ตอนที่ 59 นักเรียนที่สติแตกพร้อมกัน
“ข้ออ้างที่จะไล่เจ้าจางเซวียนออก ผมได้เตรียมไว้กับท่านปู่เรียบร้อยแล้ว อาจารย์เฉาฉงมีศิษย์คนหนึ่งชื่อหลิวหยาง หลิวหยางถูกเจ้าจางเซวียนบังคับให้ไปเป็นศิษย์ของตน หลิวหยางเลยต้องเปลี่ยนอาจารย์… อาจารย์เฉาฉงไม่ยินยอมจึงได้ยื่นเรื่องขอทำ [การทดสอบความประสงค์] แล้ว ถึงตอนนั้น เพียงแค่ท่านปู่ออกหน้าเพื่อยกเลิกสิทธิของการเป็นอาจารย์ของจางเซวียน แค่นี้เรื่องทั้งหมดก็จบ” ซั่งปิงกัดฟันอธิบาย
“บังคับเรอะ เจ้ามั่นใจว่าทำได้รึ” ผู้เฒ่าซั่งเฉินตกใจ
“ผมมั่นใจครับ” ซั่งปิงพยักหน้า
ผู้เฒ่าซั่งเฉินลังเลเล็กน้อยแล้วจึงพูดต่อ “ถ้าเป็นแบบนี้… เอางี้ พรุ่งนี้ข้าจะนัดให้ผู้เฒ่าโม่แห่งสมาพันธ์คณาจารย์ให้มาพบ ให้เขามาเป็นพยาน หากผลการทดสอบความประสงค์ ปรากฏว่าหลิวหยางไม่สมัครใจจะเป็นศิษย์ของเจ้าจางเซวียนจริง ข้าก็จะไล่เจ้านั่นออกไปทันที”
“ขอบคุณท่านปู่มากครับ” ซั่งปิงรู้สึกยินดี
มีอาจารย์ ย่อมต้องมีองค์กรตรวจสอบเพื่อช่วยรักษาสิทธิของเหล่าอาจารย์ องค์กรที่ว่าก็คือสมาพันธ์คณาจารย์นั่นเอง
สมาพันธ์แห่งนี้จะช่วยตรวจสอบพฤติกรรมของเหล่าอาจารย์ต่างๆ และสามารถยกเลิกสิทธิของการเป็นอาจารย์ได้ด้วย ตามความเข้าใจของทุกคน สมาพันธ์คณาจารย์ก็คือกระทรวงศึกษาธิการดีๆ นี่เอง
การเป็นอาจารย์ จะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีของคนอื่นและจะต้องถ่ายทอดความรู้ที่มีให้กับศิษย์อย่างเต็มที่ การทดสอบความประสงค์ของนักเรียนเป็นเครื่องวัดผลที่ดีที่สุด
“ไอ้กระจอก วันนี้ปล่อยให้แกได้ใจไปก่อน พรุ่งนี้ตอนแกถูกยกเลิกการเป็นอาจารย์ ฉันจะดูซิว่าแกยังจะมีฤทธิ์เดชอะไรอีก”
พอคิดถึงวันพรุ่งนี้ที่จะได้แก้แค้นจางเซวียน ซั่งปิงก็รู้สึกร่าเริงขึ้นมาทันที
จางเซวียนไม่รู้เลยว่ามีคนกำลังวางแผนทำร้ายตนอยู่ หลังจากที่ได้นอนพักอย่างเต็มที่ ร่างกายและสติก็กลับมามีพลังเต็มร้อยเช่นเดิม พอตื่นขึ้นเขาก็ส่องกระจกเป็นอันดับแรก เขาฝึกวิชาร่างนวโลหะสำเร็จ ทำให้ร่างกายและผิวหนังเต่งตึงอย่างมาก ผิวพรรณผ่องใสเหมือนผิวของเด็กน้อย ไม่มีรอยขีดข่วนใดๆ เขาดูเด็กลงอย่างเห็นได้ชัด ถ้าใครไม่รู้ก็อาจจะนึกว่าเขาเป็นนักเรียน
“ดีจัง” จางเซวียนพูดขึ้นแล้วเดินออกจากห้องพักตรงไปยังห้องเรียน
พอถึงห้องเรียน ก็พบว่านักเรียนทั้ง 5 กำลังทำความสะอาดจนเรียบร้อยหมดจด น้ำดื่มของเขาก็ถูกต้มเตรียมไว้จนร้อนได้ที่
หวังหยิ่ง หลิวหยาง เจิ้งหยาง จ้าวหย่า และหยวนเทา ทุกคนต่างดูมีความกระตือรือร้นกับการเรียนเป็นอย่างมาก ต่างมองจางเซวียนด้วยสายตานับถือสุดหัวใจ
นักเรียนพวกนี้ ตอนแรกต่างคิดว่าตนถูกหลอกให้มาเรียนกับอาจารย์ที่สอบได้ศูนย์คะแนน แต่พอผ่านการเรียนการสอนเมื่อวาน ทุกคนก็รู้ว่าถึงแม้อาจารย์คนนี้จะมีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดี แต่ก็เป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจมากคนหนึ่ง
โดยเฉพาะหวังหยิ่ง เธอได้นำเอาคำสอนของจางเซวียนไปเล่าในคนในบ้านฟัง ทุกคนต่างชื่นชมในความสามารถของจางเซวียนอย่างมาก ขนาดคิดจะให้หวังเทามาเป็นศิษย์ของจางเซวียนด้วยเลยทีเดียว ความสามารถของจางเซวียนไม่ต้องพูดก็รู้ว่าสูงส่งแค่ไหน
มีอาจารย์แบบนี้ จะไม่รู้สีกดีใจได้รึ
“เอาล่ะ วันนี้ทุกคนมาครบแล้ว จ้าวหย่า คุณเอาสมุนไพรต้นนี้ไปบดให้ละเอียดแล้วกินซะ… อีกอย่าง นี่คือหนังสือที่ผมเพิ่งเขียนเสร็จ ให้คุณฝึกวิชาตามหนังสือเล่มนี้ เพียงแค่ 2-3 วัน โรคในตัวคุณก็จะหาย” จางเซวียนเห็นสายตาของนักเรียนทุกคน มีหรือว่าเขาจะไม่รู้ว่าทุกคนกำลังคิดอะไรอยู่ เขาก้มลงไปหยิบหญ้าพญาตะวันหิมะที่ซื้อมาเมื่อคืนแล้วส่งให้กับจ้าวหย่า
โรคของจ้าวหย่าเกิดจากการที่เธอมีคลื่นหยินเต็มร่าง ซึ่งเกิดจากการฝึกวิชา เมื่อวานจางเซวียนเสาะหาวิธีรักษาโรคของจ้าวหย่า สุดท้ายก็เจอในหอสมุดเทียบฟ้า เขาได้ปรับปรุงและแก้ไขวิชาเพื่อให้เหมาะกับร่างกายของเธอ แม้ว่าจะไม่ใช่วิชาที่พิเศษอะไรและเทียบไม่ได้เลยกับวิชาเทียบฟ้า แต่มันก็เป็นวิชาที่ถูกเรียบเรียงมาจากวิชาลับนับสิบแขนง จึงเป็นวิชาที่ทรงคุณค่าอย่างมาก
แม้จะยังคงมีจุดบกพร่องอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีผลกระทบอะไรมากต่อผู้ฝึก
“ค่ะ” จ้าวหย่าหยิบต้นสมุนไพรพร้อมกับรับหนังสือที่จางเซวียนส่งให้ เธอเปิดหน้าหนังสือออก เธอเห็นตัวอักษรที่เขียนด้วยน้ำหมึกที่ดูสดใหม่อย่างมาก ชัดเจนว่าจางเซวียนเพิ่งเขียนหนังสือเล่มนี้เสร็จหยกๆ จ้าวหย่าอ่านเนื้อหาในหนังสือไปสักพัก ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอกำลังอ่านอยู่จึงหันมามองที่จางเซวียน “อาจารย์จาง แม้ว่าฉันจะเป็นนักเรียนใหม่ของโรงเรียนแห่งนี้ แต่วิชาลับของโรงเรียนทั้งหมด ฉันเองก็เคยได้ยินมาบ้าง วิชาในหนังสือเล่มนี้… มันมีพลังการโจมตีที่รุนแรงกว่าวิชาธิดาหยกขาวหลายสิบเท่า ทำไม… ฉันถึงไม่เคยได้ยินชื่อของมันมาก่อน อีกอย่าง… ทำไมหนังสือเล่มนี้ถึงไม่มีชื่อหนังสือเขียนอยู่ล่ะคะ”
จ้าวหย่าเป็นบุตรสาวของท่านเจ้าเมือง ที่บ้านเธอมีหนังสือเก็บอยู่เป็นจำนวนมาก เธออ่านหนังสือเหล่านั้นมาตั้งแต่เด็ก มีหรือจะไม่รู้ว่าหนังสือเล่มไหนดีเล่มไหนไม่ดี หนังสือเล่มที่อยู่ในมือของเธอเล่มนี้ เป็นหนังสือที่สอนวิชาประหลาดซึ่งมีพลังการโจมตีมากกว่าวิชาที่เธอเคยฝึกหลายเท่านัก แต่… ทำไมตนเองกลับไม่เคยได้ยินชื่อของหนังสือเล่มนี้เลย
ขอให้เป็นวิชา ไม่ว่าจะวิชาอะไร ผู้เขียนก็จะต้องลงนามของตนไว้บนหนังสือเล่มนั้นๆ อยู่แล้ว แต่หนังสือเล่มนี้กลับไม่มีชื่อของผู้เขียน หาอย่างไรก็หาไม่เจอ ทำให้
จ้าวหย่ารู้สึกแปลกใจอย่างมาก
“อ้อ หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ผมเขียนขึ้นเมื่อวาน เนื้อหาของมันมาจากการที่ผมวิเคราะห์จุดต่างๆ ในตัวคุณ แล้วมาดัดแปลงเป็นวิชาใหม่ หนังสือเล่มนี้มันไม่มีชื่อเรียกหรอก แต่ถ้าคุณอยากจะให้มันมีชื่อ คุณก็ตั้งชื่อขึ้นมาได้เลย ผมอนุญาต”
จางเซวียนตอบ
หนังสือที่หอสมุดเทียบฟ้าเรียบเรียงขึ้น เป็นหนังสือที่รวบรวมเอาแต่จุดที่ถูกต้องทั้งหมดของวิชาต่างๆ แล้วจัดทำเป็นหนังสือ หนังสือเล่มนั้นจีงไม่มีชื่อเรียก
จางเซวียนเองก็ขี้เกียจเกินจะไปตั้งชื่อให้กับหนังสือเล่มโน้นเล่มนี้ พอเขาเขียนหนังสือเล่มหนึ่งเสร็จก็หยิบออกมาเลยโดยไม่ได้สนใจเรื่องการตั้งชื่อ เขาคิดไม่ถึงว่าจ้าวหย่าจะถามเรื่องหยุมหยิมที่ไม่ไดสลักสำคัญอะไรแบบนี้
“อะไรนะคะ… อาจารย์เป็นคนเขียนเองเหรอ นี่คือ… วิชาที่อาจารย์คิดขึ้นเองเหรอคะ?”
ไม่เพียงแต่จ้าวหย่าจะตกใจ นักเรียนทุกคนในห้องต่างก็ช็อกไปตามๆ กัน
คนที่สามารถคิดค้นวิชาเองได้ล้วนเป็นคนระดับปรมาจารย์ทั้งนั้น อาจารย์ไร้ชื่อของพวกเขาคนนี้กลับสามารถคิดค้นวิชาเองได้… แถมยังเป็นวิชาระดับสูงอีกด้วย นี่มันจริงหรือ?
“ใช่… ผมคิดเอง” จางเซวียนไม่สามารถอธิบายต่อได้ ก็ในเมื่อหอสมุดเทียบฟ้าก็ไม่ได้มีตัวตน การที่เขาจะบอกว่าตนเป็นผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนี่ พอคิดได้แบบนี้ จางเซวียนจึงได้แต่พยักหน้า
“สุดยอดไปเลย…”
“วิชาธิดาหยกขาวเป็นวิชาที่นักรบขั้น 8 ประจำบ้านของฉันคิดค้นขึ้น แต่อาจารย์กลับสามารถคิดค้นวิชาที่มีอานุภาพร้ายแรงกว่าวิชาธิดาหยกขาวได้ อาจารย์เป็นนักรบขั้นไหนกันแน่คะ” พอเห็นว่าจางเซวียนยอมรับว่าตนเป็นผู้เขียนหนังสือ นักเรียนทุกคนต่างตกใจจนแทบจะหน้าเปลี่ยนสี
การคิดค้นและพัฒนาวิชาใหม่ ๆ ในประวัติของโรงเรียนหงเทียน มีเพียงอาจารย์จำนวนเพียงหยิบมือเดียวที่สามารถทำเช่นนี้ได้ แต่ละคนล้วนเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก อาจารย์ของตนก็เป็นหนึ่งในอาจารย์ที่สามารถคิดค้นวิชาเองได้ นักเรียนทุกคนรู้สึกเลื่อมใสในตัวของจางเซวียนอย่างมาก
ที่สำคัญ… เมื่อครู่อาจารย์พูดว่าอะไรนะ
อาจารย์พูดว่า “คุณก็ตั้งชื่อขึ้นมาได้เลย ผมอนุญาต” …
นี่มันอะไรกัน ปรมาจารย์ที่คิดค้นวิชาเอง มีคนไหนบ้างที่ไม่ได้คิดค้นวิชานั้นขึ้นมาด้วยความยากลำบาก วิชาที่ถูกคิดค้นขึ้นจึงถูกมองเหมือนกับเป็นสมบัติที่สุดแสนจะล้ำค่า ถ้าไม่ใช่ลูกหลานของตน ก็ไม่มีทางจะมอบให้ใครเด็ดขาด
แต่อาจารย์จางคนนี้ พอคิดค้นวิชาขึ้นมาได้ ไม่เพียงแต่จะมอบให้กับคนอื่นอย่างง่ายดาย ขนาดชื่อของวิชาที่ตนคิดค้นยังขี้เกียจจะตั้งอีกแน่ะ เขาบอกให้นักเรียนตั้งชื่อขึ้นมาเอง… ถ้าเขียนชื่อใครลงไป ชื่อของคนๆ นั้นก็จะถูกจดจำไปตลอดกาล เรื่องของชื่อเสียงเรียงนาม จางเซวียนกลับไม่สนใจเลยสักนิด
ทำไมถึงได้ใสซื่อแบบนี้ เป็นคนที่สูงส่งจริงๆ
มิน่าละ อาจารย์จางที่เก่งกาจกลับไม่มีชื่อเสียงโด่งดังในโรงเรียนเลย มิหนำซ้ำยังถูกคนอื่นเขาดูถูกอีก ที่แท้เป็นเพราะเขาขาวสะอาดจนเกินไป ไม่สนใจในเรื่องของชื่อเสียงจอมปลอมนั่น
“อาจารย์จาง…”
พอคิดได้แบบนี้ นักเรียนทั้ง 5 คนต่างรู้สึกซึ้งใจอย่างมาก ทุกคนแทบจะน้ำตาไหล
“พวกคุณเป็นอะไรกัน” จางเซวียนเห็นนักเรียนที่เมื่อครู่ยังมีท่าทางร่าเริง จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่ามือ เขาเองรู้สึกงุนงง
คือ… แค่ให้คิดชื่อหนังสือ ถึงกับจะร้องไห้เลยหรือ?