ตอนที่ 37 ปล่อยผมไปเถอะ
“จางเซวียน…” เสิ่นปี้หรูคิดจะพุ่งออกไปช่วยจางเซวียน เธอพยายามอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล
ซั่งปิงเป็นนักรบขั้นเดียวกับเธอ ถึงดูไม่ค่อยจะได้เรื่องแต่ก็มีฝีมือ แม้เธอจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายในการประลองแต่ละครั้งได้ แต่ถ้าเล่นนอกรอบแบบนี้เธอก็จนปัญญา จึงไม่สามารถฝ่าออกไปได้
“ฉันทำร้ายคุณแท้ๆ…” เมื่อเห็นว่าช่วยอะไรจางเซวียนไม่ได้จริงๆ เสิ่นปี้หรูก็รู้สึกละอายใจ เธอคิดว่าการที่ซั่งปิงตัดสินใจเล่นงานอาจารย์ระดับปลายแถวแบบนี้ ต้นเหตุคงมาจากเธอคนเดียว
คนหนึ่งเป็นถึงลูกหลานของผู้เฒ่าประจำโรงเรียน ส่วนอีกคนเป็นเพียงอาจารย์ปลายแถว ทั้งสองไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเสียหน่อย แล้วจะมีปัญหาส่วนตัวกันได้อย่างไร
ตนเองเป็นต้นเหตุทำร้ายจางเซวียน แล้วยังไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้อีก ความรู้สึกผิดต่อจางเซวียนพุ่งขึ้นทะลุสมองของเสิ่นปี้หรู
“ทุกอย่างหยุดนิ่งแล้ว จางเซวียนถูกฆ่าไปเรียบร้อยแล้วใช่ไหม” ยิ่งร้อนรนก็ยิ่งดิ้นไม่หลุด เธอถูกซั่งปิงยืนบังจนมองอะไรไม่เห็น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจางเซวียนในตอนนี้ สิ่งที่ได้ยินคือความเงียบ ไม่มีแม้แต่เสียงของการต่อสู้
มีเพียงความเป็นไปได้เดียว นั้นคือจางเซวียนถูกฆ่าตายด้วยการตะปบเพียงครั้งเดียวของราชสีห์อวตาร
มันคือสัตว์วิเศษขั้นพี่เชวี่ยนี่นา ต่อให้เป็นตัวเธอเองก็ไม่แน่ว่าจะสู้มันได้
“ฮ่าๆ มันตายไปแล้ว ตอนนี้คุณจะช่วยมันก็สายไปเสียแล้ว…”
ซั่งปิงไม่ได้ยินเสียงอะไรเล็ดลอดมาจากด้านหลังอีก เขารู้เพียงว่าราชสีห์อวตารลงมือกับจางเซวียน เจ้าเศษสวะคนนี้ต้องตายอย่างไม่มีทางเลือก ซั่งปิงดีใจจนเนื้อเต้น เขาปล่อยมือเสิ่นปี้หรูแล้วหันหลังกลับมาดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในทันที
“จางเซวียน…” เมื่อซั่งปิงปล่อยมือ เสิ่นปี้หรูก็สะบัดตัวออกและมองไปข้างหน้าทันที ในขณะที่เธอคิดว่าจะเห็นกองเลือดสาดกระจายอยู่บนพื้นกับซากศพที่น่าเวทนา แต่เธอกลับเห็น…
“เป็น… เป็นไปได้อย่างไร”
เดิมทีซั่งปิงคิดว่าเมื่อนางฟ้าของเขามองไปข้างหน้า เธอจะต้องตกใจแล้วร้องไห้ออกมา แต่เมื่อเห็นท่าทางของเธอไม่เป็นไปตามที่คิด ซั่งปิงก็รีบหันไปมองตาม เขาเกือบจะเป็นลมกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เขาเห็นสัตว์วิเศษตัวเมื่อครู่ที่กระโจนเข้าใส่จางเซวียนอย่างเต็มที่เพื่อหมายจะฉีกร่างของเจ้านั่น ในตอนนี้กลับนอนลงบนตักแล้วเลียมือของจางเซวียนราวกับสุนัขตัวหนึ่ง มืออีกข้างของจางเซวียนลูบไปที่หัวและใบหูของราชสีห์อวตารเบาๆ มันดูเหมือนมีความสุขมาก
“นี่มันอะไรกัน” ซั่งปิงเกือบจะร้องไห้ออกมา
ราชสีห์อวตารเป็นสัตว์วิเศษของคุณปู่เขา เป็นสัตว์ที่หยิ่งยโสเป็นที่สุด ซึ่งตัวซั่งปิงเองก็ไม่สามารถลูบหัวมันได้ แค่แตะตัวเบาๆ ยังไม่ได้
เพิ่งจะได้รับมาจากคุณปู่ของตนเพียงครึ่งวัน เขาให้มันกินดีอยู่ดีขนาดไหนเจ้าสัตว์ตัวนี้ก็ไม่สนใจซั่งปิงอยู่ดี สัตว์ที่มีความหยิ่งทะนงขนาดนี้ ทำไมพอมาอยู่ตรงหน้าจางเซวียนกลับเชื่องเหมือนลูกสุนัขเล่า
แกจะไปฆ่าเจ้าจางเซวียนไม่ใช่หรือ แล้วมานอนเลียมือบนตักของมันแบบนี้ได้อย่างไร?
ซั่งปิงรู้สึกมึนหัว กำลังจะเป็นลม
“ราชสีห์อวตาร แกทำอะไรของแก รีบฆ่ามันซะ” เสียงคำรามสั่งดังลั่นฟ้า
ราชสีห์อวตารไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ ทั้งสิ้น มันยังคงหลับตาแล้วมีความสุขกับการถูกจางเซวียนลูบหัว
“นี่แก… รีบฆ่ามันซะสิ ขอเพียงแค่แกลงมือฆ่ามัน แกจะกินอะไรฉันจะซื้อให้หมดเลย…” ซั่งปิงตวาด
“หนวกหูจริงๆ ไปทำให้เขาหุบปากทีสิ” จางเซวียนลูบหัวของราชสีห์อวตารแล้วลุกขึ้น สะบัดมือสั่ง
ราชสีห์อวตารลุกขึ้นแล้วมองไปที่ซั่งปิงด้วยสายตาเหี้ยมโหด
“นี่แกจะทำอะไร” ซั่งปิงตกใจจนถอยหลัง แต่ยังไม่ทันได้ถอยไปไหนไกล ราชสีห์อวตารก็ยกอุ้งเท้าที่ใหญ่มหึมาขึ้นแล้วตะปบไปข้างหน้าเบาๆ
ซั่งปิงยังไม่ทันจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ ร่างของเขาเสมือนว่าวที่ลอยมาตามสายลมแล้วไปสะกิดถูกต้นไม้เข้า ใบหน้าของซั่งปิงถึงกับมีเลือดพุ่งกระฉูด “นี่มันอะไรกัน… แกเป็นสัตว์วิเศษของคุณปู่ฉันนะ…” ซั่งปิงกล่าวด้วยน้ำตานองหน้า
ราชสีห์อวตารตัวนี้เป็นสัตว์วิเศษที่คุณปู่มอบให้เพื่อมาปกป้องเขาโดยเฉพาะ ตามหลักแล้วมันควรจะฟังคำสั่งเขาแล้วจัดการกับคนนอก แล้วทำไมมันถึงได้ไปฟังคนนอกแล้วมาเล่นงานเขาแบบนี้ล่ะ
ยังร้องไม่ทันเสร็จ ร่างของคนอีกคนก็ล้มลงตรงหน้า มันเป็นร่างของเฉาฉง
เฉาฉงเห็นสถานการณ์ไม่ดีจึงหันหลังแล้วคิดจะวิ่งหนี แต่เขาจะหนีราชสีห์อวตารที่มีพละกำลังขั้นหกไปได้อย่างไร เขาถูกตะปบเข้าอย่างจัง
ราชสีห์อวตารรู้สึกว่าการที่ได้ตะปบคนสองคนลอยไปในอากาศแล้วตกลงมากองอยู่บนพื้นเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจอย่างมาก มันเดินมาตรงหน้าจางเซวียนพร้อมกับใบหน้าที่สุดแสนจะภาคภูมิใจ รอรับคำชมจากจางเซวียน
“อืม ไม่เลว ทำได้ดี” จางเซวียนลูบหัวของราชสีห์อวตารไปมาเหมือนลูบหัวลูกแมว
มันพยักหน้าแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของซั่งปิงและเฉาฉงที่นอนกองอยู่บนพื้น มองทั้งสองคนด้วยสายตาเหยียดหยามและเฝ้าดูไม่ให้สองคนนี้วิ่งหนีไปไหน
“…”
แรกๆ ซั่งปิงและเฉาฉงยังแอบคิดจะวิ่งหนี แต่พอเป็นแบบนี้ ทั้งคู่ถึงกับน้ำตาตกใน
“จางเซวียน… นี่คุณ… ทำได้อย่างไรกัน” เสิ่นปี้หรูที่เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบรู้สึกตกตะลึง ต้องพยายามเรียกสติกลับมาอีกครั้ง เธอมองไปที่จางเซวียนด้วยความประหลาดใจ
“ทำได้อย่างไรหรือ” จางเซวียนส่ายหัวไปมา “ที่ราชสีห์อวตารตัวนี้เชื่อฟังผม น่าจะเป็นเพราะผมหล่อ”
“หล่อ?” เสิ่นปี้หรูมองด้วยสายตามึนงง
ราชสีห์อวตารเป็นสัตว์วิเศษ ถ้าจะบอกว่าหล่อ สำหรับมันก็ต้องสนใจราชสีห์ตัวผู้สิ การที่คุณหล่อหรือไม่ เกี่ยวอะไรกับมันล่ะ
พูดถึงความหล่อ ซั่งปิงดูดีกว่าคุณตั้งหลายเท่า…
“เอาล่ะ ผมขอตัวก่อน” จางเซวียนไม่อยากอธิบายให้มากความ เขาหมุนตัวกลับแล้วเดินจากไปทันที
หอสมุดเทียบฟ้าสามารถมองเห็นจุดบกพร่องของคนได้ แน่นอน มันสามารถมองเห็นจุดต่างๆ ของราชสีห์อวตารได้ด้วยเช่นกัน
แม้ว่าภายนอก มันจะดูเหมือนแข็งแกร่งแต่จริงๆ แล้วมันมีโรคมากมายอยู่ในร่างกาย ไม่งั้นมันจะยอมเป็นสัตว์เลี้ยงของผู้เฒ่าซั่งเฉินได้อย่างไร
เมื่อหอสมุดเทียบฟ้ามองเห็นข้อบกพร่องนี้ จางเซวียนจึงรีบใช้ประโยชน์จากข้อบกพร่องของราชสีห์อวตารตัวนี้ทันที จางเซวียนรับปากว่าจะรักษาอาการของมันในขั้นต้น มันจึงเชื่อฟังเขาทันทีโดยไม่ต้องสงสัย
เทียบกับสัญญาของซั่งปิงที่จะให้อาหารและกินยา การรักษาโรคอย่างตรงจุดย่อมดีกว่า และแน่นอนที่สุด เรื่องนี้เป็นความลับที่ไม่อาจบอกใครได้ แม้แต่เสิ่นปี้หรูก็ไม่ยกเว้น
“นี่คุณ… อย่าเพิ่งไปสิ คุณยังไม่ได้บอกเลยว่าทำไมราชสีห์อวตารตัวนี้ถึงได้เชื่อฟัง…”
เสิ่นปี้หรูรีบตามไปถามทันทีที่เห็นจางเซวียนกำลังจะเดินจากไป เมื่อได้สัมผัสกับชายหนุ่มคนนี้ เธอก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าจางเซวียนไม่ธรรมดา
เหมือนกับเขาวงกต ยิ่งมองก็ยิ่งงง
เขาพลิกหนังสือเพียงครั้งเดียวก็สามารถจำเนื้อหาได้ทั้งหมด ทั้งๆ ที่รู้คำตอบของข้อสอบแต่กลับตั้งใจสอบตก แค่กินข้าวตามปกติก็พบว่าเขามีความสามารถของนักชิมอาหารระดับปรมาจารย์อยู่ในตัว แล้วยังสามารถทำให้สัตว์วิเศษขั้นหก เชื่อฟังได้โดยง่าย
สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในสายตาคนอื่น แต่สำหรับเขา ทุกอย่างกลับง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ทำให้คนธรรมดารู้สึกว่าไม่น่าเชื่อ
เขาทำได้อย่างไร?
เสิ่นปี้หรูสงสัยชายหนุ่มคนนี้มากยิ่งขึ้น
“นี่…เจ๊ใหญ่” จางเซวียนไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เห็นเธอยังตามตนมาอีก จึงหยุดเดินแล้วมองไปยังเสิ่นปี้หรูด้วยสายตาที่สุดแสนจะเบื่อหน่าย “ผมยังอยากจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เกรงว่าถ้าผมยังอยู่ใกล้คุณอีก ผมคงอยู่ไม่ถึงพรุ่งนี้เช้าเป็นแน่ คุณปล่อยผมไปเถอะ…”
“เจ๊ใหญ่? แล้วคุณเล่าไอ้แป๊ะแก่!” เสิ่นปี้หรูถึงกับโกรธจนหน้าแดง
เธอเป็นสาวสวยระดับนางฟ้า ถึงแม้อายุจะมากกว่าจางเซวียนเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปด เขากลับเรียกเธอว่าเจ๊ใหญ่ เรียกแบบนี้… ทำให้เธอระเบิดขึ้นทันที
“ได้ๆ ผมเป็นแป๊ะแก่ จะให้ผมไปได้หรือยัง” จางเซวียนส่ายหัว
พอได้ยินจางเซวียนพูดว่าเขาเป็นแป๊ะแก่ เสิ่นปี้หรูก็หัวเราะ
“เอาล่ะ คุณไปเถอะ พรุ่งนี้ฉันจะมาหาใหม่”
“…” จางเซวียนพูดอะไรไม่ออก