ตอนที่ 20 หวังหยิ่งตกตะลึง
หลังจากได้ยินว่านายหญิงน้อยยอมรับจางเซวียนเป็นอาจารย์ เหยาฮั่นก็ขอติดตามเข้ามาดูในห้องเรียนด้วย ความจริงที่ประจักษ์อยู่ตรงหน้าก็คือ จางเซวียนเองก็มีลูกศิษย์อยู่หลายคน
เขาเพิ่งโพล่งไปว่าอีกฝ่ายไม่มีทางรับลูกศิษย์คนที่สองได้อีกนอกจากนายหญิงน้อย แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้าว่ายังมีหวังหยิ่งและลูกศิษย์คนอื่นๆ อีก เขารู้สึกเหมือนถูกตบหน้าในที่สาธารณะ ใบหน้าของเขาเศร้าหมองลงทันที
“อาจารย์!” จ้าวหย่าก็รู้สึกเสียหน้าเช่นกัน อยากจะหารอยร้าวบนพื้นแล้วมุดเข้าไปเหลือเกิน
“แกไม่เป็นอะไรเลยงั้นหรือ?” ผ่านไปสักพัก เหยาฮั่นมองไปยังจางเซวียนที่อยู่ไม่ไกลนัก ตกตะลึงอย่างไม่ได้ตั้งตัว เมื่อคืนเจ้าหมอนั่นจัดการกับตนขนาดนั้น ไม่ต้องพูดถึงจางเซวียนเลย ต่อให้ไม่ตายก็คงเลี้ยงไม่โต แต่ทำไมมันเหมือนไม่โดนอะไรเลยล่ะ?
ที่เขาบอกจ้าวหย่าว่าจะมาดูจางเซวียนสอน จริงๆ คืออยากเห็นอีกฝ่ายที่ถูกต่อยจนเละ… เพราะขนาดตัวเขาที่เป็นนักรบขั้นหกยังโดนกระทืบจนเละ แต่คนที่เป็นเป้าหมายกลับไม่เป็นอะไรเลยอย่างนั้นรึ ความเศร้านี้… เขายากจะรับได้
“ผมจะเป็นอะไรไปได้ล่ะ?” จางเซวียนเองรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ใบหน้าของเขาไร้การเปลี่ยนแปลง มองไปยังจ้าวหย่า “คนพิการผู้นี้คือ…”
“คนพิการ?” จ้าวหย่ารู้สึกงง แต่ยังไม่ทันพูดอีกครั้งก็ถูกเสียงเสียงหนึ่งขัดจังหวะ
“แกน่ะสิ คนพิการ” เหยาฮั่นสะบัดแขนเสื้ออย่างทรงอำนาจ
“ผมเป็นถึงพ่อบ้านใหญ่ของเจ้าเมืองไป๋หยู เหยาฮั่นเชียวนะ”
“อืม… ในเมื่อเป็นคนพิการ งั้นอย่าเข้ามาเลย เดี๋ยวอยู่ๆ ล้มลงไปตายในห้องเรียนของผม ผมจะมีปัญหาอีก” จางเซวียนทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าว “ส่งแขก ปิดประตู”
“แก…” เหยาฮั่นกำหมัดแน่น เกือบจะสติแตกอยู่รอมร่อ
เขาคือใครน่ะรึ?
เขาคือพ่อบ้านใหญ่ของเจ้าเมืองไป๋หยู มีอำนาจสูงส่ง มาโรงเรียนหงเทียนทีไร แม้แต่หัวหน้าฝ่ายปกครองก็ต้องทำตามคำสั่งเขา แต่ตอนนี้กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นคนพิการ แถมยังถูกไล่ออกจากห้อง จะให้ไม่โมโหได้อย่างไร?
“เอาล่ะ ผมแค่แวะมาดูว่าคุณจะสอนอะไรลูกศิษย์บ้าง” เหยาฮั่นยืนไพล่มือนิ่ง พยายามสงบสติอารมณ์
“ในเมื่อรู้แล้วก็ควรออกไปได้แล้ว เวลาสอนผมมีน้อย ระหว่างที่สอนยังต้องการความสงบ ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้ามาเกะกะได้”
อย่างกับว่าจางเซวียนไม่ได้อยู่มิติเดียวกับเหยาฮั่น… ให้ขู่อย่างไรก็ไม่ได้ยินทั้งนั้น
เหยาฮั่นสะบัดมืออีกครั้ง “คุณบอกว่าผมเป็นคนธรรมดางั้นหรือ?” ความโมโหกำเริบขึ้นเรื่อยๆ บาดแผลตามร่างปริแตกออกมาอีกครั้ง เหยาฮั่นโมโหจนร่างสั่นเทิ้ม “คุณเชื่อไหมว่าถ้าผมต้องการ คุณจะตายภายในฝ่ามือเดียว…”
“จ้าวหย่า ให้เขาออกไป ผมถึงจะช่วยแก้ปัญหาส่วนตัวของคุณได้” ขี้เกียจถกเถียงต่อ จางเซวียนจึงงัดวิธีสุดท้ายออกมา
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาของจ้าวหย่าก็สว่างวาบ “ลุงเหยา ออกไปก่อนเถอะ ฉันจะเริ่มเรียนแล้ว”
“ผมไม่ไป ผมจะต้องพูดให้เจ้านี่เข้าใจว่ามันพูดกับใคร ผมเป็นนักรบขั้นหกแท้ๆ ไปที่ไหนก็ล้วนมีแต่คนเคารพนบนอบ กล้ามาบอกว่าผมเป็นคนพิการ แถมยังจะไล่ผมออกไป…” ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็ถูกจ้าวหย่าผลักออกจากห้อง ตามมาด้วยอาการซวนเซ
ประตูห้องเรียนปิดลง ถ้าหลบไม่ทันคงจะถูกบานประตูตีหน้าไปแล้ว
“นายหญิงน้อย…”
เหยาฮั่นที่อยู่นอกประตูรู้สึกตกใจอย่างมาก หากเมื่อครู่เป็นจางเซวียนที่ไล่เขาออกจากห้องละก็ เขาคงลงมือสวนกลับไปแล้ว แต่นี่เป็นนายหญิงน้อย ให้ตายเขาก็ไม่กล้าเอาคืน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เขายังคงนำความโมโหทั้งหมดไปลงกับจางเซวียน
ไม่รู้ว่ามันมีอะไรดี ทำไมถึงหลอกนายหญิงน้อยได้ขนาดนี้
“ลุงเหยา ลุงรออยู่ข้างนอกเถอะได้โปรด พวกเราจะเริ่มเรียนกันแล้ว”
จ้าวหย่ารู้เกี่ยวกับปัญหาของตัวเองดี และเธอก็ไม่ต้องการที่จะเปิดเผยให้ทุกคนรู้เกี่ยวกับอาการป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลุงเหยา ถ้าอาจารย์ช่วยเธอแก้ปัญหาได้จริง การที่เธอไล่เหยาฮั่นออกไป ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
“ไม่เป็นไรครับนายหญิงน้อย เดี๋ยวผมจะรออยู่ข้างนอก หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นให้นายหญิงน้อยเรียกผม ผมจะรีบเข้าไปทันที” ได้ยินคำพูดของนายหญิงน้อย เหยาฮั่นก็รู้ว่าเขาคงเข้าไปไม่ได้แล้ว เขาเหมือนยืนอยู่บนปากเหวของภูเขาไฟระเบิด จำต้องทำตามอย่างไม่มีทางเลือก เขาทำได้แค่ขบฟันและอดทนยอมรับ
หลังจากที่เหยาฮั่นออกไป ในห้องก็มีเพียงจางเซวียนกับลูกศิษย์ห้าคนที่เพิ่งรับเข้ามา จางเซวียนสำรวจไปรอบๆ “เมื่อทุกคนยอมรับผมเป็นอาจารย์ นับจากวันนี้พวกคุณคือเพื่อนกัน จงดูแลซึ่งกันและกันเพื่อไม่ให้เสียชื่อเสียงของผม!”
“ชื่อเสียงรึ?”
ได้ยินคำนี้ ลูกศิษย์ทั้งห้าคนจ้องหน้ากันเลิ่กลั่ก…
อาจารย์… คุณไม่ได้มีชื่อเสียงไม่ใช่หรือ?
แค่กๆ แม้ว่าพวกเราต้องการให้คุณเสื่อมเสียชื่อเสียง คุณก็คงไม่มีชื่อเสียงให้เสียนี่นา!
“การสอนของผมจะต่างจากคนอื่นเล็กน้อย ผมจะให้ความสำคัญในการสอนควบคู่ไปกับสภาพแวดล้อมของลูกศิษย์แต่ละคน ดังนั้นวิธีชี้แนะพวกคุณจึงแตกต่างกันออกไป จะไม่มีอะไรที่พวกคุณจะใช้เปรียบเทียบกันได้!” จางเซวียนดูเหมือนไม่สนใจท่าทีของลูกศิษย์ เขาวางมาดเป็นอาจารย์ผู้ทรงภูมิ “ตอนนี้ผมจะไปนั่งรอที่ห้องเล็กฝั่งนั้น ถ้าผมเรียกชื่อใครก็ให้ไปพบผมที่ห้องนะ”
ห้องเรียนนี้มีขนาดประมาณหนึ่งร้อยตารางเมตร นอกจากนั้นยังมีห้องเล็กๆ สำหรับอาจารย์เพื่อที่จะให้คำแนะนำอย่างเฉพาะเจาะจงกับศิษย์แต่ละคน ลูกศิษย์ของเขาทั้งห้านั้นแตกต่างกัน ถ้าเขาชี้แนะ
โดยรวม มันจะสร้างปัญหาและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์
“หวังหยิ่งคุณเข้ามาเป็นศิษย์ของผมคนแรก คุณเข้ามารับคำชี้แนะก่อน!” จางเซวียนออกคำสั่งให้ศิษย์คนแรกเข้าไปในห้องเล็ก
“ค่ะ!” ด้วยนิสัยว่านอนสอนง่ายของหวังหยิ่ง เธอตอบรับโดยไม่โต้เถียง ได้แต่เดินตามหลังเขาไปติดๆ
หวังหยิ่งรู้สึกใจเสียเล็กน้อย เมื่อวานนี้เธอหลงทางมา เผอิญพบอาจารย์คนนี้เลยตั้งใจจะถามทางซะหน่อย อยู่ๆ ก็ถูกหลอกให้เป็นศิษย์ของเขาเสียอย่างนั้น เดิมทีเธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้พอลองคิดดูดีๆ อาจารย์คนนี้รู้สึกว่าจะไม่เก่งจริงๆ นั่นแหละ
อาจารย์ท่านอื่นๆ มีความสามารถมากพอที่จะบอกปัญหาเกี่ยวกับขาของเธอผ่านหมัดทั่วไป อาจารย์ท่านนี้ไม่เพียงแต่ไม่สามารถที่จะบอกเรื่องความเจ็บป่วยได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังโอ้อวดเกี่ยวกับความสามารถในการรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาของเธออีกด้วย บาดแผลนี้…ในอดีตท่านพ่อของเธอควานหาแพทย์ที่โด่งดังที่สุดมา ยังไม่สามารถรักษาได้ เขากลับบอกว่าตัวเองสามารถรักษาหาย มันจะเป็นไปได้อย่างไร
นอกจากนี้ ผู้เฒ่าหลิวยังเล่าให้เธอฟังหลายเรื่องเกี่ยวกับอาจารย์ผู้นี้ เธอตระหนักได้ถึงเบื้องหลังอันมากมายของจางเซวียน อาจารย์คนแรกที่ได้ศูนย์คะแนนในการตรวจสอบวุฒิการศึกษาอาจารย์และอ่อนแอที่สุดในหมู่อาจารย์ … ทำไมเธอถึงได้โง่เชื่อคำพูดหลอกลวงของเขาได้นะ
“ไม่ผิดไปจากที่พี่ใหญ่พูดเอาไว้เลย มีผู้ร่วมชะตากรรมกับเราอีกหลายคนข้างนอกนั่น…”
พี่ชายของเธอบอกเธอว่าอย่าไว้ใจใครง่ายๆ เธอกลับไม่เชื่อเขา…เวลานี้ เธอกำลังขบคิดเกี่ยวกับวิธีการที่จะถอนตัวออกจากห้องเรียนของอาจารย์ท่านนี้ แม้ว่ามันจะจบลงด้วยการถูกด่าทอก็ตาม จากนั้นก็จะให้พี่ชายของเธอช่วยหาอาจารย์ท่านอื่น พลันเธอก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น
“แสดงกระบวนท่าของคุณออกมาสิ!” จางเซวียนนั่งอยู่ที่กลางห้องและหันมามองด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตอนที่เขาพยายามเกลี้ยกล่อมหวังหยิ่งให้เข้ามาเป็นศิษย์นั้น หอสมุดเทียบฟ้ายังไม่ได้เปิดใช้งานแต่อย่างใด ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าจะหาวิธีจัดการข้อบกพร่องของหวังหยิ่งอย่างไรดี
“ได้ค่ะ” แม้ว่าหวังหยิ่งอยากจะถอนตัวจากห้องเรียน แต่เธอก็พยักหน้าตอบรับคำสั่งของจางเซวียนหลังจากที่ลังเลไปชั่วขณะ และเป็นอีกครั้งที่หมัดของเธอได้สร้างสายลมกรรโชกแรง เพียงไม่นานเธอก็แสดงเพลงหมัดออกมาจนหมดสิ้น
“อืม” จางเซวียนพยักหน้า แม้ว่าหวังหยิ่งจะไม่มีสมาธิเท่าไรนัก ทว่ากระบวนท่าของเธอก็เป็นที่น่าพอใจ
“อาจารย์คะ ที่จริงฉันอยากจะ…” หวังหยิ่งยืนกระวนกระวายสักพัก เธอกำลังจะขอถอนตัวจากห้องเรียนของจางเซวียน แต่ชายหนุ่มตรงหน้าได้พูดขัดจังหวะออกมาเสียก่อน
“ถ้าผมมองไม่ผิด ขาของคุณน่าจะถูกโจมตีจากใครบางคนในการต่อสู้เมื่อสองปีที่ผ่านมา!” จางเซวียนกล่าว
“คุณ… คุณรู้ได้อย่างไร?” หวังหยิ่งผงะ เธอค้างคำพูดไว้แค่นั้น ดวงตากลมโตคู่สวยของเธอเบิกกว้าง
เธอเพียงแค่พูดถึงอาการบาดเจ็บที่ขาของเธอเมื่อวานนี้ ไม่ได้บอกที่มาที่ไปของมัน และเธอไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถในการบอกได้ว่ามันได้รับบาดเจ็บจากการถูกทำร้าย ยิ่งไปกว่านั้น เขาบอกได้แม้กระทั่งช่วงเวลาที่เกิดเหตุ เธอพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“มีจุดชีพจรอยู่สามจุดบนขาของคนเราและแต่ละส่วนก็เป็นเอกเทศต่อกัน พวกมันสามารถควบคุมความแข็งแกร่ง ความเร็ว ตลอดจนความแม่นยำได้ ในอดีตตอนที่คุณต่อสู้นั้น คุณเผลอถูกคนอื่นโจมตีอย่างไม่คาดคิดที่จุดชีพจรซึ่งควบคุมความแข็งแกร่งในร่างกาย จุดชีพจรนี้จึงถูกปิดลง เป็นผลให้เลือดของคุณไหลย้อนกลับ ทำให้คุณใช้ความแข็งแกร่งจากมันไม่ได้!”
จางเซวียนกล่าวอย่างใจเย็น
“นี่มัน…” หวังหยิ่งตัวสั่น ใบหน้าของเธอแดงวาบอย่างตกตะลึง
ในเรื่องอาการบาดเจ็บ ท่านพ่อของเธอเคยเชิญแพทย์ที่มีชื่อเสียงทั่วทั้งอาณาจักร รวมทั้งปรมาจารย์หยวนหยู่ที่มีชื่อเสียง
ดูเหมือนจะวินิจฉัยไปในทิศทางเดียวกัน พวกเขาไม่สามารถที่จะระบุตำแหน่งของจุดชีพจรซึ่งควบคุมความแข็งแกร่งเหล่านี้ได้ ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้พวกเขาไม่สามารถที่จะรักษาเธอได้
ถ้าเธอต้องการที่จะได้รับการรักษา จะต้องเชิญนักรบขั้นแปด ผู้ที่ได้ครอบครองลมปราณระดับสูงเพื่อมารักษาเธอ มิฉะนั้นการรักษาก็ยากที่จะสัมฤทธิ์ผล!
เดิมคิดว่าเป็นอาจารย์ที่ไม่ได้เรื่อง แต่กลับบอกว่าสามารถรักษาขาของเธอได้… คิดว่าเรื่องนี้เป็นเพียงคำพูดลอยๆ เพื่อหลอกล่อ เธอไม่ได้คาดคิดเลยว่าเขาจะพูดเหมือนกับที่ปรมาจารย์หยวนหยู่ได้กล่าวไว้ตรงเผง ได้ฟังเช่นนี้ เธอจะไม่ตกใจได้อย่างไรกัน
“อาจารย์… คุณสามารถรักษาอาการนี้ให้ฉันได้หรือคะ?” หวังหยิ่งอดถามไม่ได้
“เรื่องเล็กน้อย!” จางเซวียนตอบคำถามของเธออย่างสุขุมนุ่มนวล
“หา! เรื่องเล็กจริงๆ หรือ?” ดวงตาของหวังหยิ่งหรี่ลง หายใจถี่ขึ้น