Skip to content

Lord of the Mysteries 226

Lord of the mysteries

ตอนที่ 226 : ซิลหวาดผวา

เขตเชอร์วู้ด

15 ถนนมินส์

ไคลน์กำลังอิ่มพุงกาง มันนอนเอนกายไปบนเก้าอี้นวมภายในห้องนั่งเล่น ด้านข้างเป็นเตาผิงกำลังลุกโชนด้วยถ่านฟืนร้อนฉ่า

ท่ามกลางอากาศอบอุ่นคล้ายฤดูร้อน ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กั๊กสีดำ กางเกงขายาวผ้าบางโปร่ง สองมือถือหนังสือพิมพ์ประจำวัน เปิดค้างหน้าเกี่ยวกับโฆษณาและการลงทุน

“ต้องการเงินทุนสนับสนุนสำหรับประดิษฐ์พาหนะเดินทางชนิดใหม่ รายละเอียดเพิ่มเติมคุยเป็นการส่วนตัว”

ไคลน์อ่านประกาศโฆษณาสองหนจนมั่นใจ ก่อนจะนำดินสอออกจากโต๊ะเล็กสีแดงเข้มข้างลำตัว เพื่อวงกลมเน้นหนักข้อความดังกล่าว

ถ้าพรุ่งนี้และวันถัดไปไม่มีงานเข้ามา มันจะเดินทางไปพูดคุยเกี่ยวกับพาหนะชนิดใหม่เพื่อประเมินมูลค่าสิ่งประดิษฐ์

ถูกต้อง เนื่องจากมีข้อมูลน้อยเกินไป จึงไม่สามารถใช้การทำนายคาดเดาผลลัพธ์ได้

‘หวังว่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์คล้ายจักรยาน’

ขณะไคลน์พึมพำกับตัวเอง โสตประสาทพลันได้ยินเสียงใครบางคนสวดภาวนาเสียงดัง

‘ใครกัน มิสจัสติสหรือ? แฮงแมน? เดอะซัน? หรือพนักงานธนาคารเบ็คลันด์แอบจดรหัสผ่านบัญชีลับ’

สมองไคลน์พลันพลุ่งพล่าน มันรีบวางหนังสือพิมพ์และกลับขึ้นไปยังห้องนอน ตามด้วยการลงกลอนมิดชิดและเดินทวนเข็มสี่ก้าวส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอก

ด้านข้างเก้าอี้เดอะฟูล ตรงมุมขอบโต๊ะสำริดโบราณยาวและมีริ้วรอย จุดแสงสว่างจ้ากำลังแผ่คลื่นรัศมีอย่างแผ่วเบา

แน่นอนไคลน์เข้าใจความหมาย มันนั่งลงอย่างใจเย็นพร้อมกับถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในคลื่นแสงเพื่อตอบรับคำสวดภาวนา

ฉากตรงหน้าเริ่มเปลี่ยนแปลง มันมองเห็นหญิงสาวร่างเล็กในชุดฝึกอัศวินกำลังขดตัวบนโซฟา ภาพค่อนข้างพร่ามัว

‘หล่อนไม่ได้ลอกรหัสธนาคาร แต่กำลังอ่านเศษกระดาษ…’

ไคลน์กระจ่างแจ้งในเวลาไม่นาน

‘เธอคงเป็นหนึ่งในสองผู้วิเศษตามคำแนะนำของมิสจัสติส และอยู่ระหว่างการตรวจสอบคุณสมบัติ’

สามสิบวินาทีผ่านไปอย่างเงียบงัน ไคลน์มิได้ตอบสนองสิ่งใดกลับไปหาอีกฝ่าย มันมีแผนดำเนินการในค่ำคืนนี้แทน

เป็นบททดสอบเพื่อสำรวจท่าทีตอบสนองของหญิงสาว รวมถึงทัศนคติ และวิธีการรับมือกับเรื่องไม่คาดฝัน สิ่งเหล่านี้สามารถวัดบุคลิกและทักษะเบื้องต้นได้

แน่นอน มันไม่มีแผนดึงใครเข้าร่วมชุมนุมไพ่ทาโรต์ส่งเดช

…….

“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย…”

หลังจากท่องคาถาภาษาเฮอร์มิสโบราณจบ ซิลร่างเล็กพลันตัวแข็งทื่อนานหลายวินาที ก่อนจะรีบเปลี่ยนมาเหยียดหลังตั้งตรง

‘นี่มัน…นามเต็มของตัวตนลึกลับนอกรีตไม่ใช่หรือ’

สีหน้าของเธอเริ่มปรากฏอาการหวาดผวา เพราะจากประสบการณ์ด้านศาสตร์เร้นลับรวมถึงข่าวลือมากมายจากชุมนุมผู้วิเศษ ลำพังการอ่านชื่อเต็มของอีกฝ่าย ก็มากพอจะทำให้เป้าหมายเกิดความสนใจ!

ผลลัพธ์ตามมามีทั้งการประสบเคราะห์กรรมเลวร้าย รวมถึงเรื่องราวสลดหดหู่เหนือพรรณนา จากบรรดาตัวตนลึกลับทั้งหมดมีบางส่วนเป็นถึงเทพนอกรีตหรือไม่ก็ปีศาจร้าย

‘แถมเรายังท่องเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ ไม่ได้ป้องกันตัวเองแม้แต่น้อย! ทำไมเราถึงโง่แบบนี้! ทำไมถึงเอาแต่จดจ่อกับเนื้อหาจนเผลออ่านโดยไม่ระวังตัวว่าเป็นคาถาต้องห้าม!’

ซิลมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง ส่วนลึกของจิตใจกำลังกังวลว่า สัตว์ประหลาดชั่วร้ายอาจปรากฏกายภายในบ้านและลอบจู่โจม

เก้าอี้นวม โต๊ะดื่มชา ตู้กับข้าว โต๊ะรับประทานอาหาร ภาพวาดสีน้ำมัน รวมถึงเครื่องเรือนชิ้นอื่นภายในบ้าน ทั้งหมดถูกเธอสำรวจอย่างละเอียด และไม่พบความผิดปกติ

หลังจากระมัดระวังตัวนานเกือบหนึ่งนาที ซิลตัดสินใจผ่อนคลายความตึงเครียดลงและกล่าวปลอบใจตัวเอง

“ไม่เป็นไร…ไม่มีอะไรต้องกังวล”

เราแค่เอ่ยนาม ไม่ได้สวดภาวนาต่อจากนั้น

“พิธีกรรมยังไม่สมบูรณ์ จึงไม่สร้างความสนใจให้ตัวตนลึกลับ ยิ่งไปกว่านั้นนามดังกล่าวอาจไม่มีอยู่จริง เพราะถูกถอดรหัสจากสัญลักษณ์ของจักรพรรดิโรซายล์อีกทอดหนึ่ง”

‘ตะ…แต่เราเคยได้ยินว่า ลำพังการเอ่ยนามก็มากพอจะเรียกร้องความสนใจจากตัวตนลึกลับได้แล้ว แม้พิธีกรรมจะไม่สมบูรณ์ก็ตาม…เราช่างโง่บรม’

เมื่อครุ่นคิดถึงจุดนี้ ใบหน้าซิลพลันห่อเหี่ยวและดำมืดราวกับคนตาย เธอตระหนักว่าตนได้กระทำความผิดร้ายแรงยากเกินอภัย

ผ่านไปราวสามนาที สตรีร่างเล็กถอนหายใจยาวอีกครั้ง สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อยังไม่พบการตอบสนองจากตัวตนลึกลับ เธอตัดสินใจยัดเศษกระดาษกลับใส่ปกหลังของหนังสือ ‘ประวัติขุนนางอาณาจักรโลเอ็น’ ตามด้วยการเดินเข้าห้องน้ำด้วยสภาพจิตใจสลดหดหู่

ซิลใช้มือเปิดก๊อกน้ำ เผื่อบางทีน้ำเย็นจะช่วยทำให้สมองแจ่มใส

ซ่า!

ระหว่างของเหลวสีเกือบใสกำลังไหลเธอโน้มตัวไปข้างหน้าและใช้สองฝ่ามือประกบเพื่อรองน้ำในลักษณะถ้วย

ขณะกำลังจะป้ายน้ำเย็นสัมผัสใบหน้า มุมสายตาบังเอิญเหลือบเห็นเส้นผมสีน้ำตาลยาวและหยักศกเล็กน้อย…

แต่เส้นผมของซิลมีสีเหลืองกระเซอะกระเซิงยาวเพียงประบ่าเท่านั้น!

ขณะขนทั่วร่างกำลังลุกตั้งชัน สตรีร่างเล็กพลันกระทืบเท้าพลางหมุนตัวกลับหลัง ตามด้วยการฟาดศอกเต็มแรงใส่อีกฝ่ายโดยปราศจากความลังเล

ปึก!

สันศอกคมกริบกระแทกใส่ผิวหนังอุ่นคล้ายมนุษย์ ส่งผลให้เหยื่อส่งเสียงกรีดร้องลั่นพร้อมกับล้มไปนอนกองบนพื้น แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เสียงร้องดังกล่าวกลับคุ้นหูซิลเป็นอย่างมาก

สตรีร่างเล็กพลันชะงักงัน เมื่อเห็นเพื่อนสนิทของตนกำลังใช้สองมือกุมท้องด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวแลเจ็บปวด ดวงตาของอีกฝ่ายมีของเหลวสีใสไหลซึม

มุมปากซิลกระตุกแผ่วเบา

“ฟอร์ส เธอกลับมาตอนไหน”

ฟอร์สไม่ตอบ เพราะต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะหลุดพ้นจากอาการจุกเสียด

จนกระทั่งเธอมีแรงพยุงตัวลุกยืนโดยใช้ฝ่ามือยันกำแพง นักเขียนสาวส่งเสียงบ่นครวญครางเจือความหงุดหงิด

“พะ…เพิ่งกลับมาถึง ซิล! เธอสมองถั่วหรือไง! ทำไมถึงอัดเข้ามาโดยไม่ดูให้ดีก่อน! ต้องเอาจริงถึงขนาดนี้เลยหรือ”

“ละ…แล้วเธอเข้ามาจากทางไหน”

ซิลถามกระอักกระอ่วน

“หน้าต่างห้องอาบน้ำ! ทำไม! มีอะไรผิดปกติด้วยหรือ ฉันเป็นผู้ฝึกหัด ไม่มีผู้ฝึกหัดคนไหนเขาพกกุญแจติดตัวกันหรอกนะ!”

ฟอร์สอธิบายด้วยเหตุผลยากจะเถียง

ขณะเดียวกัน ซิลเริ่มยืนตัวตรงในท่าผ่อนคลาย ตามด้วยการหาข้ออ้างโดยไม่สำนึกผิด

“แล้วทำไมถึงไม่เข้าทางประตูหน้า เธอเกือบทำให้ฉันหัวใจวาย!”

ฟอร์สกะพริบตาถี่พลางอธิบาย

“ถ้าเข้าประตูหน้าก็ต้องอ้อมไกลมาก แบบนั้นเสียเวลาและยุ่งยากเกินไป ฉันชอบเดินเป็นเส้นตรงมากกว่า”

นักเขียนสาวสวยเว้นวรรคเล็กน้อย ตามด้วยการซักถามด้วยสีหน้าสุดฉงน

“แต่เธอไม่หนักมือไปหน่อยหรือ ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้”

ซิลก้มหน้าใช้ความคิดราวสามวินาที

เธอต้องเลือกระหว่างเล่าความจริงและได้รับความอับอาย กับปิดบังความจริงแต่นำพาชีวิตตัวเองเข้าสู่ความเสี่ยง

จนกระทั่งหญิงสาวตัดสินใจอย่างซื่อตรง

“พะ…เพราะว่าฉันทำพลาดมหันต์ มะ…มันร้ายแรงมาก ย้อนกลับไม่ได้แล้ว!”

“พลาดยังไงเล่าให้ฟังหน่อย”

ฟอร์สขมวดคิ้วถามพลางใช้มือลูบท้อง สีหน้าเจือความกังวลชัดเจน

ซิลเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง เริ่มจากการค้นพบความผิดปกติของปกหลังและนำเศษกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา เธอเผลออ่านข้อความโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงกลายเป็นการท่องคาถาภาษาเฮอร์มิสโบราณ ย่อหน้าดังกล่าวอาจเป็นนามเต็มของตัวตนลึกลับ

“เธอเอาสมองไปไว้ไหนหมด! ช่างเถอะ นะ…นี่อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็ได้ พิธีกรรมไม่สมบูรณ์ และเราก็ไม่ทราบว่านามเต็มดังกล่าวเป็นของจริงหรือไม่”

ฟอร์สกวาดสายตามองรอบตัวอย่างหวาดระแวง ด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอสัมผัสว่าบรรยากาศภายในบ้านเย็นลงเล็กน้อย

ทั้งสองเดินกลับห้องนั่งเล่นและได้พบแผ่นกระดาษเก่าสีเหลือง ด้านหน้าเป็นสัญลักษณ์พิเศษของโรซายล์ ส่วนด้านหลังเป็นประโยคภาษาเฮอร์มิสโบราณหนึ่งย่อหน้า

เมื่อก้มหน้าอ่านอย่างรวดเร็วผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์เร้นลับอย่างฟอร์สเพียงผงกศีรษะแผ่วเบา

“ไม่ใช่นามของเทพนอกรีต ปีศาจ หรือตัวตนลึกลับคนไหนในความทรงจำของฉัน ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วง และเหนือสิ่งอื่นใด ยังไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นเลยใช่ไหม พวกเราปลอดภัยแน่นอน”

หลังจากเห็นซิลเริ่มผ่อนคลาย ฟอร์สยังไม่ลืมว่าเธอถูกอัดฟรีจึงแกล้งกล่าวเสริมด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเลศนัย

“แต่ถึงจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นลำพังผู้วิเศษอ่อนหัดอย่างพวกเรา ไม่มีทางช่วยเหลือตัวเองจากเทพนอกรีตหรือปีศาจได้อยู่แล้วดิ้นรนไปก็มีค่าเท่าเดิม”

ซิลรีบโพล่งด้วยสีหน้าซีดเซียว

“ฟอร์ส! คืนนี้นอนด้วยกันเถอะ! ฉะ…ฉันไม่กล้านอนคนเดียว”

ฟอร์สขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางคิกคัก

“ตกลง แต่เธอไม่ควรกังวลมากเกินไป ลองนึกดูให้ดีแม้ฉันจะได้ยินเสียงพึมพำประหลาดทุกคืนจันทร์เต็มดวง แต่ก็ไม่ปรากฏสัญญาณการคลุ้มคลั่งหรือเสียสติเลยสักนิด”

“นั่นสินะ…พวกเราควรตรวจสอบหนังสืออีกสามเล่มด้วย ถ้าพบแผ่นกระดาษลักษณะคล้ายคลึงกันและตัวอักษรเหมือนกัน แปลว่าไวเคาต์กายลินกำลังแกล้งพวกเราเล่น”

สองสาวรีบเปิดอ่านหนังสือ ‘จำแนกตราประจำตระกูลขุนนางอย่างละเอียด’ รวมถึงอีกสองเล่มทุกซอกมุม แต่กลับไม่พบความผิดปกติเหมือนกับเล่มแรก

ซิลหันไปมองฟอร์ส ฝ่ายหลังก็มองตอบสีหน้าของสองสาวเริ่มอึมครึมอีกครั้ง

“คืนนี้พวกเราลอบเข้าไปในห้องมิสซาของวิหารนักบุญแซมมวลดีไหม”

ซิลรีบผุดแนวคิดใหม่อย่างกระวนกระวาย วิหารนักบุญแซมมวลคือสำนักงานใหญ่ของโบสถ์รัตติกาลประจำกรุงเบ็คลันด์

“ทำไมถึงไม่ไปวิหารนักบุญฮิลลันแทน? เทพธิดารัตติกาลคงไม่อยากปกป้องฉันเท่าไร”

ฟอร์สตอบตามความรู้สึก วิหารนักบุญฮิลลันเป็นสำนักงานใหญ่ประจำกรุงเบ็คลันด์ของโบสถ์จักรกลไอน้ำ ตั้งอยู่ในเขตนักบุญจอร์จ รายล้อมด้วยโรงงานขนาดใหญ่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง

สองสาวต่างศาสนามองตากันอย่างเงียบงันเป็นเวลานานจนกระทั่งฟอร์สถอนหายใจ

“แต่ถ้าทำแบบนั้น พวกเราจะยิ่งตกเป็นเป้าของเหยี่ยวราตรี และจิตแห่งจักรกลทันที และนี่อาจเป็นจุดประสงค์หลักของตัวตนลึกลับตั้งแต่แรก”

“เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้น วันนี้เข้านอนตามปกติ พวกเราคงได้รับคำตอบชัดเจนเมื่อถึงเช้าวันถัดไป หากไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หมายความว่าไม่มีอันตราย”

……..

ในค่ำคืนเดียวกันจันทร์แดงถูกรายล้อมด้วยเมฆหมอกหนาทึบ ดวงดาราเหนือท้องฟ้ากรุงเบ็คลันด์ปรากฏตัวไม่มากเท่าคืนปกติ

ไคลน์ลืมตาตื่นตามสัญชาตญาณ มันรีบพับผ้าห่มและลุกออกจากเตียง ตามด้วยการส่งตัวเองเข้าไปในห้วงมิติเหนือสายหมอก

ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้โบราณประจำตำแหน่งเดอะฟูล เตรียมตอบสนองคำสวดภาวนาของหนึ่งในเพื่อนมิสจัสติส จากนั้นก็ทดสอบว่าอีกฝ่ายมีคุณสมบัติเหมาะสมหรือไม่

นั่นคือแผนเดิม แต่เมื่อครู่ไคลน์ผุดแนวคิดใหม่ล่าสุด บางทีมันควรใช้โอกาสล้ำค่าเช่นนี้ทดสอบว่า ด้วยสภาพปัจจุบัน ตนมีพลังมากพอจะดึงบุคคลภายนอกเข้ามาในห้วงมิติเหนือสายหมอกแล้วหรือยัง

‘อีกฝ่ายกำลังหลับสนิทถ้าเราดึงเข้ามาในนี้สำเร็จ ทางนั้นคงคิดว่าเป็นแค่ความฝันทั่วไป แต่จะเสมือนจริงกว่าทุกครั้ง หืม…หรือเราควรรีบดึงและรีบตัดการเชื่อมต่อ เธอจะได้ไม่เห็นสภาพแวดล้อมรอบตัวชัดเจนนัก’

หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบอยู่นาน ชายหนุ่มตัดสินใจเหยียดแขนออกไปสัมผัสวงแหวนแสงเพื่อสร้างการเชื่อมต่อ

ทันใดนั้นไคลน์ตระหนักว่าพลังวิญญาณของตนกำลังหลั่งไหลอย่างหยุดไม่อยู่ ส่งผลให้ห้วงมิติลึกลับเหนือสายหมอกเทาสั่นคลอนเล็กน้อย

แต่ขณะกำลังคิดว่าพลังวิญญาณจะถูกดูดกลืนจนหมดเกลี้ยง เหตุการณ์รอบตัวเริ่มกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง กายจิตพร่ามัวและบิดเบี้ยวของใครสักคน ปรากฏบนเก้าอี้ตัวสุดท้ายของโต๊ะสำริดโบราณทรงยาว

คล้ายถูกปลุกจากความฝันกะทันหัน ซิลลืมตาตื่นในลักษณะงัวเงีย รอบตัวประกอบด้วยห้วงสายหมอกสีเทากว้างไกลไร้ก้นบึ้ง เก้าอี้โบราณทรงสูง รวมถึงบุคคลปริศนา ร่างกายอีกฝ่ายถูกฉาบด้วยม่านหมอกหนาทึบ สายตากำลังจ้องมองมาทางเธอ

ไคลน์พึงพอใจกับผลลัพธ์อย่างมาก

มันรีบตัดการเชื่อมต่อตามแผนเดิม ส่งผลให้กายจิตอันเลือนรางของสตรีร่างเล็กจางหายไป แต่ใกล้ตัวชายหนุ่มมีดาวแดงดวงใหม่เพิ่มขึ้นมาแทน

หลังจากใช้ความคิดสักพัก ไคลน์สามารถยืนยันได้หนึ่งเรื่องคือ ในอนาคตถ้ามีใครท่องชื่อเต็มของตน ตัวมันสามารถดึงอีกฝ่ายเข้ามาในห้วงมิติเหนือสายหมอกได้ทันที หลังจากนั้นจะมีดาวแดงดวงใหม่ปรากฏ ช่วยให้สร้างการเชื่อมต่อได้ง่ายขึ้น

‘แต่มีขีดจำกัดอยู่หากประเมินตามพลังปัจจุบันของเรา คงดึงเพิ่มได้อีกแค่คนเดียว หืม…จากประสบการณ์ก่อนหน้า เราสามารถดึงผู้วิเศษลำดับสูงกว่าตัวเองได้ไม่เกิน 1 ขั้น และไม่รับประกันผลสำเร็จ นั่นเป็นแค่สมมติฐานเบื้องต้น การดึงบุคคลลำดับต่ำกว่าหรือเท่าเทียมไม่ใช่ปัญหา’

ไคลน์ครุ่นคิดอย่างพึงพอใจมันไม่สำแดงอิทธิฤทธิ์กับซิลมากกว่านี้แล้ว เพราะการทดสอบประสบความสำเร็จลุล่วง

………

ณ กลางดึกสงัด

ซิลลุกขึ้นนั่งบนเตียง

วันนี้ทั้งวันเธอเอาแต่หวาดระแวงผลข้างเคียงจากการเอ่ยนามตัวตนลึกลับในทุกลมหายใจ และหลังจากหลับสนิทได้ไม่นาน เธอบังเอิญฝันถึงห้วงมิติลึกลับและบุคคลปริศนาห้อมล้อมด้วยหมอกทึบ อีกฝ่ายกำลังจ้องมองลงมาจากด้านบน ความฝันในคราวนี้แจ่มชัดอย่างมาก ชัดเจนจนเธอหวาดผวา

สายตาชำเลืองมองฟอร์สเพื่อนสนิทของเธอกำลังหลับลึกด้านข้างอย่างไม่ได้สติ

สมองซิลกระเจิดกระเจิงไร้ทิศทาง ร่างกายสั่นเทาอย่างหวาดผวา

‘เป็นแค่ฝันร้ายเพราะเราคิดมากไปเอง หรือเป็นคำสาปชั่วร้ายของตัวตนลึกลับกันแน่ จริงสิ… พรุ่งนี้ตอนค่ำมีงานชุมนุมผู้วิเศษ นอกจากซื้อสูตรผลิตโอสถแล้ว เรายังต้องหาคนช่วยขับไล่วิญญาณร้าย ปัดเป่าร่างกายให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง!’

…………..

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!