ตอนที่ 32 ตึกหงเทียน
“เงียบสงบดั่งหนองน้ำนิ่งหรือ” จางเซวียนเรียกสติตัวเองกลับมาและลืมตาขึ้น สภาพจิตที่เขากำลังเป็นอยู่เรียกว่าอย่างนี้หรือเปล่า? จางเซวียนพึ่งจะอ่านหนังสือจำนวนมากมาหยกๆ ความหมายของคำคำนี้ทำไมเขาจะไม่รู้
“เราเป็นคนที่เดินทางมาจากอีกโลกหนึ่ง เคยเกิดเคยตายมาก่อน สภาพจิตก็ต้องแข็งแกร่งกว่าคนปกติอยู่แล้ว บวกกับการที่ได้ฝึกเคล็ดวิชาต่างๆ พลังปราณจึงใสบริสุทธิ์ หากสภาพจิตจะก้าวมาสู่ระดับสองอย่างรวดเร็วมันก็เป็นเรื่องปกติ” แม้จะรู้สึกดีใจ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไรมากนัก
เขามีหอสมุดเทียบฟ้าในครอบครอง ถ้ายังมีความสามารถเทียบเท่ากับคนปกติ แบบนี้เขาไปขายน้ำเต้าหู้ข้างถนนดีกว่า
ทั้งสองเดินด้วยกันโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกันสักคำ ไม่ช้า พวกเขาก็มาถึงหน้าประตูโรงเรียน
‘ตึกหงเทียน’
จางเซวียนพยักหน้าขึ้นลงทันทีที่เห็นอักษรทั้งสามตัวนี้ จากความทรงจำในอดีต เขาจำได้ว่าตึกหงเทียนเป็นที่ตั้งของภัตตาคารที่มีแต่อาหารเลิศรส มากินอาหารที่นี่หนึ่งมื้ออาจต้องหมดเงินไปเป็นจำนวนมาก เมื่อก่อน เนื่องจากเขาเงินเดือนค่อนข้างต่ำ จึงไม่เคยมีโอกาสมากินอาหารที่นี่เลยสักครั้ง
เดิมทีคิดว่าเสิ่นปี้หรูจะเลี้ยงอาหารง่ายๆ ให้กับเขา คิดไม่ถึงว่าเธอจะพาเขามาที่นี่ เธอเป็นคนใจป้ำทีเดียว
สมกับเป็นภัตตาคารชั้นนำจริงๆ ภายในภัตตาคารตกแต่งไปด้วยเครื่องเรือนราคาแพงมากมาย มีไข่มุกราตรีจากธรรมชาติจำนวนนับไม่ถ้วนฝังติดอยู่กับตัวผนังตึก ส่องแสงระยิบระยับไปทั่วทุกมุมของภัตตาคาร มีที่นั่งข้างหน้าต่างว่างอยู่ พวกเขาจึงนั่งลง
“อยากจะกินอะไรคะ” เสิ่นปี้หรูมองไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“อะไรก็ได้” จางเซวียนโบกมือ “ในเมื่อคุณเป็นเจ้าภาพ คุณสั่งเลย ผมกินได้ทุกอย่าง” เขาไม่เคยมาที่แห่งนี้ แล้วก็ไม่รู้จะกินอะไรด้วย ในเมื่อมีคนเลี้ยงข้าว เขาจึงขี้เกียจจะคิด
เห็นท่าทางตะกละตะกลามของจางเซวียน เสิ่นปี้หรูไม่รู้จะระงับความโกรธในใจลงอย่างไร แต่เธอก็ไม่สามารถแสดงความโกรธออกมาได้ จึงได้แต่พยักหน้าตามใจเขา
“อาจารย์จาง เรื่องที่คุณสอบได้ศูนย์คะแนนในการสอบประเมินผล คุณจงใจใช่ไหมคะ” พอสั่งอาหารเสร็จ เสิ่นปี้หรูก็จ้องไปที่จางเซวียน
“จงใจหรือ?” จางเซวียนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายถามคำถามนี้ทำไม เขาหยุดชะงักไปสักพัก “เปล่า” ตอนที่สอบประเมินผล เขายังไม่ได้ข้ามมาที่โลกใบนี้และยังไม่มีหอสมุดเทียบฟ้าในหัว แล้วมันจะเป็นการสอบแบบ ‘จงใจให้สอบตก’ ได้อย่างไร
พอได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย เสิ่นปี้หรูนึกไว้แล้วว่าเขาจะต้องตอบเช่นนี้ เธอแอบหัวเราะเบาๆ
ในเมื่อคุณไม่ยอมรับ งั้นมาดูสิว่าฉันจะจับไต๋คุณได้ไหม
“ในเมื่อตอนนี้ก็ว่าง ไม่มีอะไรทำ พอดีฉันยังมีคำถามอีกนิดหน่อย อาจารย์จาง คุณจะช่วยให้คำชี้แนะกับฉันหน่อยได้ไหมคะ” เสิ่นปี้หรูมองไปที่จางเซวียนแล้วพูดขึ้นมา
“ครับ… เชิญ” ก็อีกฝ่ายรับปากจะเลี้ยงข้าวแล้วนี่ จะตอบคำถามให้กับเธอสักสองสามคำถามมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“ขอบคุณค่ะ ในขณะที่ฝึกยุทธ์อยู่นั้น ปราณเย็นไม่สามารถประสานติดกับเส้นประสาท…” เธอคิดคำถามออกมาสักพักแล้วถามจางเซวียน “ดังนั้นควรทำอย่างไร?”
“เรื่องนี้เองหรือ” เมื่อได้ยินคำถามนี้ จางเซวียนมองไปที่อีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ เพราะคำถามนี้มันง่ายยิ่งกว่าคำถามอื่นๆ ก่อนหน้าเสียอีก เขาอธิบายและให้คำตอบกับเสิ่นปี้หรูทันที ทั้งยังเสนอแนะเพิ่มเติมอีกด้วย “ถ้าเป็นแบบนี้ ผมมีเก้าวิธีในการแก้ปัญหา…” เขาอธิบายคำตอบทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
“เก้าวิธี…” เมื่อได้ยินจางเซวียนพูดว่าเก้าวิธี สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป
แม้เธอจะเป็นอาจารย์ที่มากไปด้วยความรู้ความสามารถ แต่ก็รู้วิธีการแก้ปัญหานี้เพียงสามวิธีเท่านั้น ทว่าจางเซวียนกลับบอกว่ามีเก้าวิธี อีกทั้งวิธีต่างๆ ที่เขาพูดมาก็เป็นวิธีที่เธอเองไม่เคยได้ยินมาก่อน มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน
“งั้น… ทำไมปราณเย็นเข้าสู่ร่างกายแล้วจึงไม่สามารถควบคุมเส้นประสาทได้ล่ะ” เธอกัดฟันแล้วถามต่อ
“สำหรับจุดนั้น… ผมมีแปดวิธีในการแก้ปัญหา” จางเซวียนอธิบายทันที “วิธีที่หนึ่ง…”
เสิ่นปี้หรูรู้สึกสั่นไปทั้งตัว แม้เธอจะเตรียมใจไว้บ้างแล้วแต่ก็ยังรู้สึกว่าตนเองใกล้จะบ้า วิธีต่างๆ ที่จางเซวียนพูดออกมา ล้วนเป็นวิธีที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน ถ้าความรู้นี้แพร่กระจายออกไป ยุทธภพจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างแน่นอน
“คุณรู้วิธีการแก้ปัญหามากมายขนาดนี้ แล้วทำไมตอนสอบประเมินผล คุณถึงเลือกที่จะไม่ใส่คำตอบอะไรลงไปบนกระดาษคำตอบ จนทำให้ตัวเองได้ศูนย์คะแนน” เสิ่นปี้หรูเก็บความตกใจไว้แล้วถามขึ้น
เพราะคำถามทั้งสองที่เธอถามเขาเมื่อครู่ล้วนเป็นคำถามในข้อสอบประเมินผล ถ้าอีกฝ่ายรู้คำตอบมากมายขนาดนี้ แล้วทำไมไม่ยอมเขียนอะไรลงไปบนกระดาษคำตอบเล่า ทำไมปล่อยให้ตัวเองได้ศูนย์คะแนนไปเสียอย่างนั้น
“อ้อ” ตอนนี้จางเซวียนพึ่งนึกขึ้นได้ว่าคำถามเหล่านี้เป็นคำถามในข้อสอบประเมินผลนั่นเอง แม้ว่าจะอยู่ในร่างของจางเซวียนคนเดิม เขาก็จำอะไรเกี่ยวกับข้อสอบไม่ได้ “คือว่า…”
ในขณะที่เขาไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ก็เหลือบไปเห็นว่าพนักงานกำลังนำอาหารมาเสริฟให้ “เรากินข้าวกันก่อนเถอะ”
เห็นอาหารอันโอชะอีกทั้งกลิ่นเย้ายวนอยู่ตรงหน้า นิ้วมือของจางเซวียนก็กระดิกขึ้นทันที เขาเบื่อที่จะตอบคำถามปัญญาอ่อนแบบนี้เหลือเกินแล้ว เขาจึงเริ่มตักอาหารใส่ปาก
พอเห็นท่าทางที่จางเซวียนดีใจเมื่อเห็นอาหารยิ่งกว่าคุยกับตน เสิ่นปี้หรูก็โกรธจนแทบระเบิด มีคนมากมายอยากจะเลี้ยงข้าวเธอ ทุกคนต่างก็ใช้เหตุผลต่างๆ นานา เป้าหมายก็เพื่อที่จะได้ใช้เวลาร่วมกับเธอให้นานขึ้นอีกสักหนึ่งวินาที แต่คนคนนี้ เขา… เขา…
เขามากินข้าวอย่างเดียวเลย!
“อาจารย์ซั่งอย่าโกรธไปเลย ผมก็ได้ยืนคำร้องขอ ‘แบบทดสอบความประสงค์’ ไปแล้วนี่ โรงเรียนจะต้องเรียกหลิวหยางมาสอบถามอย่างแน่นอน เจ้าจางเซวียนจะต้องได้รับบทลงโทษอย่างสาสม อีกทั้งท่านผู้เฒ่าซั่งก็เพิ่งให้คุณยืมสัตว์วิเศษมา หากพรุ่งนี้เราเจอมัน จะต้องสั่งสอนได้อย่างเต็มที่แน่ ตอนนี้คุณควรจะดีใจถึงจะถูก ไปกันเถอะ ผมเลี้ยงข้าวคุณเอง เติมกำลังที่เพิ่งเสียไปเมื่อครู่แล้วไปหาผู้หญิงคนนั้นกัน…”
มีชายหนุ่มสองคนเดินบนทางเดินในโรงเรียน
คนที่เดินนำหน้าคือคนที่มีใบหน้าบวมเป่ง ขอบตาดำช้ำเหมือนหมีแพนด้า ดูก็รู้ว่าเขาพึ่งจะถูกเล่นงานมา ส่วนอีกคนที่เดินตามหลัง ได้แต่ก้มโค้ง ดูไม่ค่อยมีราศี
สิ่งที่เดินตามหลังทั้งสองคือสิงโตตัวใหญ่ตัวหนึ่ง มันแผ่รังสีอำมหิตไปรอบด้าน ขนาดไม่เข้าใกล้ คนที่อยู่รอบๆ ยังรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของสัตว์วิเศษตัวนี้
ชายคนที่เดินนำหน้าก็คือซั่งปิง ผู้ที่ไปก่อความวุ่นวายในห้องเรียนของจางเซวียนแล้วถูกเหยาฮั่นเล่นงานจนเกือบตาย ส่วนอีกคนคือเฉาฉง ผู้ซึ่งต้องการจะหาเรื่องจางเซวียนอยู่ตลอดเวลา ส่วนสิงโตที่เดินตามหลังทั้งสองนั้นคือสัตว์วิเศษของผู้เฒ่าซั่ง สัตว์วิเศษระดับหก ‘ราชสีห์อวตาร’
ในโลกใบนี้มีหมอปรุงยา ช่างตีอาวุธ และอาชีพอื่นๆ อีกมากมาย ทุกอาชีพล้วนสูงส่งเป็นที่นับหน้าถือตาจากคนทั่วไป
ผู้เฒ่าซั่งนั้นเป็นนักฝึกสัตว์
ผู้ที่มีอาชีพนี้ มีความสามารถพิเศษในการฝึกสัตว์ร้ายและสัตว์วิเศษในตำนานต่างๆ ให้เป็นสัตว์ที่เชื่องคน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการต่อสู้ อาชีพนี้มีความพิเศษเป็นอย่างมากและอยู่เหนืออาชีพใดๆ ทั่วหล้า
ราชสีห์อวตารตัวนี้คือหนึ่งในสัตว์วิเศษของผู้เฒ่าซั่งที่เขาฝึกจนเชื่อง
ซั่งปิงถูกเหยาฮั่นซ้อมอย่างหนัก เขารู้ดีว่าตนเองไม่มีปัญญาที่จะไปสู้กับเหยาฮั่นได้ จึงไปขอยืมสัตว์วิเศษของคุณปู่ เพื่อนำมาเล่นงานเหยาฮั่นโดยเฉพาะ
“ดี” ฟังอีกฝ่ายพูดจบ ซั่งปิงก็ยิ้มแบบมีนัยแอบแฝง
“ผมจะต้องสั่งสอนเจ้าเหยาฮั่นอย่างสาสม เจ้าจางเซวียนก็ด้วย”
“แน่นอนอยู่แล้วครับ มีราชสีห์อวตารตัวนี้ในมือ อาจารย์ซั่งยังจะต้องเป็นห่วงอะไรอีก” เฉาฉงพูดไปหัวเราะไป สัตว์วิเศษระดับหกนั้นมีความสามารถเทียบเท่ากับนักรบขั้นหกหรืออาจจะสูงกว่า
ถึงแม้ว่าพ่อบ้านเหยาจะเป็นยอดฝีมือ แต่ก็ยากที่จะเอาชนะราชสีห์อวตารตัวนี้ได้ แล้วเหยาฮั่นในสภาพสะบักสะบอมเช่นตอนนี้จะเอาอะไรไปสู้กับมัน เมื่อตอนเช้าสภาพของเหยาฮั่นยังถูกพันด้วยผ้าพันแผลไปทั่วทั้งร่าง ดูเหมือนกับมัมมี่ ไม่ได้ดีอะไรไปกว่าสภาพของซั่งปิงในตอนนี้หรอก
มองไปที่ราชสีห์อวตารที่น่าสะพรึงกลัว ซั่งปิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหมือนช่วยอะไรไม่ได้ “ราชสีห์อวตารเป็นสัตว์วิเศษของคุณปู่ผม คุณน่าจะรู้ดี มันมีกลิ่นอายพิฆาตกระจายอยู่ทั่วร่าง เป็นสัตว์ร้ายที่ฝึกให้เชื่องได้ยากมาก แม้คุณปู่จะให้ผมยืม แต่มันเพียงทำหน้าที่ปกป้องผมเมื่อมีคนมาทำร้ายเท่านั้น หากคิดจะออกคำสั่งให้มันโจมตีตามความต้องการของพวกเรา อาจจะทำไม่ได้ง่ายๆ”
สัตว์ร้ายที่มีพละกำลังอันมหาศาลมักมีนิสัยหยิ่งยโส หากคุณไม่ได้มีความสามารถเหนือพวกมัน หรือเป็นนักฝึกสัตว์วิเศษ ถ้าเป็นแค่คนธรรมดาก็ยากที่จะออกคำสั่งให้พวกมันทำตาม
“แต่ก็ไม่แน่นะครับ ถ้าพวกเราเลี้ยงดูมันดีๆ ไม่แน่ว่ามันอาจจะยอมเชื่อฟังพวกเราก็เป็นได้”
“ก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้น” ทั้งสองคนเดินไปพูดไป สักพักก็เดินมาถึงหน้าภัตตาคารขนาดใหญ่โตแห่งหนึ่ง “ถึงแล้วครับ” ทั้งสองก้าวเข้าไปในภัตตาคาร ตัวอักษรขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นต่อหน้าของทั้งคู่
‘ตึกหงเทียน’