Skip to content

Library Of Heaven’s Path 22

ตอนที่ 22 ต้นตอของโรคร้าย

แม้ว่าหลิวหยางจะเคยได้รับคำชี้แนะจากจางเซวียน แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าอาจารย์ผู้นี้มีความสามารถและที่เขาได้รับชัยชนะในการประลองครั้งก่อน อาจเป็นเพราะความโชคดีล้วนๆ

เนื่องจากการประลองครั้งก่อนเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนคำชี้แนะเกี่ยวกับการออกหมัด จึงไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าอาจารย์จางมีความสามารถ ดังนั้น หลิวหยางจึงยังคงเคลือบแคลงในตัวอาจารย์ผู้นี้อยู่

“คารวะอาจารย์” หลิวหยางก้าวเข้ามาในห้องพร้อมทั้งคารวะจางเซวียน แต่น้ำเสียงของเขา ฟังก็รู้ว่าไม่ค่อยจะให้เกียรติอีกฝ่ายสักเท่าไร

“ผมเคยเห็นกระบวนท่าที่คุณใช้มาก่อน” จางเซวียนพูดขึ้นราวกับไม่ได้สังเกตเห็นกิริยาท่าทางของหลิวหยาง “อายุเพียงเท่านี้แต่กลับสามารถใช้เพลงหมัด

บุปผาล่องลอยได้ยอดเยี่ยม เพลงหมัดมังกรทมิฬที่ฝึกอยู่ก็บรรลุถึงขั้นเชี่ยวชาญแล้ว ความสามารถของคุณไม่เลวจริงๆ”

“อะไรนะอาจารย์ นี่คุณรู้ได้อย่างไรว่าผมฝึกวิชาหมัดมังกรทมิฬ”

เมื่อได้ยินคำพูดของจางเซวียน หลิวหยางก็ตกใจอย่างมากจนเกือบจะเป็นลม แท้จริงแล้ว… ความสามารถของหลิวหยางอยู่ในขั้นที่ต่ำเกินเกณฑ์ไปสักเล็กน้อย ตามหลักแล้วเขาควรที่จะฝึกกำลังภายในเป็นหลัก ถ้าจะเริ่มฝึกวิชาก็ควรเลือกวิชาขั้นพื้นฐานอย่างเช่นเพลงหมัดบุปผาล่องลอยไปก่อน ไม่ใช่เพลงหมัดมังกรทมิฬ

เพราะเพลงหมัดมังกรทมิฬเป็นวิชาระดับสูง อำนาจการทำลายล้างมีมากกว่าเพลงหมัดบุปผาล่องลอยหลายเท่าตัวนัก เพื่อเพิ่มความสามารถของตนเอง หลิวหยางได้แอบฝึกวิชานี้โดยที่ไม่มีใครรู้ นับตั้งแต่ที่เขาบรรลุการฝึกวิชาเพลงหมัดมังกรทมิฬขั้นมือใหม่ เขาก็ยังไม่เคยแสดงกระบวนท่านี้ให้ใครดู และที่แสดงให้จางเซวียนดูในครั้งก่อน ก็เป็นเพียงเพลงหมัดบุปผาล่องลอยเท่านั้น

แต่จางเซวียนกลับพูดออกมาถูกต้องว่าเขากำลังแอบฝึกเพลงหมัดมังกรทมิฬอยู่ มิหนำซ้ำยังรู้อีกว่าเขาบรรลุถึงขั้นเชี่ยวชาญแล้ว

จางเซวียนรู้ได้อย่างไรกัน?

“กระบวนท่าของเพลงหมัดบุปผาล่องลอยของคุณ มีเงาของหมัดมังกรทมิฬแฝงอยู่ในส่วนลึก” ไม่มีทางที่จางเซวียนจะเล่าเรื่องของหอสมุดเทียบฟ้าที่อยู่ในหัวเขา จึงเลือกที่จะโกหกแทน

“อาจารย์สามารถมองออกด้วยหรือ” หลิวหยางไม่อยากจะเชื่อ

วิชาหมัดทั้งสองแบบนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อก่อนเขาก็เคยแสดงกระบวนท่าเพลงหมัดบุปผาล่องลอยให้อาจารย์เฉาฉงดู แต่อาจารย์เฉากลับมองไม่เห็นเงาใดๆ ที่แอบแฝงอยู่ในนั้น ตรงกันข้าม…อาจารย์ที่มีความสามารถน้อยที่สุดในโรงเรียนกลับมองเห็นได้ในครั้งแรกที่เขาออกหมัด มันจะเป็นไปได้อย่างไร?

ในใจของหลิวหยางเต็มไปด้วยความสงสัย และเสียงของอาจารย์จางก็ดังขึ้นอีกครั้ง “แม้ว่าวิชาหมัดมังกรทมิฬที่คุณฝึกจะอยู่ในขั้นเชี่ยวชาญ อานุภาพร้ายแรง แต่ทุกครั้งที่ฝึกเคล็ดวิชานี้ คุณจะรู้สึกเจ็บบริเวณช่วงล่างของลำตัวและที่จุดท้ายทอยจะรู้สึกคัน… ใช่หรือไม่?”

“นี่… นี่คุณ” หลิวหยางผงะถอยไปหลายก้าวเหมือนเห็นผี ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ไม่ใช่เพราะว่าอีกฝ่ายพูดผิด แต่เป็นเพราะพูดถูกเสียจนน่าขนลุก จางเซวียนทำเหมือนกับว่ากำลังยืนมองเขาฝึกวิชาหมัดมังกรทมิฬกับตา

“คุณ…รู้ได้อย่างไร?” เป็นใครก็คงอดไม่ได้ที่จะถาม ใบหน้าของหลิวหยางในขณะนี้ขาวซีดอย่างเห็นได้ชัด

“ง่ายมาก ก็เพราะว่าคุณฝึกวิชาหมัดมังกรทมิฬผิดวิธีอย่างไรล่ะ หากฝืนฝึกเช่นนี้ต่อไป ผมรับประกันได้เลยว่าไม่เกินสามปี กล้ามเนื้อส่วนแขนของคุณทั้งหมดจะกลายเป็นเนื้อตาย ไม่ว่าเซียนที่ไหนก็ช่วยคุณไม่ได้ อันที่จริงไม่ต้องถึงสามปีหรอก ทุกวันนี้ช่วงที่คุณหลับ คุณจะรู้สึกว่าลำตัวแข็งเป็นหินและเป็นตะคริวอยู่บ่อยๆ”

จางเซวียนกล่าว

“ผม…” หลิวหยางเกิดอาการตัวสั่นอย่างรุนแรง เขามีอาการดั่งว่าจริงๆ ที่ผ่านมาเขานึกว่าเป็นอาการที่เกิดจากการคร่ำเคร่งฝึกฝนจนเกินพอดี ไม่ได้คิดเอะใจเลยว่ามันเป็นอาการที่เกิดจากการออกกระบวนท่าที่ผิดพลาด

“สำหรับวิชาหมัดมังกรทมิฬ ร่างกายผู้ฝึกจะมีพลังปราณมังกร เป็นเคล็ดวิชาที่มุ่งเน้นไปที่อำนาจการทำลายล้าง ถ้าคุณเป็นนักรบขั้นสี่ – ผีกู่ล่ะก็ ปราณของคุณคงแข็งแกร่งพอที่จะต้านทานปราณมังกรได้

ดังนั้นวิชานี้จึงไม่สามารถทำร้ายคุณ ทว่า…ตอนนี้คุณเป็นเพียงนักรบขั้นหนึ่ง – จวีซี เรียกว่ายังอ่อนแอเกินไป ถ้ายังดื้อรั้นฝึกวิชานี้ต่อ ร่างกายของคุณจะรับไม่ไหว พอนานเข้าสุขภาพก็จะพัง นี่คือสาเหตุที่หมัดซ้ายของคุณมีอานุภาพมากกว่าหมัดขวา ทั้งๆ ที่คุณไม่ใช่คนที่ถนัดซ้าย นั่นเป็นเพราะว่าแขนขวาของคุณได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงจากการฝึกวิชาหมัดมังกรทมิฬ หากคุณยังไม่หยุดฝึกวิชานี้ คุณจะต้องกลายเป็นคนพิการอย่างแน่นอน” จางเซวียนกล่าว

“อาจารย์ ได้โปรดช่วยผมด้วยเถอะ” ในตอนนี้หัวเข่าของหลิวหยางอ่อนยวบ เขานั่งคุกเข่าลงกับพื้น ความโอหังที่เคยแสดงต่อจางเซวียนหายไปในทันที หลิวหยางเข้าใจแล้วว่าอาจารย์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นยอดฝีมือ เรียกว่าระดับปรมาจารย์เลยก็ยังได้

ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าสิ่งที่จางเซวียนพูดตรงกับสภาพความเป็นจริงของ

หลิวหยางทุกประการ หากไม่พูดออกมา ตัวหลิวหยางเองคงไม่ได้สังเกตเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับร่างกายตัวเอง แต่พอได้ยินก็ถึงกับตะลึงไปเลย เพราะทุกอย่างที่กล่าวออกมานั้นถูกต้องตรงเผง

มียอดฝีมือระดับนี้ยืนอยู่ตรงหน้า เขายังจะมีสิทธิ์อะไรมาหยิ่งยโสอีก น่าตลกที่ก่อนหน้านี้ หลิวหยางรู้สึกว่าการคารวะจางเซวียนเป็นอาจารย์จะทำให้เขาเสียเกียรติ ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่ได้ย้ายมาเป็นศิษย์ของจางเซวียน

ก่อนที่จะคารวะเฉาฉงเป็นอาจารย์ เขาเคยพบกับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายคนของโรงเรียนแห่งนี้ เขาเคยแสดงกระบวนท่าของตัวเองให้อาจารย์เหล่านั้นชม แต่ก็ไม่มีอาจารย์คนไหนสามารถมองเห็นเงาของวิชาหมัดมังกรทมิฬของเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่ามีอาจารย์คนไหนมองเห็นอาการบาดเจ็บตรงแขนขวาของเขา

“หยุดการฝึกวิชาหมัดมังกรทมิฬไว้ชั่วคราวเสียก่อน และจงตั้งหน้าตั้งตาฝึกพลังปราณให้แข็งแกร่ง สำหรับอาการบาดเจ็บของคุณที่เป็นอยู่ ผมจะหาทางช่วยรักษาให้” จางเซวียนกล่าวต่อ “เอาล่ะ ไปเรียกจ้าวหย่าเข้ามาได้”

“ครับ” หลิวหยางรีบตอบรับทันทีโดยไม่อิดเอื้อน เขาเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเขาเดินออกมา ก็สังเกตเห็นว่าเจิ้งหยาง จ้าวหย่า และหยวนเทา กำลังจ้องมองมายังตนพลางเอ่ยถาม “นายลาออกจากห้องเรียนนี้แล้วใช่ไหม” หยวนเทาชิงถามเป็นคนแรก

“ลาออกหรือ ทำไมต้องลาออกด้วยล่ะ” หลิวหยางโบกมือตอบ ไม่รู้สึกอับอายแม้แต่น้อยที่ตนพลิกคำพูดที่กล่าวก่อนจะเข้าห้องไปพบกับจางเซวียน “การเป็นอาจารย์หนึ่งวัน ก็เท่ากับการเป็นบิดาไปตลอดชาติ ฉันคือหลิวหยาง พวกนายเห็นฉันเป็นตัวอะไรไปแล้ว

เห็นว่าฉันเป็นคนมั่วๆ ซั่วๆ อย่างนั้นหรือ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าพวกนายกำลังคิดอะไรกันอยู่ วันๆ คิดแต่จะลาออก ไม่รงไม่เรียนหนังสือ… ไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือไง”

“…” เจิ้งหยาง จ้าวหย่า และหยวนเทาพูดอะไรไม่ออกอีก

ไร้ยางอาย… ไร้ยางอายสิ้นดี… เมื่อกี้ยังพูดอยู่เลยว่าจะลาออก ชั่วพริบตาเดียวกลับเปลี่ยนคำพูดของตัวเองไปแบบสามร้อยหกสิบองศา หนังหน้าของคนคนนี้หนาจริงๆ

“ฉันว่าอาจารย์คนนี้…จะต้องมีความสามารถอะไรบางอย่างที่สูงส่ง” จ้าวหย่ารำพึงรำพันกับตัวเอง หลังจากที่เห็นปฏิกิริยาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของเพื่อนร่วมห้องทั้งสอง ทั้งก่อนหน้าและหลังการเข้าห้องเล็กๆ ห้องนั้น

จริงๆ แล้ว เธอไม่ได้ไม่ใส่ใจคำพูดของลุงเหยา แต่ประเด็นคือ…จางเซวียนแค่เห็นแวบเดียวก็สามารถบอกถึง ‘โรค’ ในตัวเธอได้ ทำให้เธอรู้สึกมีความหวังในการรักษาขึ้นมาอีกครั้ง จะให้ทำอย่างไรได้… โรคนี้ของเธอไม่สามารถบอกใคร ยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าไรยิ่งดี เพราะมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าอาย

“นั่งสิ” พอเข้ามาในห้องก็เห็นอาจารย์จางนั่งอยู่บนเก้าอี้

“อาจารย์ คุณเคยบอกว่า… สามารถรักษาอาการของฉันได้” จ้าวหย่าพูดจบ ใบหน้าเธอก็แดงขึ้นทันที

“ใช่” จางเซวียนพยักหน้า “โรคของคุณรักษาได้ง่ายมาก…” จริงๆ แล้วอาการของจ้าวหย่ารักษาได้ไม่ยาก ก็เธอไม่ได้เป็นโรคร้ายอะไรสักหน่อย อาการที่เธอเป็นอยู่นี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศหญิงในตัว พลังปราณหยินของเธอไหลเวียนไปทั่วร่าง หากได้รับคำชี้แนะที่ถูกต้อง เธอจะสามารถเรียนรู้เคล็ดวิชาต่างๆ และพัฒนาตนเองได้อย่างรวดเร็ว

แต่น่าเสียดาย ไม่มีใครในเมืองไป๋หยูรับรู้ถึงเรื่องนี้ มิหนำซ้ำยังยัดเยียดให้เธอเรียนวิชาด้านหยินอีก วิชาในลักษณะนั้น ถ้าให้ศิษย์หญิงทั่วไปฝึกก็เหมาะสมไม่น้อย แต่สำหรับคนที่มีพลังปราณหยินแข็งแกร่งอยู่แล้วอย่างจ้าวหย่า การให้เธอฝึกวิชาทำนองนี้คือการทำร้ายเธอทางอ้อม

ปราณหยินในร่างกายยิ่งสะสม ในวัยเยาว์อาจจะยังไม่รู้สึกอะไร แต่พอถึงวัยที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง รูปลักษณ์ของเพศหญิงแสดงออกมาอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น การฝึกวิชานี้ก็จะเป็นภัย ผู้ฝึกจะต้องได้รับการชี้แนะและรักษาอย่างถูกวิธี ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นคนที่มีอารมณ์และความต้องการที่รุนแรง

ดังนั้น เธอจึงประสบกับปัญหาที่น่าอับอายอย่างที่เป็นอยู่

“เช่นนั้น…” จ้าวหย่าพูดอะไรไม่ออกหลังจากที่ได้ยินอาจารย์อธิบาย เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเธอมีปราณหยินไหลเวียนทั่วร่าง แม้แต่ท่านพ่อของเธอก็ยังไม่รู้

แต่เรื่องที่เธอฝึกวิชาด้านหยินนั้นเป็นเรื่องจริง หรือว่าการฝึกวิชาด้านหยินทำให้เธอกลายเป็นแบบนี้?

พออธิบายจบจางเซวียนก็พูดต่อ “จริงอยู่ที่ ‘วิชาธิดาหยกขาว’ มีอานุภาพรุนแรง แต่วิชานี้ไม่เหมาะกับคุณหรอก หากคุณต้องการรักษาอาการป่วยที่ว่าให้หายเป็นปลิดทิ้ง คุณจะต้องเลือกฝึกวิชาอื่น”

“นี่… อาจารย์รู้ได้อย่างไรว่าฉันฝึกวิชาธิดาหยกขาว” จ้าวหย่าถึงกับตกใจ วิชานี้เป็นวิชาที่สืบทอดกันมาของเมืองไป๋หยู นอกจากคนของตระกูลจ้าว ไม่มีคนอื่นล่วงรู้วิชานี้เป็นแน่ แม้แต่พ่อบ้านใหญ่อย่างเหยาฮั่นเองก็ไม่รู้ แต่อาจารย์ที่อยู่ตรงหน้าเธอกลับพูดถึงขึ้นมาหน้าตาเฉย จ้าวหย่าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองพึ่งได้ยิน

“ผมสามารถมองเห็นโรคในตัวคุณได้ แล้วทำไมจะรู้ว่าคุณฝึกวิชาอะไรมาบ้างไม่ได้เล่า? เรื่องปกติแท้ๆ” จางเซวียนปรายหางตามองไปที่จ้าวหย่า ทำให้ดูเหมือนว่าเขาเป็นปรมาจารย์ที่ทรงภูมิ

“แค่เลือกฝึกวิชาอื่นแทนก็สามารถรักษาอาการของฉันได้แล้วหรือคะ งั้น…ฉันควรจะเลือกฝึกวิชาอะไรดีล่ะ?” จ้าวหย่าถามขึ้นทันที ตอนนี้เธอไม่สามารถปกปิดความรู้สึกตื่นตระหนกของตัวเองได้แล้ว

“คุณควรจะเลือกฝึกวิชาที่สามารถประยุกต์ใช้กับสภาพร่างกายของคุณในตอนนี้ได้ ห้ามเลือกวิชาที่สะสมปราณหยิน เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พรุ่งนี้ผมจะไปหอสมุดเพื่อหาเคล็ดวิชาที่เหมาะสมกับคุณ” จางเซวียนตอบ

“ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ” จ้าวหย่าพยักหน้าทันที แม้วันนี้จะไม่ได้รับคำอธิบายวิธีการรักษา แต่ก็ทำให้จ้าวหย่าได้รู้ถึงต้นตอของปัญหา ในใจรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

“อืม” จางเซวียนโบกมือ “ช่วยไปเรียกเจิ้งหยางเข้ามาด้วย”

ในขณะที่จางเซวียนกำลังให้คำชี้แนะแก่ลูกศิษย์ ชายร่างสูงคนหนึ่งก็กำลังเดินมาที่ห้องเรียนของเขา พร้อมกับชายชราอีกคน

“ผู้เฒ่าหลิว ที่คุณพูดเป็นเรื่องจริงใช่ไหม” ชายร่างสูงถามชายชราที่เดินอยู่ข้างๆ

“เรียนคุณชาย เป็นเรื่องจริงครับ นายหญิงน้อยยอมรับจางเซวียนเป็นอาจารย์จริงๆ” ชายชราพยักหน้า

หากจางเซวียนอยู่ที่นี่จะต้องจำได้แน่ว่าชายชราคนนี้เป็นคนที่ช่วยหวังหยิ่งให้ลาออกจากการเป็นศิษย์ของจางเซวียน ส่วนคนที่ชายชราเรียกว่า ‘คุณชาย’ นั้นคือพี่ชายแท้ๆ ของหวังหยิ่ง อัจฉริยะประจำโรงเรียนหงเทียน ศิษย์เอกของผู้อาวุโสระดับสูงในโรงเรียน… นามว่า ‘หวังเทา’

“จางเซวียนอย่างนั้นรึ? คนที่สอบได้ศูนย์คะแนนจากการประเมินศักยภาพอาจารย์รอบที่แล้ว เขามีสิทธิ์อะไรมาสอนน้องสาวฉัน บัดซบที่สุด! ถ้าวันนี้ฉันไม่เล่นงานเขาให้เละ ให้เขารู้ถึงผลของการรังแกน้องฉัน ก็อย่ามาเรียกฉันว่าหวังเทา!”

หวังเทากล่าวพร้อมกับก้าวไปข้างหน้าอย่างโกรธแค้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!