเสียงหนึ่งแทรกขัดจังหวะเธอขึ้นมา

“อาจารย์จาง นายหญิงน้อย ทายาทอันดับสองของตระกูลเราตัดสินใจจะถอนตัวออกจากคลาสเรียนของคุณ เธอยากที่จะพูดออกมาตรงๆ ดังนั้น ผมจึงขอจะเป็นตัวแทนเธอในการกล่าวถอนตัว”

“ถอนตัวงั้นรึ?” จางเซวียนหางตากระตุก “คุณคิดถี่ถ้วนดีแล้วรึ? ถ้านายหญิงน้อยของคุณถอนตัวจากการเป็นศิษย์ผม อาจารย์คนอื่นๆจะยอมรับเธออีกหรือ? คุณต้องการที่จะทำลายชีวิตนายหญิงน้อยของคุณเพราะความดื้อรั้นของตัวเองแค่นั้นรึ คุณสามารถรับผิดชอบอนาคตของนายหญิงได้เหรอ”

“นี่คุณ…” ผู้เฒ่าหลิวตกตะลึง

แม้ลูกศิษย์สามารถถอนตัวได้ก็จริง แต่การกระทำเช่นนี้ก็นับเป็นการดูแคลนอาจารย์ นอกจากนั้นยังหมายความว่า ถ้าเธอสามารถทิ้งอาจารย์คนแรกได้ก็จะสามารถทิ้งอาจารย์คนอื่นๆได้เช่นเดียวกัน และโดยปกติแล้ว ลูกศิษย์ที่อยู่ในบัญชีดำนี้ จะไม่ได้รับการยอมรับจากอาจารย์คนอื่นๆอีก

ใครกันจะกล้าเปิดใจยอมรับคนที่ดูถูกศักดิ์ศรีของการเป็นอาจารย์ได้ ไม่มีใครยอมรับลูกศิษย์แบบนี้ได้หรอก ยิ่งไปกว่านั้น การยอมรับศิษย์ที่เลือกครูก็เป็นการฉีกหน้าอาจารย์ทุกคนในโรงเรียนเช่นกัน เพราะทุกๆคนคือเพื่อนร่วมงาน มันไม่ฉลาดเลยที่อาจารย์ในโรงเรียนจะยอมแลกสัมพันธภาพกับเพื่อนร่วมงานเพื่อเด็กนักเรียนแค่คนเดียว และถ้าศิษย์ที่ว่านี้ได้รับการพิจารณาเข้าเรียนแต่ไม่สามารถหาอาจารย์ได้ ก็จะถูกเพิกถอนสถานะการเป็นนักเรียนไปเอง นั่นหมายถึงอนาคตพวกเขาก็หมดเช่นเดียวกัน

เมื่อนึกถึงความเป็นจริงข้อนี้ ผู้เฒ่าหลิวก็ตกที่นั่งลำบาก เพราะตัวเขาเองเป็นแค่เพียงบ่าวรับใช้ ถ้าอนาคตนายหญิงน้อยต้องสะดุดไป เขาก็ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะแบกรับผลที่ตามมา

“ตระกูลนายหญิงน้อยเป็นตระกูลที่เพียบพร้อมไปด้วยพรสวรรค์ชั้นเลิศ ผมสามารถสอนเธอได้อย่างแน่นอนและเธอต้องได้คะแนนที่ดีด้วย ผมรับประกัน…” เมื่อเห็นตาแก่หลิวลังเล จางเซวียนก็เริ่มที่จะเกลี้ยกล่อมเขาอีกทาง ตลกรึไง… เรื่องอะไรจะยอมปล่อยให้เป็ดปรุงสุกแล้วบินหายวับไปกับตา

“เดี๋ยวก่อน ใครบอกกันว่าจะไม่มีอาจารย์ที่ไหนกล้ารับเธอ? สาวน้อย ถ้าคุณถอนตัวออกจากอาจารย์คนนี้ ผมจะยอมรับคุณเป็นศิษย์เอง”

ก่อนที่จางเซวียนจะพูดจบ เฉาฉงก็โพล่งขึ้นแล้วเดินไปข้างหน้าพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญ เขาเพิ่งถูกจางเซวียนหักหน้าไปก่อนหน้านี้ ตอนนี้โอกาสเอาคืนมาถึงแล้ว เขาจะปล่อยไปได้หรือ?

“เฉาฉงคุณหมายความว่ายังไง?” จางเซวียนยืนตัวแข็ง

“จะทำอะไรงั้นรึ? ผมคิดว่าถ้าเรามีต้นอ่อนที่ดีซักต้น เราจะปล่อยมันให้ลอยหายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไรกันเล่า ถ้าเธอถอนตัวจากคลาสเรียนของคุณ ผมจะรับเธอทันที หลังจากที่พวกนักเรียนมาถึงโรงเรียน

มันเป็นเรื่องปกติของพวกเขาในการเลือกอาจารย์ที่ดีที่สุดเพื่อชี้แนะแนวทาง และคนๆนั้นไม่ใช่คนที่ได้คะแนนรั้งอันดับโหล่อย่างคุณหรอก” เฉาฉงหัวเราะเบาๆอย่างสำราญใจ

“แล้วการแย่งศิษย์ของผมต่อหน้าสาธารณชนที่คุณกำลังทำอยู่นี่ล่ะ คุณคิดว่าผมไม่กล้ารายงานต่อสำนักการศึกษากลางอย่างงั้นรึ?” นี่ไม่ได้เป็นเพียงการโต้เถียงกันตามปกติแล้ว หากแต่มันคือสงครามแย่งลูกศิษย์ขนาดย่อมๆ

แม้ว่าโรงเรียนให้อิสระผู้สอนให้เลือกลูกศิษย์ของพวกเขา แต่พวกเขาไม่ได้ต้องการให้เกิดแย่งลูกศิษย์กันเช่นนี้ เพราะมันจะไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์เท่านั้น แต่ทว่ามันจะมีผลต่อวัฒนธรรมของโรงเรียนอีกด้วย

“แย่งลูกศิษย์รึ? คุณก็พูดเกินไป อย่างมากที่สุดก็แค่ให้คำแนะนำที่ดีๆกับเธอก็เท่านั้น จากนั้นก็ให้อิสระเธอเลือกอาจารย์เอง คุณกล้ารับคำท้าการประลองนี้รึเปล่าเล่า?” เฉาฉงเอ่ยท้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!