Skip to content

Lord of the Mysteries 1150

Lord of the mysteries

ตอนที่ 1,150 : เผ่นป่าราบ

แม้ว่าในโถงแห่งความจริงจะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอุณหภูมิ แต่ไคลน์กลับรู้สึกเย็นเยียบและร้อนรน ต้องการจะโต้แย้งสักสองสามคำ แต่สุดท้ายกลับทำได้เพียงปิดปากเงียบ

จ้องมองไปทางอาดัมโดยไม่กล่าวคำใดสักพัก จนกระทั่งภาพของตนสะท้อนบนกระจกตากระจ่างใสของอาดัม ไคลน์ตอบอย่างยากลำบาก

“ผมยอมรับ…แต่ก็จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อลดความเสียหายที่เกิดจากสงคราม…ตราบใดที่ผมยังมีชีวิตอยู่”

มันเว้นวรรค ก่อนจะถามด้วยเสียงหนักแน่น

“นี่คือราคาที่ผมต้องจ่าย เพื่อตอบแทนของขวัญที่คุณเคยมอบให้? หลังจากที่นักบวชสักคนเอ่ยนามคุณภายในหนังสือ คุณก็แอบจัดแจงทุกสิ่งอย่างเป็นความลับ?”

อาดัมซึ่งแต่งกายในชุดคลุมสีขาวเงียบง่าย ยังไม่มอบคำตอบในทันที เพียงเดินไปทางจิตรกรรมฝาผนังฝั่งซ้ายมือและหยุดลงหน้าภาพหนึ่ง เงยหน้าขึ้นและเฝ้ามองด้วยสายตาเชยชม

บนภาพดังกล่าว หนังสือที่เย็บติดกันด้วยกระดาษหนัง ลอยสูงขึ้นไปเหนือก้อนเมฆ ผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว จนกระทั่งตกลงบนอุ้งเท้าขนาดใหญ่ของสิ่งมีชีวิตบางประเภท

พิจารณาอยู่สักพัก อาดัมกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

“เจ้ากลับไปได้”

ไคลน์รู้สึกราวกับถูกปฏิเสธโดยโถงแห่งความจริง เมืองแห่งปาฏิหาริย์ และทะเลห้วงจิตรวมของโลกหนังสือ ร่างกายลอยขึ้นและพุ่งออกจากพื้นที่ดังกล่าว

ระหว่างนั้น มันเห็นอาดัมเดินกลับไปยังม้านั่งสีดำแถวหน้าสุด ถือไม้กางเขนสีเงินในสภาพหลับตา สวดวิงวอนอย่างเคร่งขรึมต่อหน้าร่างมายาขนาดมหึมา

ด้านนอกทะเลห้วงจิตรวม บานประตูมายาปรากฎตัวอย่างเงียบงันกลางอากาศ ปลายทางคือโลกภายนอก

โลกภายในหนังสือเริ่มปฏิเสธไคลน์และ ‘ขับ’ ชายหนุ่มออกจากประตู

ทันใดนั้น ไคลน์กลับมายังโลกแห่งความจริง รอบตัวเต็มไปด้วยสายหมอกสีเทาอ่อน เป็นจังหวะก่อนจะเข้าไปหลบในช่องว่างประวัติศาสตร์

จุดที่แตกต่างจากอดีตก็คือ มันมิได้ถูกกักขังภายในวังวนหนอนแมลงสีใส สำหรับหนวดรยางค์ล่องหนที่ดูลื่น พวกมันรัดพันการเดินทางของกรอซายแผ่วเบาจนกระทั่งหายไปในความว่างเปล่า

โดยไม่มัวอาลัยอาวรณ์กับการสูญเสีย ไคลน์ตัดสินใจทำตามสัญชาตญาณทันที

มันกระโดดไปลงในสายหมอกสีเทาฝั่งตรงข้าม ซ่อนตัวอยู่ในจุดอับแสง หนึ่งในช่องว่างของประวัติศาสตร์

วินาทีถัดมา ไคลน์นึกเสียใจในสิ่งที่ตนเลือก เพราะหนวดรยางค์อันน่าสะพรึงของซาราธยังคงแผ่ขยายไปทั่วสายหมอกสีเทา และหนอนโปร่งใสจำนวนมากก็เลิกรวมตัวกันเป็นวังวน แต่ทั้งหมดพรั่งพรูเข้าหาชายหนุ่มด้วยความเร็วสูง

ซาราธสามารถต่อสู้ภายในช่องว่างประวัติศาสตร์!

นี่คือความเหนือกว่าของผู้วิเศษลำดับสูงในเส้นทางเดียวกัน

ศัตรูตัวฉกาจที่สุดของนักทำนาย คือนักทำนายที่มีลำดับสูงกว่า

ไคลน์ไม่ลังเลอีกต่อไป เฉกเช่นตอนที่ดื่มโอสถเพื่อเลื่อนลำดับ มันรีบ ‘วิ่ง’ ท่ามกลางจุดแสง พยายามสำรวจเข้าไปในส่วนลึกของสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์

ฉากแล้วฉากเล่าแล่นผ่านการมองเห็น มีทั้งภาพสุสานลับพังทลาย เบ็คลันด์ถูกโจมตีทางอากาศ และโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน แต่สัมผัสวิญญาณที่คอยเตือนอันตรายให้ไคลน์ ไม่เพียงจะไม่บรรเทาลง กลับยิ่งทวีความเข้มข้นมากกว่าเก่า

มัน ‘เห็น’ เงาดำหนาทึบขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นทีละนิดและเริ่มครอบงำตน

นี่คือกระแสการถาโถมของหนอนแมลงโปร่งใสและหนวดรยางค์ล่องหน!

ไคลน์เผ่นหนีอย่างสิ้นหวัง พลางเอ่ยพระนามเต็มอันมีเกียรติของเทพธิดารัตติกาลอย่างต่อเนื่องเป็นภาษาคนยักษ์ หวังพึ่งพาความช่วยเหลือจากพระองค์ เพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่มันทำได้ และอีกฝ่ายคือตัวตนเดียวที่สามารถช่วยเหลือ

แน่นอนหากมันรู้จักนามเต็มอันทรงเกียรติของอามุนด์ คงพยายามดึงผู้เย้ยเทพรายนี้เข้ามาเอี่ยว

มีเพียงทำให้สถานการณ์วุ่นวายถึงขีดสุด ประตูแห่งทางรอดจึงจะเปิดออก

ฉากแล้วฉากเล่าแล่นผ่านสายตาชายหนุ่ม โรซายล์สถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิ ยุคปฏิวัติเครื่องจักรไอน้ำ ศึกตระบัดสัตย์ และสงครามกุหลาบขาว ไคลน์ตระหนักได้ว่าเงาดำปกคลุมร่างกายตนมากขึ้นทุกที สติเลือนรางลงราวกับกำลังถูกควบคุมด้ายวิญญาณ

ทันใดนั้น สุนัขแห่งฟัลกริมวิ่งออกมาจากจุดต่างๆ ของสายหมอกสีเทาอ่อน

ร่างกายพวกมันปกคลุมด้วยขนสั้นเกรียนสีดำสนิท เบ้าตาเป็นเปลวเพลิงลุกไหม้ มุมปากยาวไปถึงท้ายทอย

กลุ่มสัตว์ประหลาด ‘ผู้พิทักษ์แห่งปราสาทต้นกำเนิด’ วิ่งผ่านไคลน์และไล่ล่าบางสิ่งด้านหลัง

สติไคลน์ฟื้นคืนกลับมาทันที

บัดซบ! มันสบถกับตัวเองด้วยดวงตาแดงก่ำและพร่ามัว ขณะเดียวกันก็ยังคง ‘เผ่น’ จากยุคสมัยที่ห้าไปจนถึงยุคสมัยที่สี่ และถึงยุคสมัยที่สาม

เงาดำขนาดใหญ่ซึ่งดูคล้ายกระแสน้ำชะงักงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถาโถมเข้าใส่ไคลน์ต่อราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ท่วมท้นช่องว่างประวัติศาสตร์ที่ชายหนุ่มวิ่งผ่านมา

ไคลน์ไม่หวงแหนพลังวิญญาณ ท่ามกลางสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ มันวิ่งสุดแรงเกิดด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่มี อาศัยแสงไฟที่ตัวเองเคยจุดขึ้นคอยนำทาง มุ่งหน้าจากยุคสมัยที่สามไปจนถึงยุคสมัยที่สอง จนกระทั่งมาถึงจุดแสงอันอ้างว้างแห่งเดียวในยุคสมัยที่หนึ่ง เป็นภาพของป่าเสื่อมโทรมและหลุมศพขนาดเท่ามนุษย์

ประวัติศาสตร์เมื่อครั้งราชาคนยักษ์ เออเมียร์ฝังพ่อและแม่

สำหรับ ‘กระแสเงาดำ’ ของซาราธ คล้ายกับพวกมันยังไม่เข้าใจอดีตเหล่านี้ดีพอ จึงเลิกเล่นตามตั้งแต่ตอนไหนก็มิอาจทราบได้

ถึงตรงนี้ พลังวิญญาณไคลน์ใกล้เหือดแห้งเต็มที และภายในสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ ชายหนุ่มทำได้เพียงยืมพลังจาก ‘ตัวเอง’ ที่อยู่บนเส้นเวลาปัจจุบัน และเห็นได้ชัดว่ามันไม่มีตัวตนอยู่ในยุคสมัยนี้

และเมื่อพลังวิญญาณแห้งเหือด ไคลน์จะถูกขับออกจากสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์และกลับสู่โลกความจริง เมื่อถึงตอนนั้น มันจะต้องเผชิญหน้ากับซาราธอีกครั้ง

ฟู่ว…ไคลน์ถอนหายใจยาว นำนกกระเรียนกระดาษอีกตัวออกมาพร้อมกับดีดนิ้วจุดไฟ

ทว่าหลังจากรอคอยนานหลายวินาที อสรพิษแห่งชะตากลับมิได้ปรากฎกาย

ในช่องว่างประวัติศาสตร์ เราใช้นกกระเรียนกระดาษติดต่อกับวิลตามปรกติไม่ได้…ทำไมอามุนด์ถึงไม่ปรากฎตัวสักที…ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์ตัดสินใจท่องพระนามเต็มเป็นภาษาคนยักษ์

“เทพธิดารัตติกาลผู้สูงสง่ายิ่งกว่าดวงดารา ผู้ยั่งยืนยิ่งกว่านิรันดร์ พระองค์ผู้เป็นสตรีสีชาด มารดาแห่งความลับ จักรพรรดินีแห่งเคราะห์กรรมและนายหญิงแห่งความสุขสงบ…”

ผ่านไปสักพัก ไคลน์ผุดแนวคิดใหม่ จึงรีบออกจากสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์และกลับสู่โลกจริงโดยไม่ลังเล

ทันทีที่ปรากฎกาย ด้ายวิญญาณของชายหนุ่มพลันลอยไปในอากาศพร้อมกับถูกหนวดรยางค์ล่องหนจับไว้

ที่ฝั่งตรงข้าม อีกร่างหนึ่งโผล่ออกมาในเวลาไล่เลี่ย

เป็นมาดามอาเรียนน่า หัวหน้านักบวชแห่งรัตติกาลที่มีฝ่าเท้าเปลือยเปล่า

จากพลังในปัจจุบันของไคลน์ ภาพฉายทางประวัติศาสตร์ระดับเทวทูตที่อัญเชิญออกมาน่าจะสลายไปหมดแล้ว ดังนั้นอาเรียนน่าที่กำลังเห็นจึงต้องเป็นตัวจริงอย่างไร้ข้อกังขา

หัวหน้าสำนักชีรัตติกาลจ้องมาทางไคลน์ จากนั้นก็ทำให้ชายหนุ่มหายตัวไปท่ามกลางหนวดรยางค์ล่องหนของซาราธ

ไคลน์เข้าสู่โลกแห่งการปกปิดของอาเรียนน่า ปัจจุบันเป็นยามค่ำคืนที่มืดมิด รายล้อมด้วยวิหารเก่าแก่จำนวนมาก กึ่งกลางท้องฟ้ามีพระจันทร์สีแดงดวงใหญ่ห้อยแขวน

อาศัยประสบการณ์ที่เคยร่วมมือกันมาหลายหน ไคลน์ใช้เทเลพอร์ตเพื่อส่งตัวเองไปยังดวงจันทร์ด้านบน จากนั้นก็ออกจากโลกแห่งการปกปิดไปยังสถานที่อื่น

หลังจากกลับสู่โลกความจริง ไคลน์พบว่าตนทิ้งระยะห่างจากซาราธได้ไกลพอสมควร จึงรีบเทเลพอร์ตหนีทันที ส่วนอาเรียนน่าหลังจากถ่วงเวลาซาราธได้สักพัก เธอหลบหนีอย่างง่ายดายโดยการเข้าสู่สถานะถูกปกปิด

บึ้ม!

เสียงฟ้าร้องอันน่าสะพรึงดังกึกก้อง ส่งผลให้หนวดรยางค์ล่องหนและมันวาวซึ่งพยายามจับคว้าตำแหน่งที่ไคลน์หายตัวไป รีบหดกลับและหายไปพร้อมกับร่างหลัก

ไคลน์ที่เทเลพอร์ตมาถึงทะเล ไม่คิดจะยืมพลังจากตัวเองในอดีต แต่เลือกยืม ‘กระดาษคน’ จากช่องว่างประวัติศาสตร์และสะบัดข้อมือพร้อมกับจุดไฟเผา

ข้าวของส่วนใหญ่ของไคลน์ได้รับความเสียหายขณะกลายร่างเป็น ‘ที่คั่นหนังสือ’ ส่วนหุ่นเชิดโจนาสกับเอ็นยูน ชะตากรรมเป็นอย่างไรก็มิอาจทราบได้ บางทีคงระเหยไปท่ามกลางการโจมตีของเทวทูตแห่งแสง

พรึบ!

กระดาษคนลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีแดงเข้ม เกิดเป็นภาพมายาของเทวทูตสยายปีกหลายชั้นออกมาปกคลุมไคลน์ ลบร่องรอยอย่างหมดจด

จากนั้นไคลน์เทเลพอร์ตอีกครั้งเพื่อหลบหนีออกจากพื้นที่

ในสุสานลับของแคว้นเชสเตอร์ตะวันออก วิลเลียมออกัสตัสที่หนึ่งและราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดต อาศัยพลังของตัวเองในการหยั่งรู้ถึงการร่วงหล่นของจอร์จที่สาม

รายหลังไม่มัวแช่อยู่นาน รีบสลายร่างกายในลักษณะฟองสบู่และหายตัวไป

วิลเลียมออกัสตัสที่หนึ่งไม่มีอารมณ์จะยับยั้งหรือไล่ตาม และสีหน้าก็มิได้เผยความเจ็บปวดมากมายอะไร

ไคลน์ซึ่งอ้อมเป็นระยะทางไกลพลางใช้อ้อมกอดเทวทูตเพื่อลบร่องรอยถึงสามครั้ง เดินทางกลับมายังเบ็คลันด์อย่างเงียบเชียบ เพราะเชื่อว่าที่นี่ปลอดภัยที่สุดในโลกแล้ว

มันมิได้กลับบ้านเช่าหลังเก่า แต่เลือกเช่าห้องใหม่ภายในโรงแรมย่านสะพานเบ็คลันด์

แน่นอนว่ามันไม่ลืมที่แปลงโฉม เปลี่ยนความสูงเปลี่ยนบุคลิกและบรรยากาศรอบตัว

ยิ่งดูธรรมดาสามัญมากเพียงใด โอกาสถูกพบความผิดปรกติก็ยิ่งน้อย

หลังจากเข้าไปในห้อง ไคลน์ฝืนเอาชนะความอ่อนล้าทางใจและบาดแผลทางกาย เอ่ยนามเต็มของเทพสมุทร คาเวทูว่า เตรียมเดินถอยหลังสี่ก้าวเข้าสู่สายหมอกเพื่อใช้ ‘ตาทิพย์’ และอ้อมกอดเทวทูตของจริง ยืนยันความปลอดภัยของสภาพแวดล้อมที่ตนกำลังอาศัย

โชคดีที่ซาราธน่าจะทำพันธสัญญากับจอร์จที่สาม จึงมิอาจละทิ้งสุสานที่ตนดูแลได้ตามต้องการ ไม่อย่างนั้นเราคงกลายเป็นหุ่นเชิดของมันนานแล้วท่ามกลางการต่อสู้ที่วุ่นวาย…การปรากฎตัวของมันและเทพหายนะ เซียอา อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเรามาก…ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก ก้าวทวนเข็มนาฬิกา อ้าปากเปล่งภาษาจีนกลาง

“เซียนราชันฟ้าดิน…”

ทันใดนั้นร่างกายชายหนุ่มพลันสั่นสะท้าน น้ำเสียงขาดห้วงกะทันหันด้วยใบหน้าที่แข็งทื่อ

ในมุมสายตาไคลน์ชายคนหนึ่งกำลังนั่งบนเก้าอี้ข้างกระจกบานใหญ่ภายในห้อง รูปร่างสันทัด เพศชาย ใบหน้าค่อนข้างหนุ่ม สวมเสื้อนอกสีเข้มและกางเกงขายาวทำจากขนสัตว์ ผิวพรรณดูคล้ายกับลูกครึ่งโลเอ็นไบลัม

นี่คือหุ่นเชิดที่ไคลน์ทำสูญหายในศึกก่อนหน้านี้ ผู้ชนะ เอ็นยูน

เมื่อเผชิญกับสายตาที่แข็งทื่อของไคลน์ เอ็นยูนยิ้มและกล่าว

“อย่าทิ้งหุ่นเชิดเอาไว้ส่งเดชสิ…พวกมันถูกแกะรอยได้ง่าย”

ขณะกล่าว มันบรรจงลุกขึ้นยืน หยิบแว่นผลึกออกจากกระเป๋าพลางวางลงบนดวงตาข้างขวาอย่างใจเย็น

(จบภาคที่ห้า)

………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!