ตอนที่ 3 ความบกพร่อง
“การต่อสู้ระหว่างอาจารย์ผู้สอนเพื่อแย่งศิษย์งั้นรึ?”
สีหน้าของจางเซวียนดูเคร่งขรึมลงไปทันที แม้ว่าเขาจะได้รับการถ่ายทอดความทรงจำจากจางเซวียนคนเก่ามาก่อนหน้า แต่เขาก็ยังไม่ทันจะได้จัดระเบียบข้อมูลเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย อย่างมากเขาก็รู้แค่ความแตกต่างในการสอนเท่านั้น… รู้เท่านั้นจริงๆ
หากต้องแนะนำคนอื่น… ความสามารถของเขาด้อยกว่าอาจารย์เฉาอย่างไม่ต้องสงสัย หากพวกเขาแข่งขันกันจริงๆ จางเซวียนจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
“ทำไม คุณไม่กล้ารับคำท้าสินะ?” กฎของโรงเรียนเขียนไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าอาจารย์สามารถแข่งขันกันได้เพื่อช่วยให้ลูกศิษย์ตัดสินใจเลือกทางเดินได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สิ่งนี้ไม่ได้เรียกว่าเป็นการแย่ง เฉาฉงหัวเราะเบาๆ เหวี่ยงแขนไปมาด้วยท่าทางปลอดโปร่ง
“แล้วพวกเราจะแข่งกันแนะนำเธอเรื่องอะไร?” เขารู้ตัวดีว่า ถ้าเขาไม่จัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้น ลูกศิษย์ที่เขารับมาในวันนี้คงหนีหายไปหมดแน่ จางเซวียนกัดฟันกรอดมีหลายเรื่องสำหรับอาจารย์ที่พอจะแนะนำลูกศิษย์ได้ เช่นการเพิ่มพูนกำลังภายใน ทักษะการต่อสู้และกำจัดข้อผิดพลาดในกระบวนท่าต่างๆ… อาจารย์แต่ละท่านจะมีความเชี่ยวชาญและให้คำแนะนำที่แตกต่างกัน
ออกไป
“เอาอย่างนี้ พวกเขาเป็นศิษย์ที่มาใหม่ เราไม่รู้ว่าปกติแล้วพวกเขาฝึกฝนอะไรมาก่อนหน้า มีพื้นฐานมากน้อยแค่ไหน ดังนั้นเราจะชี้แนะพวกเขาในจุดบกพร่องของกระบวนท่าที่พวกเขาจะแสดงให้เราดู หลังจากชี้แนะแล้ว ขั้นต่อไปเราจะให้พวกเขาแสดงกระบวนท่าอีกครั้ง เพื่อทดสอบความสามารถว่าเพิ่มมากขึ้นหรือลดน้อยลง
ถ้าใครสามารถชี้แนะจนทำให้พวกเขามีคะแนนเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมได้ คนคนนั้นจะเป็นผู้ชนะ เอาอย่างนี้เป็นไง?”
กับอาจารย์คนอื่นๆ เฉาฉงคงไม่มีความมั่นใจที่จะท้าทายขนาดนี้ แต่นี่คือจางเซวียนผู้ที่ได้คะแนนต่ำที่สุดในโรงเรียน แล้วจะมีอะไรที่ทำให้เขามั่นใจได้มากกว่านี้ล่ะ
จางเซวียนรู้สึกลังเล
“ว่าไง ไม่ใช่ว่าคุณไม่กล้ารับคำท้าหรอกใช่ไหม? เมื่อครู่คุณยังคุยโวด้วยความภาคภูมิใจอยู่เลยว่าคุณปฏิเสธลูกศิษย์ไปหลายคน มีหลายคนอยากให้คุณเป็นอาจารย์ของพวกเขา ถ้าคุณมีความสามารถเช่นนั้นจริงก็ออกมาแข่งกัน อย่าปิดกั้นอนาคตของสาวน้อยคนนี้เลย” เฉาฉงบีบคั้น
“ก็ได้… ตกลง” จางเซวียนผงกหัวรับ
ไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้ในชีวิตของเขาอีกแล้ว ถ้าเขาปฏิเสธการแข่งขัน แน่นอนว่าเขาย่อมต้องไม่เหลือลูกศิษย์แม้แต่คนเดียว ดังนั้นจึงไม่มีวิธีไหนให้ถอนตัวได้ เพราะถ้าหากเขาทำเช่นนั้น ลูกศิษย์ที่เขาเพิ่งรับมาก็ต้องถอนตัวไปอยู่ดี แต่ถ้าเขาแพ้ เขาก็แค่ ‘มีจุดด่างพร้อยอีกจุด’ ในชีวิต ณ ตอนนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขายังคงต้องเชิดหน้า ไม่หวั่นไหวไปกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์
“อาจารย์เฉากับอาจารย์จางจะประชันกัน”
“นายหมายถึงอาจารย์จาง อาจารย์ปลายแถวที่ได้คะแนนต่ำที่สุดในโรงเรียนน่ะหรือ?”
“ใช่แล้ว”
“อาจารย์ปลายแถวขนาดนั้น ยังต้องการจะแข่งขันกับคนอื่นอีกงั้นรึ? นั่นเขาจริงสิ? เขาไม่อับอายบ้างหรือเนี่ย?”
ขณะที่การประชันกำลังจะเกิดขึ้น บรรดาศิษยานุศิษย์ต่างเบียดเสียดแย่งกันเข้ามาดูการประชันนี้กันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง วันนี้เป็นวันสำหรับลงทะเบียนเรียน บรรดาศิษย์หน้าใหม่ที่เพิ่งเคยได้ยินกิตติศัพท์ความเป็นมาของอาจารย์รั้งที่โหล่อย่างจางเซวียน พากันตั้งหน้าตั้งตารอชมเรื่องสนุกอย่างเนืองแน่น
“ตามกฎทั่วไปแล้ว ผมจะชี้แนะลูกศิษย์ของคุณ และคุณก็จะชี้แนะลูกศิษย์ของผม”
พอมองเห็นฝูงชนรวมตัวกันจนมีขนาดใหญ่ขึ้น คนยิ่งเยอะ เฉาฉงก็ยิ่งรู้สึกว่ามีแรงจูงใจในการดำเนินการต่อ เขาปล่อยตัวตามสบาย ยิ้มอย่างมั่นใจ
เพื่อให้มีความเป็นธรรมในการแข่งขันระหว่างอาจารย์ จะไม่อนุญาตให้พวกเขาชี้แนะลูกศิษย์ของตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงการโกง โดยปกติแล้วพวกเขาจะแลกเปลี่ยนลูกศิษย์เพื่อให้คำแนะนำ
“สาวน้อย ออกมาแสดงผลงานของคุณสิว่าเป็นเช่นไร ใช้ความแข็งแกร่งของคุณจัดการกับเสาหินต้นนี้” หลังจากแจ้งกฎกติกาการแข่งขัน เฉาฉงก็กวักมือเรียกเด็กสาวที่ยังมึนงงอยู่
“ฉัน…” ใบหน้าของหวังหยิ่งเริ่มแดง เธอแอบมองไปยังจางเซวียนด้วยความรู้สึกประหม่า เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้โกรธอะไร เธอก็ก้าวไปด้านหน้าแล้วกางมือออกมา เปล่งพลังปกคลุมเรือนร่างของเธอ
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!
คลื่นเสียงจากหมัดส่งเสียงออกมาตามลม หมัดของเธอถูกปล่อยออกมาอย่างเต็มแรง ถ้าไม่เห็นด้วยตา พวกเขาคงไม่มีใครเชื่อว่าหมัดทรงพลังเช่นนี้จะมาจากเด็กสาวที่มีท่าทางมึนงง
ท่วงท่าของเธอมั่นคงและเต็มไปด้วยพลัง จากที่มองเห็น เธอสร้างมันออกมาจากพื้นฐานกำลังภายในที่หนักแน่น หมัดที่ต่อยออกมาดูแข็งแรงและหนักหน่วง หลังจากได้เห็นว่าที่ลูกศิษย์ของเขาปล่อยหมัด
จางเซวียนก็ตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง เขาไม่มีประสบการณ์มาก่อนจึงมองไม่เห็นข้อบกพร่องใดๆ ทั้งสิ้น ไม่แม้แต่น้อย จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะได้คะแนนเป็นศูนย์สำหรับการสอบวัดระดับอาจารย์ ตาของเขานั้นไร้ประสิทธิภาพเกินไป ไม่สามารถรับรู้สิ่งใดได้
“อ้า… ใช่เลย เจ๋งมาก ต่อไปใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดของคุณตีไปที่เสาหิน! เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นต้นกล้าที่ดีอย่างแท้จริง” เฉาฉงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและพูดขึ้น
เสาหินตั้งห่างออกไปไม่ไกลจากพวกเขา มันใช้ในการวัดความแข็งแกร่งของศิษย์ เพื่อที่ศิษย์จะได้รู้ระดับความสามารถของตน
หวังหยิ่งเดินไปอย่างเขินอาย เธอรวบรวมพลังแล้วต่อยหมัดที่ฝึกเป็นประจำออกไป ระเบิดพลังอย่างเต็มที่ราวกับดาวตก
ปัง!
เสาหินส่ายโอนเอนและแล้วก็ปรากฏตัวเลขขึ้น
53!
“53 กิโลกรัม พลังหมัดของคุณไม่เลวเลยทีเดียว” เฉาฉงผงกหัวเป็นการตอบรับ
สำหรับศิษย์ใหม่ที่ยังไม่ได้เข้าเรียนในโรงเรียนอย่างหวังหยิ่ง
สาวน้อยบอบบางผู้ซึ่งไม่เคยได้รับคำชี้แนะจากอาจารย์คนไหนมาก่อน เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์เหลือเกินที่เธอปล่อยหมัดที่มีน้ำหนักมากเช่นนั้นออกมาได้
“หมัดของคุณแข็งแกร่งและทรงพลัง แต่สิ่งผิดพลาดอย่างหนึ่งที่ผมเห็นคือหมัดของคุณมันสั้นเกินไปหน่อย ถ้าคุณสามารถเพิ่มความเร็วในการหมุนขา ผมว่ามันน่าจะดีกว่านี้เยอะ และถ้าผมดูไม่ผิด ขาของคุณน่าจะได้รับบาดเจ็บ” เฉาฉงกล่าว
เป็นดังที่คาดการณ์ การรับรู้ของเฉาฉงดีกว่าจางเซวียนเป็นอย่างมาก มองเพียงแค่ครั้งเดียวเขาก็สามารถบอกได้ถึงข้อด้อยของหวังหยิ่งแล้ว หมัดที่เธอออกเป็นประจำ เพียงหมุนขาเบาๆ แค่นั้นเขาก็อนุมานได้ว่าเธอได้รับบาดเจ็บ
“ใช่ค่ะ” หวังหยิ่งพยักหน้ารับ
“เนื่องจากได้รับบาดเจ็บ ทำให้คุณลังเลเล็กน้อยที่จะออกแรงดันขา ให้ผมลองแนะนำวิธีการแก่คุณสักหน่อยไหม รับรองว่ามันจะไม่ทำให้อาการบาดเจ็บที่ขาของคุณแย่ลงไปกว่าเดิมแน่” ต่อจากนั้นเฉาฉงได้พูดถึงวิธีการใหม่ๆและอธิบายมันทุกอย่าง
“ฉันจะลองดู” แม้เธอจะเป็นแค่เด็กน้อยแต่ความสามารถในการตีความของเธอไม่ได้แย่ เธอใช้เวลาไม่นานในการทำความเข้าใจวิธีการทุกขั้นตอน จากนั้นเธอก็ก้าวมาตรงหน้าเสาหินอีกครั้งและกำหมัด คลื่นความแข็งแกร่งเติมเต็มทั่วทั้งร่างของเธอ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนมังกรที่ทรงพลัง
เปรี้ยง!
63!
หลังจากที่ฟังคำแนะนำสั้นๆ เมื่อครู่ น้ำหนักของการโจมตีเพิ่มขึ้นอีก 10 กิโลกรัม
“ระดับความแรงของเธอเพิ่มขึ้น 10 กิโลกรัม เรียกว่าเพิ่มขึ้น 20% นั่นคือสิ่งที่ผมได้แนะนำเธอ เอาล่ะ ต่อไปเป็นตาคุณแล้ว!” มองไปที่ผลลัพธ์ เฉาฉงอมยิ้มเล็กน้อยรู้สึกปลื้มปีติอยู่ในใจ การเพิ่มความแข็งแกร่งให้ลูกศิษย์ถึง 20% ด้วยการแนะนำเพียงครั้งเดียวนับว่าไม่เลวเลย
“อาจารย์จาง” หลังจากนั้นลูกศิษย์ที่อยู่ด้านหลังของอาจารย์เฉาก็ก้าวออกมาบ้าง และเริ่มต้นปล่อยหมัดที่เขาฝึกฝนเป็นประจำ
จางเซวียนยกมือขัดจังหวะ “ช้าก่อน”
“ทำไม? อาจารย์จางต้องการกลับคำพูดอย่างนั้นรึ” เฉาฉงหัวเราะเยาะ
“กลับคำพูดงั้นรึ? ตลกน่ะ คิดหรือว่าผมจะเปลี่ยนใจ” จางเซวียนกล่าวข่มด้วยน้ำเสียงทรงพลัง แต่ตอนนั้นหัวใจเขาหวั่นวิตกอย่างบอกไม่ถูก ในฐานะผู้ชี้แนะ เขาจะมีปัญญาที่ไหนไปแนะนำใคร ถ้าเปลี่ยนจากการให้คำแนะนำไปเป็นเรื่องของการดาวน์โหลดอะไรจิปาถะหรือไม่ก็ให้แนะนำหนังโรแมนติคสักเรื่อง เขาน่าจะทำได้ดีกว่า
“ผมแค่คิดว่า…” เขาหันไปสบตาฝูงชนที่กำลังมองมาทางเขาเพื่อรอฟังคำตอบ จางเซวียนทำหน้าหนาหาข้อแก้ตัวมั่วๆ สักข้อ เพื่อหลบหนีจากสถานการณ์เลวร้ายตรงหน้าไปก่อน “เขาเป็นศิษย์ของคุณ เขาก็ต้องฟังคำสั่งของคุณ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาจงใจปฏิเสธที่จะออกแรงเต็มกำลังของตนหลังจากได้รับคำชี้แนะของผมแล้ว? เพราะถ้าเป็นแบบนั้นผมก็ต้องแพ้สิ จริงไหม?”
“ผมจะออกแรงอย่างเต็มที่ ขอให้อาจารย์โปรดไว้ใจ” เด็กหนุ่มกัดฟันข่มความโกรธเมื่อได้ยินจางเซวียนเคลือบแคลงสงสัยในตัวเขา
“เอาละ ผมเชื่อถือศิษย์คนนี้ แต่การต่อสู้ของเราก็ยังคงไม่ยุติธรรมอยู่ดี” ตอนนี้บรรดาศิษย์ทั้งหมดในโรงอาหารได้ยินคำพูดเหล่านั้นของเขาชัดเจน จางเซวียนรู้ว่าเขาจะถูกเยาะเย้ย แต่จะทำอย่างไรได้ เขายังคงต้องดึงดันเช่นนี้ต่อ ดังนั้นเขาจึงทำหน้าหนาและหาข้อแก้ตัวเพิ่ม
“ไม่เป็นธรรม มันไม่เป็นธรรมตรงไหนกัน?” เฉาฉงกล่าว
“หวังหยิ่งเป็นลูกศิษย์ของผม ถ้าผมชนะ เธอยังคงเป็นศิษย์ในการดูแลของผม แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าผมแพ้ ผมจะสูญเสียเธอไปเป็นศิษย์ของคุณ วิธีนี้จะเรียกว่ายุติธรรมได้อย่างไร? มันคือการเดิมพัน
ด้วยชีวิตศิษย์เชียวนะ ถ้าผมชนะคุณก็ไม่เสียหายอะไร แต่ถ้าผมแพ้ผมต้องมอบอนาคตเด็กคนหนึ่งให้คุณ… นี่หรือที่เรียกว่ายุติธรรมน่ะ?” จางเซวียนกล่าว
“เอ่อ…” เฉาฉงเริ่มเสียศูนย์
การประชันในครั้งนี้เริ่มไม่ยุติธรรมซะแล้วสิ!
เดิมพันนี้มันไม่ต่างอะไรกับการโกงเลย เพราะนอกจากที่เฉาฉงจะไม่มีการสูญเสียใดๆ และหากเมื่ออีกฝ่ายพ่ายแพ้ จางเซวียนจะต้องส่งมอบลูกศิษย์ของตัวเองให้กับเฉาฉงอีกต่างหาก
หลังจากครุ่นคิดสักพัก เฉาฉงก็ประกาศตอบคำท้าด้วยสัญญาณมือ “เอาอย่างนี้เป็นไง ถ้าผมแพ้ ‘หลิวหยาง’ ที่ก้าวออกมาตรงนี้จะกลายเป็นลูกศิษย์ของคุณ ตกลงไหม?”
หลิวหยาง ศิษย์ใหม่ที่ก้าวออกมาไม่คาดคิดว่าอาจารย์เฉาจะตัดสินใจเช่นนี้ เขางุนงง ความวิตกกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา อาจารย์เฉาสั่งให้เขายอมรับจางเซวียนเป็นอาจารย์แทนรึ จางเซวียนผู้ที่ได้คะแนนสอบรั้งท้ายเนี่ยนะ เขาต้องตายแน่ๆ ถ้ามันเป็นเรื่องจริง
“ไม่ต้องห่วง อาจารย์จะไม่แพ้” เฉาฉงพูดเพื่อสร้างความมั่นใจให้เขา
“ครับ” เมื่อได้เห็นท่าทางมั่นใจของอาจารย์เฉา หลิวหยางจึงคลายความกังวล เริ่มยิ้มแบบเย้ยหยันแล้วเหล่มองไปทางจางเซวียน ไม่ช้า เขาก็เริ่มปล่อยหมัดที่ฝึกฝนอยู่เป็นประจำออกมา
“นี่…” ตอนแรกจางเซวียนอยากจะใช้คำพูดปรามาสสักเล็กน้อย เพื่อบั่นทอนกำลังใจให้เด็กหนุ่มรู้สึกท้อแท้และยอมแพ้ แต่เด็กหนุ่มกลับปล่อยหมัดอย่างไม่ลังเล ทำให้เขาไม่มีโอกาสจะพูด จางเซวียนรู้สึกตกใจลึกๆ บอกตามตรง เขาไม่อาจรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของหมัด แล้วเขาจะหาจุดบกพร่องของมันได้อย่างไร? ไร้ประโยชน์ที่จะให้คำชี้แนะ
“ข้อ… ข้อบกพร่อง ข้อบกพร่องของหมัดนี้…” เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นและค่อยๆ ไหลผ่านหัวของเขาลงมา ถ้าเขาไม่สามารถหาข้อบกพร่องเพื่อให้คำชี้แนะได้
อย่างมากก็แค่อาย และตัวเขาก็จะค่อยๆ ถูกลบออกจากโรงเรียนไปอย่างง่ายดายเพียงเพราะว่าไม่มีลูกศิษย์ยอมเรียนกับตนแม้แต่คนเดียว
ซูม!
ขณะที่จางเซวียนกำลังถูกครอบงำด้วยความวิตกกังวล หอสมุดเทียบฟ้าก็ปะทุเข้ามาในห้วงความคิด มันมาพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนและเสียงดังกึกก้องปานฟ้าผ่า
หลังจากนั้นก็มีคำสี่คำปรากฏอยู่ด้านบนของชั้นหนังสือ ข้อบกพร่องในหอเทียบฟ้า!
สี่คำนี้เป็นสี่คำที่มีความสำคัญกับเขามากๆ เป็นคำที่แข็งแกร่งทรงพลังที่จะช่วยทำให้เขาผงาดขึ้นอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีทัดเทียมคนอื่นๆ สี่คำนี้ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มหนึ่งบนชั้นวาง หนังสือที่เขาไม่แม้แต่จะสัมผัสได้ ขณะนี้วางอยู่ตรงหน้าเขา “อะไรกันเนี่ย?”
หัวใจของจางเซวียนหยุดเต้นไปชั่วขณะ เขาก้มหน้าลงมองหนังสือในมือ ที่หน้าปกมีคำอยู่สองคำนั่นคือ ‘หลิวหยาง’ ทันทีที่เปิดอ่าน เขาเห็นตัวอักษรมากมายอัดแน่นอยู่ภายใน ‘หลิวหยางมาจากครอบครัวหลิวของเมืองเซี่ยหยุน เป็นศิษย์ของโรงเรียนหงเทียน นับเป็นนักรบขั้นหนึ่ง – จวีซี’
กระบวนท่าหลักที่ชำนาญ: กระบวนท่าดอกบัวตัดชีพจร
เคล็ดวิชาที่ฝึกฝนมาแล้ว: หมัดบุปผาล่องลอย – ขั้นมือใหม่, หมัดมังกรทมิฬ – ขั้นเชี่ยวชาญ
ข้อบกพร่อง: มีทั้งหมด 12 ข้อ ลำดับที่ 1 เขาใช้แรงมากเกินไปสำหรับการหลอกล่อ… ลำดับที่ 2… ลำดับที่ 3… ลำดับที่ 4… ลำดับที่ 12 แม้ว่าแขนซ้ายของเขาจะมีความแข็งแกร่งมากกว่าแขนขวา แต่การใช้มือขวาของเขานั้นมีประสิทธิภาพสูงกว่า ดังนั้นการเลือกใช้มือซ้ายจึง
ไม่สามารถที่จะปลดปล่อยความแข็งแกร่งออกมาได้อย่างเต็มที่
“นี่… นี่มัน…” มองตามไปยังตัวอักษรที่เขียนเรียงกันขยุกขยุยเต็มหน้าหนังสือ จางเซวียนตกใจ รู้สึกเหมือนเขากำลังจะบ้า
เรื่องจริงหรือนี่ ?
ในขณะที่เขากำลังนึกถึงข้อบกพร่องของหลิวหยาง หนังสือในหอสมุดเทียบฟ้าก็บอกเกี่ยวกับจุดอ่อนทั้งหมดของหลิวหยางออกมา หากสิ่งที่เขียนในนั้นเป็นความจริงแล้วล่ะก็ นี่คงเป็นของขวัญชิ้นพิเศษที่เขาได้รับในฐานะที่เป็นผู้เดินทางมาจากต่างโลก มันช่างเรียบง่ายแต่ทรงพลังอะไรเช่นนี้
ทุกคนต่างก็มีข้อบกพร่องเป็นของตัวเอง ทักษะการป้องกันตัวทุกประเภทและทุกการเคลื่อนไหวต่างก็มีข้อบกพร่องเช่นกัน ความสมบูรณ์แบบจริงๆ ไม่มีในโลก เพื่อให้สามารถรับรู้ข้อบกพร่องของคนแต่ละคนได้ หนังสือในหอสมุดเทียบฟ้าจะทะลุขอบเขตแห่งสวรรค์ และบันทึกข้อบกพร่องเหล่านั้นเอาไว้เสียเอง
เปรี้ยง!
ในขณะที่จางเซวียนประหลาดใจในการเปลี่ยนแปลงของหอสมุดในสมองของตน หลิวหยางก็ปล่อยหมัดพื้นฐานออกมาเสร็จสิ้นแล้ว หลังจากเกิดเสียงสั่นสะเทือนดังกึกก้อง ตัวเลขใหม่ก็ปรากฏอยู่บนเสาหิน
62!
น้ำหนักที่ปรากฏหลังออกหมัดคือ 62 กิโลกรัม
“อาจารย์จาง หลิวหยางได้เสร็จสิ้นการออกหมัดของเขาแล้ว คุณจะชี้แนะว่าอย่างไร?” เฉาฉงยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น บรรดาผู้ที่รับชมก็ตื่นเต้นจนถึงขีดสุด พวกเขาจ้องมองไปยังจางเซวียน ต้องการจะรู้ว่าอาจารย์ที่ได้คะแนนต่ำที่สุดในโรงเรียนจะให้คำแนะนำเช่นไรในสถานการณ์แบบนี้