ตอนที่ 27 คนตระกูลหวัง บ้าไปแล้ว
“เอาล่ะ บทเรียนของวันนี้ถึงเท่านี้ ทุกคนจงกลับไปทำความเข้าใจกับบทเรียนอย่างละเอียดถี่ถ้วน หากมีอะไรไม่เข้าใจ สามารถมาพบผมเป็นการส่วนตัวได้”
จางเซวียนโบกมือ
“รับทราบ” ลูกศิษย์ทั้งห้าตอบพร้อมกันและเดินออกจากห้องเรียนไป
แม้ว่าชั่วโมงเรียนจะกินเวลาไม่นาน ทั้งยังมีคนเข้ามาขัดจังหวะ แต่สำหรับเหล่าศิษย์แล้ว ความรู้ที่ได้รับมีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว สามารถบอกได้ว่าหากขยันฝึกฝนต่อ ผู้ฝึกจะต้องก้าวหน้าอย่างมากแน่ ลูกศิษย์ทั้งห้าต่างก็รู้สึกดีใจ
เพิ่งเดินออกจากห้องเรียนมาได้ไม่กี่ก้าว หวังเทาก็กรากเข้ามาลากหวังหยิ่งผู้เป็นน้องสาว “ไป กลับบ้านกับพี่”
“กลับบ้าน? ทำไมต้องกลับด้วยล่ะคะ” หวังหยิ่งตกใจมาก
“นี่ถึงขนาดไม่ฟังคำพูดของพี่ชายแล้วหรือ กล้าดีอย่างไรไปคารวะอาจารย์สุ่มสี่สุ่มห้า พี่เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ท่านพ่อฟังแล้ว ท่านจะคุยกับเธอตัวต่อตัว” หวังเทาตอบกลับอย่างหัวเสีย ครั้งแรกที่เขาเดินเข้าห้องเรียนกลับถูกโยนออกมา ครั้งที่สองเขาเข้าไปในห้องเรียนแต่กลับไม่ได้อะไรติดมือ พอเห็นสภาพน้องสาวเป็นเช่นนี้ เขารู้ดีว่าตนกล่อมน้องสาวคนนี้ไม่สำเร็จอย่างแน่นอน จึงสั่งให้ผู้เฒ่าหลิวกลับไปรายงานให้กับคนที่บ้านฟัง
คิดจะให้บิดาเป็นฝ่ายกล่อมน้องสาวแทน หวังหยิ่งเป็นคนซื่อ เธอเชื่อฟังและเคารพคำพูดของท่านพ่อมากกว่าใคร
“ท่านพ่อ…” หวังหยิ่งตกใจ บิดาของพวกเขาทั้งสองคือนายท่านหวังหง ผู้อาวุโสสูงสุดของบ้านตระกูลหวังคนปัจจุบัน หวังหงเป็นคนจริงจัง ไม่ชอบพูดเล่น นิสัยแข็งกระด้าง แม้แต่ลูกหลานของเขาเอง เมื่อเจอหน้าก็ยังรู้สึกหวาดกลัว
“แต่…พี่ใหญ่ อาจารย์จางเซวียนไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นพูดกันเลยนะคะ เขาสอนได้ดีมาก…” หวังหยิ่งคิดจะอธิบาย
“เก็บคำพูดเหล่านี้ไปพูดให้ท่านพ่อฟังเถอะ ดูสิว่าเขาจะเชื่อไหม” หวังเทาโบกมือ ไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ พาน้องสาวเดินออกนอกโรงเรียนทันที
โรงเรียนหงเทียนและบ้านตระกูลหวังอยู่ห่างกันไม่มาก ผ่านไปไม่นาน พี่น้องคู่นี้ก็เดินมาถึงบ้านของพวกเขา หวังเทารีบพาน้องสาวไปพบบิดาที่ห้องหนังสือ
“เข้ามา” น้ำเสียงอันเย็นเยือกของหวังหงดังขึ้น
“ค่ะ” หวังหยิ่งตอบกลับอย่างประหม่า ได้แต่เดินตามหลังพี่ชายตัวเอง
ในห้องหนังสือ หวังหงนั่งอยู่ที่ใจกลาง สองข้างมีผู้เฒ่าประจำตระกูลหลายคนนั่งร่วมอยู่ด้วย ยังมีวัยรุ่นคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ หวังหยิ่งรู้จักเด็กหนุ่มคนนั้นดี เขาเป็นหลานชายของผู้เฒ่ารอง นามว่าหวังเหยียนเธอและหวังเหยียนเข้าเรียนที่โรงเรียนหงเทียนพร้อมกัน หวังเหยียนคารวะอาจารย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโรงเรียนเป็นอาจารย์ซึ่งก็คือลู่ฉวิน แต่ตัวเธอกลับคารวะอาจารย์ที่แย่ที่สุดในโรงเรียนเช่นจางเซวียนแทน
“ท่านพ่อ” บรรยากาศในห้องหนังสือเงียบสงัดอย่างมาก เธอจึงไม่กล้าเปิดปากพูด
“คุกเข่าลง” หน้าตาหวังหงดูเคร่งเครียด สำหรับนักรบแล้ว อาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชามีความสำคัญเป็นอย่างมาก ก่อนเข้าเรียนที่โรงเรียนหงเทียน เขาเคยกำชับลูกสาวให้คารวะลู่ฉวินเป็นอาจารย์แล้ว แต่เธอกลับ…
ลูกสาวของเขาจะคารวะอาจารย์คนไหนก็ได้ แต่ทำไมต้องเป็นอาจารย์ที่แย่ที่สุดในโรงเรียนด้วย เมื่อครู่ตอนที่ได้ยินว่าลูกสาวของตนนั้นคารวะจางเซวียนเป็นอาจารย์ เขาเกือบจะโกรธจนกระอักเลือดตาย
หวังหยิ่งพึมพำเบาๆ และคุกเข่าลง
“หนูรู้ความผิดของตัวเองไหม” หวังหงเอ่ยถาม
“หนู…”
“การคารวะอาจารย์เป็นสิทธิ์ส่วนตัว อันที่จริงพ่อเองก็ไม่อยากจะพูดอะไรมาก แต่หนูไม่รู้ความสามารถของจางเซวียนเลยหรือไง
สอนจนลูกศิษย์ธาตุไฟเข้าแทรก คนแบบนี้มีคุณสมบัติอะไรจะมาเป็นอาจารย์ของหนู หา? “หวังหงมีสีหน้าดุดันเป็นอย่างมาก” หากไม่รู้ตื้นลึกหนาบางก็ไม่เป็นไร เลือกอาจารย์ผิดก็แล้วไป แต่ทำไมหนูถึงไม่ยอมฟังคำตักเตือนของคนอื่นบ้าง พ่อได้ยินมาว่าพี่ชายของหนูสั่งให้หนูลาออกจากห้องเรียนของจางเซวียน แต่หนูกลับไม่ทำตามหรือ คิดจะทำอะไรกันแน่”
เสียงของหวังหงดังมากขึ้นเรื่อยๆ ดังจนสะเทือนไปทั้งห้องหนังสือ
“หนู…” หวังหยิ่งหน้าแดงเมื่อถูกบิดาตำหนิ แต่เธอก็กัดฟันและพูดต่อ “ท่านพ่อ ที่จริงแล้วอาจารย์จางไม่ได้เลวร้ายอย่างที่พวกท่านกล่าวหา เขามีความสามารถ เพียงแต่เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบโอ้อวด หนูจะเรียนกับเขา หนูจะไม่ลาออก”
เพียงเรียนไปแค่วันเดียว เธอก็ได้รับความรู้ใหม่ๆ มากมาย หวังหยิ่งรู้ดีว่าการที่ได้มาเรียนกับอาจารย์จางเป็นความโชคดีที่ไม่ได้หามาได้ง่ายๆ หากสูญเสียโอกาสนี้ไป เธออาจจะเสียใจไปตลอดชีวิต
“อาจารย์ที่เต็มไปด้วยความสามารถงั้นหรือ ฮ่าๆ เป็นอัจฉริยะที่ได้ศูนย์คะแนนจากการประเมินผลสินะ”
“หวังหยิ่ง หนูจะต้องฟังคำเตือนของผู้ปกครอง อย่าไปติดกับดักของเจ้า
จางเซวียนมันได้”
“หนูดูอย่างหวังเหยียนสิ แม้วันนี้จะเข้าเรียนเป็นครั้งแรก แต่พลังการโจมตีของเขาเพิ่มขึ้นถึง 40% เชียวนะอาจารย์ลู่ฉวินสอนได้ดีที่สุดในโรงเรียนสมคำร่ำลือ” เมื่อได้ยินสิ่งที่ออกจากปากของเด็กสาว เหล่าผู้เฒ่าจึงได้แต่หัวเราะและส่ายหน้าไปมา
ชื่อเสียงของจางเซวียนเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งเมืองเทียนเซวียน แต่เด็กนี่กลับบอกว่าเขาเป็นอาจารย์ที่มีความสามารถ น่าตลกสิ้นดี
“นี่…” เมื่อหวังหงได้ยินคำพูดของลูกสาวก็ถึงกับเลือดขึ้นหน้า “พ่อไม่สนใจว่าหนูจะพูดอะไร วันนี้ให้ไปลาออกซะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องเหยียบเข้ามาในบ้านนี้อีก”
“หนูไม่ออก” แม้หวังหยิ่งภายนอกจะดูบอบบาง แต่เธอก็มีความมุ่งมั่นพอตัว เธอยืนขึ้นทันที “พวกท่านไม่เคยเข้าฟังการเรียนการสอนของอาจารย์จางเซวียน รู้ได้อย่างไรว่าเขาสอนไม่ดี จะมาบังคับให้หนูลาออกจากห้องของอาจารย์จางได้อย่างไร”
“แม้ว่าพวกเราจะไม่เคยฟังการสอนของเขา แต่ชื่อเสียงของเขาเป็นที่ประจักษ์ไปทั่ว หรือหนูคิดว่าคะแนนการประเมินผลเป็นของปลอม” ผู้เฒ่าคนหนึ่งพูดขึ้น
“หวังหยิ่ง หนูเองก็อย่าดื้อรั้นไปหน่อยเลย การเรียนการสอนของเขาเป็นอย่างไร ลูกศิษย์ตั้งมากมายก็เคยพิสูจน์แล้ว หรือว่ามีเพียงหนูคนเดียวที่ฉลาดหลักแหลม เข้าใจเร็วกว่าคนอื่นน่ะ” ผู้เฒ่าอีกคนหนึ่งว่าต่อ
“หนูไม่รู้ว่าคะแนนประเมินผลเป็นของจริงหรือไม่ แต่หนูรู้ว่าเขารักษาขาทั้งสองข้างของหนูจนหายได้ แค่ชี้แนะเล็กน้อย พลังการโจมตีของหนูก็เพิ่มสูงขึ้นกว่า 100%” หวังหยิ่งตอบ
“รักษาขาทั้งสองข้างจนหายหรือ?”
“อาการที่ขาของหนู ขนาดหมอหยวนหยู่ยังรักษาไม่ได้ หนูกลับบอกว่าอาจารย์ที่ได้ศูนย์คะแนนในการประเมินผล รักษาขาของหนูจนหายได้อย่างนั้นหรือ”
“หวังหยิ่ง หากหนูคิดจะแต่งเรื่อง ก็ควรจะแต่งเรื่องให้มันใกล้เคียงกับความเป็นจริงสักหน่อยนะ…” อาการบาดเจ็บที่ขาของหวังหยิ่ง สมาชิกทุกคนของตระกูลหวังต่างรู้ดี เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ผู้เฒ่าหลายคนต่างก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ
“ถ้าอย่างนั้นพวกท่านก็ดูเองแล้วกัน” เมื่อเห็นว่าผู้เฒ่าหลายคนไม่เชื่อในคำพูดของตน หวังหยิ่งก็ไม่รอช้า เดินไปที่เสาหินแล้วยกขาเตะไปที่เสาต้นนั้นทันที
เปรี้ยง! เสาหินสั่นไปมา ตัวเลขของพลังปรากฏขึ้น
205
“อะไรกัน!” เมื่อเห็นเช่นนี้ หวังหงถึงกับตะลึง เหล่าผู้เฒ่าที่พูดดูถูกจางเซวียนไปเมื่อครู่ต่างก็ตกใจกับสิ่งที่เห็น ขาทั้งสองข้างของหวังหยิ่งนี้ได้รับบาดเจ็บมานาน จากการวิเคราะห์ของผู้เฒ่าทั้งหลายก่อนหน้านี้ พวกเขาสรุปว่ารักษาไม่หายแน่นอน ขาของหวังหยิ่งไม่สามารถออกแรงทำอะไรได้ แค่สามารถเดินเหินไปมาตามปกติได้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว
แต่ลูกเตะของเธอกลับมีพลังสูงถึง 205 กิโลกรัม
นี่… นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน
หลังจากลองพลังเตะแล้ว หวังหยิ่งก็ไม่รอช้า ซัดหมัดไปที่เสาหินอีกครั้งอย่างจัง
ตัวเลขปรากฏขึ้นบนเสาหินทันที
120
พลังของหมัดอยู่ที่ 120 กิโลกรัม!
“หวังหยิ่ง… หนูเป็นแค่นักรบขั้นจวีซี เมื่อวานตอนที่ออกจากบ้าน พลังหมัดก็ยังอยู่ที่ 53 กิโลกรัมอยู่เลย แต่ทำไมตอนนี้มันถึงได้กลายเป็น…120 กิโลกรัมไปแล้วล่ะ” หวังหงลุกพรวดขึ้นมาทันที น้ำเสียงสั่นๆ เหมือนกำลังตกใจกับอะไรบางอย่าง
นักรบขั้นหนึ่ง – จวีซี จะมีคุณสมบัติในการรวบรวมปราณภายในร่างกาย มีประสาทสัมผัสที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สามารถควบคุมการไหลเวียนของปราณในร่างของตนได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง
นักรบขั้นหนึ่ง ยังแบ่งออกเป็นระดับต่ำ กลาง สูง และสูงสุด ซึ่งระดับต่ำจะมีพลังหมัดอยู่ที่ 50 กิโลกรัม, ระดับกลางอยู่ที่ 70 กิโลกรัม, ระดับสูงอยู่ที่ 90 กิโลกรัม และระดับสูงสุดจะอยู่ที่ 110 กิโลกรัม
ตัวเลขเหล่านี้คือเกณฑ์ของกำลังภายในในร่างที่ผู้ฝึกในแต่ละขั้นสามารถระเบิดออกมาได้ พลังของหมัดที่ปล่อยออกมาส่วนมากจะอยู่ในเกณฑ์ ไม่ว่าจะค่อนข้างสูงหรือค่อนข้างต่ำก็จะถือว่าปกติ โดยทั่วไปพลังการโจมตีเพิ่มขึ้น 20% – 30% ก็นับว่าดีอย่างที่สุดแล้ว แม้แต่ศิษย์ของอาจารย์ลู่ฉวินเอง ก็สามารถเพิ่มพลังได้เพียง 40%
เรียกได้ว่าหวังหยิ่งยังเป็นนักรบขั้นหนึ่งไม่เปลี่ยน แต่เธอกลับมีพลังหมัดที่มีความหนักหน่วงมากถึง 120 กิโลกรัม พลังการโจมตีเพิ่มขึ้นกว่า 100% ต่อให้เทียบกับนักรบขั้นหนึ่งด้วยกันที่อยู่ในระดับสูงสุด พลังของหวังหยิ่งที่เพิ่มขึ้นก็ไปไกลกว่านั้นมากแล้ว
“ที่หนูก้าวหน้าขึ้นได้ขนาดนี้ ก็เพราะฟังคำชี้แนะจากอาจารย์จาง” พอออกหมัดเสร็จ หวังหยิ่งก็รีบผ่อนกำลังลงและปรับชีพจรของตนทันที
“แค่ชี้แนะเพียงครั้งเดียว ก็สามารถทำให้หนูก้าวหน้าได้มากขนาดนี้เลยหรือ แล้ว…ยังรักษาขาอีก” หวังหงไม่อยากจะเชื่อเลยให้ตายสิ เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าลูกสาว เพียงมองแค่ครั้งเดียวก็รู้ทันทีว่าขาของเธอหายดีแล้ว
อาจารย์ที่แย่ที่สุดในโรงเรียน ไม่เพียงแต่จะสามารถรักษาอาการที่หมอหยวนหยู่รักษาไม่ได้ ทั้งยังชี้แนะเพียงครั้งเดียวก็เพิ่มพลังให้หวังหยิ่งถึง 100% นี่เป็นความจริงหรือ “เนื้อหาที่เขาสอนหนูในวันนี้ หนูบอกให้พวกเราฟังได้ไหม เขาสอนอะไรหนูบ้าง”
“ได้ค่ะ เคล็ดวิชาที่อาจารย์จางสอนในวันนี้ลึกซึ้งอย่างมาก หนูจำได้เพียงแค่ 10% เท่านั้น แต่หนูจะเล่าให้ฟัง…”
หวังหยิ่งหยุดนิ่งสักพักแล้วเล่าเนื้อหาที่จางเซวียนสอนให้กับทุกคนในห้องหนังสือได้ฟัง “การบำรุงพลังขั้นจวีซี… เพียงแค่พลังขั้นจวีซีก็มีหลักการที่ลึกซึ้งมากมายแฝงอยู่”
“เป็นเนื้อหาที่ดีมากจริงๆ ถ้าผมได้ฟังคำสอนเช่นนี้บ้าง ตอนนี้ก็คงไม่ต้องหยุดอยู่ที่ระดับที่ฝึกอย่างไรก็ไม่ก้าวหน้าแบบนี้หรอก”
“เป็นหลักการของระดับปรมาจารย์จริงๆ ผมรู้สึกเข้าใจอะไรขึ้นมาก…”
หวังหยิ่งแค่พูดตามคำพูดของจางเซวียนเพียงไม่กี่คำ ก็เห็นปฏิกิริยาของทั้งบิดาและบรรดาผู้เฒ่าในห้องหนังสือ พวกเขาต่างพากันประหลาดใจ ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่จางเซวียนสอน จางเซวียนมีความรู้มากมายเช่นนี้ได้อย่างไร
ในฐานะผู้อาวุโสประจำตระกูล ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งนั้น และล้วนเป็นนักรบขั้นหก – พี่เชวี่ยเป็นอย่างต่ำ ต่างก็ฝึกวิชามานานหลายปี รอบรู้กว้างขวาง รู้ถึงรายละเอียดของสิ่งต่างๆ ในเชิงลึก
“เขาคือยอดฝีมือระดับปรมาจารย์อย่างไม่ต้องสงสัย… ไม่สิ แม้ปรมาจารย์เองก็ยังไม่สามารถอธิบายถึงเคล็ดลับต่างๆ ได้อย่างชัดเจนขนาดนี้” หวังหงกล่าวขึ้นมาอย่างตกใจ ตาค้างอยู่นาน
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ” เห็นสภาพบิดาของตัวเองที่ดูเลื่อนลอยเข้าไปทุกที หวังหยิ่งจึงรีบตะโกนขึ้นทันที
“เอาล่ะ หวังหยิ่ง ห้องเรียนของอาจารย์จางเซวียนหนูจะลาออกไม่ได้อย่างเด็ดขาด จะต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเอาวิชาความรู้มาให้ได้มากที่สุด…”
สติของหวังหงกลับมาสู่สภาพปกติ เขามองไปที่หวังหยิ่งด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม
“แต่เมื่อครู่ท่านพ่อบอกว่า…” เธอไม่คิดว่าบิดาหัวโบราณคนนี้จะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนในพริบตา หวังหยิ่งรู้สึกแปลกๆ
“เมื่อครู่พ่อไม่รู้ว่าอาจารย์จางของหนูจะเก่งกาจขนาดนี้นี่ จริงสิ…” หวังหงพูดกับลูกสาวต่อด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
“ลูกหยิ่ง หนูลองถามอาจารย์จางของหนูให้พ่อหน่อยสิว่า… เขายังรับศิษย์เพิ่มอีกไหม ให้เจ้าหวังเหยียนกับหวังเทาไปเล่าเรียนกับเขาด้วยได้หรือเปล่า… อันที่จริง ตัวพ่อเองก็มีหลายอย่างที่อยากจะได้คำชี้แนะ… หากพ่อได้เป็นศิษย์ของอาจารย์จางบ้างล่ะก็…”
“เอ่อ… นายท่าน ท่านเป็นนายท่านใหญ่ตระกูลหวัง จะไปขอคำชี้แนะจากอาจารย์ไร้ชื่อเช่นนั้นได้อย่างไร หากคนอื่นรู้เข้า พวกเราตระกูลหวังจะเอาหน้าไปไว้ในมุมไหนของเมืองเทียนเซวียน” หวังหงยังพูดไม่ทันจบก็ถูกผู้เฒ่าคนหนึ่งพูดขัดจังหวะขึ้นมา พอกล่าวตำหนิหวังหงจบ ผู้เฒ่าคนนี้ก็หันมายิ้มให้กับหวังหยิ่ง “ผิดกับปู่… ปู่เป็นแค่ผู้เฒ่าธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่ได้เป็นหน้าเป็นตาอะไรของตระกูลหวังทั้งนั้น อีกทั้งปู่ยังสามารถสละตำแหน่งผู้เฒ่าประจำตระกูลเมื่อไหร่ก็ได้ด้วย หนูช่วยไปถามอาจารย์จางให้ปู่หน่อยสิว่า พอจะรับปู่เป็นศิษย์ได้ไหม”
“…” หวังเทา หวังหยิ่ง และหวังเหยียน
“…” เช่นเดียวกับหวังหง