Skip to content

Library Of Heaven’s Path 74

ตอนที่ 74 สำนักงานฝ่ายการศึกษาปั้นน้ำเป็นตัว

“เรื่องนี้…” ผู้เฒ่าโม่เสียงและหวงหวี่ต่างมองไปที่จางเซวียน

ทันทีที่ได้ยินคำพูดของเฉาฉง ซั่งปิง และผู้เฒ่าซั่งเฉิน

ถ้าเรื่องที่พวกเขาทั้งสามพูดเป็นความจริง สมาพันธ์จะต้องทำการตรวจสอบอย่างแน่นอน ถ้าตรวจสอบแล้วพบว่าข้อกล่าวหาเป็นเรื่องจริง ทางสมาพันธ์ก็จะต้องทำการเพิกถอนสิทธิ์การเป็นอาจารย์ของจางเซวียนโดยไม่มีข้อยกเว้น

“ประมาทเจ้าพวกนี้ไปจริงๆ พวกมันหัวหมอไม่เบาเลยนะเนี่ย”

จางเซวียนขมวดคิ้วขึ้นทันที คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะแก้เผ็ดแบบนี้ เล่นมากันเป็นชุดเลย

โลกนี้กับโลกในอดีตเหมือนกันไม่มีผิด โจรอย่างไรก็เป็นโจรอยู่วันยังค่ำ สิ่งที่จางเซวียนคนเก่าทิ้งเอาไว้ ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่น่าปวดหัว

ถ้าทางโรงเรียนไม่เอาเรื่อง เขาก็สามารถทำงานในฐานะอาจารย์ได้ตามปกติ แต่ถ้าวันไหนทางโรงเรียนเกิดเอาเรื่องขึ้นมา นำเหตุการณ์ที่จางเซวียนคนเก่าเคยทำไปรายงานต่อสมาพันธ์คณาจารย์ สิทธิ์การเป็นอาจารย์ของเขาก็สามารถจะถูกเพิกถอนได้ทันที

ถ้าถูกไล่ออกจริงๆ ชีวิตของเขาก็คงจะไม่ได้ดีไปกว่าเฉาฉงมากนักหรอก เพราะฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาต้องยืนกรานกระต่ายขาเดียว อย่าปล่อยตัวเองให้ไหลไปตามคลื่นลมตรงหน้า

แต่ผลการสอบประเมินผลเป็นศูนย์ บวกกับเรื่องที่สอนจนลูกศิษย์ถูกธาตุไฟเข้าแทรก ทั้งสองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่จางเซวียนคนเก่าทำเอาไว้จริงๆ เห็นทีเขาจะแก้ตัวลำบาก

พูดง่ายๆ ก็คือ สิ่งที่จางเซวียนคนเก่าทำเอาไว้ ล้วนเป็นสิ่งที่เป็นปัญหาอย่างมากต่อจางเซวียน ‘คนใหม่’ ในตอนนี้ ต่อให้มีหอสมุดเทียบฟ้าคอยช่วยเหลือ แต่การจะก้าวไปเป็นอาจารย์ระดับปรมาจารย์ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาทางพลิกแพลงสถานการณ์นี้ให้ได้

จางเซวียนขมวดคิ้วขึ้น รู้สึกคิดอะไรไม่ออก

การเดินทางข้ามมิติทำให้คู่ต่อสู้ของจางเซวียนเป็นต่อตรงที่ตัวเขาไม่สามารถกำหนดเวลาที่ตัวเองจะข้ามมิติมาได้ แต่ถึงพูดแบบนี้ก็เถอะ ถ้าจางเซวียนคนเก่าไม่ได้ตกอับมากขนาดนี้ จางเซวียนคนใหม่ก็คงข้ามมิติมาไม่ได้หรอก

ส่วนเรื่องนี้ คนอย่างจางเซวียนจะยอมปล่อยให้คนพวกนั้นรายงานต่อสมาพันธ์คณาจารย์ แล้วรอให้สมาพันธ์ออกคำสั่งเพิกถอนสิทธิ์การเป็นอาจารย์ของเขาหรือ?

ไม่มีวันเสียล่ะ!

“เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะผมไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมความสามารถของผมถึงได้เพิ่มขึ้น เอาล่ะ ผมจะพยายามอธิบายด้วยสิ่งนี้ก็แล้วกัน…”

ขณะที่จางเซวียนกำลังคิดอะไรไม่ออกอยู่นั้น ความคิดที่แสนจะพิสดารก็ผุดขึ้นมาในหัว เขามองไปที่ผู้เฒ่าซั่งเฉินและซั่งปิงพร้อมกับยิ้ม “ในเมื่อพวกคุณไม่ยอมเหลือทางหนีทีไล่ให้กับตัวเอง งั้นผมก็จะไม่เกรงใจแล้วนะ…”

“จางเซวียน แกยังจะมีหน้าทำเป็นปากดีอยู่อีกนะ เดี๋ยวพอไปถึงสมาพันธ์คณาจารย์แล้ว ฉันจะรอดูซิว่าแกยังจะได้ใจอยู่อีกไหม…” ซั่งปิงเห็นท่าทางของผู้เฒ่าโม่เสียงและหวงหวี่ที่เริ่มชะงัก ก็หัวเราะอย่างเหนือกว่า

แต่ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงหัวเราะ เขาก็เห็นจางเซวียนไขว้แขนทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง ท่าทางเหมือนคนมีปัญหาค้างคาใจที่ไม่สามารถแก้ได้

เหมือนคนที่มีคำพูดที่อยากจะพูด แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดออกมาดีหรือไม่

“ทำไมเรอะ คิดจะให้ฉันให้อภัยแกล่ะสิ” ซั่งปิงเห็นท่าทางของจางเซวียนเป็นแบบนี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก “น่าเสียดาย… ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว”

“ขอให้คุณให้อภัย?” จางเซวียนส่ายหัว “คุณคิดมากเกินไปแล้ว ผมกำลังคิดว่าจะพูดเรื่องนี้ออกมาดีหรือเปล่าต่างหาก”

จางเซวียนพูดจบก็ถอนใจออกมาอย่างเศร้าสร้อย ทำเหมือนมีความลับที่ไม่อยากเปิดเผย ทำหน้าเหมือนกับชายที่มีความหลังแสนเศร้าอัดแน่นอยู่ในใจ

“พูดออกมาดีหรือเปล่า แกจะพูดอะไร” ซั่งปิงขมวดคิ้วขึ้น เขาไม่รู้ว่าจางเซวียนกำลังคิดจะทำอะไร

“งั้นก็ได้ ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว…” จางเซวียนไม่ตอบคำถามของซั่งปิง เขาได้แต่ส่ายหัวไปมา ท่าทางเหมือนคนกำลังอมทุกข์ สักพักก็พูดขึ้น “เดิมที ผมเห็นว่าทุกคนล้วนเป็นเพื่อนร่วมงานกัน เป็นอาจารย์เหมือนกัน ถึงแม้จะทำผิดอะไรร้ายแรง ทุกฝ่ายก็ควรจะเห็นแก่หน้าตาและชื่อเสียงของโรงเรียนเป็นหลัก แต่ตอนนี้ผมว่า…”

เมื่อจางเซวียนพูดจบประโยคก็ไขว้แขนทั้งสองข้างไปด้านหลัง พร้อมกับมองตรงไปข้างหน้าเหมือนคนที่อัดอั้นตันใจเป็นที่สุด

“แกหมายความว่าอะไร” เมื่อเห็นจางเซวียนทั้งส่ายหัวทั้งถอนใจ ผู้เฒ่าซั่งเฉินและซั่งปิงต่างได้แต่มองหน้ากันและกัน พวกเขาไม่รู้ว่าไอ้บ้านี่คิดจะทำอะไรกันแน่

จะทำอะไรของแก

แกกำลังจะถูกไล่ออกอยู่แล้ว แล้วยังจะทำอะไรได้อีก

“ผมว่ามันแค่จงใจเล่นละคร คิดจะเบี่ยงเบนความสนใจ พวกเราอย่าถูกเจ้าจางเซวียนหลอกเอาได้นะ” ซั่งปิงตั้งสติได้ก็รีบพูดออกมาทันที

การสอบประเมินผลอาจารย์เขานั้นได้ศูนย์คะแนน แล้วยังทำให้ลูกศิษย์ถูกธาตุไฟเข้าแทรก ทั้งสองเรื่องนี้คนทั้งโรงเรียนหงเทียนรู้กันดี ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ลบล้างมลทินนี้ไม่ได้ ถึงจะพูดจาหว่านล้อมเก่งแค่ไหนก็คงไร้ประโยชน์

ต่อให้เป็นเซียนก็คงจะพูดปฏิเสธความรับผิดชอบไปไม่ได้หรอก

ถึงจะปฏิเสธ ทางโรงเรียนก็มีข้อมูลที่บันทึกเอาไว้ ดูซิว่าแกจะแก้ตัวอย่างไร

“ท่านปรมาจารย์จาง มีอะไรที่ลำบากใจไม่อยากจะพูดหรือเปล่า ฉันกับผู้เฒ่าโม่อยู่ที่นี่แล้ว มีอะไรท่านก็พูดออกมาได้เลย” หวงหวี่มองมาที่จางเซวียน

“ได้ครับ” จางเซวียนพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับมองไปที่หวงหวี่ด้วยสายตาชื่นชม แหม… เขาเสแสร้งอยู่ตั้งนาน ทั้งหมดก็เพื่อรอคำพูดของหวงหวี่ประโยคนี้แหละ ในเมื่อหวงหวี่ถามออกมาแล้ว งั้นก็ทำตามแผนต่อละกัน “อันที่จริงแล้ว เรื่องนี้ผมก็ไม่อยากจะพูดหรอกนะ…”

จางเซวียนส่ายหัว ทำเหมือนกับเขากำลังลำบากใจสุดๆ เขาเดินไปตรงกลางห้องโถงพร้อมกับต่อยไปที่เสาหินวัดพลังอย่างแรง

ทันทีที่จางเซวียนต่อยไปที่เสา ก็มีตัวเลขโผล่ขึ้นมา

55 จุด!

จางเซวียนใช้พลังเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น แต่เพราะว่าเขาได้บรรลุเคล็ดวิชาใหม่ที่สามารถกลั่นพลังปราณในตัวจนบริสุทธิ์ ทำให้หมัดของเขาเดิมทีที่มีอยู่เพียง 49 จุดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

“55 จุดเลยหรือ”

“เขาเป็นนักรบขั้นหกระดับสูงสุดนี่นา”

“เขามีพลังปราณระดับเดียวกับนักรบขั้นหกแล้ว… ทำไมตอนสอบประเมินผล… เขาถึงเป็นแค่นักรบขั้นสามล่ะ”

แม้จะได้ยินจากปากของอ๋องน้อยไป๋ซวินว่าความสามารถของจางเซวียนอยู่เหนือพวกเขาอย่างมาก ทุกคนจึงพอรู้คร่าวๆ ถึงความสามารถของอาจารย์จาง แต่ตอนนี้พอได้มาเห็นกับตาถึงความรุนแรงของพลังหมัด ทุกคนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่พวกเขาเห็น แต่ละคนถึงกับอ้าปากค้าง

สำหรับนักรบขั้นหก การเปิดจุดชีพจรบนร่างแต่ละจุดจะสามารถเพิ่มพลังปราณในตัวได้หนึ่งจุด นักรบบางคนทั้งชีวิตสามารถเปิดจุดชีพจรได้สามสิบถึงสี่สิบจุดก็ถือว่าเป็นนักรบขั้นหกระดับสูงสุดแล้ว ไม่มีนักรบคนไหนสามารถเปิดจุดชีพจรได้มากเท่าจางเซวียนเลย

แค่ต่อยแบบมั่วๆ ทีเดียวก็ทำให้เกิดกระแสปราณที่รุนแรงได้ขนาดนี้ นี่หมายความว่า… เขาเป็นนักรบขั้นหกระดับสูงสุดมาตั้งนานแล้วน่ะสิ

แต่ว่า… ก่อนปิดเทอม เขาเพิ่งจะได้ทดสอบ แล้วผลการทดสอบก็แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นเพียงนักรบขั้นสามเท่านั้น ผ่านไปแค่ช่วงปิดเทอมเดียว พลังของเขากลับเพิ่มสูงขึ้นขนาดนี้จะเป็นไปได้รึ นักรบอัจฉริยะที่เก่งที่สุดในอาณาจักรเทียนเซวียนก็ยังทำแบบนี้ไม่ได้เลย

ทุกคนต่างตกตะลึง พวกเขาต่างรอฟังคำอธิบายของจางเซวียนอย่างใจจดใจจ่อ

“ทุกคนคงจะสงสัยเป็นอย่างมาก เพราะก่อนปิดเทอมผมเป็นเพียงนักรบขั้นสาม แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ ทำไมผมถึงได้กลายมาเป็นนักรบขั้นหกได้” จางเซวียนสังเกตเห็นว่าทุกคนกำลังประหลาดใจกับสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้น เขาจึงเริ่มอธิบายอย่างช้าๆ “อันที่จริงแล้ว พลังปราณของผมไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นในเวลาอันสั้นหรอกนะ ผมก็เหมือนกับทุกคนนั่นแหละ ค่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ ก่อนปิดเทอม พลังปราณของผมไม่ได้สูงถึง 55 จุดก็จริงแต่ก็ใกล้เคียง”

“ก่อนปิดเทอม พลังปราณก็สูงขนาดนี้แล้วหรือ แล้วตอนสอบประเมินผลล่ะ การสอบประเมินผลก็เพื่อที่จะ…”

เจ้าบ้านหวังหงอดไม่ได้จึงพูดออกมา แต่พูดได้เพียงครึ่งเดียวก็หยุดชะงัก

“การสอบประเมินผลของโรงเรียนหงเทียนเป็นการสอบประเมินผลแบบลับๆ ที่ดำเนินการโดยสำนักงานฝ่ายการศึกษาของโรงเรียน ผลสอบของอาจารย์ทุกคนจะมีสำนักงานฝ่ายการศึกษาออกมาประกาศ… สำนักงานอื่นๆ จะไม่รู้ถึงขั้นตอนการประเมินผลอย่างเด็ดขาด อาจอธิบายได้ว่า… ผลสอบก่อนปิดเทอม ที่บอกว่าอาจารย์จางเป็นเพียงนักรบขั้นสามนั้น เป็นบทสรุปที่สำนักงานฝ่ายการศึกษาประกาศออกมาเพียงฝ่ายเดียว และมันไม่ใช่เรื่องจริง…”

เมื่อได้ยินการสรุป ‘เอาเอง’ ของเจ้าบ้านหวังหง ทุกคนก็เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นผลการประเมินที่ได้ศูนย์คะแนน หรือว่าการเป็นเพียงนักรบขั้นสาม ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ทางสำนักงานฝ่ายการศึกษาประกาศออกมา ในสนามสอบไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย

นั่นก็หมายความว่า… สำนักงานฝ่ายการศึกษาปั้นน้ำเป็นตัวเว้ยเฮ้ย!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!