ตอนที่ 4 ฉีกหน้า
“ผม…” เมื่อสักครู่หอสมุดเทียบฟ้าในหัวเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง จุดสนใจของเขาถูกดูดไปยังอีกโลกหนึ่งซึ่งมีแต่จิตของตนเท่านั้นที่จะเข้าถึง พอออกมาได้ก็ยังคงมึนงงอยู่เล็กน้อย อีกอย่าง วิชาหมัดของอีกฝ่ายเรียกว่าอะไรเขาก็ยังไม่รู้ จะให้ชี้แนะอะไรเล่า
“อาจารย์จาง โปรดช่วยชี้แนะผมด้วยครับ” หลิวหยางก้าวขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว โค้งตัวลงเก้าสิบองศาเพื่อคารวะเขา หวังหยิ่งที่อยู่ข้างๆ กะพริบตาจ้องมอง เธอเองก็อยากรู้เช่นกันว่า ‘เซียน’ ที่ตนพึ่งรู้จักคนนี้จะปรับปรุงแก้ไขเพลงหมัดของหลิวหยางอย่างไร
“เอิ่ม…” เมื่อสายตาของผู้คนจ้องมองมากเข้า จางเซวียนก็ดึงเวลาต่อไปไม่ได้อีก ขณะที่ตั้งใจจะเปรยมั่วๆ ออกมา พลันนึกถึงจุดอ่อนของหลิวหยางที่บันทึกอยู่ในหอสมุดเทียบฟ้าขึ้นมาได้ เขาไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่บันทึกไว้ในนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้เขาไม่พูดมั่วก็คงคิดอะไรไม่ค่อยออก จึงต้องลองพนันดู “เพลงหมัดของเด็กคนนี้มีจุดบกพร่องค่อนข้างมาก เรียกว่ามากถึงสิบสองจุด”
“อะไรนะ เขาบอกว่ามีจุดอ่อนเยอะมากงั้นหรือ สิบสองจุดเลยหรือ? ฉันคงไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม? ฮ่าๆ”
“นี่เป็นการพูดพล่อยๆ ที่ตลกมากที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมา”
“เพลงหมัด ‘บุปผาล่องลอย’ ที่หลิวหยางใช้ ถึงจะไม่ถือว่าอยู่ในระดับสูง แต่ก็เป็นเพลงหมัดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุดในเมืองนี้ ถูกเรียกอีกชื่อว่าเพลงหมัดพื้นฐาน มันถูกพัฒนามานานนับพันปี ถึงจะไม่สมบูรณ์แบบนักแต่จุดอ่อนก็เรียกว่ามีน้อยยิ่งกว่าน้อย น้อยที่สุดในบรรดาเพลงหมัดทั้งหมดก็ว่าได้ แต่อาจารย์ห่วยแตกคนนี้กลับบอกว่ามีถึงสิบสองจุด”
“พูดมั่วไปอย่างนั้นแหละ คงจะดูอะไรไม่ออกเลยมากกว่า”
บุคคลรอบข้างเดิมทีคิดว่าเขาจะพูดจามีสาระกว่านี้ เมื่อได้ยินแล้วต่างพากันหัวเราะร่วน
เพลงหมัดบุปผาล่องลอยนี้เป็นหนึ่งในวิชาหมัดพื้นฐาน ไม่ถือว่าเป็นวิชาขั้นสูง ใครที่ต้องการจะฝึกวิชาก็ล้วนต้องผ่านตามาแล้วทั้งนั้น หลังจากผ่านมานับพันปี เพลงหมัดบุปผาล่องลอยนี้ก็ผ่านการพัฒนาจากปรมาจารย์ขั้นสูงมากมาย ถึงจะไม่แข็งแกร่งอะไรนัก แต่ถ้าจะนับเรื่องของจุดอ่อนแล้วละก็เรียกว่าแทบจะไม่มีเลยทีเดียว กระทั่งเคยถูกคนขนานนามว่า ‘เพลงหมัดไร้จุดบกพร่อง’
เพลงหมัดระดับเช่นนี้ จางเซวียนกลับบอกว่ามีจุดอ่อนถึงสิบสองจุด… พูดบ้าอะไร
อย่าว่าแต่อาจารย์ที่สอบได้ศูนย์คะแนนอย่างเขาเลย ต่อให้อาจารย์ใหญ่มาเองก็ยังหาจุดบกพร่องมากมายขนาดนี้ออกมาไม่ได้
“โอ้… อาจารย์จางนี่อัจฉริยะเสียจริงๆ ถึงกับมองจุดบกพร่องของเพลงหมัดบุปผาล่องลอยได้ถึงสิบสองจุด อย่างนั้นผมก็ขอรับฟังหน่อยแล้วกันนะครับ”
เฉาฉงเองก็คาดไม่ถึงว่าคนคนนี้จะเล่นตลกโปกฮากลางที่สาธารณะอย่างไม่นึกอาย เอาเถอะ ถ้าอยากจะเสียหน้าเขาจะช่วยส่งเสริมเอง
เมื่อได้ยินคำวิจารณ์ จางเซวียนยังคงสีหน้าไม่เปลี่ยน เอาเถอะ เขาเองก็คิดไม่ถึงมาก่อนว่าหลิวหยางจะแสดงเพลงหมัดพื้นๆ ที่ทุกคนรู้จักออกมา หากเป็นจางเซวียนคนเดิมอาจจะพอคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่จางเซวียนคนใหม่นี้ยังไม่ทันได้ทบทวนความทรงจำเก่าๆ ของร่างที่ตนสิงอยู่เลยด้วยซ้ำ จะให้ไปจำอะไรได้ “ทำไม… ไม่เชื่องั้นหรือ? ถ้าไม่เชื่อก็อย่าหาว่าฉันไม่ชี้แนะก็แล้วกัน ฉันบอกแล้วแต่ศิษย์ไม่เชื่อเอง… ถ้าอย่างนั้น การแข่งขันครั้งนี้ถือว่าจบไป”
“เดี๋ยวก่อน พวกเราเชื่อคุณ สอนเขาเลยสิ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะตีจาก เฉาฉงจึงรีบดักหน้าเอาไว้ เขารู้ทันหรอกว่าจางเซวียนกำลังหาทางหนีทีไล่ แต่ในเมื่อโอกาสส่งตรงมายังมือเขาแล้ว จะปล่อยให้อีกฝ่ายบินหนีได้อย่างไรเล่า
“อืม…” เมื่อเห็นว่าหนีต่อไปไม่ได้แล้ว จางเซวียนจึงนำหนังสือที่อยู่ในหอสมุดเทียบฟ้าออกมาอีกครั้ง “เป็นไงเป็นกัน” อย่างไรก็ไม่มีทางหนีแล้ว สองตาของเขาจ้องมองไปยังจุดบกพร่องบนหนังสือ เขาอ่านจุดบกพร่องสิบสองจุดที่ผิดพลาดอย่างรวดเร็ว เมื่ออ่านจบก็กัดฟันพูดต่อว่า “หมัดที่หลิวหยางใช้เมื่อครู่ออกด้วยมือขวา ผมขอชี้แนะให้คุณลองใช้มือข้างซ้ายดูสิ ลองโจมตีใส่แท่งหินอีกครั้ง”
ในเมื่อนี่เป็นของรางวัลเฉพาะคนจากต่างมิติ ข้อมูลด้านในอาจเป็นความจริงก็ได้ อีกอย่าง เขาก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วนี่ คนอื่นคิดอย่างไรเขาไม่สน แต่ที่รู้คือตอนนี้เขาคิดอะไรไม่ออกแล้ว
“ใช้แขนซ้ายงั้นหรือ?”
“นี่ถือว่าเป็นการชี้แนะรึ?”
“พูดบ้าอะไร แขนซ้ายเดิมก็ไม่มีแรงอยู่แล้ว ให้ใช้แขนซ้ายจะไม่ทำให้เพลงหมัดนี้ด้อยลงไปหรือ?”
เหล่าผู้ชมถึงกับอึ้งไป แต่ละคนหันไปมองจางเซวียนอีกครั้ง สายตาเต็มไปด้วยความดูหมิ่น ใช่แล้ว… แขนซ้ายมักแรงน้อยกว่าแขนขวา นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันดี หลิวหยางเมื่อครู่แสดงเพลงหมัดที่สะท้านสะเทือนอย่างนั้นออกมาได้ มั่นใจได้เลยว่าเขาเป็นคนถนัดขวาอย่างแน่นอน ตอนนี้กลับให้เขาใช้แขนซ้าย… จะพูดเล่นก็ต้องดูสถานการณ์ด้วยสิ
เฉาฉงคาดไม่ถึงว่าจางเซวียนจะกล่าวออกมาเช่นนี้ จึงตื่นเต้นจนรีบออกคำสั่งว่า “หลิวหยาง ลองทำตามที่อาจารย์จางบอกสิ จะได้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย”
ถึงจะเป็นศิษย์ที่พึ่งรับมาใหม่ แต่เขามั่นใจว่าหลิวหยางที่อยู่ตรงหน้านี้ถนัดขวา ไม่ได้ถนัดซ้าย ถ้าใช้แขนซ้ายเข้าไปจริงๆ คงมีพลังไม่ถึงครึ่งของเมื่อครู่ หากก่อนชี้แนะได้พลังหมัด 62 แต่หลังชี้แนะกลับหดเหลือไม่ถึง 30 งานนี้จางเซวียนจะต้องเสียหน้าอย่างแน่นอน
ดูสิว่ามันจะยังอวดดีเหมือนเมื่อครู่ได้อีกไหม
“ครับ” หลิวหยางยิ้มเล็กน้อย เตรียมปล่อยหมัดออกมาอีกครั้ง เขาถนัดข้างไหนตัวเขาเองรู้ดีที่สุด ให้เขาใช้แขนซ้าย เฮอะ… พูดมั่วชัดๆ!
เพลงหมัดบุปผาล่องลอยถือเป็นหมัดพื้นฐาน ถึงการสลับข้างจะไม่ค่อยชินแต่เขาก็ยังพอทำได้ เสียงหมัดผ่าอากาศดังขึ้นทันที
‘อย่าหลอกกันนะเว้ย’ จางเซวียนกำหมัดแน่น ภาวนาในใจ คนอื่นๆ เมื่อเดินทางข้ามมิติมายังอีกโลกก็มักจะมีผู้อาวุโสระดับเซียนคอยสอนสั่ง เพียงแค่พวกเขาภักดีต่ออาจารย์ ความรู้ความเชี่ยวชาญต่างๆ ก็จะได้รับการถ่ายทอดออกมาจนหมดสิ้น แต่เขาสิ สิ่งที่เขาได้มาคือหอสมุดขนาดมหึมา มีข้อมูลมากมายแต่ก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าข้อมูลเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่ และถ้าข้อมูลที่ได้นั้นมันไม่ถูกต้อง เขาคงต้องถูกเชิญออกจากโรงเรียนอย่างไม่ต้องสงสัย
ฟุ่บ!
หลังจากลองออกหมัดอย่างรวดเร็ว หลิวหยางก็เดินไปยังเสาหินและยกกำปั้นซ้ายกระแทกไปที่เสา
วิ้ง!
ตัวเลขแรกปรากฏขึ้น… 1
“1… ฮ่าๆ คงได้แค่หลักสิบสินะ” เมื่อเลขหนึ่งปรากฏ เฉาฉงก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เป็นการแสดงออกว่าเขาสะใจมากเพียงใด แต่เพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่จะพูดจบ เขาสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่จุกอยู่บริเวณอก สองตาของเขาตกไปที่พื้น
“123… 123 กิโลกรัม!” คนที่เตรียมจะเยาะเย้ยจางเซวียนว่าโง่ เกิดสภาวะตัวสั่นอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนหน้านี้หลิวหยางมีพลังโจมตีเพียง 62 กิโลกรัม ทว่าตอนนี้มันกลับเพิ่มขึ้นเป็น 123 กิโลกรัม เรียกว่าเกือบจะหนึ่งเท่าตัว นั่นคือ… เพิ่มขึ้นเกือบจะ 100%
นี่เรื่องจริงงั้นรึ?
แม้แต่อาจารย์ที่ได้คะแนนอันดับที่หนึ่งในการสอบวัดระดับก็ยังทำแบบนี้ไม่ได้
“ผม… ผม… นี่ผมทำหรือครับ…” แม้แต่หลิวหยางยังตะลึง เขามองอย่างมึนงงไปที่เสาหินแบบไม่เชื่อสายตา แน่นอน… เขารู้ว่าตนไม่ถนัดมือซ้าย แต่ไม่เคยคิดว่าความแข็งแกร่งของมือซ้ายตัวเองจะมากมายขนาดนี้ มันคือหนึ่งเท่าของมือขวาเลยทีเดียว
ฝูงชนประหลาดใจ จางเซวียนลุกขึ้น สีหน้ายินดีเป็นล้นพ้น
“ใช่จริงๆ ด้วย” ในตอนนี้จางเซวียนก็ได้รับการยืนยันว่าสิ่งที่ถูกรวบรวมไว้ในหอสมุดเป็นความจริงทุกประการ หนังสือเหล่านั้นสามารถมองทะลุถึงเคล็ดวิชาที่ผู้ฝึกฝึกฝน และสามารถชี้จุดบกพร่องได้… ของขวัญสำหรับผู้เดินทางมาจากต่างโลกอย่างเขานั้นช่างท้าทายสวรรค์เสียจริงๆ
“แล้วอย่างไรต่อดีล่ะ การชี้แนะของคุณทำให้พัฒนาได้ 20 % ในขณะที่ของผมพัฒนาไป 100% อาจารย์เฉามีอะไรที่ต้องการจะพูดอีกไหมครับ?” จางเซวียนหัวเราะในลำคอ
“ผม…” ใบหน้าของเฉาฉงซีดเผือดและเริ่มรู้สึกชา เขาเสนอการแข่งขันครั้งนี้ เพื่อให้คนอื่นๆ ได้เห็นจางเซวียนแสดงความโง่เง่าออกมา แต่ในท้ายที่สุด ผู้ที่ถูกเปิดโปงความโง่ก็คือตัวเขาเอง
เฉาฉงดึงหยกสัญลักษณ์ออกมาด้วยความอับอาย เขากัดอย่างแรงแล้วหยดเลือดลงไป “หลิวหยาง ผมจะเพิกถอนสถานภาพการเป็นศิษย์ของคุณ คุณไม่ใช่ศิษย์ของผมอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้คุณสามารถรับอาจารย์จางเป็นอาจารย์ของคุณได้”
หลังจากที่บอกกล่าวจบ เขาเหลือบมองไปที่จางเซวียน “คุณก็อย่าได้ลิงโลดมากนัก ครั้งนี้คุณอาจจะแค่โชคดี ครั้งต่อไปที่เราแข่งกัน ผมจะทำให้แน่ใจว่าชื่อเสียงของคุณจะย่อยยับไม่เหลือซาก…” จากนั้นเขาก็หันกลับแล้วเดินจากไป
เวลานี้ไม่เพียงแต่เฉาฉงจะสูญเสียชื่อเสียงและลูกศิษย์ในปกครอง ทว่าเขายังถูกฉีกหน้าด้วยการกระทำของตนเองอีกด้วย การสูญเสียเพราะพ่ายแพ้อาจารย์คนอื่น ยังไม่น่าอับอายเท่ากับการพ่ายแพ้ต่ออาจารย์ที่ได้คะแนนรั้งที่โหล่อย่างจางเซวียน
“อาจารย์ อาจารย์…” เห็นเฉาฉงทำแบบนี้ ใบหน้าของหลิวหยางก็หม่นลง แม้ว่าเขาจะประสบผลสำเร็จจากการท้าทายในครั้งนี้ด้วยคำชี้แนะจากจางเซวียน และตัวเขาเองจะภูมิใจกับผลงานที่ว่า แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยังคงไม่เชื่อว่าจางเซวียนมีความสามารถจริง ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะอีกฝ่ายแค่ดวงดีเท่านั้น
“เอาล่ะ ตอนนี้คุณเป็นศิษย์ของผมแล้ว รีบมารับหยกสัญลักษณ์ของคุณซะ” จางเซวียนไม่สนใจว่าหลิวหยางคิดอะไรอยู่ รู้แต่เพียงว่าชัยชนะในเดิมพันครั้งนี้ทำให้เขามีลูกศิษย์เพิ่ม ตอนนี้เขายังคงดีใจกับสิ่งนี้ เขาตั้งใจโยนหยกสัญลักษณ์ไปให้
แม้ว่าหลิวหยางไม่ได้ยินดียินร้ายที่จะกลายเป็นลูกศิษย์ของจางเซวียนเพราะผลการเดิมพัน แต่ถ้าเขาไม่ยอมรับจางเซวียนเป็นอาจารย์ อาจารย์คนอื่นๆ ก็คงไม่ยอมรับเขาอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงหยดเลือดลงไปบนหยกสัญลักษณ์นี้ เพื่อดำเนินการยืนยันความเป็นศิษย์อาจารย์ให้เสร็จสิ้นไป
“พรุ่งนี้เราจะเริ่มบทเรียนกันที่ห้องเรียนของผม” หลังจากที่เสร็จสิ้นการจัดการกับหลิวหยาง จางเซวียนไม่ได้พูดอะไรกับหวังหยิ่งมากมายนัก ทำเพียงเดินออกจากโรงอาหารไป
พอกลับไปที่ห้องเรียนของตน จางเซวียนนึกทบทวนความคิดภายในหัวเป็นครั้งที่สอง เพื่อตรวจสอบเส้นทางเข้าออกของหอสมุดเทียบฟ้าอย่างใกล้ชิดและชัดเจนยิ่งขึ้น
หลังจากตรวจสอบสักพัก ในที่สุดเขาก็ค่อยๆ เข้าใจในบางอย่างเมื่อใดก็ตามที่มีคนแสดงเคล็ดวิชาหรือทักษะการต่อสู้ต่อหน้าเขา มันจะถูกเก็บรวบรวมไว้ในหนังสือ ‘ข้อบกพร่อง’ โดยอัตโนมัติ
“ฮ่าๆ เรารวยแน่คราวนี้ เรามองเห็นความผิดพลาดของคนอื่นได้ และครั้งหน้าเราจะไม่ใช่อาจารย์ที่ได้ศูนย์คะแนนของโรงเรียนนี้อีกต่อไป”
เขาตื่นเต้นอย่างบ้าคลั่งกับการแข่งขันที่กำลังจะมาถึง ในฐานะที่เป็นผู้เดินทางมาจากต่างโลก ในที่สุดจางเซวียนก็รู้สึกกระตือรือร้นกับอนาคตบ้างแล้ว