ตอนที่ 86 เอาคืน
“รู้อยู่แล้วว่าแกต้องทำแบบนี้” จูหงเห็นการออกกระบวนท่าของเจิ้งหยาง ไม่ตรงก็สลับไปมา เขาจึงเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือไว้บ้างแล้ว
ในฐานะผู้ที่สอบได้อันดับที่สี่ของโรงเรียน จูหงต้องต่อสู้กับคนอื่นๆ มาแล้วเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ที่เมื่อครู่เขาถูกเล่นงานจนบาดเจ็บก็เพราะเขาไม่ทันได้ตั้งตัว แต่คราวนี้เขาเตรียมพร้อมมาอย่างดี แล้วเจิ้งหยางจะเอาชนะเขาได้อย่างไร
จูหงยิ้มในใจ เขาใช้มือขวาสกัดไม่ให้อีกฝ่ายโจมตีใส่จุดอ่อนของตน พอเขากำลังคิดจะโจมตีกลับก็เห็นว่าเจิ้งหยางแกล้งโจมตีไปที่เอวของเขา แต่จริงๆ แล้วหมัดอีกข้างของเจิ้งหยางพุ่งตรงมาที่ใบหน้าของเขาอย่างจัง
จูหงยังไม่ทันจะได้ตั้งตัวก็ถูกต่อยเข้าที่ใบหน้าแบบเต็มๆ “ไอ้บ้าเอ๊ย แกเล่นสกปรกนี่นา…”
จูหงก้าวถอยหลังไปหลายก้าว แล้วน้ำตาของเขาก็ค่อยๆ ไหลลงมา พลังหมัดของเจิ้งหยางรุนแรงกว่าของหยวนเทาหลายเท่า เพียงแค่หมัดเดียวก็ทำให้จูหงถึงกับรู้สึกหน้ามืดตามัว
“เล่นสกปรกหรือ ในการต่อสู้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเล่นสกปรกหรอก” เจิ้งหยางไม่พูดมาก พอเห็นว่าได้ทีก็รีบโจมตีอย่างต่อเนื่องทันที มือซ้ายของเขาเล็งเป้าไปที่เอวของจูหงตลอดเวลา ส่วนมือขวาก็จ้องหาจังหวะต่อยไปที่ใบหน้าของจูหง
การโจมตีแบบนี้ของเจิ้งหยาง ทำให้จูหงไม่มีทางต่อกรได้
“นี่แก…”
ทุกครั้งที่จูหงตั้งรับ เขาจะสังเกตเห็นว่าการโจมตีของเจิ้งหยางเป็นแค่กระบวนท่าหลอกล่อ ไม่ได้จะโจมตีจริง หลังจากที่ประมือกับเจิ้งหยางได้ไม่นาน ใบหน้าของจูหงก็ยิ่งปูดบวมมากขึ้น เขาเริ่มมีอาการตาลายและใกล้จะกระอักเลือดออกมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว
นี่มันน่าไม่อายชัดๆ
ฉันรู้ว่าแกรู้ว่าจุดอ่อนของฉันอยู่ตรงไหน แต่แกก็ไม่จำเป็นต้องเจาะจงโจมตีฉันแบบนี้ก็ได้นี่นา การต่อสู้แบบนี้ก็เหมือนการเล่นหมากรุก แล้วแกเล่นเอาแต่จะฆ่าคิงท่าเดียว แบบนี้มันจะสนุกที่ไหนล่ะ
หน้าของฉันปูดขนาดนี้แล้ว นี่แกยังจะต่อยต่ออีกหรือ…
ไม่ใช่บอกว่าเป็นการต่อสู้ที่ยุติธรรมหรอกหรือ
แล้วความยุติธรรมล่ะ
ความซื่อตรงล่ะ
แล้วที่บอกว่าพอเรียกให้หยุดจะต้องหยุดล่ะ… แล้วไหนที่บอกว่า ‘อย่าทำ’ ให้ความสัมพันธ์ของศิษย์ในโรงเรียนต้องถูกทำลายล่ะ
“พอ…” จูหงตะโกนเสียงดังด้วยความเจ็บปวด เขารู้ว่าขืนสู้ต่อไปมีหวังต้องตายคามือเจิ้งหยางแน่นอน “ฉันยอมแพ้…”
ไม่ยอมแพ้ไม่ได้แล้ว อีกฝ่ายรู้ว่าจุดอ่อนของตนอยู่ที่ไหน แล้วเข้ามาโจมตีอย่างไร้ความปรานีแบบนี้ แล้วใครจะไปสู้ได้ล่ะ
ถ้าไม่ได้มีอาการบาดเจ็บมาก่อน จูหงก็อาจจะพอสามารถหลบการโจมตีของเจิ้งหยางได้บ้าง แล้วหาโอกาสตอบโต้กลับ แต่ตอนนี้เขาถูกต่อยจนตาเขียวมองอะไรไม่เห็น ถ้าสู้ต่อไปคงมีแต่ตายสถานเดียว
“ยอมแพ้ก็ดี เอาล่ะ จ้าวหย่า คุณไปต่อแถวรับเงินของจูหงต่อได้แล้ว…”
จางเซวียนพูดทันที
“ช่วยออมมือให้ฉันด้วยล่ะ” จ้าวหย่าเดินออกมาแล้วเล่นงานจูหงอย่างบ้าคลั่งแบบไม่ออมมือ การโจมตีของเธอเหมือนกับเจิ้งหยางไม่มีผิด ถ้าไม่ใช่จุดอ่อนก็คือใบหน้า
“…” จูหงร้องไห้ออกมาแล้ว
“เอาล่ะ พอได้แล้ว หวังหยิ่ง คุณจะไม่ได้แต๊ะเอียอยู่คนเดียวได้ยังไง?”
จูหงแจ้งการยอมแพ้อีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่ทันไรก็ถูกหวังหยิ่งเล่นงานต่ออีก
ต่อไปก็หลิวหยาง…
ในไม่ช้า ศิษย์ทั้งห้าของจางเซวียนก็เล่นงานจูหงจนหมดรูป
ณ ตอนนี้ ตาของจูหงปูดและเขียวช้ำเป็นอย่างมาก เขาเหมือนกับคนตาบอดไม่มีผิด
“เอาล่ะ จ่ายเงินมาได้แล้ว คนละหนึ่งพันเหรียญ บวกค่าซ่อมประตูอีก รวมทั้งหมดหนึ่งหมื่นเหรียญ” หยวนเทาเดินออกมาทวงเงินตามสัญญา
“หนึ่งหมื่นเหรียญหรือ พวกแกมีกันแค่ห้าคน แล้วจะเป็นหนึ่งหมื่นเหรียญได้ยังไง” จูหงได้ยินคำพูดของหยวนเทาก็แทบจะเป็นบ้า
“ประตูห้องของพวกเราอีกห้าพันเหรียญไง” หยวนเทาพูดแบบไม่อ้อมค้อม
“ห้าพันเหรียญเลยเรอะ!” จูหงแทบจะกระอักเลือด ประตูผุๆ พังๆ บานหนึ่งแค่หนึ่งร้อยเหรียญก็ซื้อได้ตั้งห้าบานแล้ว แต่แกมาบอกว่าบานละห้าพันเหรียญ จะฟันราคาคนอื่นก็ช่วยฟันให้มันเนียนๆ หน่อยได้ไหม
“ไม่อยากจ่ายก็ได้ อาจารย์จางครับ พวกเรายังอยากจะทดสอบวรยุทธของยอดฝีมืออันดับสี่คนนี้อีก ขอให้อาจารย์ช่วยอนุญาตด้วย” เจิ้งหยางพูดต่อทันที
“ได้สิ การทดสอบวรยุทธกับเพื่อนร่วมโรงเรียนเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ลงมือเบาๆ หน่อยล่ะ” จางเซวียนพยักหน้าอย่างเอ็นดูในความกระหายใคร่ศึกษาของศิษย์
“ยังจะให้ลงมือเบาๆ อีกหรือ… ไม่ต้องแล้ว… อย่าเข้ามานะ… ฉันยอมจ่ายให้ก็ได้” จูหงได้ยินคำพูดของจางเซวียนก็รีบเอ่ยพร้อมกับควักตั๋วเงินใบละหนึ่งพันจำนวนสิบใบออกมาแล้วยื่นออกไปทันที
ยื่นตั๋วเงินออกไปพร้อมน้ำตา!
ถึงแม้ว่าบ้านเขาจะร่ำรวย แต่เงินจำนวนหนึ่งหมื่นเหรียญนี่ก็เกือบเป็นเงินทั้งหมดที่เขาเก็บสะสมมาในช่วงหลายปีนี้ ถ้ารู้ว่าต้องมาถูกใช้จนหมดเพียงเพราะมาส่งสารท้าประลองล่ะก็…
พอจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย จูหงนั้นกลัวว่าจะโดนเล่นงานต่อ เขาจึงรีบหันหลังแล้ววิ่งหนีออกไปทันที
เมื่อครู่จูหงบุกเข้ามาในห้องเรียนของจางเซวียนอย่างสง่าผ่าเผย คิดว่าศิษย์ทุกคนต้องให้ความเคารพในตัวเขาอย่างมาก แต่นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมาถูกกระทืบจนหมดรูปกลับไป
“อาจารย์…” หลังจากที่จูหงจากไป เจิ้งหยาง หยวนเทา และคนอื่นๆ ต่างมองไปยังอาจารย์จางของตนด้วยความนับถือ การที่พวกเขาสามารถเอาชนะจูหงได้ ทั้งหมดก็เพราะทำตามทั้งสามกระบวนท่าที่จางเซวียนสอนให้
จางเซวียนชี้แนะเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้พวกเขาเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย เหมือนกับว่าเขาอ่านเกมการต่อสู้ของอีกฝ่ายออกจนหมดสิ้น
อีกฟากหนึ่งของโรงเรียน
“อาจารย์ลู่ คุณคิดว่าเจ้าจางเซวียนจะรับคำท้าของคุณไหม”
ผู้เฒ่าหงหาวพูดไปลูบเคราไป ลู่ฉวินคิดจะลงมือเอง ถือว่าเป็นคราวซวยของเจ้าจางเซวียนจริงๆ ศิษย์ของมันทุกคนจะต้องถูกแย่งมาจนหมดแน่นอน อีกไม่นานก็ต้องเป็นอาจารย์ที่โดดเดี่ยวเดียวดายไร้ศิษย์
“ผมไม่สนว่ามันจะรับหรือไม่รับ กล้ามาแย่งศิษย์ของผมแบบนี้ ถ้าไม่สั่งสอนให้มันรู้เสียบ้าง อีกหน่อยผมจะอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ได้อย่างไร” ลู่ฉวินพูดอย่างโกรธแค้น
“มันก็จริง” ผู้เฒ่าหงหาวพยักหน้า ขณะที่เขากำลังจะพูดต่อ ก็มีคนหน้าตาปูดบวมเหมือนเพิ่งถูกรุมกระทืบมาคนหนึ่ง เดินเข้ามาในห้อง
“อาจารย์ลู่ ท่านช่วยออกหน้าแทนผมด้วย…” ชายหน้าปูดมาถึงก็คุกเข่าลงแล้วร้องไห้ออกมาทันที
“คุณคือ…” ลู่ฉวินเห็นเด็กหนุ่มหน้าตาคุ้นๆ ก็รู้สึกตกใจอย่างมาก
“อ้าว ผมก็จูหงไงครับอาจารย์…” เด็กหนุ่มถูกทำร้ายจิตใจอีกครั้ง
ใช่จริงรึ? จูหงไม่ได้หน้าตาแบบนี้นี่ แต่อีกฝ่ายก็เรียกชื่อเขาได้อย่างถูกต้อง ทำให้ลู่ฉวินค่อยๆ มองให้ชัดอีกครั้ง ค่อยๆ นึกภาพศิษย์คนนี้ของเขาแล้วเปรียบเทียบกับเด็กหนุ่มหน้าปูดตรงหน้า เมื่อนึกออกก็ตกใจสุดๆ “จูหง ผมไม่ได้สั่งให้คุณไปส่งสารท้าประลองหรือ แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น”
แค่ให้ไปส่งสารท้าประลอง แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ
“ผมถูกเล่นงานมาครับ…” น้ำตาของจูหงไหลพราก
“จางเซวียนเล่นงานคุณซะขนาดนี้เลยหรือ นี่เขาไม่รู้หรือว่าตัวเองเป็นถึงอาจารย์น่ะ” ลู่ฉวินโกรธจนลุกขึ้นยืน พลังปราณอันแข็งแกร่งของเขาแพร่กระจายออกมาทันที
ลู่ฉวินได้คลายจุดชีพจรของตนเองสำเร็จไปสิบจุด เป็นนักรบขั้นหกอย่างเต็มตัวแล้ว
ไม่น่าแปลกใจที่เขาเป็นอาจารย์ที่โด่งดังที่สุดในโรงเรียน ความสามารถของเขาในตอนนี้ เพียงพอที่จะเป็นผู้เฒ่าประจำโรงเรียนยังได้
จูหงเป็นศิษย์ที่สอบเข้ามาได้เป็นอันดับที่สี่ของโรงเรียน แม้จะไม่ได้เป็นศิษย์ที่มีความสามารถสูงที่สุด แต่ก็เป็นศิษย์ที่มีแววมากที่สุดคนหนึ่ง
จางเซวียนไม่มีศิษย์เก่า ดังนั้น คนที่มีสิทธิ์จะเล่นงานจูหงจนกลายเป็นแบบนี้ได้นั้นมีเพียงจางเซวียนคนเดียว
“คือ… เป็นศิษย์ของเขาครับ… อาจารย์จาง…ไม่ได้ลงมือเอง” จูหงรู้สึกอับอายเล็กน้อย
“ศิษย์ของเขาหรือ คุณกำลังบอกว่าพวกจ้าวหย่ากับเจิ้งหยางเนี่ยนะ” ลู่ฉวินคิดจะท้าประลองกับจางเซวียนในภาคการเรียนนี้ เขาจึงสืบเรื่องราวการรับศิษย์ของจางเซวียน เลยพอรู้ว่าศิษย์ของจางเซวียนมีใครบ้าง “พวกเขารุมคุณใช่ไหม แต่ก็ไม่ถูกอยู่ดี แม้ว่าระดับฝีมือของพวกเขาจะอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ผมเคยถ่ายทอดความรู้ให้คุณนี่นา ฝีมือระดับคุณสามารถบรรลุเคล็ดวิชาขั้นสี่ก็ยังได้ ถึงพวกเขาจะรุม คุณก็รับมือไหว”
แม้ว่าฝีมือของพวกจ้าวหย่าจะค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่จูหงแข็งแกร่งกว่ามาก ไม่กี่วันที่ผ่านมาลู่ฉวินก็อุตส่าห์เสียเวลาถ่ายทอดความรู้ให้แบบตัวต่อตัว
ถ้าเป็นเรื่องวรยุทธ… นักรบขั้นสองลงไปไม่น่าจะสู้จูหงได้
ถึงจะรุมเล่นงาน ก็สู้จูหงไม่ได้อยู่ดี
แล้วทำไมจูหงกลับมาถูกเล่นงานจนกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ