ตอนที่ 25 หาเรื่อง
“อาจารย์ซั่ง” ท่าทางของเฉาฉงดูให้เกียรติซั่งปิงอย่างมาก
“ที่แท้ก็อาจารย์เฉานั่นเอง คุณมาหาผมหรือ?” ซั่งปิงมองอย่างสงสัย ถึงแม้ทุกคนล้วนเป็นอาจารย์ของโรงเรียนหงเทียน ในยามปกติก็เจอหน้ากันอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ค่อยได้พูดคุยถามไถ่เรื่องสารทุกข์สุกดิบกันนัก
เฉาฉงหยุดคิดสักพักแล้วพูดออกมา “ครับ พอดีผมมีเรื่องเล็กน้อยอยากจะขอให้อาจารย์ซั่งช่วยหน่อย”
“หากเป็นเรื่องที่ผมช่วยได้ ขอให้พูดมาเลย ผมยินดีช่วยเต็มที่” ซั่งปิงตอบกลับทันที ในฐานะที่เป็นหลานแท้ๆ ของผู้เฒ่าซั่งเฉิน จึงไม่แปลกที่มักจะมีอาจารย์ทั้งหลายมาขอความช่วยเหลือจากซั่งปิง เหตุการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
“คืออย่างนี้ครับ เมื่อวานนี้ผม…รับลูกศิษย์มาคนหนึ่ง แต่กลับถูกอาจารย์อีกคนใช้วิธีสกปรกหลอกลวงไป ผู้เฒ่าซั่งเป็นผู้ดูแลเรื่องการเรียนการสอนถูกไหมครับ ผมเลยอยากถามว่า… พอจะมีวิธีให้ผมสามารถโอนย้ายศิษย์ของตัวเองกลับคืนมาอยู่กับผมได้ไหม…” เฉาฉงกล่าว
หลิวหยางเป็นศิษย์ที่เขารับมาได้ด้วยความยากลำบาก แต่สุดท้ายกลับต้องสูญเสียไปหลังจากประลองกับจางเซวียน เฉาฉงยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น วันนี้เขาทนไม่ไหวจริงๆ เลยเจาะจงมาขอให้ซั่งปิงช่วย… ปู่ของซั่งปิงคือผู้เฒ่าซั่งเฉิน อาจารย์ใหญ่ผู้ดูแลฝ่ายการเรียนการสอน การจะให้เขาช่วยสับเปลี่ยนศิษย์ให้กลับมานั้นง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วย
“โอนกลับมาหรือ?” ซั่งปิงขมวดคิ้วทันที “ถ้าเด็กคนนั้นยอมไปเองล่ะก็ คงเป็นเรื่องยากที่จะโอนย้ายกลับมานะครับ คุณเองก็รู้ เด็กสมัยนี้ค่อนข้างเรื่องมาก หากมีอะไรไม่พอใจก็จะฟ้องไปยังเบื้องบนเลยทีเดียว พวกเราเองก็…”
“เขาไม่ได้อยากจะไปเองครับ ผมมีหลักฐานสามารถยืนยันได้” เฉาฉงรีบพูดขึ้นทันที
“ถึงแม้จะไม่ใช่ตัวศิษย์ยินยอมไปเอง แต่ถ้าอาจารย์อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยเด็ก ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี คุณก็รู้ว่าโรงเรียนมีกฎข้อนี้อยู่…” ซั่งปิงส่ายมือไปมา ทันใดนั้น… จู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้น “คุณบอกว่า…ถูกหลอกลวงอย่างนั้นหรือ ไม่ทราบว่าอาจารย์ท่านใดหลอกลวงเอาลูกศิษย์ของคุณไป”
“ก็อาจารย์เศษสวะประจำโรงเรียนของเราอย่างไรล่ะครับ เจ้าจางเซวียน” เมื่อพูดถึงอาจารย์หนุ่มคนนี้ เฉาฉงก็กัดฟันทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นที่มีต่อจางเซวียน
“จางเซวียน ศิษย์ของคุณถูกเขาหลอกเอาไปหรือ?” เมื่อได้ยินคำว่าจางเซวียน ไฟในอกของซั่งปิงก็ลุกไหม้ออกมาเช่นกัน
หากไม่ใช่เพราะว่ามัน เมื่อวานนี้เขาจะต้องได้กินข้าวเย็นกับเทพธิดาของตนไปแล้ว เป็นแค่นักรบขั้นสาม – เจิ้นชี่ คะแนนประเมินผลเป็นศูนย์ กลับกล้ามาต่อกรกับคนอย่างเขา ช่างเป็นคนที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเอาเสียเลย
ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อวานนี้เสิ่นปี้หรูอยู่ด้วย เขาคงฆ่าจางเซวียนทิ้งไปแล้ว
“ใช่ อาจารย์แบบนั้น ใครที่ไหนจะอยากไปเป็นลูกศิษย์ของเขากัน ผมถูกกลั่นแกล้ง ก็เลยอยากจะขอร้องให้อาจารย์ซั่งช่วยไปบอกกับผู้เฒ่าซั่งให้หน่อย ช่วยโอนศิษย์คนนั้นของผมกลับมาให้ที…” เฉาฉงพูดอย่างระมัดระวังปาก กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมช่วยเหลือ
“ไม่ต้องไปพูดกับคุณปู่หรอก ผมนี่แหละจะไปจัดการเขาให้คุณเอง”
“คุณจะช่วยผมจัดการอย่างนั้นหรือ”
“อาจารย์คนอื่นอาจจะต้องให้ปู่ของผมช่วยจัดการ แต่เศษสวะอย่างจางเซวียน ไม่ต้องเดือดร้อนถึงคุณปู่ของผมหรอก ไปเอาลูกศิษย์ของคุณกลับมาเลยก็ยังได้ ถ้าจางเซวียนไม่ยอม ก็อัดเขาให้พิการไปเลย”
ซั่งปิงสะบัดแขนอย่างแรง อารมณ์เดือดดาลเป็นอย่างมาก ให้จัดการกับอาจารย์คนอื่นๆ เขาเองยังคิดไม่ออก แต่สำหรับอาจารย์ที่อ่อนแออย่างจางเซวียนนั้น เขาจะลงมือสั่งสอนเมื่อไรก็ย่อมได้
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตนเองกำลังหาเหตุผลที่จะลงมือกับจางเซวียนอยู่พอดี อย่างนี้ต่อให้เสิ่นปี้หรูมารู้ทีหลังก็คงไม่เป็นไร ในเมื่อเจ้านั่นมาหลอกเอาศิษย์ของคนอื่นไป เขาก็แค่ผดุงความยุติธรรมเท่านั้น!
“อ่า… ครับ…” เฉาฉงถึงกับทำอะไรไม่ถูก เขาคิดไม่ถึงว่าซั่งปิงจะเป็นคนใจกว้างเช่นนี้
“เอาล่ะ… คุณมากับผม ถ้าคุณกลัว ผมจะลงมือเอง” ซั่งปิงกล่าวอย่างเต็มปาก สายตาเปี่ยมไปด้วยไอสังหารของนักฆ่าเลือดเย็น
“เช่นนั้นต้องขอบคุณอาจารย์ซั่งเป็นอย่างสูง” เฉาฉงดีใจเป็นอย่างยิ่ง พยักหน้าทันที ทั้งคู่ต่างเร่งฝีเท้าไปยังห้องเรียนของจางเซวียน ไม่นานทั้งคู่ก็มาถึง เห็นว่าตรงหน้าห้องมีเหยาฮั่นที่มีสภาพไม่ต่างอะไรกับมัมมี่ และคุณชายตระกูลหวังยืนหน้าเครียดอยู่
“หวังเทา ทำไมคุณไม่ไปฝึกวิชาที่ห้องปู่ผม แต่กลับมาทำอะไรที่นี่?” ซั่งปิงขมวดคิ้วขึ้นทันที แม้ว่าเขาจะเป็นหลานของผู้เฒ่าซั่ง แต่ฐานะของเขาก็เทียบอะไรไม่ได้เลยกับหวังเทา
“อาจารย์ซั่งปิง” หวังเทาโค้งศีรษะทำความเคารพอีกฝ่าย
“น้องสาวของผมถูกคนหลอกมาที่นี่ ผมต้องการจะช่วยเธอออกมาครับ…”
“ซั่งปิงหรือ” เหยาฮั่นตะลึง… เมื่อครู่เขายังคิดหาวิธีสืบเรื่องซั่งปิงอยู่เลย พอรู้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้าคือซั่งปิงเหยาฮั่นก็เงยหน้าขึ้นมอง
“นี่อย่าบอกนะว่า นายหญิงน้อยหวังหยิ่งก็ถูกหลอกเหมือนกัน” สีหน้าซั่งปิงบูดเบี้ยวลงทันที สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น “เจ้าจางเซวียนคนนี้ช่างใจกล้าเหลือเกิน ขนาดนายหญิงน้อยตระกูลใหญ่มันยังกล้าหลอก รนหาที่ตายชัดๆ เห็นทีว่าคงจะต้องลงมือสั่งสอนกันบ้างเสียแล้ว”
“ใช่แล้วครับ” หวังเทาพยักหน้า
“ในเมื่อนายหญิงน้อยหวังหยิ่งถูกหลอกมาที่นี่ แล้วทำไมคุณไม่เข้าไปช่วยเธอออกมา กลับมายืนอยู่หน้าห้องแบบนี้ทำไม” ซั่งปิงมองหวังเทาด้วยความสงสัย
“คือว่า…” หวังเทาไม่กล้าบอกความจริงเรื่องที่เขาถูกซัดกระเด็นออกมาแบบหมดรูป จึงได้แต่ส่ายหัว ขณะที่เขาไม่รู้จะตอบซั่งปิงอย่างไรนั้น เหยาฮั่นผู้ซึ่งอยู่ข้างๆ ก็เริ่มเปิดปากขึ้น
“โรงเรียนมีข้อห้ามว่าไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าห้องเรียนในชั่วโมงเรียน ดังนั้น พวกเราจึงทำได้เพียงแต่รออยู่ตรงหน้าประตูนี่แหละ”
“ท่านนี่คือ…” ซั่งปิงพึ่งจะสังเกตเห็นเหยาฮั่นในชุดมัมมี่
“เขาคือพ่อบ้านของท่านเจ้าเมืองไป๋หยู เหยาฮั่น” หวังเทารีบแนะนำ
“ที่แท้ก็คือพ่อบ้านเหยานั่นเอง เคยได้ยินกิตติศัพท์มาช้านาน” ซั่งปิงรีบพยักหน้าและพูดต่อไปว่า “โรงเรียนมีกฎนี้ก็จริง แต่ไม่เป็นไร พวกคุณตามผมมาก็พอ วันนี้ผมจะสั่งสอนอาจารย์ที่ไร้จรรยาบรรณอย่างมันเอง”
“ดี!” เมื่อได้ยินว่าซั่งปิงจะลงมือเอง หวังเทาก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง รีบตามไปทันที ส่วนเหยาฮั่นหยุดคิดสักพักหนึ่งแล้วจึงเดินตามไป
ในห้องเรียน
“เคล็ดวิชาหงเทียนเก้าขั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นวิชาพื้นฐานของโรงเรียนหงเทียน แต่วิชานี้ก็ยังคงมีจุดบกพร่องอยู่หลายจุด อาทิ…”
ศิษย์ทั้งห้านั่งฟังการอธิบายของจางเซวียนอย่างตั้งใจ เพียงฟังได้ไม่นาน ทุกคนก็รู้สึกเพลิดเพลินกับวิธีการสอนเสมือนกับได้กินโสมบำรุงร่างกาย
ศิษย์ในห้องทุกคน นอกจากหยวนเทาแล้ว ต่างก็มีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา หากไม่มาเรียนที่โรงเรียน พวกเขาก็ยังสามารถเรียนรู้จากระบบการสอนรูปแบบอื่นได้ พวกเขาเคยฟังการบรรยายจากเหล่าอาจารย์มามากมายนับไม่ถ้วน แม้แต่อาจารย์ที่เป็นนักรบขั้นห้าหรือขั้นหก ต่างก็เคยให้คำแนะนำกับพวกเขามาก่อน ทว่า…ไม่มีใครบรรยายได้ตรงจุดเช่นที่จางเซวียนทำ
ทำให้สมองของพวกเขารับรู้ถึงความแปลกใหม่ สิ่งที่เคยสงสัยก็เข้าใจได้โดยง่าย เพียงคาบแรก ความรู้ในหัวของลูกศิษย์ทุกคนก็ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่
อาจารย์บรรยายได้ดีมาก
แม้แต่จ้าวหย่าเองยังยอมรับว่า บิดาผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้กับเธอยังอธิบายไม่ลึกซึ้งเท่ากับจางเซวียนผู้นี้ คำพูดของอาจารย์จางทะลุไปทุกจุดที่สำคัญที่สุดของเนื้อหา ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาใด เขาก็สามารถจับข้อบกพร่องออกมาได้ในพริบตา ทำให้ผู้ฟังรู้สึกตะลึงไปตามๆ กัน
หลายครั้งที่อาจารย์จางพูดออกมาประโยคหนึ่ง ลูกศิษย์จะต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการทำความเข้าใจกับมัน พอคิดออก ก็พบว่าอาจารย์ได้พูดไปถึงเรื่องอื่นแล้ว จึงมีความรู้ใหม่ๆ อีกหลายอย่างที่พวกเขาเก็บไม่หมดเพราะฟังไม่ทัน
“ความสามารถของอาจารย์จางสูงเกินไปจริงๆ” ณ ตอนนี้ ลูกศิษย์ทั้งห้าคนรู้แล้วว่าอาจารย์หนุ่มที่อายุมากกว่าพวกเขาไม่เท่าไร กลับมีความรู้ความสามารถที่อัดแน่น นับเป็นบุคคลากรที่ทรงประสิทธิภาพมากคนหนึ่ง
“เมื่อก่อนฉันยังเคยคิดว่าเป็นเพราะโชค อาจารย์จางเพียงชี้แนะครั้งเดียว ความสามารถของฉันก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในชั่วพริบตา ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า…จากความรู้ที่เขามี การชี้แนะบางจุดนับว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยจริงๆ ไม่แน่ว่าเขายังมีอีกหลายร้อยวิธีในหัวที่จะพัฒนาศิษย์ของเขา”
หลิวหยางที่เคยนึกว่าตนเองเหนือกว่าคนอื่นอยู่เสมอ ก็ยังนั่งฟังนิ่งอยู่กับที่ ไม่กล้าวอกแวกไปไหน “หากเอาอาจารย์เฉาฉงมาเทียบกับอาจารย์จางแล้ว… เฮ้อ… อย่าเอามาเปรียบเลย ไม่มีอะไรจะเทียบกันได้สักนิด ความสามารถของคนทั้งสองต่างกันมากราวกับมาจากคนละโลก โชคดีนะที่พวกเขาประลองกัน ไม่อย่างนั้นเราจะมาพบกับอาจารย์ที่เก่งกาจขนาดนี้ได้อย่างไร…”
ลูกศิษย์ทั้งห้าต่างก็รู้สึกดีใจไปตามๆ กัน ทุกคนตั้งใจรับฟังคำสอนของจางเซวียนอย่างเต็มที่ กลัวว่าจะไม่ได้ยินคำสอนทั้งหมด ขณะที่พวกเขากำลังมีความสุขอยู่กับการเรียนการสอนในห้องเรียนของจางเซวียนอยู่นั้น
ประตูห้องก็ถูกเปิดออก มีคนหลายคนเดินพุ่งเข้ามาในห้องเรียนอย่างรวดเร็ว