ตอนที่ 21 ร้อยเข็มกลางอากาศ
อาการบาดเจ็บที่ช่วงขาของเธอนั้น แม้จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อการเดินเหิน แต่ก็ทำให้เธอได้รับความทรมานขณะฝึกวิชา เป็นเหมือนกับพิษร้ายที่ฝังอยู่ในมวลกระดูก ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจึงไม่มีรอยยิ้มใดๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอเลย
เธอเกิดความรู้สึกหวาดกลัวและกังวลต่อชีวิตของตัวเองเป็นอย่างมาก ทำให้เธอกลายเป็นคนที่ไม่ชอบพูดจา เธอคิดว่าชาตินี้อาการบาดเจ็บที่ช่วงขาคงไม่มีทางรักษาให้หายได้ เธอคิดไม่ถึงว่าอาจารย์จาง ผู้ซึ่งเป็นเสมือนเศษขยะในสายตาของคนทั่วไปจะกล่าวว่าการรักษาขาของเธอเป็นเพียง ‘เรื่องเล็กน้อย’ เธอไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
หากย้อนกลับไปในอดีต แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้จะต้องเป็นเพียงคำคุยโม้ แต่อีกฝ่ายสามารถชี้สาเหตุของอาการบาดเจ็บของเธอได้ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะเกิดความหวังขึ้นเล็กๆ
“การที่ให้คุณเข้ามาในห้องนี้เพียงลำพัง ก็เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของคุณ เอาล่ะ ตอนนี้จงปล่อยตัวตามสบาย” จางเซวียนหยิบกล่องหยกที่มีขนาดไม่ใหญ่มากออกมาและเปิดฝาออกอย่างเบามือ ในกล่องหยกมีเข็มเงินที่มีความยาวไม่เท่ากันวางเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก
นักรบมักได้รับบาดเจ็บจากการฝึกวิชาเป็นเรื่องปกติ ดังนั้น ในทุกๆ ห้องเรียนของโรงเรียนหงเทียนต่างมีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลแบบนี้อยู่ทั่วไป เพื่อใช้สำหรับการปรับสภาพชีพจร ซึ่งจะช่วยให้อาการบาดเจ็บทุเลาลง
“รับทราบ” เมื่อได้ยินคำพูดที่หนักแน่นของอาจารย์หนุ่ม เป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจแต่ไม่เชิงหยิ่งทะนง หวังหยิ่งก็เกิดความมั่นใจในตัวอาจารย์อย่างไม่รู้สาเหตุ เธอค่อยๆ ผ่อนคลายตัวเองลงอย่างช้าๆ
จางเซวียนนั่งอยู่กับที่ หยิบเข็มเงินเล่มหนึ่งขึ้นมา มีเสียงลมเสียดสีกับอากาศไหลวนอยู่รอบเข็มเงินที่ถูกหยิบออกมาจากกล่องหยก จางเซวียนถ่ายปราณบริสุทธิ์ของเขาไปที่เข็มเงินเล่มนั้น และค่อยๆ ปักปลายเข็มลงบนขาของหวังหยิ่ง
“นี่คือ… วิชาร้อยเข็มในอากาศอย่างนั้นหรือ?” ดวงตาของหวังหยิ่งขยายขึ้นพร้อมกับอาการสั่นเล็กน้อย วิชาร้อยเข็มในอากาศเป็นการฝังเข็มที่ผู้ฝังไม่อาจสัมผัสถูกตัวผู้ถูกฝัง ใช้พลังปราณบริสุทธิ์ของนักรบในการบังคับทิศทางของตัวเข็ม ทำให้สามารถฝังปลายเข็มไปยังจุดที่บาดเจ็บได้อย่างแม่นยำ
เพื่อไม่ให้เกิดเป็นคำครหาว่าลบหลู่เกียรติ ด้วยความสามารถเช่นนี้ แพทย์ชายจึงไม่จำเป็นต้องสัมผัสถูกร่างกายของผู้บาดเจ็บหญิง แต่ก็สามารถฝังเข็มได้
การฝังเข็มในวิธีนี้ หากมองจากภายนอกอาจจะดูง่าย แต่จริงๆ แล้วมีความซับซ้อนอย่างมาก ประการแรกคือผู้ฝังเข็มจะต้องสามารถควบคุมพลังปราณของตนได้อย่างสมบูรณ์แบบ หากมีความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ก็อาจจะทำให้การฝังเข็มล้มเหลว ประการต่อมา ผู้ฝังเข็มจะต้องมีสายตาที่เฉียบคมอย่างมาก การที่ต้องฝังเข็มในขณะที่ผู้บาดเจ็บสวมใส่เสื้อผ้าปกปิดร่างกายนั้นยากยิ่ง การมองหาจุดเพื่อฝังเข็มจึงเป็นไปได้ยาก และหากฝังผิดจุดจะเกิดผลร้ายต่างๆ กับร่างกายของผู้บาดเจ็บ
ปรมาจารย์ผู้ค้นพบเคล็ดวิชานี้ได้กล่าวไว้ว่า ผู้ใดที่ต้องการจะฝึกฝนวิชาร้อยเข็มในอากาศ เขาผู้นั้นจะต้องมีคุณสมบัติเป็นนักรบขั้นห้า – ติ่งลี่เสียก่อนจึงจะสามารถฝึกฝนวิชานี้ได้
แล้วอาจารย์ที่ถูกคนทั่วทั้งโรงเรียนแห่งนี้หมายหัวว่าเป็นเศษขยะ อาจารย์คนนี้น่ะหรือที่ก้าวข้ามการเป็นนักรบขั้นห้าไปแล้ว?
เป็นไปไม่ได้!
ผู้ที่ก้าวมาถึงขั้นติ่งลี่ล้วนเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง เช่นอาจารย์ลู่ฉวินผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว จากคำพูดของผู้เฒ่าหลิว อาจารย์จางเซวียนผู้นี้เป็นเพียงนักรบขั้นสาม – เจิ้นชี่ ซึ่งห่างจากขั้นห้า – ติ่งลี่เป็นอย่างมาก
แล้วนักรบขั้นสาม – เจิ้นชี่สามารถแสดงวิชาร้อยเข็มในอากาศได้หรือ?
หวังหยิ่งไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองพึ่งเห็น ในขณะที่หวังหยิ่งกำลังตกใจ
จางเซวียนก็หยิบเข็มเงินขึ้นมาอีกหลายเล่ม เสียงเย็บแหวกอากาศไปพร้อมกับการเคลื่อนที่ของเข็มเงิน เข็มเงินจำนวนมากถูกปักลงไปที่ขาของหวังหยิ่งในระดับความลึกที่เสมอกันอย่างเหลือเชื่อ เห็นได้ชัดว่าผู้ฝังเข็มสามารถควบคุมพลังปราณของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
ขณะที่มีเข็มเงินปักอยู่บนขา หวังหยิ่งคิดจะถามถึงวิธีการรักษาอาการบาดเจ็บ เธอเห็นอาจารย์หนุ่มใช้นิ้วขีดเส้นบนฝ่ามือ เข็มเงินทั้งหมดก็เคลื่อนไหวตามกระแสพลังปราณของอาจารย์ผู้นั้น
“นี่มัน!”
พลังปราณบริสุทธิ์ไหลเข้าสู่ร่างกาย อาการของกล้ามเนื้อที่ปวดเมื่อยและชา รวมทั้งจุดชีพจรที่ก่อนหน้านี้ถูกปิด ทั้งหมดทั้งสิ้น…คลายออกในชั่วพริบตา
“นี่… นี่… นี่เป็นพลังปราณบริสุทธิ์ขั้นสามหรือคะ?” หวังหยิ่งถามเสียงสั่น มองเส้นสายของพลังปราณที่พุ่งตรงเข้าสู่ร่างกายของเธอ เป็นพลังปราณที่สุดแสนจะบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งใดเจือปนแม้แต่น้อย
เป็นคุณสมบัติของพลังปราณขั้นสามจริงๆ หรือ?
พลังปราณขั้นสามหรือ?
ปราณที่บริสุทธิ์ระดับนี้จะได้มาจากการฝึกฝนเคล็ดวิชาระดับเทพและเซียนไม่ใช่หรือ? ทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเซวียน
ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีผู้ใดบรรลุการฝึกฝนเคล็ดวิชาระดับนั้นมาก่อน แต่อาจารย์ปลายแถวคนนี้ครอบครองแค่พลังปราณขั้นสาม… นี่ฉันไม่ได้ดูผิดใช่ไหม?
“เรียบร้อย”
เธอตกตะลึงเป็นอย่างมาก แล้วต่อมาเธอค่อยผ่อนคลายตัวเอง เข็มเงินทั้งหมดถูกคนตรงหน้าถอนออกและเก็บกลับไปเรียบร้อยแล้ว จู่ๆ หวังหยิ่งก็รู้สึกว่าขาทั้งสองข้างมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น มันเป็นความรู้สึกแสนสบายอย่างที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต
หลังจากที่ขาของเธอได้รับบาดเจ็บ แม้ว่าจะสามารถเดินเหินได้อย่างปกติ แต่ก็เหมือนกับถูกโบกด้วยปูน ขาของเธอแข็งเหมือนหิน แต่ตอนนี้ขาทั้งสองข้างให้ความรู้สึกเบาสบายเมื่อก้าวเดิน คล้ายมีสายลมเบาๆ พัดผ่านอยู่ตลอดเวลา ราวกับโซ่เหล็กที่ล่ามขาของเธออยู่ถูกปลดออก ร่างกายของเธอสามารถขยับไปมาตามความปรารถนาได้แล้ว
“ขาของฉัน…” ต่อให้เป็นคนที่โง่ที่สุดในโลกก็รู้ว่าอาการบาดเจ็บที่ขาของเธอได้หายเป็นปลิดทิ้งแล้ว
“อาจารย์… ขอบพระคุณมากค่ะ” เมื่อพูดจบ เข่าของเธอก็อ่อนลงทันที สองตาของเธอแดงก่ำ
เธอรอวันนี้มาเป็นเวลานานมาก… มากเกินไป ในบางครั้งยังเคยนึกหมดหวัง คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าอาการบาดเจ็บที่ไม่ว่าใครก็รักษาไม่ได้นี้ จะถูกอาจารย์ที่แย่ที่สุดในโรงเรียนรักษาจนหาย
‘แท้จริงแล้ว เขาเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ แต่เขาเป็นคนไม่ชอบโอ้อวด’ ในหัวของเธอเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมาทันที
ถ้าไม่นับเรื่องการเรียนการสอน เพียงแค่ความสามารถในการรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาของเธอ ก็สามารถสร้างชื่อเสียงให้เขาโด่งดังไปทั่วโรงเรียนได้อย่างง่ายดาย แต่เขากลับเลือกปลีกวิเวกด้วยการทนให้คนด่าว่าเป็นอาจารย์ยอดแย่…
เมื่อมีความคิดเช่นนี้ หวังหยิ่งก็คุกเข่าลงบนพื้นเพื่อคารวะ สมัครตนเป็นศิษย์ของจางเซวียนอย่างเต็มใจ ไม่แม้แต่จะคิดลาออกจากห้องเรียนนี้อีก
“เอาล่ะ ในเมื่ออาการบาดเจ็บที่ขาหายดีแล้วก็รีบออกไปฝึกวิชาซะ หากมีปัญหาอะไรก็มาหาผมที่นี่” จางเซวียนโบกมือให้หวังหยิ่งออกไปพร้อมออกคำสั่ง “ช่วยเรียกหลิวหยางเข้ามาด้วยนะ”
“ค่ะ” หวังหยิ่งตอบอย่างเต็มใจและก้าวออกจากห้องไปตามคำสั่งของจางเซวียน
“เดี๋ยวฉันจะลาออกจากห้องเรียนนี้ มีใครจะไปกับฉันไหม?” หลิวหยางเอ่ยปากขึ้นหลังจากที่เขาได้ทำความรู้จักกับเจิ้งหยาง จ้าวหย่า และหยวนเทาในห้องเรียนแห่งนี้
เขารู้สึกแค้นใจเป็นอย่างมาก ผู้ที่สอบเข้าได้ในร้อยอันดับแรกมักจะโดนอาจารย์ที่มีชื่อเสียงรุมเข้ามาแย่งตัว แต่ตัวเขาเองกลับถูกส่งให้มาเรียนกับอาจารย์ที่แย่ที่สุดของโรงเรียน เพียงเพราะผลของการประลองระหว่างอาจารย์เท่านั้น ความรู้สึกที่ถูกหยามเกียรตินี้ทำให้เขาแทบจะบ้าไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร วันนี้ต้องลาออกจากห้องเรียนแห่งนี้ให้ได้ แม้ว่าจะต้องลาออกจากโรงเรียน ก็ไม่มีใครมาหยุดเขาได้
“ฉันเองก็…อยากจะลาออก แต่ระวังอาจารย์จะโกรธนะ เดี๋ยวเขาจะด่านายยกใหญ่” น้องอ้วนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแบบช่วยไม่ได้
“โกรธหรือ เขาโกรธแล้วจะทำอะไรฉันได้ ฉันไม่อยากถูกเขาชี้แนะจนธาตุไฟเข้าแทรกหรอกนะ” หลิวหยางประชด
“ธาตุไฟเข้าแทรกหรือ?” เจิ้งหยางมองด้วยสีหน้าประหลาดใจ เขารู้เพียงว่าอาจารย์ของเขาท่านนี้เป็นผู้ที่ได้คะแนนการประเมินผลต่ำที่สุด แต่ยังไม่เคยได้ยินว่าเขาให้คำชี้แนะกับใครแล้วคนผู้นั้นจะถูกธาตุไฟเข้าแทรก
“ใช่” หลิวหยางตอบกลับ “ไม่เชื่อพวกนายก็ดูเอาเองแล้วกัน อีกไม่นาน เมื่อหวังหยิ่งเดินออกมา สีหน้าของเธอจะต้องดูไม่ดีแน่ๆ คงคิดว่าตัวเองถูกหลอกเข้าแล้ว ความสามารถของอาจารย์จางเซวียนเป็นอย่างไร ฉันไปตรวจสอบมาเรียบร้อยแล้ว หากเขาสามารถให้คำแนะนำดีๆ กับศิษย์ได้ มีหรือจะตกอับถึงขนาดนี้ ต้องทนถูกอาจารย์คนอื่นในโรงเรียนดูถูกดูแคลน…”
ขณะที่หลิวหยางกำลังพูดอยู่นั้น ประตูก็ได้ถูกเปิดออก หวังหยิ่งเดินออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส
“หา!” หลิวหยางถึงกับตะลึงไปเล็กน้อย เพราะเขาคาดว่าจะเห็นใบหน้าอันเศร้าโศกของเธอ แต่หวังหยิ่งกลับเดินออกมาพร้อมรอยยิ้มที่เบิกบาน
ศิษย์ที่เหลือทุกคนต่างก็พากันรู้สึกแปลกใจ ความยินดีของหวังหยิ่งเหมือนว่าจะเกิดขึ้นมาจากใจในส่วนลึก เธอจะต้องได้รับสิ่งดีๆ อย่างแน่นอน เธอถึงได้มีใบหน้าอันแจ่มใสเปล่งประกายเช่นนี้
หรือว่าอาจารย์ที่มีชื่อเสียงยอดแย่คนนี้จะให้คำชี้แนะอะไรดีๆ ได้จริงๆ?
การชี้แนะเพียงครั้งเดียว สามารถทำให้ลูกศิษย์รู้สึกปลื้มปีติได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ แม้แต่อาจารย์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโรงเรียนอย่างอาจารย์ลู่ฉวินยังทำไม่ได้เลย
“หลิวหยาง อาจารย์เรียกนายเข้าไปน่ะ”
เธอไม่รู้ว่าคนอื่นกำลังคิดอะไร พอหวังหยิ่งพูดจบก็เดินไปที่มุมห้องเพื่อฝึกวิชาทันที
“ฉันหรือ?” หลิวหยางกัดฟัน “ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าอาจารย์จะชี้แนะอะไร หากชี้แนะไม่ได้ ฉันก็จะลาออก ใช่… ต้องลาออกอย่างแน่นอน” หลิวหยางพูดกับตัวเองเบาๆ ก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องที่จางเซวียนรอเขาอยู่