ตอนที่ 33 หน้าใหญ่ใจกว้าง
“อ้าว… เป็นอาจารย์ซั่งนี่เอง เชิญด้านในเลยครับ”
ขณะที่ทั้งสองยังไม่ได้เดินเข้าไปในภัตตาคารเลย ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ออกมาให้การต้อนรับด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส
อู๋โฉว หัวหน้าพนักงานของตึกหงเทียน
“ช่วยหาที่นั่งเงียบๆ ให้พวกเราทีสิ ผมกับอาจารย์เฉาจะดื่มเหล้ากันสักหน่อย” ซั่งปิงกล่าว
“งั้นเชิญด้านนี้เลยครับ”
“อาจารย์ซั่ง ปกติผมมาที่นี่หัวหน้าอู๋คนนี้แทบจะไม่สนใจผมเลย ครั้งนี้เขาถึงกับ…” เฉาฉงถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
แม้ว่าตึกหงเทียนจะเป็นเพียงแค่ตึกภัตตาคารแต่ก็มีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นจะตั้งอยู่ในโรงเรียนหงเทียนได้อย่างไร อีกทั้งยังมีพื้นที่ใหญ่โตขนาดนี้
เมื่อก่อนตอนที่เฉาฉงมากินอาหารที่นี่ หัวหน้าอู๋ไม่เคยใส่ใจเขาเลย ตอนนี้กลับออกมาให้การต้อนรับอย่างดี เขารู้สึกงุนงงอย่างมาก “เมื่อก่อนที่โรงเรียนเรามีผู้เฒ่าคนหนึ่งชื่อหงหาว คุณคงเคยได้ยินชื่อเขาใช่ไหม” ซั่งปิงกล่าว
เฉาฉงพยักหน้า
โรงเรียนหงเทียนถูกสร้างขึ้นโดยท่านหงเทียน เมื่อเขาจากไป ก็มีลูกหลานเป็นผู้สืบทอดต่อ ดังนั้น ผู้เฒ่าที่แซ่หงในโรงเรียนแห่งนี้ ทุกคนล้วนมีฐานะที่สูงส่ง
เมื่อก่อนเฉาฉงก็เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของผู้เฒ่าหงหาวคนนี้จริงๆ นั้นแหละ ผู้เฒ่าคนนี้เป็นผู้ที่มีอิทธิพลอย่างมาก ถึงขนาดเคยแย่งชิงตำแหน่งอธิการบดีของโรงเรียน แต่ต่อมาไม่รู้เกิดอะไรขึ้น เขาถึงสละตำแหน่งผู้เฒ่าประจำโรงเรียนทิ้ง จากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย
“เขาสละตำแหน่งอธิการบดีแล้วมาเปิดภัตตาคาร อดีตเคยเป็นสหายคนสนิทของคุณปู่ผม ดังนั้น เมื่อผมมาที่นี่ หัวหน้าอู๋ก็จะมาต้อนรับผมอย่างที่เห็นทุกครั้ง” ซั่งปิงตอบอย่างภาคภูมิใจ
“เป็นอย่างนี้นี่เอง” เฉาฉงพยักหน้า ถึงว่าล่ะ ที่ตึกภัตตาคารหงเทียนมีขนาดใหญ่โตมโหฬารได้ก็เพราะว่ามีผู้เฒ่าแซ่หงเป็นผู้สร้าง เห็นหัวหน้าพนักงานของภัตตาคารที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาต้อนรับด้วยตัวเอง เฉาฉงรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมาก
“อะไรกันเนี่ย” ยังรู้สึกดีใจไม่หาย เฉาฉงพลันหยุดชะงัก ใบหน้าของเขาดำคล้ำขึ้นทันที
“เป็นอะไรไป” ซั่งปิงมองไปที่เฉาฉงด้วยความประหลาดใจ
“นั้นมันเจ้าจางเซวียนไม่ใช่หรือ คนอย่างมันมีสิทธิ์มากินอาหารในนี้ด้วยรึ?” เฉาฉงชี้ไปที่จางเซวียนทันที
“เจ้าจางเซวียนหรือ” ซั่งปิงมองตาม เขาไม่เพียงมองเห็นจางเซวียนนั่งกินอาหารอยู่ แต่เห็นใบหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ จางเซวียนด้วย ซั่งปิงโกรธจนไฟลุกท่วมตัว “นี่เธอมาอยู่กับเจ้าเศษสวะตัวนี้ได้อย่างไร ผมชวนเธอมาที่นี่ตั้งหลายครั้งก็ถูกปฏิเสธไปเสียทุกครั้ง แต่เธอกลับมานั่งกินข้าวกับคนอื่น มันน่าเจ็บใจที่สุด เจ็บใจจริงๆ”
เขาเป็นถึงหลานแท้ๆ ของผู้เฒ่าคนสำคัญของโรงเรียน เป็นอาจารย์ระดับสูง เป็นนักรบขั้นห้า – ติ่งลี่
เขาเคยชวนเสิ่นปี้หรูมากินข้าว แต่กลับถูกเธอปฏิเสธทุกครั้ง ทีแรกคิดว่าเสิ่นปี้หรูคงไม่เคยคิดจะกินข้าวกับใคร คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าเธอกลับมานั่งกินอาหารกับเจ้าเศษสวะของโรงเรียน
ซั่งปิงเกือบจะเป็นลมล้มลงกับพื้น เขาตบโต๊ะเสียงดังด้วยความโมโหแล้วลุกขึ้น คิดจะเดินไปยังโต๊ะของจางเซวียนทันที แต่เมื่อคิดถึงเสิ่นปี้หรูที่นั่งอยู่ด้วยแล้วก็ต้องหยุดชะงัก
เธอเป็นคนที่ไม่ชอบให้ใครมารบกวนเป็นที่สุด ถ้าตนบุ่มบ่ามเข้าไปเล่นงานจางเซวียนแบบนี้ เกิดทำให้เสิ่นปี้หรูโกรธ วันหลังคงจะจีบเธอไม่สำเร็จแน่
“อาจารย์ซั่งอย่าโกรธไปเลย ผมมีวิธีที่จะทำให้อาจารย์เสิ่นเห็นธาตุแท้ของเจ้านั่น แล้วยังสามารถทำให้ภาพลักษณ์ความเป็นสุภาพบุรุษของคุณเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณอีกด้วย” เฉาฉงยิ้มแล้วกล่าวขึ้น เฉาฉงเป็นคนเจ้าเล่ห์ เขาจะอ่านความคิดของซั่งปิงไม่ออกได้อย่างไร
“วิธีอะไร”
“เจ้าจางเซวียนมันจะต้องประจบสอพลออาจารย์เสิ่นด้วยการเลี้ยงข้าวเธอ เจ้านั้นเป็นเพียงอาจารย์ระดับล่าง จะมีเงินทองติดตัวสักเท่าไหร่เชียว พวกเราก็แค่แกล้งทำให้มันไม่มีเงินจ่ายค่าอาหาร จากนั้นอาจารย์ซั่งก็อาสาไปช่วยแก้ไขปัญหาให้ เหมือนกับพระเอกช่วยนางเอกไงครับ เมื่อถึงตอนนั้น อาจารย์เสิ่นต้องมองคุณด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปอย่างแน่นอน บางทีอาจจะรู้สึกหลงรักคุณถึงขั้นล้มลงในอ้อมอกคุณเลยก็ได้…” เฉาฉงอธิบายแผนการของเขาให้ซั่งปิงฟัง
“ดีมาก งั้นเอาแบบนี้” ซั่งปิงพยักหน้าตอบตกลงด้วยความดีใจ แผนการที่สามารถเล่นงานอีกฝ่าย แล้วยังสามารถเพิ่มภาพลักษณ์ของตนให้สูงขึ้นได้ ช่างเป็นแผนการที่สุดวิเศษ
ดูแล้วเฉาฉงคนนี้ ไม่เพียงแต่จะสอนหนังสือเก่ง สมองและไหวพริบก็ยังไม่เป็นรองใครอีกด้วย เห็นท่าว่าเราจะต้องสนับสนุนเขาสักหน่อยแล้ว
จางเซวียนยังไม่รู้สึกตัวเลยว่าตนถูกคนอื่นวางแผนเล่นงานเข้าแล้ว เขายังคงก้มหน้าก้มตาหมกมุ่นอยู่กับการกินอาหารที่รสชาติสุดแสนจะโอชะ
แม้ว่ารสชาติของอาหารจะไม่กลมกล่อมเท่ากับอาหารในโลกเดิม แต่เนื่องจากไอเย็นของโลกนี้อุดมสมบูรณ์ จึงทำให้รสชาติดั้งเดิมของวัตถุดิบในอาหารมีความหอมหวานอยู่ในตัว ซึ่งไม่ว่าจะปรุงอย่างไรก็อร่อยอยู่วันยังค่ำ
ไม่นาน อาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะก็ถูกจางเซวียนจัดการจนเกือบหมด เสิ่นปี้หรูได้แค่ชิมรสชาติของอาหารแต่ละจานอย่างพอเป็นพิธี
เห็นจางเซวียนกินอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่สนใจเธอเลย เสิ่นปี้หรูรู้สึกโกรธจนหน้าแดง ทีแรกเธอนึกว่าอีกฝ่ายแค่แกล้งทำเป็นเสแสร้งเพื่อดึงดูดความสนใจของเธอ ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้เห็นความสำคัญของเธอเลย เธออยากจะกระทืบจางเซวียนแล้วไล่ตะเพิดเขาออกไปจากภัตตาคารแห่งนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
เธอโกรธจนทำอะไรไม่ถูก รู้ว่าถ้าหากกินต่อไปคงต้องโมโหตายอย่างแน่นอน เธอจึงหันไปแล้วเรียกพนักงาน
“เก็บเงินด้วยค่ะ”
“ทั้งหมด 1,280 เหรียญครับ” พนักงานเดินมาแจ้งราคา
“1,280 เหรียญหรือ?” เสิ่นปี้หรูตกใจเล็กน้อย “ทำไมราคาถึงแพงขนาดนี้?”
ต่อให้เป็นอาจารย์ระดับสูงอย่างเธอ เงินเดือนก็แค่หนึ่งพันเหรียญ กินอาหารมื้อเดียวต้องใช้เงินเดือนของทั้งเดือนเลยหรือเนี่ย ทำไมมันถึงได้แพงผิดปกติแบบนี้เล่า?
เมื่อครู่ตอนสั่งอาหาร เธอแอบคำนวณราคาไว้แล้ว มันไม่น่าจะเกินหนึ่งร้อยเหรียญเสียด้วยซ้ำ แล้วจู่ๆ มันกลายมาเป็นหนึ่งพันได้อย่างไร
“ขออภัยครับ เหล้าขวดนี้ราคา 1,200 เหรียญครับ” พนักงานตอบ เมื่อครู่ตอนที่ทั้งคู่กำลังกินอาหารอยู่นั้น มีพนักงานคนหนึ่งเดินมาถามว่าจะดื่มเหล้าไหม เสิ่นปี้หรูคิดว่าแค่เหล้าก็ไม่น่าจะมีอะไรพิเศษ เลยตกลงสั่งไปหนึ่งขวด ก็เธอคิดไม่ถึงนี่ว่ามันจะแพงขนาดนี้
“เหล้าขวดนี้เป็นเหล้าที่พวกคุณเสิร์ฟมาเอง พวกเราไม่รู้ราคาซะหน่อย” สีหน้าของเสิ่นปี้หรูดูเคร่งเครียดอย่างมาก ต่อให้เป็นคนโง่แค่ไหนก็ดูออกว่าถูกหลอกเข้าแล้ว
“ถ้าคุณไม่เอาจริงๆ ก็สามารถที่จะบอกกับพนักงานได้นี่ครับ แต่คุณกลับไม่ว่าอะไร พวกเราก็นึกว่าคุณรู้ราคาแล้ว พวกเราเลยไม่ได้พูดอะไรมากน่ะครับ” พนักงานมองใบหน้าของเธอด้วยสายตาเย็นชา
เสิ่นปี้หรูเห็นท่าทีของพนักงานก็รู้ทันทีว่าถึงพูดไปก็คงไร้ประโยชน์ การทะเลาะกับพนักงานร้านรังแต่จะทำให้ชื่อเสียงของตนเสื่อมเสียเปล่าๆ พอเปิดกระเป๋าสตางค์ของตนดูก็หน้าซีดทันที “ฉันไม่ได้พกเงินมามากขนาดนั้น คงจะต้องติดหนี้เอาไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะกลับบ้านไปเอาเงินมาจ่ายให้…”
วันนี้เธอคิดจะไปเพียงแค่หอสมุดเลยไม่ได้พกเงินติดตัวมามากมาย ต่อมาพบกับจางเซวียนแล้วไปขอคำชี้แนะจากเขา จางเซวียนทำให้เธอรู้สึกตกตะลึงจนลืมไปแล้วว่าในตัวเธอมีเงินเพียงหนึ่งร้อยเหรียญ มันแตกต่างจากหนึ่งพันเหรียญอยู่มาก
จะเลี้ยงข้าวคนอื่น แต่กลับไม่มีเงินจ่าย เธอรู้สึกหน้าแตกอย่างบอกไม่ถูก อยากจะมุดหัวแล้วดำดินลงไปสุดแกนโลกเลย
“ไม่มีเงินก็อย่าสั่งอาหารสิ ในเมื่อสั่งแล้วก็ต้องจ่าย ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่จะให้ใครมากินฟรีๆ ได้หรอกนะ” พนักงานขึ้นเสียงทันที
“นี่คุณ…” เสิ่นปี้หรูโกรธจนตัวสั่น
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ” ในตอนนี้เอง มีเสียงดังขึ้นจากด้านข้าง ซั่งปิงเดินมาพร้อมกับราชสีห์อวตารและเฉาฉง ซั่งปิงอยู่ในชุดสีขาว แขนทั้งสองข้างของเขาไขว้ไว้ที่ด้านหลัง เขาก้าวเท้ามาหาเธอด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
หากเป็นเมื่อก่อน แน่นอนว่าคนสวมชุดขาวอย่างนี้ เมื่อเดินมาพร้อมกับราชสีห์อวตาร จะต้องเป็นที่จับตามองของเหล่าบรรดาสาวๆ อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ตอนนี้ซั่งปิงมีใบหน้าบวมเป่งและเขียวช้ำ มองไปไกลๆ ก็ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรกว่าคนอื่น
แต่ครั้งนี้ ซั่งปิงไม่รู้สึกอับอายบาดแผลที่อยู่บนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย กลับกัน เขารู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เขาเดินมาตรงหน้าเสิ่นปี้หรูแล้วแกล้งทำเป็นตกใจ “อ้าว อาจารย์เสิ่น บังเอิญจัง คุณมาที่นี่ด้วยหรือครับ”
เขาหันกลับไปที่พนักงานร้าน “นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำเสียงเอะอะแบบนี้ได้อย่างไร”
“ที่แท้ก็อาจารย์ซั่งนี่เอง” พนักงานร้านตกใจและไม่กล้าขึ้นเสียงกับเสิ่นปี้หรูอีก เขาตอบซั่งปิงด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“คืออย่างนี้ครับ พวกเขากินอาหารแล้วไม่มีเงินจ่าย…”
“ไม่มีเงินจ่ายอย่างนั้นหรือ” ซั่งปิงส่ายหัวไปมา ทำเป็นว่าตนเองรู้สึกผิดหวังกับการมากินอาหารแล้วไม่มีเงินจ่ายเสียเหลือเกิน เขาหันไปหาจางเซวียน “อาจารย์จาง ว่าก็ว่าเถอะ ถ้าคุณไม่มีเงินก็อย่าทำมาเป็นหน้าใหญ่ใจกว้างสิ อย่าไปชวนคนอื่นมากินข้าว คราวนี้หน้าแตกเลยไหมล่ะ คุณเป็นอาจารย์ระดับปลายแถวของโรงเรียน แค่เรื่องนี้ก็น่าอับอายมากแล้ว แล้วนี่คุณยังมาทำให้อาจารย์เสิ่นพลอยอับอายด้วยอีกคน แบบนี้มันจะเกินไปหน่อยไหมครับ”
“…”
ซั่งปิงดูได้ใจอย่างมาก จางเซวียนรู้สึกตกใจแล้วหันไปมองหน้าเสิ่นปี้หรูทันที “คือ… เขาน่าจะกำลังว่าคุณอยู่นะ ถ้าไม่มีเงินก็อย่าหน้าใหญ่ใจกว้าง คราวนี้หน้าแตกเลยไหมล่ะ…”
“ฉ…ฉัน…” เดิมทีเสิ่นปี้หรูก็รู้สึกโกรธจางเซวียนมากอยู่แล้ว พอมาได้ยินคำพูดยั่วโมโหอีก เธอจึงโกรธจนแทบจะบ้า
แล้วหันหน้าไปมองซั่งปิงที่ยังมีท่าทางได้ใจอย่างมาก เพราะคิดว่ากำลังจะกุมหัวใจสาวที่ตนเองหลงใหลได้อย่างแน่นอน เธอกัดฟันแล้วพูดว่า “ซั่งปิง คุณกำลังว่าใครว่าหน้าใหญ่ใจกว้างมิทราบ?”