Skip to content

Library Of Heaven’s Path 92

ตอนที่ 92 หักห้ามใจเสียเถอะ

“กรุณาอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับชนิดของหญ้าใบหยก และคุณลักษณะของดอกธรณีขี้เถ้า…”

“สมุนไพรที่สามารถใช้ร่วมกับหญ้าดลหฤทัยได้มีกี่ชนิด…”

คำถามบนกระดาษข้อสอบเป็นเหมือนกับที่เหวินเซวี่ยพูดไว้ไม่มีผิด เป็นคำถามเกี่ยวกับสมุนไพรทั้งหมด

“เริ่มค้นหาข้อมูลได้”

เมื่อจางเซวียนเริ่มอ่านคำถาม หนังสือหลายเล่มบนชั้นหนังสือของหอสมุดเทียบฟ้าก็หล่นลงมากองอยู่ตรงหน้าเขา แล้วหน้าหนังสือที่มีคำตอบของคำถามข้อนั้นๆ ก็เปิดออกทันที

“หญ้าใบหยกสามารถแบ่งประเภทตามความแตกต่างของรากแก้วได้ ซึ่งแบ่งออกเป็นรากแก้วสีม่วง รากแก้วสีเหลืองและรากแก้วสีดำ คุณลักษณะของดอกธรณีขี้เถ้าได้แก่…”

พอจางเซวียนเห็นคำตอบปรากฏในสมองของเขาก็ไม่รอช้า รีบหยิบพู่กันมาแต้มน้ำหมึกแล้วเขียนคำตอบลงไปบนกระดาษคำตอบ

ในอดีต จางเซวียนคุ้นเคยกับการใช้ปากกาเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนกับพู่กันที่ใช้งานยาก แต่ในอดีต จางเซวียนเองก็เคยเรียนการเขียนพู่กันมาก่อน เพราะฉะนั้นเขาจึงสามารถเขียนมันได้คล่องพอตัว และตัวอักษรที่เขาเขียนก็อยู่ในเกณฑ์ที่ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว

จางเซวียนเขียนคำตอบลงบนกระดาษคำตอบอย่างรวดเร็ว

ผู้เข้าสอบคนอื่นๆ ต้องอาศัยความจำในการตอบคำถาม แต่จางเซวียนไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น มีหอสมุดเทียบฟ้าอยู่ในมือก็เท่ากับว่ามีคำตอบอยู่ตรงหน้า

เขาเพียงแค่หยิบพู่กันแล้วเขียนคำตอบที่เขาเห็นลงไปบนกระดาษเท่านี้ก็เรียบร้อย จริงๆ แล้วก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากการลอกการบ้านนี่นา

“อะไรเนี่ย”

ผู้อาวุโสโอวหยางเฉิงมองไปรอบๆ ห้องสอบ แล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นทันทีเมื่อสังเกตเห็นจางเซวียนที่กำลังเขียนคำตอบอยู่อย่างเมามัน

“เป็นผู้เข้าสอบที่อาศัยแต่ดวงล้วนๆ เลยสินะเจ้าหนุ่มคนนี้”

ในการสอบศิษย์ของนักปรุงยาทุกๆ ครั้ง จะมีผู้สอบบางประเภทที่ทำข้อสอบอะไรไม่ได้เลยแต่จะเขียนคำตอบส่งเดช อาศัยโชคชะตาพาไป ผู้สอบประเภทนี้มักจะเป็นบุตรหลานมหาเศรษฐี พวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องเงินค่าสมัครแค่สองพันเหรียญหรอก แต่ที่มาสอบก็เพื่อที่จะได้เห็นข้อสอบของจริง แล้วกลับไปจะได้ไปค้นคว้าหาคำตอบ เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการสอบในครั้งต่อไป

ซึ่งผู้อาวุโสโอวหยางเฉิงนั้นไม่ค่อยจะสบอารมณ์กับผู้เข้าสอบประเภทนี้สักเท่าไร

เพราะการกระทำแบบนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับการเล่นขี้โกงเลย

สมุนไพรมีนับหมื่นนับแสนชนิด กลับไม่ยอมฝึกอ่านฝึกท่องให้ดีๆ คิดแต่จะอาศัยโชคช่วย ในสายตาของผู้อาวุโสโอวหยางเฉิง คนเหล่านี้เป็นเสมือนเศษสวะที่ไร้ค่า ไม่คู่ควรแก่การสนใจ

“ข้อสอบในการสอบแต่ละครั้งจะแตกต่างกันออกไป จะไม่มีการออกข้อสอบซ้ำอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าพวกนายจะอยู่บ้านฝึกซ้อมตอบโจทย์เก่าๆ มากแค่ไหนมันก็ไม่มีประโยชน์ การสอบเป็นศิษย์ของนักปรุงยาต้องอาศัยความสามารถจริงๆ ไม่ใช่ว่าแค่จ่ายเงินก็สามารถเป็นศิษย์ของนักปรุงยาได้ ถ้าเป็นแบบนี้ อาชีพนักปรุงยาก็คงเป็นอาชีพที่ห่วยแตกที่สุดในบรรดาอาชีพต่างๆ น่ะสิ”

ผู้อาวุโสโอวหยางเฉิงสะบัดชายเสื้อพร้อมกับถอนใจออกมา

แม้ข้อสอบจะไม่ได้ถามถึงคุณลักษณะและสรรพคุณของสมุนไพรทุกชนิด แต่ก็เป็นข้อสอบที่ถามในแนวกว้าง ถ้าผู้สอบไม่มีความรู้ด้านสมุนไพรและลักษณะเฉพาะต่างๆ อย่างลึกซึ้งแล้วล่ะก็ เขาผู้นั้นก็จะไม่สามารถทำคะแนนเกินกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ได้อย่างแน่นอน

จางเซวียนอายุยังน้อย พอได้กระดาษข้อสอบมาก็รีบเขียนคำตอบลงไปทันที ในสายตาของผู้อาวุโสโอวหยางเฉิง จางเซวียนก็เป็นเหมือนกับลูกเศรษฐีที่ไม่เอาไหนคนหนึ่ง

สำหรับอาชีพนักปรุงยา ที่น่ากลัวที่สุดก็คือคนที่ไม่รู้เรื่องแล้วทำมาเป็นรู้เรื่อง การปรุงยาเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและต้องอาศัยความรู้จริงๆ เพราะมันเกี่ยวพันถึงชีวิตของผู้ใช้ยา ถ้าปรุงยาผิด คนไข้ที่ใช้ยาก็อาจจะถึงกับเสียชีวิตได้

ด้วยเหตุนี้ ที่ว่าการสอบเป็นศิษย์ของนักปรุงยาแบ่งเป็นสามส่วนนั้น อันที่จริงแล้วยังมีการสอบเพิ่มมาอีกหนึ่งส่วน นั่นก็คือการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้เข้าสอบ

ผู้คุมสอบจะทำการตรวจสอบและวิเคราะห์สภาพจิตใจของผู้เข้าสอบอย่างละเอียด สำหรับจางเซวียน คนคนนี้พอเห็นกระดาษข้อสอบก็รีบเขียนคำตอบทันทีโดยไม่ได้คิดหรือวิเคราะห์อะไรเลย คนแบบนี้ต้องเป็นตัวปัญหาแน่นอน

ผู้อาวุโสโอวหยางเฉิงยังไม่ทันได้ตรวจกระดาษคำตอบของจางเซวียน ก็ลงความเห็นแล้วว่าจางเซวียนต้องสอบตกอย่างแน่นอน เป็นการส่งจางเซวียนไปสู่แดนประหารทันทีโดยที่ไม่ได้ไต่สวนอะไรเลย

ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นคนไร้เหตุผล แต่เป็นเพราะว่าเขาเคยเห็นผู้เข้าสอบจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่มีใครสามารถเห็นข้อสอบก็ตอบได้ทันทีแบบนี้หรอก แถมยังเขียนคำตอบไวเสียด้วย

เขียนคำตอบโดยไม่ได้คิดอะไรเลย ต้องทำมั่วแน่ๆ

จากพฤติกรรมของจางเซวียน ไม่มีใครบนโลกจะเชื่อว่าเขาสามารถตอบคำถามได้ถูกหมดทุกข้อหรอก

ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง จางเซวียนก็เขียนคำตอบบนกระดาษคำตอบหลายสิบหน้าจนเสร็จ เขาตรวจคำตอบของตนอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไรก็ส่งกระดาษคำตอบทันที

“จะส่งกระดาษคำตอบแล้ว ไวขนาดนี้เลยหรือ”

“น่าจะรู้ว่าอย่างไรก็ทำไม่ได้ก็เลยล้มเลิกความตั้งใจล่ะสิ”

“อย่างว่าแหละ ข้อสอบมันยากเกินไปจริงๆ จะล้มเลิกความตั้งใจมันก็เป็นเรื่องปกติ”

“ล้มเลิกความตั้งใจเป็นเรื่องเล็ก ที่ซวยสุดๆ ก็คือผู้อาวุโสโอวหยางเป็นคนคุมสอบ ฉันว่าเจ้าหมอนั่นต้องแย่แน่…”

เมื่อผู้เข้าสอบคนอื่นๆ ในห้องเห็นจางเซวียนส่งกระดาษคำตอบก็เกิดปฏิกิริยาขึ้นทันที

มีเวลาทำข้อสอบสองชั่วโมง แต่จางเซวียนใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็ทำข้อสอบเสร็จ ที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้เข้าสอบคนไหนทำแบบนี้มาก่อน

ผู้เข้าสอบคนอื่นๆ ต่างเข้าใจว่าจางเซวียนทำข้อสอบไม่เสร็จ แต่ที่ส่งกระดาษคำตอบก็เพราะว่าทำข้อสอบไม่ได้และหมดกำลังใจในการทำข้อสอบต่อแล้ว

“การสอบส่วนที่สองจะเริ่มเมื่อไหร่หรือครับ” เมื่อส่งกระดาษ

คำตอบให้กับโอวหยางเฉิง จางเซวียนก็ถามต่อทันทีโดยไม่สนใจเสียงพึมพำของผู้เข้าสอบคนอื่นๆ

หลังจากเก็บกระดาษคำตอบแล้วยังต้องมีการตรวจกระดาษคำตอบอีก เพราะฉะนั้นเขาต้องรู้เวลาให้แน่นอน ถึงจะสามารถเตรียมความพร้อมให้ตัวเองได้

ถ้าจางเซวียนไม่ถามคำถามนี้ก็แล้วไป แต่เขาดันไปถามเข้า เมื่อโอวหยางเฉิงได้ยินคำถามของจางเซวียนก็โกรธจัดจนแทบจะระเบิด

แกทำข้อสอบไม่ได้เลยสักข้อ เอาแต่ขีดๆ เขียนๆ ส่งเดช อย่างแกน่ะสอบตกตั้งแต่การสอบส่วนแรกแล้ว ไม่มีปัญญาได้ไปถึงการสอบส่วนที่สองหรอก

การสอบเป็นศิษย์ของนักปรุงยาเป็นการสอบแบบส่วนหนึ่งผ่าน แล้วค่อยก้าวเข้าไปทำอีกส่วนหนึ่ง หากสอบส่วนแรกไม่ผ่านก็จะไม่มีสิทธิ์ได้สอบส่วนที่สอง แล้วความสามารถอย่างแกเนี่ยนะ นี่ยังคิดจะสอบส่วนที่สองอีกเรอะ… กำลังฝันไปอยู่รึเปล่า

แต่โอวหยางเฉิงมีฐานะเป็นนักปรุงยา แม้ในใจจะรู้สึกโกรธแค่ไหนก็ไม่สามารถแสดงอาการไม่พอใจออกมาแล้วทะเลาะกับผู้เข้าสอบได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้เข้าสอบที่สอบตก เขาจึงสะบัดมือ “ไปรอด้านนอกก่อน ถ้าถูกเรียกก็เข้ามาได้ ถ้าไม่ถูกเรียกก็แสดงว่าสอบตก กลับบ้านได้เลย”

“ครับ” จางเซวียนพยักหน้าแล้วเดินออกจากห้องสอบอย่างว่าง่าย

“เจ้าคนอวดดี” เมื่อจางเซวียนออกจากห้องสอบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โอวหยางเฉิงก็ขยำกระดาษคำตอบของจางเซวียนจนเละแล้วโยนทิ้งไปที่มุมห้อง

กระดาษคำตอบของคนแบบนี้ ถ้าอ่านเข้าคงต้องบ้าตายแน่

จางเซวียนออกมารออยู่ข้างนอก เขามีหอสมุดเทียบฟ้าอยู่ในหัว การสอบความรู้ทั่วไปแบบนี้ สำหรับเขามันเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเสียอีก

“คุณส่งกระดาษคำตอบแล้วหรือ ไม่ใช่ว่าให้เวลาสองชั่วโมงในการทำข้อสอบหรอกหรือ นี่ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเลย แล้วคุณออกมาทำไมล่ะ” ลุงหลี่เห็นจางเซวียนเดินออกมาก็ตกใจเป็นอย่างมาก

การสอบเป็นศิษย์ของนักปรุงยาเป็นการสอบที่ผู้เข้าสอบจะต้องทำข้อสอบจำนวนมากมายหลายสิบหน้า ต่อให้มีเวลาทำสองชั่วโมงเต็มๆ ผู้เข้าสอบแต่ละคนก็ได้แต่ตอบเฉพาะคำถามที่ตนมั่นใจ ส่วนคำถามที่ไม่ค่อยมั่นใจ ขนาดดูยังไม่มีเวลาจะดูเลย จึงได้แต่ตอบแบบมั่วๆ เพราะฉะนั้นจึงตอบผิดเสียส่วนใหญ่

สุดท้ายก็สอบตกกันเป็นแถว

แล้วนี่ผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงนายก็เดินออกมาจากห้องสอบแล้ว มันจะเร็วเกินไปหน่อยรึเปล่า

“ยังต้องสงสัยอะไรอีกหรือ ก็เพราะข้อสอบยากเกินไปเลยล้มเลิกความตั้งใจน่ะสิ” เหวินเซวี่ยหัวเราะ

นายเสแสร้งได้เก่งมากเลยไม่ใช่หรือ ทำไมไม่ทำต่อล่ะ?

ไม่มีความรู้อะไรแต่ดันไปสอบ เป็นไงล่ะ คราวนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าอะไรคือของจริง

“ครับๆ” จางเซวียนได้ยินคำพูดสบประมาทของเหวินเซวี่ยก็รู้สึกเบื่อที่จะอธิบาย อีกอย่าง ถึงจะอธิบายไป เธอก็คงไม่เชื่ออยู่ดี เมื่อพูดไปแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไร สู้รอให้ผลสอบออกมาดีกว่า พอถึงตอนนั้นทุกคนก็จะเข้าใจเอง

“เป็นอะไรไปล่ะ กลัวจนตัวสั่นไปแล้วหรือ เล่นละครต่อไปไม่ได้แล้วล่ะสิ” ท่าทางของจางเซวียนตอนนี้ ในสายตาของเหวินเซวี่ยก็คืออาการหวาดกลัวจนตัวสั่น

“ถ้าสมองมีปัญหามากนักก็รีบๆ ไปหาหมอซะ อย่ามาออกอาการแถวนี้” จางเซวียนเซ็งกับเหวินเซวี่ยสุดๆ ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกก็แสดงอาการไม่พอใจเขา เหมือนกับว่าเขาเคยไปข่มเหงเธออย่างนั้นแหละ

ผู้หญิงคนนี้ต้องมีอาการทางจิตแน่ๆ

จางเซวียนลองนึกถึงเรื่องราวในอดีต เขามั่นใจว่าเขาไม่เคยเจอหรือรู้จักกับผู้หญิงคนนี้มาก่อน

ในเมื่อไม่รู้จักกัน แล้วยัยบ้านี่จงใจหาเรื่องกันทำไม จางเซวียนรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก

“นี่คุณ…” ทีแรกเหวินเซวี่ยคิดว่าพอจางเซวียนถูกตีแสกหน้าก็จะต้องรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก อายจนแทบจะมุดหัวลงไปในดิน แต่จางเซวียนกลับไม่สะทกสะท้านอะไรเลย แถมยังตอกสวนกลับมาด้วยท่าทางที่สุดแสนจะมั่นใจ หาว่าเธอมีปัญหาทางสมองอีกแน่ะ

นายนั่นแหละมีปัญหาทางสมอง มีปัญหาไปทุกอวัยวะเลยด้วย

เหวินเซวี่ยโกรธจนแทบจะหายใจไม่ออก หัวใจของเธอเต้นรัวเหมือนกำลังจะระเบิด

“อ้อ ผมเข้าใจแล้ว” จางเซวียนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สุดท้ายก็เข้าใจถึงสาเหตุที่เหวินเซวี่ยมาหาเรื่องเขา จางเซวียนส่ายหัวไปมาพร้อมกับพูดออกมาอย่างจริงจัง “อย่าคิดว่ามาหาเรื่องผมแล้วจะทำให้ผมสนใจในตัวคุณแล้วเกิดชอบคุณได้นะ ความคิดของคุณมันเป็นความคิดของเด็กน้อย คุณยิ่งทำแบบนี้ก็จะยิ่งทำให้ผมรู้สึกรำคาญ ความพยายามของคุณก็จะไร้ผล” จางเซวียนพูดจบก็ถอนใจ “ผมชอบผู้หญิงที่อ่อนหวาน ไม่ชอบผู้หญิงแบบคุณหรอก ได้โปรดหักห้ามใจเสียเถอะ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!