Skip to content

Library Of Heaven’s Path 64

ตอนที่ 64 ค่าความเชื่อมั่น

หากถูกไล่ออกจากโรงเรียน อย่างน้อยยังคงมีสภาพเป็นอาจารย์ ถึงจะไม่ได้สอนที่โรงเรียนหงเทียน ก็ยังสามารถไปสอนที่โรงเรียนอื่นได้

แต่ถ้าถูกเพิกถอนสิทธิของความเป็นอาจารย์ก็จะกลายเป็นคนตกงานทันที เหมือนกับคนที่ไม่มีบัตรประชาชน กลายเป็นที่สบประมาทของคนอื่นๆ

ด้วยเหตุนี้ ผู้เฒ่าซั่งเฉินจึงได้เชิญผู้เฒ่าโม่เสียงมากำกับการทดสอบด้วย เพราะถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะเป็นหัวหน้าสำนักงานการศึกษา เขาเองก็ไม่มีอำนาจในการเพิกถอนสิทธิของความเป็นอาจารย์ของใคร แต่ก็คิดไม่ถึงว่าตัวเขาเองยังไม่ทันได้พูดถึงเรื่องการเพิกถอน แต่จางเซวียนกลับชิงพูดก่อนเสียอย่างนั้น

อีกอย่าง ผู้แพ้จะถูกโบยตี 100 ทีด้วย ‘กระบองสยบเทพ’

กระบองสยบเทพเป็นกระบองที่ถูกหล่อขึ้นเป็นพิเศษ มีเฉพาะอาณาจักรเทียนเซวียน ผู้ถูกตีจะได้รับความเจ็บปวดทรมานอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็จะมีเพียงบาดแผลภายนอกให้เห็นเล็กน้อย ทว่าถ้าถูกตีสัก 100 ทีติดต่อกัน ผู้ถูกตีก็อาจปางตายได้

เอ่อ… คุณคิดว่าการลงโทษเบาเกินไป เลยคิดอยากจะตายให้ไวกว่านี้ใช่ไหม

ทุกคนต่างมองจางเซวียนว่าสติแตกไปแล้ว

“อาจารย์จางเซวียน คุณ…” เสิ่นปี้หรูที่ยืนอยู่ด้านหลังจางเซวียน พอมาได้ยินคำพูดประโยคนี้เข้าก็แทบจะลมจับ

คุณคะ… นี่คุณยังดูไม่ออกอีกเหรอว่าทั้งหมดนี้มันเป็นแผนการของซั่งปิงและเฉาฉง เป้าหมายของพวกเขาคือให้คุณถูกไล่ออกจากโรงเรียน การถูกไล่ออกก็เป็นโทษที่หนักมากแล้ว คุณไม่เพียงแต่ไม่ปฏิเสธ แถมยังเพิ่มโทษเข้าไปอีก นี่คุณบ้าไปแล้วใช่ไหม

“ใครตาย ก็จะโทษคนอื่นไม่ได้นะ” เฉาฉงยิ้มแล้วหันไปมองซั่งเฉินที่ยืนอยู่ “ท่านผู้เฒ่าซั่ง ผมคิดว่าสิ่งที่อาจารย์จางเซวียนนำเสนอมานั้นมันเป็นความคิดที่วิเศษ ผมหวังว่าทางโรงเรียนจะสนองต่อความต้องการของเขานะครับ”

หลิวหยางเห็นเฉาฉงติดกับของจางเซวียนแบบไม่รู้ตัว เขาเอามือประคบหัวตัวเองแล้วมองไปที่เฉาฉงด้วยความสงสาร

อาจารย์จางเซวียนร้ายกาจจริงๆ

ตอนแรกก็ทำเป็นเสแสร้งว่าตัวเองหวาดกลัวจนตัวสั่น เพื่อให้อีกฝ่ายตายใจแล้วใช้โอกาสนี้เล่นงานกลับ คิดว่าต่อให้เฉาฉงถูกเล่นงานจนตาย ตัวเฉาฉงเองก็คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น

“โชคดีนะที่เราเป็นศิษย์ของอาจารย์จางเซวียน ไม่งั้นเราคงต้องพลอยซวยไปด้วยแน่…” พอหลิวหยางนึกขึ้นได้ว่าเขาเองเกือบจะเป็นศิษย์ของเฉาฉง เขาก็อดไม่ได้ที่จะรำพึงรำพันออกมา

“เอาล่ะ ในเมื่อทั้งสองฝ่ายเห็นด้วยกับการเดิมพันในครั้งนี้ งั้นก็มาเริ่มกันเลย” ผู้เฒ่าซั่งเฉินพยักหน้า ทันทีที่เขาพูดจบ ลูกแก้วคริสตัลสองลูกได้ถูกนำไปวางไว้บนเสาหิน ขนาดของลูกแก้วนั้นใหญ่เท่ากับแตงโม มีความใสบริสุทธิ์จนสามารถมองทะลุผ่าน ซ้ำยังเปล่งประกายออกมาตลอดเวลา

“นี่คือลูกแก้วคริสตัลที่ทำขึ้นจาก [หินถามใจ] จางเซวียน เฉาฉง คุณสองคนหยิบไว้คนละลูกแล้วหยดเลือดของตัวเองลงไปหยดหนึ่ง พอหลิวหยางมาแตะลูกแก้วคริสตัลก็จะปรากฏ [ค่าความเชื่อมั่น] ที่อยู่ในใจเขาออกมา ลูกแก้วที่มีหยดเลือดของคนไหนได้ค่าความเชื่อมั่นสูงกว่า คนๆ นั้นก็เป็นฝ่ายชนะ กฎการทดสอบนี้ง่ายมาก มีใครยังไม่เข้าใจอีกไหม” ผู้เฒ่าซั่งเฉินกล่าว

“ไม่มีครับ” จางเซวียนและเฉาฉงพยักหน้าพร้อมกัน

ขั้นตอนการทดสอบความประสงค์ของนักเรียนนั้นง่ายมากจริงๆ แค่ใช้คุณสมบัติพิเศษของหินถามใจเพื่อพิสูจน์ความประสงค์ที่แท้จริงที่อยู่ในใจของนักเรียน ว่านักเรียนคนนั้นมีความเชื่อมั่นในตัวอาจารย์คนไหนมากกว่ากัน อาจารย์คนที่ได้รับค่าความเชื่อมั่นมากกว่าก็จะเป็นฝ่ายชนะ

แม้ว่ากฎของการทดสอบจะฟังดูง่าย แต่หินถามใจแต่ละก้อนก็มีมูลค่าแพงยิ่งกว่าเพชรเสียอีก เมื่อใช้หินถามใจในการทดสอบความประสงค์แล้ว หินถามใจก้อนนั้นจะกลายเป็นหินธรรมดาที่ไร้ค่าทันที ดังนั้น ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ทางโรงเรียนก็ไม่อยากจะให้ใช้วิธีนี้ในการแก้ไขปัญหา

ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย ปกติแล้วฝ่ายที่แพ้จะต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ในสายตาของเฉาฉงและพวกพ้อง จางเซวียนเป็นแค่อาจารย์ระดับปลายแถวแถมยังสอบได้ศูนย์คะแนนอีก นักเรียนระดับหัวกะทิอย่างหลิวหยางมีรึจะยอม

จางเซวียนเป็นอาจารย์ ถ้ามีการทดสอบความประสงค์ของนักเรียนขึ้น จางเซวียนจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

พอถึงตอนนั้น จางเซวียนไม่เพียงแต่จะถูกไล่ออกจากโรงเรียนอย่างน่าอับอายแล้ว เขายังจะกลายเป็นคนที่ไม่มีรายได้ สูญเสียชื่อเสียงทั้งหมดที่มีอยู่ และต้องรับผิดชอบค่าเสียหายในการทดสอบในครั้งนี้ เท่ากับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นก 3 ตัวเลย

“เริ่มได้” ผู้เฒ่าซั่งเฉินโบกมือส่งสัญญาณทันทีเมื่อเห็นจางเซวียนและเฉาฉงไม่มีอะไรจะพูดต่อ

เมื่อสิ้นเสียงของผู้เฒ่าซั่งเฉิน จางเซวียนและเฉาฉงก็เดินออกมาพร้อมกับหยดเลือดตนเองไปบนลูกแก้วคริสตัล ทันทีที่หยดเลือดกระทบกับผิวของลูกแก้ว ก็เกิดเป็นประกายแสงเปล่งออกมา แสงของลูกแก้วทั้งสองลูกรวมกันแล้วปรากฏเป็นใบหน้าของจางเซวียนและเฉาฉง

“ไปได้” ผู้เฒ่าซั่งเฉินออกคำสั่งไปที่หลิวหยาง

หลิวหยางเดินไปที่จุดกลางระหว่างลูกแก้วทั้งสอง แล้วใช้มือแต่ละข้างไปแตะบนลูกแก้วแต่ละลูก

ทันใดนั้นก็เกิดเป็นกลุ่มหมอกควันขึ้นมาอยู่ภายในลูกแก้วทั้งสองลูก

“หินถามใจจะส่งพลังงานที่ทำให้ผู้ที่แตะต้องมันเกิดความมึนงงและมีอาการง่วงนอน ผู้แตะจะรู้สึกเหมือนตนเองได้ตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝัน ณ จุดๆ นี้ พฤติกรรมที่คนผู้นั้นแสดงออกมา ทั้งหมดจะสะท้อนถึงความประสงค์ที่แท้จริงของเขา ถ้านักเรียนคนนี้ถูกอาจารย์บีบบังคับให้เป็นศิษย์จริง เขาจะต้องไม่มีความเชื่อมั่นในอาจารย์คนที่บีบบังคับ และ ‘ความไม่เชื่อมั่น’ นั้นจะถูกแสดงออกมา ดังนั้น การทดสอบความประสงค์ของนักเรียนจึงเป็นวิธีที่ถูกต้องและแม่นยำที่สุด” ผู้เฒ่าโม่เสียงเห็นหลิวหยางค่อยๆ หลับตาลง เขาก็อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทันที

“ถูกต้อง ค่าความเชื่อมั่นสามารถสะท้อนถึงระดับของความเชื่อมั่นของคนคนหนึ่งที่มีต่ออีกคนหนึ่งได้ ซึ่งค่าความเชื่อมั่นนั้นมีอยู่ 100 จุด ทุกๆ 10 จุดนับเป็น 1 ขั้น หากค่าความเชื่อมั่นเป็น 0 จุด ก็แสดงว่าผู้แตะลูกแก้วคริสตัลไม่มีความเชื่อมั่นใดๆ ต่อผู้ที่หยดเลือดลงบนลูกแก้วลูกนั้นเลย ถ้าค่าความเชื่อม้่นเป็น 10 จุด แสดงว่ามีความเชื่อมั่นต่อกันเพียงเล็กน้อย 20 จุดถือว่าเชื่อมั่นปานกลาง ถ้าค่าความเชื่อมั่นมากกว่า 30 จุดขึ้นไป แสดงว่าความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ของทั้งศิษย์และอาจารย์อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก ถ้าเป็น 50 จุดแสดงว่าอาจารย์คนนี้เก่งเหนือมนุษย์ ถึงขนาดทำให้ศิษย์เชื่อมั่นในตัวเขามากขนาดนี้ ทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเซวียน มีอาจารย์เพียงหยิบมือเดียวที่สามารถได้รับความเชื่อมั่นจากศิษย์มากขนาดนี้ เพราะแม้แต่ค่าความเชื่อมั่นระหว่างพ่อแม่กับลูกยังมีเพียง 60 จุดเท่านั้น” ผู้เฒ่าซั่งเฉินพูดไปลูบเคราไป

บทสนทนาของผู้เฒ่าทั้งสองได้อธิบายหลักการวิธีการทดสอบความประสงค์ของนักเรียนให้กับทุกคนฟัง

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความคิด มนุษย์ทุกคนต่างมีความคิดที่แตกต่างกัน ซึ่งการจะทำให้คนๆ หนึ่งเชื่อมั่นในคนอีกคนหนึ่งนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต่อให้เป็นพ่อแม่ที่กินอยู่กับลูกมาตั้งแต่ลูกยังเล็ก ค่าความเชื่อมั่นของพวกเขายังไม่ถึง 100 จุดเลยด้วยซ้ำ

แล้วศิษย์กับอาจารย์จะมีความเชื่อมั่นระหว่างกันได้มากเท่าไหร่เชียว หากศิษย์กับอาจารย์รู้จักกันนานขึ้น ค่าความเชื่อมั่นของทั้งสองก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

แต่จางเซวียนเพิ่งรู้จักกับหลิวหยางได้แค่สองวัน

บวกกับชื่อเสียงที่สุดแสนจะห่วยแตก ดังนั้นความเชื่อมั่นของหลิวหยางที่มีต่อเขาจะสูงได้อย่างไร

เรื่องแบบนี้ แค่คิดก็รู้แล้ว

“จริงสิ ท่านผู้เฒ่าโม่ ข้าเคยได้ยินมาว่าหลักการและมาตรฐานของการวัดความสามารถของอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในสมาพันธ์ก็คือค่าความเชื่อมั่นของนักเรียน เรื่องนี้จริงไหม” ผู้เฒ่าซั่งเฉินที่อธิบายหลักการของการทดสอบไปสักพัก พลันนึกถึงเรื่องอื่นได้ เขาจึงถามผู้เฒ่าโม่เสียงทันที

ระดับของอาจารย์แบ่งเป็น 3 ขั้น ได้แก่ล่าง กลาง และสูง จางเซวียนเป็นอาจารย์ระดับล่าง ส่วนเสิ่นปี้หรูและซั่งปิงต่างก็เป็นอาจารย์ระดับสูงมานานแล้ว

ปกติอาจารย์ที่ก้าวมาเป็นอาจารย์ระดับสูง ส่วนใหญ่ก็จะได้แค่นี้ ไม่สามารถก้าวไปสู่ระดับที่สูงกว่านี้ได้อีก อาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของโรงเรียนหงเทียนอย่างลู่ฉวินและหวังเชา ก็เป็นเพียงอาจารย์ระดับสูงธรรมดาเหมือนกัน ซึ่งจะมีเพียงอาจารย์ที่ระดับสูง ที่สูงกว่าอาจารย์ระดับสูงธรรมดาเท่านั้น จึงจะสามารถเรียกว่าเป็นปรมาจารย์ได้

การจะเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงได้นั้น คนผู้นั้นจะต้องเข้าใจในเคล็ดวิชาต่างๆ อย่างถ่องแท้ และการที่ได้เป็นศิษย์ของอาจารย์อย่างว่า วรยุทธของศิษย์คนนั้นก็จะได้รับการพัฒนาอย่างเร็ว ซึ่งสุดท้ายก็จะได้เป็นยอดฝีมือคนหนึ่งในยุทธภพ

ฮ่องเต้เสิ่นจุยเดิมทีก็ไม่ได้เป็นองค์รัชทายาทที่มีสิทธิในการขึ้นครองบัลลังก์แต่อย่างใด แต่เป็นที่ลือกันว่า สมัยเขายังหนุ่ม เขาได้มีโอกาสคารวะและฝึกวรยุทธกับยอดฝีมือผู้หนึ่งเพียงไม่กี่วัน จากนั้นวรยุทธของเขาก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก จนกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดารัชทายาททั้งหมดของอดีตฮ่องเต้ และก็กลายเป็นผู้ที่มีวรยุทธสูงส่งที่สุดในใต้หล้า จนกระทั่งสุดท้าย จึงได้รับเลือกให้ครองราชย์สืบต่อจากองค์ฮ่องเต้องค์เดิม

ดังนั้นการที่ได้มาเป็นศิษย์ของอาจารย์ที่เป็นยอดฝีมือจึงเป็นเรื่องที่ทุกคนใฝ่ฝันอยู่ตลอดเวลา

แม้ว่าอาชีพอาจารย์จะเป็นอาชีพที่ค่อนข้างต่ำต้อย แต่ถ้าได้เป็นอาจารย์ระดับสูงที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ก็จะเป็นอาชีพที่มีเกียรติและศักดิ์เหนืออาชีพอื่นๆ ทั้งปวง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความสามารถของการปลุกระดมคนอื่นๆ อาจารย์ที่มีชื่อเสียงจะสามารถปลุกระดมได้ดียิ่งกว่าหมอปรุงยา ช่างตีอาวุธ หรือนักวางค่ายกลเสียอีก

เกียรติและศักดิ์ศรีของการเป็นอาจารย์เป็นที่ยอมรับกันไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์ที่โด่งดัง เพราะศิษย์ทั้งหลายของเขาอาจกลายเป็นยอดฝีมือในยุทธภพ และหากอาจารย์ปลุกระดมศิษย์ทุกคนของเขาให้สู้เพื่อตัวเขา ต่อให้เป็นคนที่มีอำนาจมากแค่ไหนก็ไม่กล้าต่อกรกับอาจารย์คนนั้นอย่างแน่นอน

มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า ฮ่องเต้ของแคว้นๆ หนึ่งได้ไปมีเรื่องกับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งเข้า อาจารย์คนนั้นแค่ส่งสัญญาณครั้งเดียว นักรบขั้น 8 หลายสิบคนก็รวมตัวกันทันที

ภายในเวลาเพียงไม่ถึงวันเมืองหลวงของแคว้นนั้นได้ถูกนักรบขั้น 8 พังเสียราบคาบ เชื้อพระวงศ์ทุกคนถูกสังหารอย่างทารุณ ทำให้สายเลือดของราชวงศ์สูญสิ้น

ด้วยเหตุนี้ ผู้ฝึกวรยุทธทุกคนต่างรู้ดีว่าการไปหาเรื่องคนธรรมดาเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ง่ายและไม่มีภัยอันตรายอะไรมาก แต่ห้ามไปหาเรื่องเหล่าอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเด็ดขาด เพราะใครจะไปรู้ว่าอาจารย์คนนั้นมีศิษย์กี่คน และศิษย์แต่ละคนของเขาจะเป็นใครบ้างก็ไม่รู้ ถ้าไปหาเรื่องคนอย่างนั้น ก็เหมือนกับการไปกระทุ้งรังต่อ ถึงไม่ตายก็พิการ

แน่นอนที่สุด การจะกลายมาเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องต่างๆ มากมาย และความเชื่อมั่นของศิษย์ที่มีต่ออาจารย์ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยนั้นเช่นกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!