Skip to content

Library Of Heaven’s Path 79

ตอนที่ 79 คารวะอาจารย์กันอย่างคึกคัก

จริงอย่างที่จางเซวียนว่า ถ้าพลาดโอกาสนี้ไป จ้าวเหยียนฟงก็ต้องค่อยๆ พัฒนาวรยุทธของตนเองไปทีละก้าวอย่างช้าๆ แต่เขาไม่ต้องการจะไล่ตามหลังเพื่อนๆ ทีละก้าวแบบนี้

ถึงแม้สิ่งที่จางเซวียนพูด ตัวจ้าวเหยียนฟงเองจะไม่ได้เชื่อเต็มร้อย แต่ต่อหน้าอาจารย์ทั้งหลายแบบนี้ จางเซวียนไม่น่าจะกล้าทำให้เขาถูกธาตุไฟเข้าแทรกอีกแน่

“ดีมาก คุณจะต้องภูมิใจในสิ่งที่คุณเลือก” จางเซวียนพยักหน้าพร้อมกับหยิบเข็มเงินเล่มหนึ่งออกมา เขาพูดต่อทันที “นั่งขัดสมาธิลง ห้ามคิดอะไรฟุ้งซ่าน ผมจะใช้เข็มคล้ายจุดชีพจรของคุณ เพื่อทำให้ลมปราณในร่างกายคุณเพิ่มสูงขึ้น ประเดี๋ยวคุณแค่อัดลมปราณไปตามจุดชีพจรต่างๆ ก็พอ”

“ครับ” เมื่อจ้าวเหยียนฟงตกลงใจแล้ว เขาก็ไม่ลังเลอะไรอีก ทันทีที่ได้รับคำสั่งจากจางเซวียน เขาก็นั่งขัดสมาธิทันที

จางเซวียนเดินมาตรงหน้าเขาพร้อมกับปักปลายเข็มลงไปที่จุดชีพจรของจ้าว

เหยียนฟงทันที เมื่อเข็มสัมผัสกับจุดชีพจร จางเซวียนก็ส่งลมปราณของตัวเขาเองลงไปที่ปลายเข็มเล่มนั้น

จางเซวียนฝึกเคล็ดวิชาจากตำราของหอสมุดเทียบฟ้ามาก่อน พลังปราณในตัวเขาจึงบริสุทธิ์มาก เมื่อพลังปราณนั้นเข้าไปกระทบกับจุดชีพจรจุดหนึ่ง จุดชีพจรจุดนั้นก็จะคลายตัวออก โดยทั่วไป จุดชีพจรของคนปกติมักจะมีสิ่งสกปรกติดแน่นอยู่เต็มไปหมด พอนานเข้าก็จะเกิดการอุดตัน คิดจะทำความสะอาดจุดชีพจรก็ต้องใช้เวลานานแสนนาน

แต่สำหรับจางเซวียน พลังปราณในตัวเขามีความแข็งแกร่งและบริสุทธิ์ยิ่งกว่าสิ่งใด คนอื่นๆ อาจต้องใช้เวลาสองปีในการทำความสะอาดจุดชีพจร

ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะทำเสร็จไหม แต่จางเซวียนใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็สามารถทำความสะอาดจุดชีพจรจนเสร็จได้

เมื่อจุดชีพจรถูกคลาย ลมปราณที่อัดแน่นอยู่ด้านในก็ไหลออกมาทันที

จางเซวียนปักเข็มเงินลงไปบนร่างจ้าวเหยียนฟงอีกแปดเล่มด้วยกัน

เข็มเงินทั้งเก้าได้คลายจุดชีพจรบนร่างของจ้าวเหยียนฟงเก้าจุด ลมปราณที่อัดแน่นอยู่เป็นจำนวนมากหลั่งไหลออกมาราวกับเขื่อนกักเก็บน้ำที่ถูกระเบิด

จ้าวเหยียนฟงรู้สึกได้ว่าร่างของตนกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง เขารู้สึกว่าหัวกำลังจะระเบิด มีลมปราณใหม่ๆ ไหลเข้ามาในร่างของเขาแทนที่ลมปราณดั้งเดิม

“นี่มัน…” จ้าวเหยียนฟงรีบลุกขึ้นพร้อมกับเดินไปที่เสาหินวัดพลังแล้วซัดหมัดออกไปทันที

150 กิโลกรัม

พลังของนักรบขั้นสองระดับต้น

“ผม… ผม…” จ้าวเหยียนฟงเห็นตัวเลขที่ปรากฏขึ้นบนเสาหินก็แทบช็อก เดิมทีเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีกว่าจะบรรลุไปเป็นนักรบขั้นสองได้ แต่จางเซวียนกลับช่วยเขาให้กลายเป็นนักรบขั้นสองได้ในชั่วพริบตา

ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ

“ขอบคุณอาจารย์จางมากครับ” จ้าวเหยียนฟงไม่มีอะไรค้างคาใจอีก เขาเดินมาตรงหน้าจางเซวียนพร้อมกับคุกเข่าลงอย่างสำนึกผิด

ณ ตอนนี้ เขารู้แล้วว่าอาจารย์จางหวังดีกับเขาจริงๆ

อาจารย์ที่สามารถช่วยให้ศิษย์บรรลุการฝึกเคล็ดวิชาได้ในชั่วพริบตา จะสอนวิชาแบบผิดๆ ได้อย่างไร จะทำให้ศิษย์ถูกธาตุไฟเข้าแทรกแบบไม่มีสาเหตุได้อย่างไร

อาจารย์ดีๆ แบบนี้ ตัวเขากลับรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยและด่าว่า ช่างเป็นการกระทำเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานที่ไม่รู้คุณคนจริงๆ

แย่จริง เมื่อก่อนเขามองผิดไป ถึงขั้นลาออกจากห้องเรียนของอาจารย์คนนี้แล้วไปคารวะอาจารย์ลู่ฉวินแทน เห็นทีจะต้องรีบไปขอลาออกจากห้องเรียนของอาจารย์ลู่ฉวินแล้วมาสมัครเป็นศิษย์ของอาจารย์จางเซวียนใหม่เสียแล้ว

“บรรลุเคล็ดวิชาแล้ว จริงหรือ”

“ใช้เวลาเพียงสิบนาทีก็สามารถทำให้นักรบขั้นหนึ่งบรรลุเคล็ดวิชาได้เลยหรือ…”

“นี่ตาข้ายังใช้งานได้ดีอยู่รึเปล่าเนี่ย แค่ปักเข็มไม่กี่เล่มเนี่ยนะ เขาทำได้อย่างไรกัน”

จ้าวเหยียนฟงรู้สึกสับสนอย่างมาก ทั้งเจ้าบ้านหวังหง ผู้เฒ่าโม่เสียง และคนอื่นๆ ที่เห็นเหตุการณ์ก็ตะลึงจนอ้าปากค้าง

ทีแรกพวกเขานึกว่าจางเซวียนแค่พูดไปอย่างนั้น ไม่ได้จริงจังอะไร พวกเขาคิดว่าจางเซวียนคงทำไม่สำเร็จ แต่ความจริงปรากฏแล้วว่าจางเซวียนทำได้จริงๆ พวกเขาเห็นทุกอย่างกับตาตัวเอง

แต่ละคนมองไปที่จางเซวียนด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ

เมื่อก่อน ตอนที่พวกเขาจะบรรลุเคล็ดวิชาแต่ละขั้น เหนื่อยจนแทบจะกระอักเลือด แต่จางเซวียนกลับทำได้แบบง่ายๆ สบายๆ

ทำไมเมื่อก่อนพวกเขาถึงไม่มีวาสนาได้เจอกับอาจารย์จางบ้าง

“ท่านอาจารย์จาง โปรดรับผมไว้เป็นศิษย์ด้วยเถิด…” หวังเหยียนที่มาพร้อมกับหวังเทารีบเดินมาตรงหน้าจางเซวียนและคุกเข่าลง เมื่อก่อนเขาเองนึกว่าอาจารย์ลู่ฉวินเป็นอาจารย์ที่เก่งกาจที่สุดในโรงเรียน แต่พอมาเห็นจางเซวียนที่สามารถทำให้นักรบขั้นหนึ่งกลายเป็นนักรบขั้นสองได้ในพริบตา หวังเหยียนจึงไม่รอให้เจ้าบ้านหวังหงหรือผู้เฒ่าคนอื่นตั้งสติได้ เขารีบตัดหน้าไปขอเป็นศิษย์ของจางเซวียนก่อนใคร

“อะไรนะ” จางเซวียนมองตอบ

“อาจารย์จาง ผมรู้ว่าฝีมือของหวังเหยียนไม่ได้พิเศษกว่าศิษย์คนอื่นๆ แต่อย่างใด แต่ก็ขอให้ท่านช่วยรับเขาไว้ด้วยเถิด” รองผู้เฒ่าตระกูลหวังเดินออกมาพร้อมกับใบหน้าอันยิ้มแย้ม “ขอเพียงอาจารย์จางยอมรับเขาเป็นศิษย์ ผมเองก็พร้อมจะเป็นศิษย์ของท่านเช่นกัน ท่านรับศิษย์ที่เป็นนักรบขั้นหกแบบผมเอาไว้ รับรองได้ว่าต่อไปจะไม่มีใครกล้ามาดูถูกหรือสงสัยในตัวท่านอีก”

“รองผู้เฒ่า นี่คุณพูดอะไรไม่อายผีอายสางบ้างเลยหรือ คิดจะมาซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง… ช่างน่าอับอายจริงๆ” ผู้เฒ่าใหญ่สะบัดชายเสื้อแล้วมองไปที่จางเซวียนด้วยสายตานับถือแบบสุดๆ “อาจารย์จาง อย่าไปสนใจเขาเลย รองผู้เฒ่าเป็นคนที่ไม่ค่อยจะรู้จักกฎระเบียบ ไม่รู้ลำดับขั้น ท่านดูผมนี่ ผมเป็นถึงนักรบขั้นหกระดับสูงสุด ผมควรจะมีสิทธิ์ก่อนสิ ผมอยากจะคารวะขอเป็นศิษย์ท่านเหมือนกัน ถ้าท่านเห็นว่าผมเป็นผู้เฒ่าใหญ่แห่งตระกูลหวังแล้วไม่ค่อยอยากจะรับ เอาอย่างนี้ ผมจะลาออกจากตำแหน่งผู้เฒ่าใหญ่ก็แล้วกัน…”

“มาแย่งอะไรกันแบบนี้ แต่ละคนแก่พอจะเป็นปู่เป็นย่าของอาจารย์จางเขาแล้ว ยังจะขอเป็นศิษย์เขาอีก ไม่รู้สึกอายบ้างเลยรึไง” เจ้าบ้านหวังหงเห็นสภาพของผู้เฒ่าใหญ่กับรองผู้เฒ่าที่แสนจะทุเรศก็รู้สึกทนไม่ไหว

เมื่อถูกเจ้าบ้านหวังหงด่า ผู้เฒ่าทั้งสองต่างหน้าแดงก่ำ

ก็จริงอยู่ พวกเขาทั้งสองแก่มากแล้ว กระดูกและเส้นเอ็นก็แข็งกระด้าง การจะบรรลุเคล็ดวิชาอะไรย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย

หวังเทาและหวังเหยียนมองไปที่เจ้าบ้านหวังหงด้วยความนับถือ มาดของหวังหงสมกับที่เป็นเจ้าบ้านตระกูลหวังจริงๆ มองออกถึงปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นได้

แต่ยังไม่ทันไรก็เห็นเจ้าบ้านหวังหงหันไปมองจางเซวียนด้วยสายตาที่เป็นมิตร “อาจารย์จาง ข้ายังอายุน้อย ปีนี้แค่สี่สิบสองเอง อย่างข้าพอจะเป็นศิษย์ของท่านได้ไหม”

“…” จางเซวียน

“…” คนรอบข้าง

“เรื่องการรับศิษย์ เอาไว้ค่อยว่ากัน” จางเซวียนตัดบทสถานการณ์ที่กำลังโกลาหลทันที แล้วหันไปมองจ้าวเหยียนฟง “คุณยังคิดว่าผมสอนไม่เป็น ทำให้คุณถูกธาตุไฟเข้าแทรกอยู่อีกไหม”

“อาจารย์สอนดีมาก เป็นผมไม่รักดีเอง ขอให้อาจารย์อภัยให้ผมด้วย”

จ้าวเหยียนฟงรีบก้มหน้าลงกับพื้นทันที

“ดีมาก” จางเซวียนพยักหน้าด้วยความพอใจแล้วมองไปที่ผู้เฒ่าซั่งเฉินอีกครั้ง “ผู้เฒ่าซั่งเฉิน คุณยังมีอะไรจะพูดอีกไหม”

“คือผม…” สีหน้าของผู้เฒ่าซั่งเฉินดำทะมึน เรื่องคะแนนการสอบประเมินผลยังหาคำอธิบายไม่ได้เลย ส่วนเรื่องศิษย์ถูกธาตุไฟเข้าแทรก ขนาดตัวผู้เสียหายเองยังเข้าใจว่าจางเซวียนทำเพื่อช่วยตนเอง แล้วแบบนี้เขายังจะพูดอะไรได้อีก

สรุปก็คือถูกจางเซวียนตีแสกหน้าเข้าอีกแล้ว ที่สำคัญคือถูกตีแบบเต็มกลางหน้าผากเลย

“เป็นไปไม่ได้… เป็นไปไม่ได้ มันจะสามารถทำให้คนอื่นบรรลุเคล็ดวิชาแบบนี้ได้อย่างไร…” เฉาฉงที่ยืนอยู่ข้างๆ เริ่มมีอาการตาค้างแล้วค่อยๆ บ้าคลั่ง

จางเซวียนเข้ามาเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนหงเทียนพร้อมกับเขา ตลอดเวลาที่ผ่านมา ตัวเขาเองจะอยู่เหนือจางเซวียนเสมอ แล้วจางเซวียนทำไมอยู่ดีๆ ก็เกิดกลายเป็นยอดฝีมือแบบนี้ไปได้ล่ะ

ที่สำคัญ มันยังสามารถทำให้คนอื่นบรรลุเคล็ดวิชาได้ในพริบตา เรื่องแบบนี้แม้แต่ผู้เฒ่าประจำโรงเรียน หรืออธิการบดีก็ทำไม่ได้ แล้วจางเซวียนทำได้อย่างไร

“อาจารย์เฉาฉงดูแคลนเพื่อนร่วมงาน จรรยาบรรณของความเป็นอาจารย์มีปัญหาอย่างร้ายแรง ผมจะรายงานเรื่องนี้ต่อสมาพันธ์เพื่อเพิกถอนสิทธิ์การเป็นอาจารย์ของคุณทันที นอกจากนี้ ให้ลงโทษโดยการโบยด้วยกระบองสยบเทพอีกร้อยที” ผู้เฒ่าโม่เสียงประกาศเสียงดังพร้อมกับโบกมือส่งสัญญาณ

“ครับ” เฉาฉงกัดฟันตอบ แม้ไม่อยากจะรับผิด แต่เฉาฉงเองก็รู้ดีว่าเรื่องนี้มันสายเกินแก้แล้ว

“ซั่งปิง คุณเป็นถึงอาจารย์ แต่กลับใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ให้หยุดพักการสอนเพื่อรอรับการตรวจสอบ” ผู้เฒ่าโม่เสียงจัดการกับเฉาฉงเสร็จก็หันไปมองที่ซั่งปิงบ้าง “ส่วนผู้เฒ่าซั่งเฉิน เป็นถึงผู้เฒ่าประจำโรงเรียนและเป็นหัวหน้าสำนักงานฝ่ายการศึกษา ไม่เพียงแต่จะไม่คำนึงถึงเหล่าคณาจารย์ แต่กลับจงใจเล่นงานเพื่อนร่วมงานอย่างโหดเหี้ยม ซ้ำยังแก้ไขผลการสอบประเมินผลอีก ตอนนี้ ให้เพิกถอนตำแหน่งผู้เฒ่าประจำโรงเรียนและตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานฝ่ายการศึกษา เรื่องของคุณจะถูกส่งไปที่สมาพันธ์ โปรดรอคำตัดสินอีกครั้ง”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!