Skip to content

Library Of Heaven’s Path 30

ตอนที่ 30 เสิ่นปี้หรูตกตะลึง

“ตั้งใจอ่านหนังสือหรือ” หนวดของผู้เฒ่าโม่ชี้ขึ้นทันที เขาโกรธจัดจนถึงขีดสุดแล้ว “ไม่จดบันทึก ไม่ค้นคว้า ได้แต่พลิกหนังสือไปมา บอกผมหน่อย ในโลกนี้มีใครอ่านหนังสือแบบนี้บ้าง”

“การอ่านหนังสือจำเป็นต้องจดบันทึกด้วยหรือ” ตอนนี้จางเซวียนพึ่งเข้าใจสาเหตุที่อีกฝ่ายโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

ในโลกก่อน เขาเป็นผู้ดูแลหอสมุดแห่งหนึ่ง รายละเอียดของเนื้องานก็เหมือนกับผู้เฒ่าโม่นี่แหละ ขอเพียงมีบัตรยืมหนังสือ ใครๆ ก็สามารถเข้าไปข้างในได้ ในนั้น… ใครจะนอนจะกินข้าวก็ได้ เพียงแค่ไม่ฆ่าคนไม่วางเพลิง ก็จะไม่มีใครสนใจแล้ว

ทีแรกนึกว่าผู้เฒ่าโม่มาหาเรื่องเพราะว่าตนได้คะแนนการประเมินผลต่ำ แต่ตอนนี้เขาเพิ่งรู้สาเหตุที่แท้จริง

“หนังสือเหล่านี้ล้วนแล้วแต่หาซื้อมาด้วยราคาที่แสนแพง หนังสือทุกเล่มเขียนมาจากประสบการณ์และเลือดเนื้อของเหล่าปรมาจารย์ ถ้าไม่คิดจะศึกษาก็ห้ามแตะต้อง การกระทำของคุณไม่เรียกว่าสร้างความวุ่นวายแล้วจะเรียกว่าอะไร”

กำลังจะอธิบายให้อีกฝ่ายฟัง แต่พอคิดดูดีๆ จางเซวียนก็พยักหน้าปัดรำคาญ… ความลับเรื่องหอสมุดเทียบฟ้าของเขาไม่สามารถบอกให้ใครรู้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงไม่สามารถบอกเหตุผลของการพลิกหน้าหนังสืออ่านอย่างรวดเร็วของตน

ในเมื่อไม่มีความจำเป็นต้องมาที่นี่อีก ก็ไม่ต้องอธิบายอะไรให้เสียเวลาแล้ว ชื่อเสียงของเขาเองก็ไม่ได้ดีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถ้าจะมีใครด่าเพิ่มอีกสักคนสองคน จะเป็นอะไรไป

“ในเมื่อยอมรับก็ดี รีบๆ ไสหัวไปซะ” เห็นจางเซวียนยอมรับผิดแล้ว ผู้เฒ่าโม่ก็สะบัดมือไล่เขาทันที

“งั้นผมขอลาล่ะครับ”

กำลังจะก้าวเท้าเดินออกไป ทันใดนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งเดินออกมาจากหอสมุดพร้อมกับกลิ่นอันหอมหวาน เสิ่นปี้หรูสกัดทางไม่ให้เขาเดินต่อ “ช้าก่อน”

“มีอะไรอีกล่ะ?” จางเซวียนถอนใจออกมาด้วยท่าทีเบื่อหน่าย “เมื่อครู่คุณอ่านหนังสือคุณ ผมอ่านหนังสือผม ผมไม่ได้ไปรบกวนอะไรคุณเลยนี่”

การที่อยู่ๆ ก็มีนางฟ้ามาสกัดทางเดินเช่นนี้ หากเป็นคนอื่นคงต้องดีใจจนตัวสั่น แต่เขาคนนี้กลับแสดงออกว่ารำคาญ เสิ่นปี้หรูขมวดคิ้วและพูดออกไปเสียงเรียบ “มันไม่ใช่เรื่องนั้นค่ะ เมื่อครู่คุณบอกว่าคุณอ่านหนังสือไม่ใช่หรือ แถมยังอ่านนานเสียด้วย น่าจะจดจำอะไรได้บ้างถูกไหมคะ”

“คุณหมายความว่าอย่างไร?” จางเซวียนมองไปยังเสิ่นปี้หรูอย่างงุนงง เขาไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่

“ไม่มีอะไร แค่เมื่อครู่ฉันเห็นคุณอ่านหนังสือเรื่อง <แปดวิชาแห่งศิลปะการปรุงโอสถทิพย์> พอดีฉันมีคำถามบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ เลยอยากจะขอคำชี้แนะจากคุณหน่อย เราเป็นอาจารย์เหมือนกัน คุณคงจะไม่ปฏิเสธใช่ไหมคะ” เสิ่นปี้หรูพูด ก็ในเมื่อจางเซวียนเสแสร้งทำมาเป็นพลิกหนังสืออ่าน พอโดนจับได้ก็ปฏิเสธพัลวัน เอาเถอะ ถ้าเขาอ่านจริงก็ต้องตอบได้สิน่า

“แปดวิชาแห่งศิลปะการปรุงโอสถทิพย์หรือ” ทันใดนั้นสมองของจางเซวียนก็ปรากฏหนังสือเล่มหนึ่งขึ้น ใช่แล้ว เขาเคยอ่านหนังสือเล่มนั้นจริงๆ “ได้สิ คุณมีอะไรไม่เข้าใจก็ถามมาเลย ผมจะตอบให้ แต่ผมต้องรีบกลับไปกินข้าวนะ เวลาผมมีน้อย คุณต้องรีบหน่อย…”

“นี่คุณ…” เสิ่นปี้หรูโกรธจัดจนเกือบจะเป็นลม เธอกำหมัดแน่น น้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังเหมือนกับว่าเธอกำลังขอคำชี้แนะจากอาจารย์ผู้ทรงเกียรติ มันทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจเอามากๆ

เหตุผลข้อแรก… ฉันเป็นหญิงสาวที่สวย ข้อที่สอง… ฉันเป็นอาจารย์ระดับสูงของโรงเรียนแห่งนี้ และเป็นอาจารย์ดาวเด่นเสียด้วย การที่ฉันถามก็เพราะต้องการจะทดสอบ แต่ทำไมฟังจากคำพูดของเขาแล้ว มันเหมือนกับฉันกำลังขอคำชี้แนะอย่างไรก็ไม่รู้

อาจารย์ทุกคนต่างก็มีความเชี่ยวชาญแตกต่างกันไปในแต่ละด้าน จึงเป็นเรื่องปกติที่อาจารย์แต่ละคนจะขอคำชี้แนะซึ่งกันและกัน แต่คุณเป็นอาจารย์ที่ได้ศูนย์คะแนนจากการสอบประเมินผล เอาจริงๆ แล้ว คนอย่างเขามีสิทธิ์อะไรจะมาให้คำชี้แนะฉันหา!

เสิ่นปี้หรูกัดฟันเพื่อระงับความโกรธ “เมื่อครู่ฉันเห็นในหนังสือเขียนไว้ว่า ‘โอสถมีอยู่ทั่วแปดทิศ การปรุงยาจึงเป็นเรื่องยาก หากยาติดพื้นผิวผนังเตา เม็ดโอสถจะกลายเป็นสีเหลืองอร่าม’ ประโยคนี้อ่านดูแล้วเกิดความสับสนมาก ไม่ค่อยจะเข้าใจ เลยอยากจะขอให้อาจารย์จางช่วยอธิบายให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ”

พอเธอพูดคำว่า ‘ช่วยอธิบาย’ คำนี้ออกมา เสียงกัดฟันของเธอก็ดังขึ้น เธอสวยราวเทพธิดา หากไม่เพราะต้องการจะฉีกหน้าเขา เธอคงไม่มีวันมาเกลือกกลั้วขอคำแนะนำจากเศษสวะอย่างนี้แน่

“ความจำของคุณมีแค่นี้เองรึ ท่องประโยคมาถามยังไม่ครบเลย…” เขาคิดไม่ถึงว่าเธอจะถามคำถามแบบนี้ “ประโยคนี้คือ ‘เมื่อธาตุในยาทุกส่วนผนึกเข้าที่ผนังเตา การปรุงโอสถทั้งหมดจะล้มเหลว สมุนไพรกระจายอยู่ใต้หล้า ส่วนที่จะกลายเป็นโอสถต้องเป็นสีทองอร่าม’ ความหมายของประโยคนี้ก็คือการปรุงยานั้น หากผงยาหรือยาน้ำได้รับความร้อนจากเตามากจนกลายเป็นแผ่น ผงยาและยาน้ำนั้นจะหมดฤทธิ์ทันที ไม่สามารถกลายเป็นเม็ดโอสถได้ แต่ในทางกลับกัน ถ้าสามารถทำให้ผงยาและยาน้ำแตกตัวออกจากกันได้ ก็จะสามารถกลายเป็นเม็ดโอสถทิพย์ที่มีสีทอง”

หลังจากที่เขาพลิกหน้าหนังสือทั้งหมดในหอสมุดแล้ว เพียงแค่นึกสักพัก เขาก็สามารถอธิบายได้อย่างถูกต้อง ความรู้เพียงแค่นี้สำหรับจางเซวียนเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างมาก แต่สำหรับคนอื่น มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ที่สำคัญคือ อีกฝ่ายหนึ่งท่องประโยคที่จะถามออกมาผิด ความสามารถของเสิ่นปี้หรูทำไมถึงแย่จนเขาคาดไม่ถึง

“เป็นอย่างไรล่ะ ตอบไม่ได้หรือคะ อะไรนะ… คุณกำลังพูดอะไร”

เธอคิดว่าจางเซวียนไม่มีทางหาคำตอบให้เธอได้ คาดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถอธิบายประโยคที่เธอถามได้อย่างง่ายดาย เสิ่นปี้หรูตกตะลึงจนแทบจะช็อก

ประโยคนั้น เธอจงใจท่องแบบผิดๆ เหตุผลก็คือต้องการจะแกล้งเขา ตามความคิดของเธอ จางเซวียนเพียงแค่เสแสร้งเปิดหนังสือขึ้นอ่านไปอย่างนั้น ไม่ได้อ่านอะไรจริงจัง หากเธอพูดประโยคอะไรออกมาสักประโยคหนึ่ง เขาย่อมไม่มีทางได้อ่านผ่านตาแน่นอน

แล้วถ้าหากเธอแกล้งท่องออกมาแบบผิดๆ จะทำให้เขายิ่งแสดงความโง่ออกมาได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เขาจะได้อับอายขายหน้าเป็นทวีคูณ

ใครจะไปรู้ว่า… การที่ตนท่องผิด กลับถูกอีกฝ่ายหนึ่งรู้เข้า ซึ่งเขายังสามารถท่องประโยคที่ถูกต้องออกมาแก้ให้เธออีกด้วย

นี่มัน… เป็นไปได้อย่างไร หรือว่าเขาจะจำเนื้อหาเรื่องแปดวิชาแห่งศิลปะการปรุงโอสถทิพย์ทั้งหมดได้ด้วยการพลิกหน้าหนังสือเพียงครั้งเดียว

ไม่… ไม่จริงหรอก

คนคนนี้ได้ศูนย์คะแนนในการสอบประเมินผลอาจารย์ไม่ใช่หรือ วิชาการปรุงโอสถทิพย์เป็นเคล็ดวิชาที่สุดแสนจะลึกลับ เขารู้จักวิชานี้ได้อย่างไร

“เอาล่ะ ยังมีคำถามอะไรอีกไหม?” เขาเร่งถามอีกฝ่ายทันทีเพราะท้องของเขาเริ่มจะร้องแล้ว

“ยังมีอีกค่ะ” เธอรู้สึกทึ่งกับท่าทางของจางเซวียนอย่างมาก เสิ่นปี้หรูกล่าวต่อ “ยังมีหนึ่งประโยคที่ฉันไม่ค่อยจะเข้าใจ กล่าวคือ ‘โลหะเผาในเปลวเพลิง ขจัดความสกปรกและโรคร้าย’…” พอพูดจบ เธอแอบหัวเราะท่าทางของอีกฝ่ายหนึ่งที่อึ้งไปกับคำถามของเธอ

ครั้งแรกเธอถามถึงเรื่องการปรุงโอสถทิพย์ แต่ครั้งนี้เป็นประโยคที่เธอเอามาจากตำราโบราณซึ่งแนะนำวิธีสร้างอาวุธโบราณ เธอใช้เวลาหลายเดือนในการศึกษาแต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี จนในที่สุดได้พบกับนายช่างผู้เชี่ยวชาญการสร้างอาวุธมาช่วยอธิบาย จึงสามารถเข้าใจได้

เมื่อครู่แค่คิดจะแกล้งอีกฝ่ายให้เขารู้ว่าการล่วงเกินเธอจะมีจุดจบอย่างไร คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถอธิบายความหมายของประโยคในหนังสือแปดวิชาแห่งศิลปะการปรุงโอสถทิพย์ได้ ทำให้เธอเกิดอยากจะทดสอบความรู้ของเขาขึ้นมาจริงๆ

เธอคิดจะแกล้งเขา… แกล้งจนให้เขาพูดอะไรไม่ออกเลย

“นี่มัน…”

ผู้เฒ่าโม่เห็นว่าจางเซวียนสามารถตอบคำถามแรกของเสิ่นปี้หรูได้อย่างง่ายดาย ก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ตกใจอะไรนักหนา เพราะแปดวิชาแห่งศิลปะการปรุงโอสถทิพย์เป็นวิชาขั้นพื้นฐานที่ศิษย์วิชาการปรุงยาทุกคนจะต้องเรียน เช่นเดียวกับเคล็ดวิชาหงเทียนเก้าขั้น ดังนั้นแม้จะไม่ได้เข้าเรียนวิชาปรุงยา แต่ใครๆ ก็สามารถล่วงรู้ได้

ทว่าเมื่อฟังคำถามที่สองของเสิ่นปี้หรูเข้า ผู้เฒ่าโม่ถึงกับอึ้งไป เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยากที่จะตอบคำถามนี้

“โลหะเผาในเปลวเพลิง ขจัดความสกปรกและโรคร้ายอย่างนั้นหรือ”

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคิดว่าเขาจะต้องตอบไม่ได้อย่างแน่นอน จางเซวียนก็ส่ายหัวไปมา มองดูทั้งคู่ด้วยสายตาที่เหมือนกับกำลังมองเด็กโง่ แล้วโพล่งออกไปว่า

“ประโยคง่ายๆ แค่นี้คุณก็ไม่เข้าใจแล้วหรือ มันหมายความว่าเมื่อคุณสร้างอาวุธชิ้นนั้นขึ้นมา วัตถุดิบที่เลือกใช้ทุกชนิดจะต้องถูกเผาด้วยเปลวไฟอันร้อนแรง สิ่งเจือปนและสิ่งสกปรกต่างๆ จะต้องถูกชะล้างออกไปอย่างหมดจดเสียก่อน จากนั้นคุณถึงสามารถสร้างอาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงได้ ผมขอร้องล่ะ ขอคำถามที่มันยากๆ หน่อยได้ไหม คำถามง่ายๆ แบบนี้คุณไปหาหนังสืออ่านเอาเองวันหลังก็ได้”

“นี่คุณ…” เสิ่นปี้หรูพูดอะไรไม่ออก คำถามนี้ เธอเคยขอคำชี้แนะจากนายช่างผู้เชี่ยวชาญการสร้างอาวุธ สุดท้ายจึงได้คำตอบมา แต่จางเซวียนกลับตอบได้ทันที นี่มัน…

ไม่เพียงแค่เธอที่ทึ่ง ผู้เฒ่าโม่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เกือบจะลมจับ คำถามที่ขนาดตัวเขาเองยังตอบไม่ได้ ทว่าอีกฝ่ายกลับตอบได้อย่างง่ายดาย หรือว่า… เมื่อครู่จางเซวียนจะไม่ได้พลิกหนังสือเล่นๆ แต่เขากำลังอ่านหนังสือจริงๆ!

เฮ้ย!…จะเป็นไปได้หรือ

“อาจารย์จางคุณตอบผิดแล้ว ฉันจำได้ว่าคำอธิบายใน

<หนังสือคำถามและคำตอบทั่วไป> ไม่ได้เป็นแบบนั้น ในนั้นบอกว่าถ้าจะใส่ส่วนประกอบของแร่โลหะลงไปในเม็ดโอสถ จะต้องทุบทำให้เม็ดโอสถนั้นแตกออกก่อน มิเช่นนั้นจะไม่สามารถผนึกโอสถกับโลหะเข้าด้วยกันได้” เสิ่นปี้หรูพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ

“คุณสิจำผิด ใน <หนังสือคำถามและคำตอบทั่วไป> ไม่มีคำอธิบายเช่นนั้นเลย และไม่มีคำอธิบายที่ใกล้เคียงด้วย ที่คุณพูดมาทั้งหมดมันคือประโยคในเล่ม

<หนังสือร้อยคำพูด> ของผู้อาวุโสหลิวเจ้อ ในหนังสือเล่มนั้นมีประโยคที่คล้ายคลึงกับคำอธิบายของคุณจริงๆ แต่ประโยคนั้นคือ ‘โลหะเผาโอสถ ขจัดความสกปรกและโรคร้าย’ ไม่ใช่ ‘โลหะเผาในเปลวเพลิง’…” จางเซวียนสะบัดมือไปมาอย่างหงุดหงิด

โอย…หิวข้าว!

เขาไม่รู้ว่าทั้งเสิ่นปี้หรูและผู้เฒ่าโม่กำลังทดสอบตนอยู่ คิดว่าอีกฝ่ายจำประโยคนั้นไม่ได้จริงๆ จางเซวียนพูดต่อไปว่า “หนังสือเล่มนี้เก็บอยู่ที่มุมล่างสุดของชั้นหนังสือที่เก้าในหอสมุดแห่งนี้ ประโยคที่คุณพูด มันมีบันทึกอยู่หน้าที่สี่สิบเก้า ถ้าคุณไม่เชื่อในสิ่งที่ผมอธิบายเมื่อครู่ กรุณาไปเปิด <ตำราการสร้างอาวุธทั้งสาม> ที่ผู้อาวุโสตู้ฉวี่เขียนเอาไว้สิ หนังสือเล่มนั้นวางอยู่ที่มุมของชั้นที่สิบห้า ในหนังสือได้ให้คำอธิบายอย่างชัดเจนเลย จำไว้นะ คำอธิบายเพิ่มเติมอยู่หน้าที่ยี่สิบสี่”

“ฉันจะไปดู” เสิ่นปี้หรูมองจางเซวียนอย่างงวยงงแล้วเดินเข้าไปในหอสมุด สักพักเธอก็เดินออกมา ในมือมีหนังสือเพิ่มขึ้นสองเล่มคือ <หนังสือร้อยคำพูด> กับ <ตำราการสร้างอาวุธทั้งสาม> เมื่อพลิกไปหน้าที่จางเซวียนบอก เธอตกตะลึงจนเกือบล้มทั้งยืน

เป็นอย่างที่จางเซวียนพูดไว้ไม่มีผิด จางเซวียนไม่เพียงสามารถจำประโยคในหนังสือได้ แต่เขายังสามารถจำตำแหน่งที่วางและหน้าของหนังสือนั้นๆ ได้อีกด้วย

มันเป็นเรื่องจริงหรือนี่!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!