ตอนที่ 29 ประสาทหรือไง
“อะไรกันเนี่ย?”
เสิ่นปี้หรูที่อยู่ในหอสมุดได้ยินเสียงการก้าวเท้าและเสียงการพลิกหนังสือด้วยเช่นกัน แรกๆ เธอก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดสังเกต แต่พอเริ่มนานเข้า เธอรู้สึกได้ทันทีว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน
การอ่านหนังสือจะต้องใช้เวลาในการดูดซับความรู้ อ่านเร็วแบบนี้จะเรียกว่าอ่านหนังสือได้อย่างไร? เธอเกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก จนอดไม่ได้ที่จะเดินไปหาแหล่งที่มาของเสียงพลิกหนังสือ
เธอเห็นจางเซวียนกำลังพลิกเปิดหน้าหนังสืออย่างรวดเร็ว หนังสือชั้นแล้วชั้นเล่าถูกเขาคว้าลงมาพลิกเปิดแล้ววางเก็บ… พลิกเปิดแล้ววางเก็บ… ท่าทางแบบนี้ของจางเซวียนดูไม่เหมือนอ่านหนังสือ แต่ดูเหมือนเขากำลังหาของอยู่
“หรือที่ผู้เฒ่าโม่ไม่ยอมให้เขาเข้ามาที่นี่ก็เพราะเหตุผลนี้” จ้องมองไปที่จางเซวียนสักพักแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยสักนิด ยังคงพลิกเปิดไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว เสิ่นปี้หรูก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
เมื่อครู่นี้ที่เธอช่วยจางเซวียน เพราะเห็นว่าท่าทีของเขาแตกต่างไปจากเมื่อก่อน เลยคิดจะช่วยให้เขาได้อ่านหนังสือหาความรู้บ้าง จะได้แก้ไขสภาพความเป็นอยู่ของตัวเองให้ดีขึ้น
ไม่นึกว่า… คนคนนี้ไม่ได้มาอ่านหนังสือ… แต่มาหาของ
หอสมุดแห่งนี้ ทุกวันจะมีอาจารย์จำนวนมากแวะเข้ามาอ่านหนังสือ ในนี้ไม่มีสิ่งมีค่าอะไรสักหน่อย การกระทำของเขาแบบนี้เท่ากับว่าไม่ให้เกียรติหอสมุดเอาเสียเลย
แย่ที่สุด!
“หรือว่า… เขารู้ว่าวันนี้เราจะมาที่หอสมุดเลยมาดักรอ พอเห็นเราก็ทำเสียงเอะอะเพื่อดึงดูดความสนใจของเรา เชอะ… ไม่รู้รึไง ทำแบบนี้รังแต่จะทำให้เรารังเกียจ” ในใจของเสิ่นปี้หรู ภาพลักษณ์ของจางเซวียนพังทลายลงทันที
เนื่องจากเธอเป็นคนหน้าตาดี เลยถูกคนอื่นๆ หาเรื่องเรียกร้องความสนใจแบบนี้อยู่บ่อยๆ สำหรับเธอแล้ว จางเซวียนไม่ได้อ่านหนังสือ แต่เขากำลังจงใจทำเสียงเอะอะเพื่อเรียกให้เธอมามองมาสอบถามต่างหาก
หารู้ไม่ว่าเธอเกลียดการกระทำเช่นนี้ที่สุด
เธอมองอยู่สักพักก็ยิ่งมั่นใจในความคิดของตน คนเราถ้าคิดจะอ่านหนังสือจริง จะอ่านมันทุกประเภทแบบนี้เลยรึ ยิ่งไปกว่านั้น วิธีพลิกหน้าหนังสือของเขาก็รวดเร็วระดับผ่านตาเท่านั้น ชื่อหนังสือยังดูไม่ชัดเลยมั้ง แล้วจะจำเนื้อหาอะไรได้อย่างไร
เสิ่นปี้หรูรู้สึกแย่กับจางเซวียนอย่างมาก ในที่สุดเธอก็เดินมาตรงหน้าเขา “อาจารย์จาง คุณทำอะไรอยู่หรือคะ”
“อ่านหนังสือ” จางเซวียนตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง เขาไม่ได้สังเกตว่าคนอื่นมองตนเองว่ากำลังเสแสร้งแกล้งทำอยู่
“อ่านหนังสือหรือ” เสิ่นปี้หรูตอบกลับ ความเย็นชาปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาวลออของเธออย่างเห็นได้ชัด “ถ้าคุณคิดว่าการกระทำแบบนี้มันเท่ จะสามารถทำให้ฉันสนใจได้ ขอให้คุณช่วยเก็บความคิดแบบเด็กๆ เช่นนี้ไปซะนะ ฉันไม่ชอบคนแบบนี้ ยิ่งเรียกร้องความสนใจจะยิ่งทำให้ฉันรู้สึกรำคาญมากขึ้น”
“อ้อ… ทราบแล้วครับ” จางเซวียนพลิกหน้าหนังสือต่อไปไม่หยุด เขาตัดสินใจจะบันทึกเนื้อหาของหนังสือทั้งหมดในหอสมุดแห่งนี้ลงไปในหอสมุดในหัวของตน เวลามีไม่มาก เขาไม่ว่างที่จะคุยอะไรกับใครทั้งนั้นแหละ
สำหรับจางเซวียน อีกฝ่ายแค่คิดว่าตัวเองเป็น ‘นางฟ้า’ เท่านั้น ความคิดของเธอไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลยสักนิด อยากจะคิดอะไรก็คิดไปสิ
ถึงแม้เธอจะสวย แต่คนอย่างเขาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเจอสาวสวยเสียหน่อย ในโลกเดิมยุคดิจิตอลของเขามีสาวสวยเพียบ ในคอมพิวเตอร์ของเขามีรูปสาวสวยเต็มไปหมด ซึ่งแต่ละคนก็งดงามจนนางฟ้ายังต้องอาย ทั้งยังมีความสามารถหลากหลาย
ส่วนเธอล่ะ… เสิ่นปี้หรูเป็นเพียงผู้หญิงหน้าแข็งๆ ดูเย็นชา ไม่เห็นจะน่าสนใจเลย
เราไม่มีเวลาไปสนใจอะไรไร้สาระอย่างเธอหรอก
“ในเมื่อรู้แล้ว ก็รีบออกจากหอสมุดไปซะ อย่าเสียเวลาอยู่ที่นี่อีก” เห็นว่าจางเซวียนไม่เงยหน้าขึ้นมาพูดกับเธอดีๆ เอาแต่พลิกหน้าหนังสือไปมา เสิ่นปี้หรูจึงหันหน้าและชี้ให้จางเซวียนออกจากหอสมุดทันที
ในที่สุด ชายหนุ่มก็ก้าวเท้าจากไป
“ค่อยยังชั่ว…” เห็นว่าเขาเข้าใจความหมาย เสิ่นปี้หรูพยักหน้าอย่างพึงพอใจ พอเธอกำลังจะอ่านหนังสือของเธอต่อ พลันได้ยินเสียงพลิกหนังสือดังขึ้นอีก
เธอเงยหน้าขึ้นมองไปยังตู้หนังสืออีกช่อง พบว่าจางเซวียนยังไม่หายไปไหน เขาเพียงแต่เดินไปที่ชั้นหนังสืออีกชั้นหนึ่งแล้วเริ่มพลิกหน้าหนังสือต่อ
“นี่คุณ…” เสิ่นปี้หรูโกรธจนแทบจะระเบิด
พอได้หรือยัง… ก็บอกไปแล้วว่าการกระทำแบบนี้มีแต่จะทำให้เรารู้สึกแย่ต่อเขา แต่เขากลับไม่ยอมหยุด ยังไงเราก็ไม่ชอบ…ไม่สนใจ เขาทำไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร?
พอคิดได้แบบนี้ เธอจึงเดินไปตรงหน้าจางเซวียนอีกครั้ง สายตาของเธอเต็มไปด้วยความรำคาญ “คุณไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือ ยิ่งทำแบบนี้ จะทำให้ฉันรู้สึกแย่กับคุณมากขึ้น ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกชอบคุณหรอกนะ”
“ประสาทรึไงคุณ” เห็นว่าอีกฝ่ายยังคงตามมาราวี จางเซวียนทนไม่ไหวจึงโพล่งออกไป “คุณอ่านของคุณ ผมอ่านของผม ถ้าว่างจัดก็เดินไปที่มุมห้องแล้ววาดรูปวงกลมซะ อย่ามารบกวนคนอื่น”
“นี่คุณ…” เธอคิดไม่ถึงว่าจางเซวียนจะพูดคำนี้ออกมา เสิ่นปี้หรูถึงกับไปไม่เป็น โกรธจนพูดอะไรไม่ออก
เธอเป็นใคร…
หญิงสาวที่เลอค่าที่สุดในโรงเรียนหงเทียน วรยุทธสูงส่ง หน้าตาสะสวย อาจารย์และศิษย์เกือบทุกคนในโรงเรียนต่างเห็นเธอเป็นดั่งนางฟ้า ต่อหน้าเธอ ทุกคนต่างอ่อนน้อมและให้เกียรติ พูดอะไรก็ไม่กล้าเสียงแข็งใส่เธอ กลัวว่าเธอจะโกรธ
แต่หมอนี่กลับบอกว่าเธอ…ประสาท!
ทั้งยังบอกอีกว่าให้เธอไปยืนวาดรูปวงกลมที่มุมห้อง
ฉันเป็นคนสติครบถ้วน จะไปยืนวาดรูปวงกลมทำไมกัน!
เสิ่นปี้หรูรู้สึกแน่นหน้าอก พูดอะไรไม่ออก โกรธจนหน้าแดงก่ำ กำลังจะด่าว่าอีกฝ่าย แต่พบว่าจางเซวียนเดินไปที่ชั้นหนังสืออีกชั้นหนึ่งแล้ว เขาพลิกหน้าหนังสือต่อโดยไม่ได้มองมาที่เธอสักนิด
“ได้ เสแสร้งต่อไปเลย ดูสิว่าฉันจะเปิดโปงความเสแสร้งของคุณได้ไหม”
เสิ่นปี้หรูกระทืบเท้าอย่างไม่สบอารมณ์ เสียงกัดฟันของเธอดังขึ้นชัดเจน
ตั้งแต่เล็กจนโต คนงามอย่างเธอเพิ่งเคยถูกผู้ชายพูดเช่นนี้ด้วยเป็นครั้งแรก
ดี… เดี๋ยวฉันจะจัดการ เอาให้คุณอับอายไปทั่วโรงเรียนเลย เมื่อคิดได้เช่นนี้
เสิ่นปี้หรูก็ไม่เดินตามจางเซวียนอีก เธอเดินกลับมาและหยิบหนังสือของตนขึ้นแล้วจดบันทึกต่อ ที่จริงวันนี้เธออารมณ์ดี จึงคิดจะมาศึกษาหาความรู้ใส่ตัวเพิ่ม คาดไม่ถึงเลยว่าจะมาเจอคนน่ารำคาญอย่างเขาได้ เธอจดบันทึกไปแอบมองท่าทางของจางเซวียนไป
เห็นจางเซวียนยังคงทำเช่นเดิมไม่หยุด เขาพลิกหน้าหนังสืออย่างต่อเนื่อง หนังสือทุกเล่มในหอสมุดแห่งนี้ถูกเขาพลิกไม่มีพลาด
“ฉันจะดูสิว่า คุณจะเสแสร้งได้นานแค่ไหน” เสิ่นปี้หรูถูกจางเซวียนสบประมาทกลับมาครั้งหนึ่ง ท่าทีของเธอจึงเย็นชาเหมือนเดิม เธอตัดสินใจที่จะเล่นเกมกับอีกฝ่ายอย่างใจเย็น เล่นจนอีกฝ่ายหนึ่งเล่นต่อไม่ไหว
แต่สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจมากก็คือ จางเซวียนยังคงรักษาความไวในการอ่านหนังสือและพลิกหนังสืออย่างต่อเนื่องไม่เปลี่ยน ตั้งแต่หนังสือชั้นแรกของหอสมุดยันชั้นสุดท้าย ตั้งแต่เช้ายันดึก เขาไม่พักเลย
เธอรอมาหกถึงเจ็ดชั่วโมงแล้ว แต่จางเซวียนยังคงทำเช่นเดิมต่อไปอย่างไม่หยุด ตอนนี้ เสิ่นปี้หรูเองก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ
หากเขาเพียงต้องการจะดึงดูดความสนใจของเธอ แต่เธอก็ได้บอกกับเขาอย่างชัดเจนแล้วนี่ เขาน่าจะหยุดการกระทำทันทีถึงจะถูก ทำไมกลับเดินหน้าทำต่อเรื่อยๆ แล้วยังทำได้นานขนาดนี้
“สมองของเขาเสียไปแล้วแน่นอน น่าจะธาตุไฟเข้าแทรก เป็นบ้าไปแล้วมั้ง?” เธอมีความคิดเช่นนี้ผุดขึ้น เคยได้ยินมาว่าหากฝึกวรยุทธจนธาตุไฟเข้าแทรก คนคนนั้นจะมีพฤติกรรมที่แปลกประหลาด การพลิกหน้าหนังสือไม่หยุดอาจเป็นอาการของคนที่ถูกธาตุไฟเข้าแทรกก็เป็นได้
ขณะที่เธอกำลังงุนงงและคิดว่าจางเซวียนมีอาการเพี้ยนๆ ก็พบว่าจางเซวียน
พลิกหน้าหนังสือหมดทุกเล่มแล้ว ในที่สุดเขาก็หยุดมือ
“เป็นความรู้ที่มากมายจริงๆ” เขาบันทึกเนื้อหาของหนังสือทุกเล่มในหอสมุดของโรงเรียนหงเทียนลงไปในหอสมุดเทียบฟ้าเสร็จภายในเวลาหกถึงเจ็ดชั่วโมง จากการที่ได้ทำความเข้าใจกับข้อดีและข้อเสียของวรยุทธ
เคล็ดวิชา สมุนไพร และการสร้างอาวุธที่บันทึกอยู่ในหนังสือของหอสมุดแห่งนี้ จางเซวียนเข้าใจกับทุกสิ่งบนโลกอย่างลึกซึ้งทันที
“ร่างที่เต็มไปด้วยปราณหยินของจ้าวหย่าอาจจะต้องฝึกวิชาตามหนังสือเล่มนี้ แต่ก่อนอื่น เราจะต้องแก้ไขเนื้อหาสักเล็กน้อย เพื่อให้มีจุดผิดพลาดน้อยที่สุด…”
เมื่อบันทึกเนื้อหาของหนังสือทุกเล่มเสร็จ จางเซวียนก็รู้ทันทีว่าจะรักษาอาการของจ้าวหย่าอย่างไร รวมทั้งรู้ถึงข้อบกพร่องของเคล็ดวิชาที่ ‘จางเซวียนคนก่อน’ เคยฝึก เขาในตอนนี้รู้แล้วว่ามีจุดบกพร่องอะไรตรงไหน เพียงแค่ใช้เวลาอีกเล็กน้อยในการฝึกเพิ่ม ตัวเขาเองก็จะกลายเป็นสุดยอดนักรบที่ไม่มีจุดบกพร่องใดๆ เลย
พอทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เขาถึงค่อยรู้สึกว่าท้องกำลังร้อง อยู่ในหอสมุดนานขนาดนี้ ร่างกายของเขาหิวจนแทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว
เขาส่ายหัวไปมา ตั้งใจจะออกจากหอสมุดไปสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านนอก เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็เห็นเสิ่นปี้หรูยืนอยู่ตรงหน้า เธอมองเขาด้วยสายตาสุดแสนจะเย็นชา
ตัวเขามาอ่านหนังสือถึงหกเจ็ดชั่วโมง แต่ผู้หญิงคนนี้กลับยังอยู่ เขาเบื่อที่จะสนใจผู้หญิงที่คิดว่าตัวเองเป็น ‘นางฟ้าผู้เลิศเลอ’ แบบนี้ จางเซวียนเดินออกจากหอสมุดโดยไม่สนใจเธอแม้แต่น้อย
“หยุดก่อน”
เดินออกจากหอสมุดไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงของผู้เฒ่าโม่ดังขึ้น ตอนนี้สีหน้าของผู้เฒ่าโม่ดำทะมึนแทบจะดูไม่ได้ ราวกับว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นได้ในทุกขณะ ใช่… เขาอดทนกับจางเซวียนมานานพอแล้ว ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่คำว่าวุ่นวาย วุ่นวาย และวุ่นวาย
“ผู้เฒ่าโม่” จางเซวียนหันไปมองอย่างประหลาดใจ
“อาจารย์จาง” ผู้เฒ่าโม่จงใจเน้นเสียงด้วยสีหน้าที่ดูไม่ดีเอาเสียเลย เขาตะโกนออกมาอย่างโกรธจัด “คุณมาที่หอสมุดไม่ได้มาเพื่อศึกษาหาความรู้ แต่มาสร้างความวุ่นวาย นับตั้งแต่นี้ต่อไป หอสมุดไม่ยินดีต้อนรับคนอย่างคุณ ถ้าคุณกล้ามาเหยียบที่นี่อีก ผมจะตีขาของคุณให้หักเลย”
“สร้างความวุ่นวาย ผู้เฒ่าโม่ คุณหมายความว่าอย่างไร ผมตั้งใจอ่านหนังสือ จะสร้างความวุ่นวายอะไรได้” เนื้อหาของหนังสือทุกเล่มของหอสมุดแห่งนี้ถูกเขาจดบันทึกไปหมดแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาที่นี่อีก แต่พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ จางเซวียนก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาบ้าง
คนอื่นมาคือการอ่านหนังสือ แล้วทำไมเรามาคือการสร้างความวุ่นวาย?
นี่เป็นวิธีคิดแบบไหนกันหรือ?
คนแก่อย่างคุณจะกร่างมากไปหน่อยแล้วมั้ง ทำอะไรไม่มีเหตุผลเอาซะเลย