ตอนที่ 34 ลอบกัด
“หืม” คิดไม่ถึงว่าเทพธิดาของเขาจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ ซั่งปิงตกใจอย่างมาก เขารีบอธิบายทันที “อาจารย์เสิ่น ผมไม่ได้พูดถึงคุณ ผมกำลังพูดถึงเจ้าจางเซวียน ไม่มีเงินก็อย่าชวนคนอื่นมากินข้าว ตอนนี้ยังมามีเรื่องอีก เป็นอะไรที่น่าอับอายมาก ทำให้ภาพลักษณ์ของโรงเรียนเสียหาย…”
ยังพูดไม่จบ ก็เห็นสีหน้าเสิ่นปี้หรูยิ่งโกรธขึ้นไปกว่าเดิม เหมือนกำลังใกล้จะระเบิดในอีกไม่ช้า ขณะที่ซั่งปิงงงกับท่าทีของเสิ่นปี้หรูอยู่นั้น พนักงานได้กล่าวขึ้นอย่างเบาๆ “อาจารย์ซั่ง…”
“เกิดอะไรขึ้น” ซั่งปิงหันไปมองแล้วขมวดคิ้ว
“คือว่า… คนที่จ่ายเงินก็คือ…อาจารย์เสิ่นท่านนี้น่ะครับ” พนักงานร้านตอบ เขาได้รับคำสั่งให้ช่วยเล่นละครไปกับซั่งปิง แต่คิดไม่ถึงว่า หญิงชายมากินอาหารด้วยกัน กลับเป็นฝ่ายหญิงที่เป็นคนจ่าย ยังไม่ทันจะแจ้งข่าวนี้ให้ซั่งปิงเลย เขาก็เดินมาหาเรื่องแล้ว
“อาจารย์เสิ่นเป็นคนจ่ายหรือ”
ซั่งปิงตกใจจนตาค้าง ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
จริงหรือนี่?
ตัวเขาชวนเธอมากินข้าวด้วยกันทุกวัน เธอกลับไม่สนใจ แล้วเจ้าอาจารย์ปลายแถวของโรงเรียนคนนี้มีดีอะไร เธอถึงยอมมากินข้าวกับมัน ยิ่งไปกว่านั้น… เธอยังเป็นคนเลี้ยงข้าว
“ทำไม พอฉันไม่มีเงินจ่าย ก็หมายความว่าฉันทำเป็นหน้าใหญ่ใจกว้าง เป็นที่น่าอับอายมากใช่ไหม?” เสิ่นปี้หรูมองซั่งปิงด้วยสายตาที่สุดแสนจะเย็นชา วันนี้เธอมากินข้าวกับจางเซวียน ถูกจางเซวียนทำจน
เสียหน้า เดิมทีก็อารมณ์บูดอยู่มากแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมาถูกซั่งปิงหัวเราะเยาะใส่อีก เธอโกรธจนเลือดขึ้นหน้า
“ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นครับ…” ซั่งปิงหน้าซีดจนเกือบจะร้องไห้ ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ว่าความคิดที่จะเอาใจนางฟ้าของตน กลายเป็นยั่วโมโหเธอแทน เขาโบกมือไปมา
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นครับ คือว่า… คือว่า…” ซั่งปิงพูดซ้ำไปมา ไม่รู้จะแก้ตัวว่าอย่างไร
แต่ก็สมกับเป็นลูกหลานของผู้อาวุโสของโรงเรียน ไม่นานเขาก็สามารถพลิกเกมกลับมาได้ เขาหันไปมองที่พนักงานร้าน “เอาล่ะ ค่าอาหารของอาจารย์เสิ่นก็คือค่าอาหารของผม ทั้งหมดมันเป็นเงินเท่าไหร่ ผมจะจ่ายให้เอง”
“อาจารย์ซั่งพูดอะไรแบบนั้น ท่านเป็นแขกระดับสูงของตึกหงเทียน พวกเราจะกล้ารับเงินของท่านได้อย่างไร” พนักงานรีบตอบทันที
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นคำพูดที่พวกเขาได้ตระเตรียมกันไว้ก่อนหน้านี้ หลักๆ ก็แค่อยากจะอวดฐานะและความสามารถของตนต่อหน้านางฟ้าของซั่งปิงเท่านั้น
“งั้นก็ดี…” ขณะที่ซั่งปิงกำลังจะเอ่ยต่อเพื่อแสดงอิทธิพลของตน ก็ได้ยินเสียงของเสิ่นปี้หรูพูดขึ้น
“ไม่ต้อง ฉันจะจ่ายในสิ่งที่ฉันต้องรับผิดชอบ ไม่งั้นเดียวจะมีใครบอกว่าฉันทำเป็นหน้าใหญ่ใจกว้าง” พอพูดจบก็ดึงปิ่นปักผมของเธอออก “ปิ่นหยกชิ้นนี้มีมูลค่าอย่างน้อยห้าพันเหรียญ คุณหาคนที่รู้จักดูของมาตรวจสอบดูได้ ฉันจะใช้มันเป็นหลักค้ำประกัน เดี๋ยวฉันจะกลับบ้านไปเอาเงินมาไถ่มันคืน”
“นี่มัน…” พนักงานหยิบปิ่นขึ้นมอง ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ ก็ในบทที่เตรียมไว้ไม่มีคำพูดสำหรับสถานการณ์นี้นี่นา
“อาจารย์เสิ่น อย่าทำแบบนี้เลย หัวหน้าอู๋ของภัตตาคารแห่งนี้เป็นเพื่อนผม แค่ผมพูดคำเดียว เงินแค่นั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรแล้วครับ…” ซั่งปิงรีบพูดขึ้น
“นั่นมันเรื่องของคุณ เกี่ยวอะไรกับฉัน” เสิ่นปี้หรูเอ่ยแทรกแล้วมองไปที่พนักงาน “ถ้ายังไม่หาคนมาตรวจของ ฉันจะไปแล้วนะ”
“คือว่าผม…” พนักงานลุกลี้ลุกลนแล้วมองไปที่ซั่งปิงเพื่อขอความช่วยเหลือ
“มองผมทำไม” ซั่งปิงปัดมือด้วยสีหน้าที่โกรธเกรี้ยว “ผมไม่รู้จักคุณสักหน่อย”
“เอาล่ะ” คิดไม่ถึงว่ามากินข้าวแค่มื้อเดียวมันจะยุ่งยากอะไรขนาดนี้ จางเซวียนส่ายหัวแล้วลุกขึ้นมาหยิบปิ่นหยกบนมือของพนักงานขึ้นดู ก่อนจะส่งกลับไปให้กับมือของเสิ่นปี้หรู “คุณเอาของสิ่งนี้ให้เขาทำไม ข้าวมื้อนี้ราคาไม่ถึง 1,280 เหรียญด้วยซ้ำ คุณแค่ถูกเขาโก่งราคาแค่นั้นเอง”
“โก่งราคาอย่างนั้นหรือ ภัตตาคารหงเทียนเปิดทำการค้ามาแล้วกว่าสิบปี ราคาอาหารยุติธรรม ไม่เคยโก่งราคาลูกค้า ยังไม่เคยมีใครมาหาเรื่องด้วยซ้ำ แล้วคุณหมายความว่าอย่างไร”
จางเซวียนเพิ่งพูดจบก็ได้ยินเสียงโต้ออกจากปากของชายวัยกลางคนคนหนึ่ง เขาก็คืออู๋โฉว หัวหน้าพนักงานของภัตตาคารหงเทียน จริงๆ แล้วเขาตกลงกับซั่งปิงว่าตนเองจะไม่ออกหน้า แต่พอได้ยินคำว่า ‘โก่งราคา’ ที่จางเซวียนพูดก็ทนไม่ไหวต้องปรากฏตัวขึ้น
เรื่องในวันนี้ส่งผลกระทบต่อลูกค้าในร้านที่นั่งโต๊ะอื่นตามไปด้วย ถ้าตนไม่ปรากฏตัว แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายพูดต่อไปตามอำเภอใจ แบบนี้ชื่อเสียงของภัตตาคารจะต้องเสื่อมเสีย ถึงเวลานั้น หากผู้เฒ่าหงหาวผู้เป็นเจ้าของภัตตาคารกลับมา เขาจะเอาอะไรที่ไหนไปอธิบาย
“หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ จะต้องให้ผมพูดออกมาจริงๆ ใช่ไหม” จางเซวียนย้อนถาม
“ภัตตาคารหงเทียนของเรา อาหารทุกจานล้วนทำมาจากวัตถุดิบที่มีคุณภาพและหาได้ยาก รสชาติเป็นที่รับประกัน ราคาของเมนูอาหารเราก็ได้ผ่านการตรวจสอบจากคณะกรรมการของโรงเรียนหงเทียนแล้ว หากคุณไม่สามารถให้คำอธิบายต่อคำพูดของคุณเมื่อครู่ได้ แม้ว่าคุณจะเป็นอาจารย์ของที่นี่ ก็อย่าหวังว่าจะได้ออกจากร้านนี้ไปง่ายๆ”
สีหน้าของอู๋โฉวดูเคร่งเครียดอย่างมาก สำหรับภัตตาคาร การโก่งราคาลูกค้าเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ภัตตาคารหงเทียนคงไม่ต้องเปิดกิจการต่อแล้ว
“หาเรื่องตายชัดๆ” ทีแรกคิดว่าตนเองจะจัดการกับจางเซวียนไม่ได้ แต่จางเซวียนดันพูดว่าภัตตาคารหงเทียนโก่งราคาลูกค้า ทำให้หัวหน้าอู๋ได้รับผลกระทบ ซั่งปิงเห็นสถานการณเช่นนี้แล้วก็นึกดีใจขึ้นทันที
โดยปกติ หัวหน้าอู๋จะพูดง่าย ไม่ใช่คนอารมณ์ร้ายอะไร แต่ถ้ามีอะไรที่เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของภัตตาคารหงเทียนแล้ว เขาจะไม่ยอมถอยอย่างเด็ดขาด เจ้าอาจารย์ระดับปลายแถวคนนี้ ดูท่าวันนี้คงไม่รอด
“เขากำลังพูดอะไรอยู่เนี่ย…” เสิ่นปี้หรูตกใจกับคำพูดของจางเซวียนเป็นอย่างมาก ภัตตาคารหงเทียนสามารถตั้งอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ได้ แล้วยังมีขนาดที่ใหญ่โตมโหฬาร แค่คิดก็รู้ว่าเบื้องหลังของภัตตาคารมีคนระดับไหนคุมอยู่ เขากลับกล่าวหาในที่สาธารณะว่าภัตตาคารโก่งราคาลูกค้า…
นี่คุณอยากจะโดนกระทืบมากนักหรือไง?
แน่นอนที่สุด ภัตตาคารระดับนี้จะต้องให้ความสำคัญกับชื่อเสียงอย่างมาก
“ในเมื่อคุณจะให้ผมพูด งั้นผมก็ไม่เกรงใจแล้วนะ”
แม้จะถูกอีกฝ่ายข่มขู่ จางเซวียนก็ยังไม่รู้ร้อนรู้หนาว เดินมาที่หน้าโต๊ะ
“เมนูแรก ‘เนื้อหมีผัดน้ำมันหอม’ จานนี้ถ้าฟังจากคำอธิบายของพวกคุณ คือต้องสังหารหมีป่าแล้วนำเนื้อของมันมาแช่กับดอกน้ำมันหอมสามวัน เช่นนี้จึงจะสามารถทำให้เนื้อของหมีป่าตัวนี้มีรสชาติของน้ำมันหอมที่กลมกล่อมเข้าเนื้อ พอผัดด้วยไฟแรงๆ จะได้เป็นเนื้อที่สุกนอกนุ่มใน แต่น่าเสียดาย พวกคุณกลับแช่เนื้อไว้เพียงแค่หนึ่งวันครึ่งแล้วนำมาผัด ถึงแม้จะมีรสชาติดี แต่รสชาติของดอกน้ำมันหอมซึมเข้าไปในเนื้อได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น มันน่าเสียดายเนื้อหมีป่าคุณภาพดีจริงๆ”
“ส่วน ‘ปลานึ่งแห่งแม่น้ำหงหู’ จานนี้ พวกคุณโฆษณาว่าจับปลากุ้ยป่าที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำหงหูมาเป็นวัตถุดิบ แต่ในความเป็นจริง พวกคุณกลับใช้ปลากุ้ยที่ถูกเพาะเลี้ยงในอ่าวเยว่หลอ ความแตกต่างของปลาทั้งสองชนิดนี้เห็นได้ง่ายมาก สำหรับปลากุ้ยป่า เนื่องจากพวกมันจะต้องต่อสู้กับ ‘เต่าแม่น้ำหมื่นปี’ ครีบหางจะมีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ขนาดของหางก็จะใหญ่กว่าปกติ ถ้าคุณอยากรู้รายละเอียด คุณลองไปถามคนอื่นดูสิ เขารู้กันไปทั่วแหละ”
“ต่อมาเป็น ‘ผัดผักแก้วมรกต’ จานนี้ยิ่งไม่ต้องพูดอะไรเลย มันไม่ใช่ผักแก้วมรกตสักนิด มันเป็นเพียงผักขมทั่วไป จริงๆ แล้วผักสองชนิดนี้เป็นผักชนิดเดียวกัน ที่แตกต่างกันคือสภาพแวดล้อมในการเพาะปลูก จึงทำให้ชื่อเรียกไม่เหมือนกัน ผักแก้วมรกตจะขึ้นตามรังของสัตว์ป่าที่ดุร้าย ได้รับการปกป้องดูแลรักษาจากสัตว์เหล่านั้นเป็นอย่างดี ขนาดของรากจะใหญ่เป็นพิเศษ คุณค่าทางอาหารก็มากเช่นกัน ส่วนผักขมทั่วไปจะขึ้นตามธรรมชาติ มีราคาที่ถูกกว่ามาก รากมีขนาดเล็ก คุณค่าทางอาหารก็น้อย แม้ว่าจะเป็นผัดผักเหมือนกัน แต่ราคาของอาหารจานนี้ต่างกันอย่างน้อยสิบเท่า พวกคุณเขียนไว้ว่าเป็นผักแก้วมรกตแต่กลับใช้ผักขมทั่วไป แล้วแบบนี้ไม่ให้เรียกว่าโก่งราคาแล้วจะให้เรียกว่าอะไรล่ะ”
จางเซวียนแค่ชี้ไปที่อาหารก็สามารถรู้ถึงรายละเอียดของอาหารจานนั้นได้ทันที หัวหน้าอู๋ที่เมื่อครู่ยังมีท่าทางโกรธเกรี้ยว
ตอนนี้กลับหน้าซีดเป็นไก่ต้ม เขาเป็นหัวหน้าพนักงานของภัตตาคารหงเทียน ไม่เพียงแต่ดูแลส่วนหน้าร้าน เขายังต้องรับผิดชอบส่วนของหลังร้านอีกด้วย แน่นอนที่สุด เขารู้ว่าจางเซวียนกำลังพูดอะไรอยู่
มันไม่ใช่คำพูดที่เชื่อถือไม่ได้ แต่เป็นคำพูดที่…ถูกต้องทุกคำ
เรื่องเหล่านี้ เจ้าของภัตตาคารไม่รู้เรื่อง แต่เนื่องจากหัวหน้าอู๋โลภมากต้องการกำไรเยอะๆ จึงแอบให้คนมาดัดแปลงวัตถุดิบของอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลากุ้ยและผักแก้วมรกต เขาเลือกที่จะใช้วัตถุดิบที่ดูแล้วเหมือนกันทุกประการ แม้แต่พ่อครัวระดับเทพยังดูไม่ออกแล้วเจ้าหนุ่มคนนี้ดูออกได้อย่างไรกัน ที่พูดออกมาแต่ละคำมันตรงกับความเป็นจริงไปทั้งหมด
“บัดซบที่สุด”
“พวกเราอุตส่าห์เดินทางมาจากแดนไกลเพื่อมาลิ้มรสผักแก้วมรกต แต่กลับได้กินของปลอม”
“ผมก็ด้วย เคยได้ยินมาว่าปลานึ่งแห่งแม่น้ำหงหูของที่นี่รสชาติเป็นเลิศ มีความสดใหม่ เลยเดินทางมาตั้งไกล ที่ไหนได้กลับถูกหลอก”
“คืนเงิน รีบคืนเงินมา เป็นถึงภัตตาคารอันดับหนึ่งแห่งโรงเรียนหงเทียนกลับใช้วิธีสกปรกแบบนี้ ไม่ให้เกียรติลูกค้าขาประจำอย่างเราบ้างเลย ไม่นึกว่าจะมาถูกหลอกเสียได้”
จางเซวียนแค่เปิดปากพูดเพียงไม่กี่คำ แต่คำพูดของเขาทั้งหมดมีเหตุผลรองรับ ทุกคนที่อยู่รอบข้าง พอได้ยินเข้าก็ระเบิดโทสะขึ้นทันที
ภัตตาคารหงเทียนเป็นภัตตาคารที่มีชื่อเสียงในอาณาจักรเทียนเซวียน เมนูอาหารดังหลายเมนูสามารถดึงดูดลูกค้าได้อย่างมากมาย ลูกค้าทั้งหมดคิดไม่ถึงว่าตนจะถูกภัตตาคารแห่งนี้หลอกเข้าอย่างจัง