ตอนที่ 80 สอนอย่างไร
ผู้เฒ่าประจำสมาพันธ์คณาจารย์ หากเป็นโลกในอดีตของจางเซวียน ตำแหน่งนี้จะเทียบเท่ากับตำแหน่งระดับอธิบดีของกระทรวงศึกษาธิการ มีอำนาจพอที่จะเพิกถอนหัวหน้าสำนักงานของโรงเรียนต่างๆ ได้
“ผู้เฒ่าโม่ เห็นแก่มิตรภาพของพวกเราสองคน โปรดลงโทษสถานเบาด้วยเถิด…”
ผู้เฒ่าซั่งเฉินได้ยินคำตัดสินของผู้เฒ่าโม่เสียงก็รีบพูดทันทีผู้เฒ่าซั่งเฉินในตอนนี้ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว ผู้เฒ่าโม่เสียงเป็นคนที่เขาพามาเพื่อให้เพิกถอนสิทธิ์การเป็นอาจารย์ของจางเซวียน แต่สุดท้าย… กลับกลายเป็นตนและพวกที่ถูกเพิกถอนออกจากงานแทน
ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้
“เป็นเพราะแกคนเดียว”
ผู้เฒ่าซั่งเฉินมองไปยังซั่งปิงที่ยืนอยู่ไม่ไกล เขารู้สึกโกรธซั่งปิงจนแทบจะกระโดดถีบหน้า ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้านี่มาขอให้ตนเล่นงานจางเซวียน เรื่องทั้งหมดก็คงจะไม่เกิดขึ้น
ตอนนี้เป็นไงล่ะ ตัวจางเซวียนไม่ได้เป็นอะไรเลย เขาเองต่างหากที่ถูกถอนตำแหน่งหัวหน้าสำนักงาน ซ้ำยังถูกครหาว่ารังแกอาจารย์คนอื่น แอบแก้คะแนนสอบ ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ตนต้องถูกคนทั้งแผ่นดินสาปแช่งจนไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดแน่
ถึงแม้ตนจะไม่ได้แอบไปแก้คะแนนจริงๆ… แต่จะมีใครเขาเชื่อ
คนอื่นเขาไปเล่นงานคนนอก แต่เจ้าซั่งปิงกลับมาเล่นงานคนใน
“ลงโทษสถานเบารึ ผู้เฒ่าซั่ง เพราะว่ามิตรภาพระหว่างเรา ผมถึงได้ไว้หน้าคุณ ไม่เช่นนั้น เรื่องที่คุณรังแกอาจารย์ในโรงเรียน
หากผมรายงานต่อสมาพันธ์ สิทธิ์การเป็นอาจารย์ของคุณก็จะถูกเพิกถอนไปด้วย “ผู้เฒ่าโม่เสียงพูดเบาๆ” ผมว่าคุณเองก็ควรจะดูแลตัวเองให้ดีๆ ก็แล้วกัน”
ผู้เฒ่าซั่งเฉินรู้ว่าที่ผู้เฒ่าโม่เสียงพูดมาเป็นความจริงทั้งหมด เขารู้สึกเข่าอ่อนจนต้องนั่งลงอย่างช้าๆ
“อาจารย์จาง วันนี้รบกวนคุณจริงๆ มีอาจารย์ที่ย่ำแย่แบบนี้ เป็นความผิดของสมาพันธ์เรา” ผู้เฒ่าโม่เสียงจัดการกับทั้งสามคนเสร็จก็หันมาขอโทษจางเซวียนอย่างนอบน้อม
“ไม่เป็นไรครับ สังคมเราหากจะมีพวกแย่ๆ ปะปนอยู่สักคนสองคนก็เป็นเรื่องปกติ” จางเซวียนโบกมือแบบไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ทุกคนที่เห็นท่าทางของจางเซวียนก็รู้สึกนับถือในความใจกว้างของเขา
นี่ไงที่เรียกว่าน้ำใจของความเป็นอาจารย์…
“ดีมาก งั้นผมจะกลับสมาพันธ์ไปจัดการกับเรื่องนี้ต่อ ผมจะต้องให้ความยุติธรรมกับอาจารย์จางแน่” ผู้เฒ่าโม่เสียงพูดจบก็มองหน้าผู้เฒ่าซั่งเฉินด้วยสายตาโกรธแค้นแล้วเดินออกจากห้องโถงไป
ไป๋ซวินเห็นว่าเฉาฉงถูกจัดการจนแทบจะไม่เหลือความเป็นคนอยู่อีก เขารู้สึกดีใจมาก จึงเดินมาตรงหน้าจางเซวียน “ท่านปรมาจารย์จาง พวกเราก็ไปกันเถอะ ท่านยังต้องสอนวิชาวาดเขียนให้กับผมอีกนะ”
“ได้” จางเซวียนพยักหน้าแล้วเดินออกจากเจดีย์แห่งความประสงค์พร้อมกับทุกคน
จริงๆ แล้ว เรื่องในวันนี้อันตรายมาก ถ้าไม่ใช่เพราะคนตระกูลหวัง ไป๋ซวิน
หวงหวี่และคนอื่นๆ มาทันเวลา ต่อให้จางเซวียนจะสามารถเอาชนะกลุ่มผู้เฒ่าซั่งเฉินได้ ก็คงต้องใช้เวลานานกว่านี้มาก โดยเฉพาะเรื่องของจ้าวเหยียนฟง
ที่จริงแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จางเซวียนแต่งขึ้นมาเองทั้งหมด
จุดชีพจรของจ้าวเหยียนฟงไม่ได้ติดขัด แต่แค่มีอาการลมปราณไหลเวียนไม่คล่องเท่านั้น เพราะจุดชีพจรของเขาค่อนข้างเล็ก
จุดชีพจรเล็กก็เหมือนกับช่องทางเดินรถที่แคบ คนอื่นมีช่องเดินรถสิบล้อ จ้าวเหยียนฟงกลับมีแค่ช่องเดินรถจักรยาน จุดชีพจรที่เล็กและแคบแบบนี้ หากมีลมปราณไหลผ่าน มันก็ต้องรู้สึกเหมือนกับจุดชีพจรจุดนั้นกำลังจะระเบิดเป็นธรรมดา จะฝึกเคล็ดวิชาอะไรก็ฝึกได้ยาก ต้องใช้เวลาฝึกนานกว่าคนอื่นๆ แต่ถ้าจุดชีพจรติดขัดตั้งแต่เกิดจริง เรื่องนี้จะมีความแตกต่างกับจุดชีพจรเล็กอย่างมาก
จุดชีพจรติดขัดตั้งแต่เกิดหมายความว่า เมื่อลมปราณไหลมาถึงจุดชีพจรจุดนี้ก็จะหยุดชะงักทันที ไม่สามารถไหลผ่านไปได้อีก ผิดกับอาการจุดชีพจรเล็ก ถึงลมปราณจะไหลไม่สะดวกแต่เจ้าตัวก็ยังสามารถฝึกวรยุทธได้
การถูกธาตุไฟเข้าแทรกสามารถช่วยขยายและคลายจุดชีพจรที่เล็กและแคบได้จริงๆ ทำให้เจ้าตัวสามารถฝึกวรยุทธได้ง่ายขึ้น ด้วยเหตุนี้ จ้าวเหยียนฟงจึงสามารถบรรลุเคล็ดวิชาจนกลายเป็นนักรบขั้นสองได้อย่างง่ายดาย แต่ก็เพราะแบบนี้ อาจทำให้ร่างกายของจ้าวเหยียนฟงได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก การเป็นนักรบขั้นหนึ่งระดับสูงสุดจึงถือว่าเป็นจุดสูงสุดที่เขาสามารถทำได้แล้ว คิดจะบรรลุไปอีกขั้น มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
เพื่อเป็นการชดเชยความผิดพลาดในอดีต จางเซวียนจึงช่วยทำให้เขากลายเป็นนักรบขั้นสอง อย่างน้อยหลังจากวันนี้เป็นต้นไป ก็คงไม่มีใครเอาเรื่องที่เขาสอนลูกศิษย์จนถูกธาตุไฟเข้าแทรกไปพูดแบบเสียๆ หายๆ อีกแล้ว
ส่วนการที่ทำให้จ้าวเหยียนฟงสามารถบรรลุเคล็ดวิชาได้อย่างง่ายดายนั้น มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร หลังจากที่จางเซวียนอ่านหนังสือในหอสมุดเทียบฟ้า เนื้อหาจากตำราเคล็ดวิชาเทียบฟ้าก็ค่อยๆ ซึมเข้าในร่างของเขา
ทำให้จางเซวียนรู้วิธีที่ถูกต้องที่จะทำให้สามารถบรรลุเคล็ดวิชาต่างๆ ได้ บวกกับพลังปราณที่บริสุทธิ์ในร่างกาย เขาจึงสามารถทำให้จ้าวเหยียนฟงบรรลุเคล็ดวิชาได้โดยง่าย
“จากวันนี้เป็นต้นไป เราก็คงจะไม่ถูกไล่ออกอีกแล้ว”
จางเซวียนถอนใจอย่างโล่งอก ตั้งแต่มายังโลกใบนี้ จางเซวียนก็ถูกภัยคุกคามสารพัดอย่าง ไม่ว่าจะถูกไล่ออก หรือหาศิษย์ไม่ได้ แต่ทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นอดีตไปหมดแล้ว
หลังจากที่ออกมาจากเจดีย์แห่งความประสงค์ จางเซวียนได้บอกให้หวังเหยียนมานั่งในห้องเรียนของเขา แบบนี้ถึงจะสามารถทำให้คนตระกูลหวังกลับบ้านไปอย่างสบายใจได้
ส่วนจ้าวเหยียนฟง หลังจากที่เขาเห็นฝีมือของจางเซวียนกับตา เขาก็ต้องการจะกลับมาเป็นศิษย์ของจางเซวียนตามเดิม แต่ก็ถูกจางเซวียนปฏิเสธ
ล้อกันเล่นรึไง?
ผมเป็นอาจารย์ ส่วนคุณเป็นศิษย์ที่นึกอยากจะมีสัมมาคารวะก็มากราบขอเป็นศิษย์ นึกไม่ชอบใจก็ด่าว่าแล้วไม่มาเรียน คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป ไม่ถามไถ่เหตุผลกันก่อนเลย หากในอนาคตคุณทำแบบนี้อีกแล้วผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
จางเซวียนคนเก่าทำจนคุณถูกธาตุไฟเข้าแทรก ผมก็ช่วยให้คุณบรรลุเคล็ดวิชาจนกลายเป็นนักรบขั้นสองแล้ว เรื่องนี้ถือว่าพวกเราเสมอกัน ไม่มีใครติดค้างใคร
หลังจากถูกจางเซวียนปฏิเสธ จ้าวเหยียนฟงพลันรู้สึกเศร้าใจอย่างมาก เขายืนคิดอยู่นาน สุดท้ายก็หันไปมองหวังเหยียนกับคนอื่นๆ แล้วเดินจากไปแบบเงียบๆ
“คุณหนูหวง ไม่ทราบว่าการจะเป็นผู้ช่วยปรมาจารย์ ต้องทำอย่างไรบ้างหรือ”
จางเซวียนอดอยากรู้ไม่ได้จึงถามออกไป เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้จางเซวียนรู้ว่า ถ้าไม่อยากจะให้คนอื่นมาหาเรื่อง ตนต้องเป็นปรมาจารย์เท่านั้น และการจะเป็นปรมาจารย์ได้นั้น ก่อนอื่นต้องเป็นผู้ช่วยปรมาจารย์เสียก่อน
“ผู้ช่วยปรมาจารย์เป็นเพียงชื่อเรียก ไม่จำเป็นต้องผ่านการทดสอบอะไร หลักๆ จะต้องอาศัยความโชคดี ได้พบกับปรมาจารย์ที่ถูกชะตา แล้วถ้าเขายอมรับให้คุณเป็นผู้ช่วยของเขา คุณก็จะกลายเป็นผู้ช่วยปรมาจารย์ได้ค่ะ” หวงหวี่อธิบาย
“อ๋อ เป็นแบบนี้นี่เอง” จางเซวียนพยักหน้า
ตำแหน่งผู้ช่วยปรมาจารย์ ถ้าเป็นโลกในอดีตของจางเซวียนก็คือตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์นั่นเอง แม้จะไม่มีอำนาจในมือ แต่ก็สามารถเป็นตัวแทนของปรมาจารย์ได้ ที่สำคัญยังเป็นที่นับหน้าถือตาในสังคมอีกด้วย
“คุณเป็นผู้ช่วยปรมาจารย์ แล้วบ้านหนังสือนั่นล่ะ…”
จางเซวียนมองหวงหวี่ด้วยความสงสัย เมื่อจางเซวียนรู้ว่าหวงหวี่เป็นผู้ช่วยปรมาจารย์ก็รู้สึกตะลึง ตอนที่เห็นเธอสามารถเข้าออกบ้านของปรมาจารย์ลู่เฉินได้อย่างสะดวก ในใจเขาก็รู้สึกว่าเธอไม่ธรรมดาแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าจะไม่ธรรมดาขนาดนี้
อีกอย่าง เป็นถึงผู้ช่วยปรมาจารย์แท้ๆ ขนาดผู้เฒ่าประจำโรงเรียนหงเทียนยังให้ความเคารพ แล้วทำไมกลับไปเปิดร้านหนังสือเล็กๆ ในห้างสรรพสินค้าได้ล่ะ
“แม้ว่าฉันจะโชคดีถูกปรมาจารย์หลิวรับไว้เป็นผู้ช่วย แต่เพราะอายุฉันยังน้อย เลยต้องทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันเสียก่อน ถึงจะสามารถทำให้คนอื่นยอมรับในตัวฉันได้ เพราะฉะนั้นเลยทำตามคำสั่งของปรมาจารย์หลิว ไปเปิดร้านหนังสือเล็กๆ ในห้างสรรพสินค้าที่มีคนพลุกพล่าน เพื่อเป็นการฝึกฝนตนเอง แล้วก็ค่อยๆ เก็บเกี่ยวความรู้ไปในตัว…” หวงหวี่อธิบาย
จางเซวียนพยักหน้า ทุกสิ่งบนโลกล้วนเป็นความรู้ บางทีคนเราก็ห้ามไปดูถูกร้านค้าเล็กๆ เหล่านี้ อันที่จริงแล้วเจ้าของร้านค้าพวกนี้อาจจะรู้จักวิถีชีวิตของชาวบ้านเป็นอย่างดี ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในสังคมอาจจะมีมากกว่าเหล่าคณาจารย์ชื่อดังเสียอีก
หากต้องการจะรับรู้ถึงวิถีชีวิตของคนทั่วไป พร้อมกับฝึกความอดทนของตนเอง การเข้าไปคลุกคลีและใช้ชีวิตกับคนระดับล่างนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุด
หวงหวี่เป็นถึงบุตรสาวของประธานสมาพันธ์คณาจารย์ เกิดมาบนกองเงินกองทอง ปรมาจารย์หลิวสั่งให้เธอทำแบบนี้ ก็เพราะต้องการให้เธอฝึกความอดทน ให้เธอได้มีประสบการณ์การใช้ชีวิตในสังคม
พอพูดคุยกันได้สักพัก จางเซวียนก็เริ่มรู้จักอาชีพปรมาจารย์และผู้ช่วยปรมาจารย์มากขึ้น เขารู้สึกว่าตนกำลังจะเก็บความดีใจไว้ไม่อยู่
ในโลกใบนี้ ทุกคนต่างก็ให้ความเคารพในตัวอาจารย์ ฐานะทางสังคมของอาจารย์จึงอยู่สูงมาก สูงกว่าโลกในอดีตของเขาเสียอีก
ไม่ว่าจะเป็นนักปรุงยา ช่างตีอาวุธ ช่างอัญมณี หรืออาชีพอื่นๆ ทั้งหมดล้วนเทียบไม่ได้เลยกับอาชีพอาจารย์
แต่ก็ไม่แปลก ในโลกใบนี้ ไม่ว่าจะฝึกวิชาหรือเรียนรู้อะไรก็ตาม ทั้งหมดต้องอาศัยอาจารย์เป็นคนแนะนำสั่งสอน ถ้าไม่เคารพอาจารย์แล้วจะพัฒนาก้าวหน้าได้อย่างไร
“จริงสิ ปรมาจารย์ลู่เฉินจะทดสอบอะไรพวกคุณบ้างหรือ ทำไมต้องให้พวกคุณมาศึกษาหาความรู้จากผม” เมื่อจางเซวียนรู้ถึงฐานะและหน้าที่ของอาจารย์ดีแล้ว เขาจึงถามต่อทันที
ไป๋ซวินเป็นถึงบุตรชายของเจินหนานอ๋อง ส่วนหวงหวี่เป็นบุตรสาวของประธานสมาพันธ์คณาจารย์ บวกกับการที่เธอเองยังเป็นผู้ช่วยปรมาจารย์อีก ตามหลักแล้ว ด้วยฐานะของทั้งสองยังจะมีใครมาทดสอบพวกเขาได้อีกเล่า
“ท่านปรมาจารย์ลู่เฉินเก็บสะสม ‘ภาพวาดสวรรค์ทมิฬ’ ไว้แผ่นหนึ่ง เป็นภาพวาดที่มีอายุเก่าแก่มาก… พวกเราสองคนอยากจะได้ภาพวาดแผ่นนั้นด้วยกันทั้งคู่ ท่านปรมาจารย์เลยออกอุบายให้พวกเราทั้งสองทำการทดสอบ” หวงหวี่อธิบาย
“ภาพวาดสวรรค์ทมิฬหรือ” จางเซวียนขมวดคิ้ว “ภาพวาดสวรรค์ทมิฬเป็นผลงานของท่านโม่เจียนจื่อ ปรมาจารย์แห่งการวาดเขียน พวกคุณทั้งสองไม่เข้าใจในเรื่องศิลปะภาพวาด… แล้วจะเอามันไปทำไม”
ในบันทึกของเรื่องราวภาพวาดสวรรค์ทมิฬ… หอสมุดเทียบฟ้าได้ระบุว่า ภาพวาดสวรรค์ทมิฬเป็นภาพวาดที่มีอายุหลายร้อยปี เป็นผลงานชิ้นเอกที่ปรมาจารย์แห่งการวาดเขียนทิ้งไว้บนโลกมนุษย์ ภาพวาดแผ่นนี้มีค่าควรเมือง
“เอาไป… ให้คนบางคน” หวงหวี่พูดพลางหน้าแดง
“ให้คนบางคน?” จางเซวียนเพิ่งจะเรียกสติกลับมาได้
สรุปว่าทั้งไป๋ซวินและหวงหวี่ต่างก็อยากได้ภาพวาดสวรรค์ทมิฬ ทั้งสองเลยไปขอจากปรมาจารย์ลู่เฉิน ปรมาจารย์ลู่เฉินตกลงจะให้พวกเขา แต่ประเด็นคือพวกเขาจะต้องผ่านการทดสอบเสียก่อน… การทดสอบที่ว่า ก็น่าจะเป็นการทดสอบแยกแยะงานศิลปะภาพวาดสินะ
“ท่านปรมาจารย์จาง ท่านมีความรู้ด้านการแยกแยะงานศิลปะมากมายขนาดนี้ ท่านช่วยสอนพวกเราหน่อยสิครับ” ไป๋ซวินหันมามองที่จางเซวียน
“ใช่ ช่วยสอนพวกเราหน่อยสิคะ” หวงหวี่ก็มองมาที่จางเซวียนเช่นกัน
“สอนพวกคุณหรือ?” จางเซวียนสามารถแยกแยะงานศิลปะได้ก็จริง แต่เขาทำได้ก็เพราะมีหอสมุดเทียบฟ้าคอยช่วย ที่จริง… ตัวจางเซวียนเองไม่มีความรู้ด้านศิลปะการวาดเขียนอะไรเลย แล้วจะให้สอนอย่างไรเล่า
จางเซวียนมองสบสายตาแห่งความคาดหวังของทั้งไป๋ซวินและหวงหวี่ เขารู้สึกละอายใจเล็กน้อย ไม่รู้จะทำอย่างไรดี