ตอนที่ 6 แกทำอะไรนายหญิงน้อย?
เมื่อการแสดงเพลงหมัดเสร็จสิ้น จ้าวหย่าพร้อมที่จะให้เพื่อนของเธอได้เห็นเขาถูกเธอเปิดโปงความชั่วร้าย เธอคิดอะไรเงียบๆ อยู่ในใจ และแอบติด ‘ผลึกบันทึก’ ซ่อนไว้บนแขนของตนอย่างแนบเนียนที่สุด ผลึกบันทึกเป็นวัตถุที่มีความสามารถในการบันทึกภาพและเสียงโดยรอบ เธอตั้งใจที่จะใช้เป็นหลักฐานในการฉีกหน้ากากจางเซวียน ดังนั้นเขาจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อความจริงถูกเปิดเผย
มาดูกันว่านายจะรู้สึกอย่างไรเมื่อถูกเปิดโปง เลิกเพ้อเจ้อที่คิดจะเปรียบเทียบตัวเองกับอาจารย์ลู่ฉวินได้แล้ว ฝันไปเถอะ!
เมื่อเธอสามารถคิดวิธีหาหลักฐานเพื่อนำมาลงโทษเขาและระบายแค้นส่วนตัวได้แล้ว ดวงตาของเธอก็เป็นประกายสดใสจนเกือบจะกลั้นความสุขเอาไว้ไม่อยู่ เพียงครู่เดียวเท่านั้น เธอก็ต้องสะดุ้งพรวดเมื่อมีดวงตาคู่หนึ่งประจันหน้าจ้องมองเธอตรงๆ
“อ่า…” จ้าวหย่าเผลอถอยหลังอย่างตกใจเมื่อเห็นจางเซวียนเดินเข้ามาใกล้ เธอกัดฟันด้วยความโกรธและอุทานว่า “คุณจะทำอะไรน่ะ?”
“ใจเย็นๆ ผมแค่ต้องการดูเท่านั้น” สองมือของเขาไพล่อยู่ด้านหลัง เขาเดินวนรอบร่างจ้าวหย่าแล้วสั่นศีรษะไปมา จากนั้นก็หยุดอยู่ไม่ไกลนัก
เธอรับรู้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายของเขา รู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูก จ้าวหย่าหน้าแดงเรื่อ ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีผู้ชายคนไหนอยู่ใกล้ชิดกับเธอขนาดนี้มาก่อน หัวใจของเธอเต้นตึกตัก จากนั้นก็ได้ยินเสียงเบาๆ ผ่านหูว่า “ผมคิดว่าคุณป่วย”
พอได้ยินคำพูดเหล่านั้น จ้าวหย่าแทบจะล้มทั้งยืน “มีอาการบางอย่างบ่งบอกผมว่าคุณป่วยอยู่…”
เธอใกล้จะบ้า
สมองของชายคนนี้ต้องผิดปกติอย่างแรงแน่ เธอแสดงทักษะการต่อสู้ให้เขาเห็น เพื่อที่จะพัฒนาศักยภาพความแข็งแกร่ง แต่เขากลับเปลี่ยนเรื่องบอกกับเธอว่าเธอป่วย ยังมีคนประหลาดแบบนี้บนโลกอีกหรือ?
“ทำไมคุณถึงได้ดูถูกฉันอย่างนั้นล่ะ”
จางเซวียนขมวดคิ้วอย่างมึนงง แต่ไม่นานเขาก็เริ่มเข้าใจว่าเธองงอะไรในคำพูดของเขา เขายิ้มจางๆ และบอกกับจ้าวหย่าว่า “ผมแค่บอกว่าร่างกายของคุณมีอาการป่วย ผมไม่ได้ดูถูกคุณซะหน่อย”
“ฉันไม่ได้ป่วย” จ้าวหย่าเปล่งเสียงตอบอย่างเย็นชา “ในความคิดของฉัน คุณนั่นแหละที่ป่วย สมองคุณมีปัญหาบางอย่างแล้ว” เธอเป็นคนที่มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและแข็งแกร่ง กำปั้นเดียวของเธอมีพลังโจมตีมากกว่า 100 กิโลกรัม ฉะนั้นเธอรู้ตัวดีว่าเธอมีอาการป่วยหรือไม่
“อ๊ะๆ อย่าเพิ่งปฏิเสธคำแนะนำของผมสิ คุณมักจะรู้สึกปวดอย่างหาสาเหตุไม่ได้ในบริเวณจุดถานจง1 และจุดชีพจรจวี้เชว่2 ใช่หรือเปล่าล่ะ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนพระจันทร์เต็มดวงเมื่ออากาศชื้น สายลมเย็นพัดผ่าน จุดสีแดงจางๆ จะปรากฏบนร่างกายของคุณเต็มไปหมด และคุณก็จะชอบ…” ณ จุดนี้จางเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่ยากจะเอ่ยออกมา ทว่าเขายังคงพูดต่อ “ไม่ว่าคุณจะฝึกอย่างไร คุณจะรู้สึกว่าหัวใจของคุณยังไม่สงบ”
“คุณ…คุณรู้ได้อย่างไร?”
จ้าวหย่าโกรธ เธอตั้งใจที่จะลบล้างทุกคำพูดที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมา แต่หลังจากที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น ใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงและตกตะลึง
ไม่ใช่ว่าเขากล่าวไม่ถูกต้อง แต่เพราะว่ามันตรงเผงจนน่าตกใจต่างหาก
เมื่อเร็วๆ นี้ ในระหว่างการฝึกเธอมักจะรู้สึกปวดบริเวณถานจงและจวี้เชว่ เธอพยายามอดทนเพราะอาการปวดยังไม่รุนแรงนัก ปมของปัญหาคือ… ในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงเมื่อสายลมพัดผ่านจนเย็นไปทั่วร่าง ร่างกายของเธอจะผิดปกติ จะเกิดแรงกำหนัดอันร้อนแรงขึ้นในกาย เธอไม่สามารถระงับอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมาได้ เธอค้นพบว่าตัวเองอยากอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายสักคน
เธอเป็นเด็กสาววัยแรกรุ่น อายุเพียงแค่สิบหกถึงสิบเจ็ดปีที่ยังไม่ผ่านการแต่งงาน ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถบอกได้ว่าอารมณ์นี้คืออะไร เธอเขินอายกับอาการเหล่านี้ ตอนแรก เธอคิดว่าตัวเองจะสามารถอดทนกับมันและมันก็จะผ่านพ้นไปได้ แต่อนิจจา! ความรู้สึกเหล่านี้มันกลับทวีคูณรุนแรงมากขึ้นและมากขึ้น ร่างกายของเธอเติบโตไปตามวัยเช่นเดียวกับที่หน้าอกก็เริ่มขยาย ยิ่งนับวันเธอยิ่งรู้สึกว่าความต้องการมากมายมหาศาลนี้ยากที่จะควบคุม
ในอดีตที่ผ่านมาเธอต้องรับมือกับมันแต่เพียงผู้เดียว เธอคิดว่าแค่เพียงฝึกวิทยายุทธเพิ่มเติมอีกสักหน่อยก็น่าจะทำให้อาการทุเลาเบาบางลง แต่ตอนนี้แม้จะฝึกสิบรอบก็ไม่เพียงพอสำหรับการบรรเทาอาการดังกล่าว เธอทำได้แค่หยุดยั้งมันเป็นครั้งคราวด้วยการฝึกหนักจนกระทั่งดวงอาทิตย์ขึ้น
นี่เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดจนเธอไม่กล้าบอกใคร แม้เพื่อนที่สนิทที่สุด หรือแม้แต่บิดาที่เป็นเจ้าเมืองก็ไม่มีใครล่วงรู้ความลับนี้ มันถูกเก็บไว้ในความคิดส่วนที่ลึกที่สุดของเธอมาช้านาน
ในเมื่อมันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้… แล้วคนผู้นี้ค้นพบได้อย่างไร? ถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถที่จะแบกรับปัญหานี้ไหว เธอจึงสมัครมาที่โรงเรียนแห่งนี้เพื่อหาทางคลี่คลายปัญหา
“ผมเป็นอาจารย์ ผมก็บอกได้จากหมัดทั่วไปที่คุณเพิ่งแสดงให้เห็นเมื่อสักครู่” จางเซวียนตอบอย่างใจเย็น
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่การออกหมัดพื้นฐานเพียงไม่กี่นาที จะบอกอะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับตัวเธอได้แม่นยำขนาดนั้น หอสมุดเทียบฟ้าเป็นสมบัติที่แสนวิเศษ ข้อบกพร่องใดๆ ที่เธอมีทั้งหมดจะแสดงในหนังสือเล่มนี้ ต่อให้เป็นข้อบกพร่องที่ไม่เกี่ยวกับการฝึกก็จะถูกบันทึกไว้ในนั้นเช่นกัน เพราะเขาได้ล่วงรู้ปัญหาดังกล่าว ทำให้จางเซวียนมีลักษณะท่าทางที่แปลกไป
“คุณมีวิธี…แก้ปัญหางั้นรึ?” จ้าวหย่าขบฟัน เอ่ยถามด้วยใบหน้าที่เริ่มแดงเรื่อ เธอบุกเดี่ยวเพื่อจะเข้ามาเปิดโปงความชั่วของจางเซวียน แต่กลับจบลงตรงเขาต่างหากที่เปิดเผยความลับของเธอ เรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกอับอายมาก
“มันก็พอจะมีวิธีแก้อยู่ พรุ่งนี้ผมจะอธิบายให้คุณฟัง”
“จริงหรือคะ?” ดวงตาของจ้าวหย่าลุกโพลงด้วยความดีใจ เธอเป็นกังวลมากกับปัญหาที่เกิดขึ้นในร่างกาย เธอไม่สามารถที่จะควบคุมความปรารถนาบ้าคลั่งเหล่านั้น มันเลยทำให้เธอกลายเป็นคนขี้หงุดหงิดและใจร้อนในทุกสิ่ง ตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองมีความสามารถเพียงพอที่จะปกปิดเรื่องนี้ไว้ในใจ เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีวิธีแก้ไขได้ อย่างไรก็ตาม ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่า อาจารย์ที่แย่ที่สุดในโรงเรียนจะสามารถแก้ปมปัญหานี้ให้เธอได้จากการพูดคุยเพียงไม่กี่ประโยค
นอกจากนี้… เขายังมีวิธีรักษาอีกด้วย
“ถ้าคุณไม่ไว้ใจผม อยากจะเปลี่ยนไปมองหาอาจารย์คนอื่นในโรงเรียนก็ได้นะ” จางเซวียนโบกมือ แสดงออกอย่างไม่แยแสเหมือนผู้เชี่ยวชาญที่ทรงภูมิ
“ไม่ๆ… มีคุณเท่านั้นที่รู้ปัญหาของฉัน” จ้าวหย่ารีบพยักหน้า มันไม่ใช่อาการที่เกิดขึ้นเพียงแค่วันหรือสองวัน แต่เธอต้องทนทุกข์ทรมานกับปัญหานี้มานานนับปี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญมากมายยังไม่สามารถบอกอาการผิดปกติของเธอออกมาได้ แต่อาจารย์จางเซวียนสามารถบอกได้เพียงแค่มองปราดเดียว ไม่มีใครเทียบเคียงเขาได้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเธอจึงคิดว่าเขามีวิธีรักษา
“ผลึกบันทึกนั่น คุณยังคงตั้งใจที่จะใช้มันอยู่รึ?” จางเซวียนชี้ไปที่แขนของเธอ
“อ่า…” จ้าวหย่าตกใจ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอติดผลึกบันทึกนี้เพื่อเป็นหลักฐานเอาผิดเขา แต่ตอนนี้ถ้าเนื้อหาของการสนทนาหลุดไปล่ะก็คนที่อายคงไม่ใช่เขา หากแต่เป็นเธอต่างหาก แล้วเธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
“ฉันไม่ได้ ฉันไม่…” เธอออกแรงอย่างมากเพื่อทำลายผลึกนี้ให้พัง… ผลึกบันทึกแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
หลังจากทำลายผลึกแล้ว จ้าวหย่าก็มองไปที่อาจารย์จางอีกครั้ง สีหน้าของเขาดูไม่ได้มีเจตนาร้าย หากแต่มันเป็นสีหน้าที่ยากแก่การหยั่งถึง เธอไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แม้จะมีการปกปิดผลึกบันทึกอย่างรอบคอบ แต่เธอยังคงถูกจับได้ ยังไม่รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเธอที่ถูกเปิดเผยโดยเขา คนที่มีความสามารถระดับนี้จะได้ศูนย์คะแนนในการสอบประเมินผลของอาจารย์ได้อย่างไร?
‘เขาต้องเป็นคนที่ไม่แยแสกับเกียรติยศชื่อเสียง ไม่แยแสกับมุมมองของบุคคลภายนอก ฉันเคยได้ยินว่าผู้เชี่ยวชาญหลายคนคล้ายๆ จะเป็นแบบนั้น’ เมื่อความคิดนี้ปรากฏขึ้นในหัว จากคนโกง คนหลอกลวงคนหนึ่งที่เธอพยายามเปิดโปงความลับ กลับกลายมาเป็นคนพิเศษที่เธอยกให้อยู่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเสียแล้ว
“อืม รับหยกสัญลักษณ์แทนตัวของคุณไป ออกไปหาที่หลับที่นอนและตำราเรียนซะ เราจะเริ่มต้นบทเรียนในวันพรุ่งนี้ ขอให้ตรงต่อเวลาด้วย…”
ลูกศิษย์คนอื่นๆ ก็คงได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแบบนี้เช่นเดียวกัน ทันใดนั้น พลันมีเสียงขู่คำรามดังมาจากด้านนอก และเพียงครู่เดียวคนคนหนึ่งก็โผล่พรวดพราดเข้ามา เขาเป็นชายวัยกลางคน ดูจากราศีแล้ว น่าจะเป็นผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งเลยทีเดียว
“นายหญิงน้อย” หลังจากที่เดินเข้าประตูมา ชายวัยกลางคนก็หยุดและโค้งคำนับให้จ้าวหย่า
“ลุงเหยา มาทำอะไรที่นี่?” จ้าวหย่าจ้องไปที่เขาอย่างเฉยเมย
นี่คือเหยาฮั่น พ่อบ้านจากเมืองไป๋หยูซึ่งเพื่อนทั้งสองคนของเธอได้ไปเชิญมา!
หลังจากไปส่งจ้าวหย่าที่โรงเรียนเพียงครู่เดียว เพื่อนทั้งสองของเธอก็รีบวิ่งไปแจ้งเขาว่านายหญิงน้อยจะคารวะอาจารย์คะแนนโหล่ให้รับเป็นศิษย์ มิหนำซ้ำเขาคนนั้นยังสั่งให้เธอขัดชักโครกห้องน้ำและทำความสะอาดสารพัด
ทันทีที่ได้ฟังสิ่งที่เล่า พ่อบ้านเหยาโกรธมาก นายหญิงน้อยสุดที่รักของท่านเจ้าเมือง ตั้งแต่เกิดมายังไม่มีใครกล้าออกคำสั่งด้วย อาจารย์คนนั้นกล้าดีอย่างไรสั่งให้เธอกวาดพื้นและขัดโถชักโครกห้องน้ำ
จะอาจหาญมากเกินไปแล้ว!
ถ้าจางเซวียนเป็นหนึ่งในอาจารย์ที่มีชื่อเสียง เขาอาจปล่อยผ่าน แต่นี่เป็นแค่อาจารย์ระดับปลายแถว เขากล้าดีอย่างไรมาทำแบบนี้ แล้วทำไมนายหญิงน้อยถึงยอมตกอยู่ใต้อาณัติของชายคนนี้ด้วย แม้จะอยู่ในเมืองไป๋หยู ผู้ฝึกสอนคนเดิมของนายหญิงน้อยก็ยังมีประสิทธิภาพมากกว่าชายคนนี้เป็นไหนๆ
“นายหญิงน้อย…” เขาจ้องมองจางเซวียนอย่างเยือกเย็นและปรับระดับสายตามาจ้องที่นายหญิงน้อยของตน
“ฉันยอมรับอาจารย์จางเป็นอาจารย์ของฉันเรียบร้อยแล้ว” จ้าวหย่าประกาศ
เขารีบรุดมาที่นี่อย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะสายเกินไป ใบหน้าของเหยาฮั่นหมองหม่น เอื้อมมือไปดึงตัวจ้าวหย่ากลับมา เขาจ้องมองจางเซวียนอย่างเย็นชา “คุณรีบถอนชื่อนายหญิงน้อยจากการดูแลของคุณให้ไวแล้วขอโทษซะ เพราะถ้าผมเอาเรื่องขึ้นมา ทุกคนจะช่วยกันประณามว่าคุณหลอกล่อเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมาเป็นศิษย์”
“หลอกล่อเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ? นี่คุณบิดเบือนเรื่องเกินไปรึเปล่า” จางเซวียนส่ายหัว ถ้าคนอื่นได้ยินคำพูดเช่นนี้จะต้องตีความว่าเขาทำมิดีมิร้ายจ้าวหย่าอย่างแน่นอน ฟ้าดินเป็นพยาน ทั้งหมดที่เขาทำก็แค่รับลูกศิษย์ เป็นเจตนาที่บริสุทธิ์มาก
“อย่ามาตีฝีปากกับผม นายหญิงน้อยจากตระกูลเราเป็นอัจฉริยะที่มีความสามารถ เธอสูงส่ง คนที่มีคุณสมบัติเช่นคุณคงไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะสอนนายหญิงน้อยของเราอย่างแน่นอน หากคุณถอนชื่อนายหญิงน้อยออกในตอนนี้ เราจะไม่เอาเรื่อง แต่ถ้ายังฝืนปฏิเสธ เห็นทีเราต้องนำเรื่องนี้ไปแจ้งกับอาจารย์ใหญ่ แล้วคุณจะโดนไล่ออก…”
เหยาฮั่นโวยวายเสียงดัง แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ จ้าวหย่าก็โพล่งขัดจังหวะเขาจากด้านหลัง “ลุงเหยา คุณกำลังทำอะไรน่ะ? ฉันเลือกเขาแล้ว คุณจะมาสร้างปัญหาให้ฉันทำไมกัน?”
จ้าวหย่ากระทืบเท้าอย่างขัดใจ เหตุผลที่เธอมาเรียนที่นี่เพราะต้องการแก้ไขปัญหาภายในร่างที่เธอปกปิดมานาน เธอดีใจมากที่อาจารย์จางสร้างความมั่นใจให้เธอว่าปมปัญหานี้จะสามารถแก้ไขได้ แล้วนี่มันอะไร เพื่อนของเธอตามเหยาฮั่นมาที่นี่ทำไม ดูสิ ทำให้เรื่องยุ่งยากขึ้นไปอีก
“อิสระที่จะเลือกงั้นรึ” เหยาฮั่นมองไปที่นายหญิงน้อย “คุณคิดว่าคนอย่างเขาสามารถให้คำแนะนำกับคุณได้จริงๆ รึ” นายหญิงน้อยผู้เย่อหยิ่งที่เขารู้จักมาตั้งแต่เด็ก มั่นใจขนาดไหนกันว่าอาจารย์ที่ได้ศูนย์คะแนนอย่างจางเซวียนจะสามารถให้คำแนะนำเธอได้ นั่นเป็นเหตุผลจริงๆ ที่เธอยอมรับเขาหรือ?
“เขาไม่ได้ทำให้ฉันเก่งขึ้นหรอก? เขาไม่ได้ทำสิ่งนั้นเลย…” จ้าวหย่าส่ายหัว คนคนนี้เพียงชี้ให้เห็นความเจ็บป่วยของเธอ เขาไม่ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการฝึกของเธอสักนิด
“ก็ถ้าไม่… แล้ว…” เหยาฮั่นเริ่มงง
“เอาล่ะ ลุงเหยา หยุดถาม” เมื่อเธอนึกถึงอาการป่วยลึกๆ ของตน ใบหน้าจ้าวหย่าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
เมื่อเห็นนายหญิงน้อยแสดงทีท่าเช่นนี้ เหยาฮั่นได้แต่จ้องมองอย่างงุนงงและสับสน ทันใดนั้นเขาเหลือบไปเห็นผลึกบันทึกที่แตกละเอียดอยู่บนพื้น ความโกรธของเขาเริ่มปะทุอีกครั้งและในไม่กี่วินาทีข้างหน้าเขาพร้อมที่จะกลายร่างเป็นสิงโตขย้ำจางเซวียนให้ตายอยู่กับที่
“เจ้าชั่วช้าสารเลว แกทำอะไรนายหญิงน้อยของเรา แกคิดว่าฉันจะไม่กล้าฆ่าแกตอนนี้อย่างนั้นรึ…”
ซูม!
ความโกรธปะทุขึ้นทวีคูณ มีแสงจำนวนมากเปล่งออกมาพร้อมกับเสียงสายลมร้องโหยหวน พื้นดินแตกออกเป็นทางยาว ราวกับว่าไม่สามารถจะแบกรับแรงกดดันอันหนักหน่วงนี้ได้อีกต่อไป