Skip to content

Outside Of Time 523

บทที่ 523 ระดับปราณมรรคาลิขิตสวรรค์

นายกองลังเล

สวี่ชิงขมวดคิ้ว

ในตอนที่พวกเขาถอยก่อนหน้านี้ก็ได้ลองกัน วังพญาหงส์ทั้งเก้าในกำแพงเลือดเนื้อเต็มไปด้วยพลังประหลาด เมื่อเข้าใกล้จะปรากฏ เมื่ออยู่ห่างจะผุพัง

การเปลี่ยนแปลงที่นั่นเปลี่ยนไปตามผู้มาเยือน

แต่หากอยู่ใกล้มากไป ก็จะเกิดเรื่องแปลกประหลาด ทำให้คนอยู่ในสภาวะบิดเบี้ยวอย่างหนึ่ง เวลาจะไหลผ่านไปโดยไม่รู้ตัว

“อาชิงน้อย เจ้าจำได้หรือไม่ว่าเมื่อครู่เจ้าบอกว่าคุ้นที่นั่นมาก ความรู้สึกแรงมากหรือไม่”

จู่ๆ นายกองก็เอ่ยขึ้น

“แรงมาก” สวี่ชิงพยักหน้า

“เช่นนั้นแล้ว เจ้าว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเราสามวันนี้ทำการสำรวจที่นี่มาหลายครั้งมากๆ แล้ว”

“ส่วนข้าแม้จะรู้สึกว่าคุ้น แต่ความรู้สึกเบาบางมาก เช่นนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าทุกครั้งที่สำรวจล้วนเป็นเจ้าที่เข้าไป ดังนั้นความรู้สึกคุ้นของเจ้าจึงรุนแรงกว่าข้า”

นายกองมองไปทางสวี่ชิง

สวี่ชิงหรี่ตา เอ่ยเสียงเบา

“หากเป็นเช่นนั้นจริง หากเมื่อครู่ไม่ได้รับข่าวจากกระบี่อาญาสิทธิ์ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไป เช่นนั้นจากการดำเนินไปตามเรื่อง ข้าจะต้องขอให้ศิษย์พี่ใหญ่ช่วยข้าแน่นอน ข้าอาจจะใช้การป้องกันของท่อนแขนผสานตัวเข้าไปในนั้น ให้ท่านโยนเข้าไป

“เช่นนี้แล้วมีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะผ่านพันธนาการได้ และข้าอยู่ในกำแพงเลือดเนื้อนั่น ก็จะเดินออกจากท่อนแขนไปสำรวจในวังพญาหงส์ได้”

สวี่ชิงพูดจบ มองไปทางท่อนแขนขาด อยากจะหาหลักฐานบนนั้น แต่พลังฟื้นฟูที่ท่อนแขนนี้มี ตอนนี้ดูไปแล้วเหมือนไม่มีอะไรแตกต่างสักเท่าไร

ทว่าในส่วนรายละเอียดก็ยังสามารถเห็นรอยเลือดเนื้อที่งอกขึ้นใหม่บางแห่ง การค้นพบนี้ทำให้ทั้งสองดวงตาจ้องเพ่ง

นายกองดวงตาฉายประกายวาววาบ

“ดังนั้นเจ้ามั่นใจว่าสำรวจไปแล้วหลายรอบ แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าจำไม่ได้ว่าเห็นอะไรข้างใน…ศิษย์น้องเล็ก เจ้าลองนึกให้ละเอียดอีกครั้ง ดูว่านึกอะไรได้หรือไม่”

สวี่ชิงเงียบนิ่ง นึกย้อนอย่างละเอียด แต่ความทรงจำในสมองไม่มีร่องรอยอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างเชื่อมต่อกันโดยไม่มีความแตกต่างเลยแม้แต่น้อย หาช่องโหว่ไม่เจอ

สวี่ชิงขมวดคิ้ว นี่คล้ายกับประสบการณ์ที่ติงหนึ่งสามสองในตอนนั้น แต่ก็มีความแตกต่าง

ติงหนึ่งสามสองมีสองชั้น หนึ่งชั้นนอก หนึ่งชั้นใน

เนื่องจากผลกระทบจากดวงชะตา ที่นั่นจึงอยู่ในสภาวะที่ค่อนข้างสมดุล นี่ทำให้สิ่งที่คนทั่วไปเห็นล้วนเป็นสภาพภาพนอก

แต่สภาพจริงภายนอกนั้นคงอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังอยู่ตรงหน้า แต่ผลกระทบจากมันยังมีอยู่ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมผู้ดูแลไม่ว่าคนใดล้วนตายอนาถข้างนอก

และทันทีที่มีคนตื่นขึ้นด้วยเหตุไม่คาดฝันต่างๆ มองเห็นความจริงใต้สภาวะข้างนอก เช่นนั้นความจำของเขาจะถูกเปลี่ยนเมื่อออกไป ลืมทุกสิ่ง

ส่วนเหตุที่เกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นเพราะทุกวันที่สวี่ชิงตื่นขึ้นที่นี่ ทุกวันล้วนสูญเสียความจำหลังจากที่ตื่นขึ้นมา

นี่จึงทำให้เกิดความรู้สึกว่าซ้ำวน

และวังพญาหงส์ข้างหน้ากลุ่มนี้ มันเหมือนจะไม่แบ่งแยกชั้นในนอกทั้งสองชั้น มันเป็นแค่ชั้นเดียว เกิดวงจรขึ้นเอง

สวี่ชิงวิเคราะห์ในใจ จากนั้นลูกกลอนพิษต้องห้ามในร่างพลันโคจร เขาจักรพรรดิภูตปะทุเช่นกัน ขณะเดียวกันพลังวิถีสวรรค์ก็ตลบอวล ยิ่งกว่านั้นคือมีพลังติงหนึ่งสามสองแผ่มา

เพียงพริบตา พลังของเขาก็พุ่งเพิ่มขึ้น ลมกระหน่ำมาจากรอบๆ นายกองที่เห็นภาพนี้เป็นครั้งแรกดวงตาก็เกิดประกายวาววาบขึ้นมา อึ้งตะลึงไปเล็กน้อย

สวี่ชิงไม่ได้สังเกตนายกอง ตอนนี้ภายใต้พลังที่ยกระดับขึ้นไม่หยุด เขามองไปทางวังพญาหงส์กลุ่มนั้น

ทุกอย่างเป็นปกติ

สวี่ชิงอึ้งเล็กน้อย หลังจากขบคิดร่างเทพเจ้าก็โคจร พยายามทำให้เส้นสีทองในนั้นหมุนวนเล็กน้อย ในดวงตาฉายประกายสีทองแวววาว มองไปอีกครั้ง

ครั้งนี้ต่างออกไปเล็กน้อย

วังพญาหงส์ปรากฏขึ้น ครั้งนี้กลับรางเลือน ถูกแสงสีม่วงกลุ่มหนึ่งปกคลุม และแสงกลุ่มนั้นเหมือนเป็นภาพมายา ทำให้คนอยู่ในความรู้สึกระหว่างความจริงกับภาพมายาอย่างหนึ่ง ทั้งยังเหมือนว่ามีการไหลของเวลา

ทุกสิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นความรู้สึก ยากจะอธิบายได้ชัดเจน

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สวี่ชิงเก็บทุกอย่างลงไป ถอนหายใจเสียงเบา มองนายกองที่อยู่ข้างๆ ส่ายหน้า

“นึกไม่ออก”

นายกองถอนหายใจ

“แต่ว่าศิษย์พี่ใหญ่ ข้ามีวิธี มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเอาขวดสีม่วงใบเล็กในนั้นมาได้” สวี่ชิงจู่ๆ พูดขึ้นมา

นายกองดวงตาจ้องเพ่ง

มือขวาสวี่ชิงยกขึ้น ติงหนึ่งสามสองในร่างสั่นสะเทือน สิงโตหินกับศีรษะถูกดูดออกมาพร้อมกัน หลังจากร่วงลงบนพื้น ศีรษะครั้งนี้เรียนรู้ฉลาดขึ้นมาแล้ว รีบแสดงสีหน้าประจบประแจง เอ่ยเสียงดัง

“คารวะใต้เท้าผู้ดูแลผู้ยิ่งใหญ่ที่เคารพสูงสุด!”

สิงโตหินไม่มีหัว ไม่สามารถอ้าปากพูดได้ แต่หางกลับกระดิกอย่างรวดเร็ว หมอบอยู่กับพื้น

นายกองเคยเห็นศีรษะแต่ไม่เคยเห็นสิงโตหิน ตอนนี้หลังจากมองไปก็ฉายความสนใจ ประเมินอยู่ครู่หนึ่ง

“ศิษย์น้องเล็ก พวกนี้เป็นสหายของเจ้ากระมัง ศีรษะนั่นข้าเคยเห็นมาก่อน ตอนนั้นก็รู้สึกว่าค่อนข้างน่าสนใจแล้ว แล้วยังมีสิงโตนี่อีก ดูแล้วไม่เลวเลย ในตัวมันข้าได้กลิ่นของอสูรเมฆา นอกจากนี้…สหายเจ้าสองคนนี้แปลกประหลาดนัก ไม่ใช่แค่มีดวงชะตา แต่เคยถูกสาปด้วย พลังสองประเภทนี้ต่างเหมือนว่าจะสมดุลซึ่งกันและกัน

“สามารถเกิดความสมดุลกับดวงชะตาได้ หมายถึงเป็นไปได้สูงมากว่าคำสาปมาจากเทพเจ้า…ศิษย์น้องเล็กเคยได้ยินคำว่าเป็นชางเพื่อช่วยเสือ ชางคำนั้นก็คือผีชางนั่นเอง ตำนานเล่าว่าคนที่ถูกเสือกัดตายก็จะกลายเป็นผีพิเศษประเภทหนึ่งคอยวนเวียนช่วยอยู่ข้างๆ มัน สหายเจ้าสองคนก็คือชาง!”

นายกองเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม

สิงโตหินได้ยินประโยคนี้ก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันที ศีรษะก็เบิกตาโพลง มองนายกองอย่างรวดเร็ว ในใจตื่นตะลึง นี่เป็นครั้งที่สองที่พวกมันเจอกับผู้ที่สามารถค้นพบสิ่งผิดปกติได้ในเพียงผาดเดียว

คนแรกคือสวี่ชิง คนที่สองก็คือคนที่อยู่ข้างหน้าคนนี้

“เขาเรียกปีศาจสวี่ว่าศิษย์น้องเล็ก พวกเขาคือคนสำนักเดียวกัน จริงๆ ด้วยคนที่มีความสัมพันธ์ดีกับเจ้าปีศาจล้วนเป็นปีศาจเหมือนกันหมด!” ศีรษะหวาดกลัว ก่อนหน้านี้มันถูกสวี่ชิงเรียกออกมาก็เหยียบแหลกทันที หลังจากฟื้นสภาพเดิมก็ถูกดึงกลับไปทันที

สมาธิในตอนนั้นก็อยู่ที่ร่างของเจ้าคนน่ากลัวคนนี้ จึงไม่ได้มองคนที่สองคนนี้อย่างละเอียด ตอนนี้กระตุ้นพลังของตัวเองอย่างอดไม่ได้ มองไปอย่างละเอียดแวบหนึ่ง

หลังจากมองไปผาดหนึ่ง ศีรษะก็พลันร้องโหยหวนน่าสังเวชออกมา ดวงตาระเบิดทันที

“ปาก ปากนับไม่ถ้วน โซ่เหล็ก โซ่เหล็กจากปรโลก…ผนึก ผนึกนับไม่ถ้วน สวรรค์ ที่ข้าเห็นนี่มันคืออะไรกัน กระดูกเทพ กระดูกเทพนับไม่ถ้วน!”

ศีรษะระเบิดเสียงดังบึ้ม

สวี่ชิงมองไปทางนายกอง นายกองใบหน้าไร้เดียงสา

สิงโตหินตัวสั่นหนักขึ้นไปอีก

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ศีรษะฟื้นสภาพกลับมาอีกครั้ง สั่นงันงกก้มหน้าอย่างรวดเร็ว เรียบร้อยเชื่อฟังเป็นอย่างยิ่ง เต็มไปด้วยแววประจบประแจง ไม่กล้ามอง ในใจมีเสียงร้องครวญครางโหยหวนดังก้อง

มันนึกถึงก่อนหน้านี้ที่สวี่ชิงเรียกออกมา คนที่เห็นคนที่สามคนนั้น

ตอนนั้นแม้สวี่ชิงจะเก็บมันลงไปอย่างรวดเร็ว แต่ในเขตติงหนึ่งสามสอง มันตัวสั่นอยู่นานมาก ความจริงมันรู้สึกว่าคนที่สามคนนั้นน่ากลัวเป็นที่สุด น่ากลัวจนมันไม่กล้ากระตุ้นพลังของตัวเอง

“นี่คือสามมหันตภัย!”

สวี่ชิงก็สงสัยเช่นกัน ต่อให้เขาจะรู้ว่านายกองมีความลับมากมาย แต่ปฏิกิริยาของศีรษะจะมากเกินไปเล็กน้อย แต่ว่าเขาก็รู้ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา จึงมองไปทางศีรษะอย่างเย็นชา เอ่ยราบเรียบ

“พวกเจ้าสองคนไปเอาขวดใบเล็กสีม่วงในนั้นมาให้ข้า หากทำได้ดีข้าจะพิจารณาลดโทษให้พวกเจ้า”

“ใต้เท้าผู้ดูแลผู้ยิ่งใหญ่ ความจริงจะลดโทษหรือไม่ไม่สำคัญ ขอเพียงแค่…” ศีรษะรีบเอ่ยปาก แต่พูดยังไม่ทันจบ

สิงโตหินที่อยู่ข้างๆ สองกรงเล็บข้างหน้ายกขึ้นแล้ว เหยียบไปบนพื้นอย่างเต็มแรง หันหลังก็พุ่งไปทันที

ศีรษะเห็นเป็นเช่นนี้ก็ร้อนใจทันที รีบกลิ้งไป แล้วร่อนลงบนคอของสิงโตหิน พุ่งตรงไปยังบริเวณผุพังที่ปกคลุมไปด้วยกำแพงเลือดเนื้อ

สวี่ชิงสังเกตอย่างละเอียด นายกองก็หรี่ตา

“พวกมันไหวหรือไม่”

“พวกมันล้วนเป็นนักโททษในติงหนึ่งสามสอง อยู่ในนั้นมาเป็นเวลานาน น่าจะไหว” หลังจากสวี่ชิงอธิบายทฤษฎีของติงหนึ่งสามสองนายกองก็ดวงตาเป็นประกาย

“ในกรมราชทัณฑ์ยังมีสถานที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ด้วยหรือ!”

พูดประโยคนี้จบ นายกองก็เห็นสีหน้าสวี่ชิงฉายแววหมองหม่น รู้ว่าเขานึกถึงชีวิตที่กรมราชทัณฑ์ นึกถึงเจ้าวัง นึกถึงความสงบสุขในอดีต จึงถอนหายใจในใจ ตบไหล่สวี่ชิง จากนั้นก็ชี้ไปที่ไกล

“ทำได้จริงๆ ด้วย!”

สวี่ชิงเงยหน้ามองไป ตอนนี้สิงโตหินทูนศีรษะเอาไว้ ขณะที่ห้อตะบึงไปอย่างรวดเร็วก็เข้าใกล้กำแพงเลือดเนื้อไป โผนกระโจนกระโดดขึ้นมา เหมือนว่าเนื่องจากตัวตนของพวกมันพิเศษ พลังควบคุมที่นี่ไม่มีผลอะไรกับพวกมัน

สวี่ชิงเห็นกับตาว่าสิงโตหินกระโดดเข้าไปในกำแพงเลือดเนื้ออย่างรวดเร็ว วนล้อมอยู่ในนั้นไม่หยุด เหมือนกำลังค้นหา ทั้งๆ ที่ขวดใบเล็กสีม่วงอยู่ห่างจากพวกมันไม่ไกล แต่กลับหาไม่เจอ

สวี่ชิงขมวดคิ้ว

แต่ไม่นานนักสถานการณ์ก็ดีขึ้น เหมือนจะเป็นความคิดของศีรษะ พวกมันแยกกัน จากนั้นก็กระแทกเข้าหากันอย่างเต็มแรง จนต่างฝ่ายต่างกระจายอยู่ทั่วพื้น

ไม่นานนักก็ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ทะยานไปข้างหน้าด้วยสีหน้าฮึกเหิมได้ระยะหนึ่ง จากนั้นก็กระแทกกันตายอีกครั้ง ทำวนๆ ซ้ำๆ จนสุดท้ายก็ค่อยๆ ใกล้เข้าไปยังขวดใบเล็กสีม่วง

“เจ้าสองตัวนี้ฉลาดดีนี่ พวกมันอาศัยเสี้ยวพริบตาที่ฟื้นจากความตาย อาศัยดวงชะตาในร่างผสานกับคำสาป ไปสำรวจรอบๆ” นายกองยิ้มขึ้นมา

สวี่ชิงพยักหน้า

ภายใต้การจับตามองของพวกเขา หลังจากที่สิงโตหินและศีรษะตายไปสิบกว่าครั้ง ในที่สุดพวกมันก็มาถึงตรงขวดใบเล็กสีม่วง ศีรษะไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น อ้าปากคาบขวดใบเล็ก กลับมากับสิงโตหินอย่างรวดเร็ว

จากนั้นกำแพงเลือดเนื้อรอบๆ ก็รุมเข้าไป ปกคลุมที่นั่นโดยสมบูรณ์

และในระหว่างเหตุการณ์นี้ สิงโตหินกับศีรษะก็วิ่งอย่างบ้าคลั่งกลับมา จนเมื่อกลับมาข้างกายสวี่ชิง ศีรษะก็ปล่อยขวดเล็กสีม่วงในปาก กำลังจะประจบประแจงต่อ แต่มือขวาสวี่ชิงแค่สะบัดก็เก็บพวกมันกลับไป

นายกองย่อตัวลง ถือขวดใบเล็กสีม่วงเอาไว้ ในเสี้ยวพริบตาที่แตะมัน ร่างกายของเขาก็สะท้านเฮือกอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า ในตอนที่สวี่ชิงตั้งสมาธิจับตามอง นายกองก็กลับเป็นปกติ สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ สูดลมหายใจลึก

“นี่คือ…ขวดแห่งกาลเวลา!”

พูดจบ นายกองก็มองไปรอบๆ ตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็คว้าสวี่ชิงเอาไว้ จากไปอย่างรวดเร็ว

สวี่ชิงในใจเต็มไปด้วยความสงสัย แต่มองความเคร่งขรึมจริงจังของนายกองออก จึงไม่ได้เอ่ยปากออกไป จวบจนเมื่อจากไปจากที่นี่โดยสมบูรณ์กับนายกองแล้ว เมื่ออยู่ที่ที่ค่อนข้างปลอดภัยแห่งหนึ่ง ทั้งสองคนก็นั่งย่อตัวในท่อนแขน นายกองลมหายใจหอบถี่ ดวงตาฉายประกายวาววับ

“ศิษย์พี่ใหญ่ อะไรคือขวดแห่งกาลเวลาหรือ” สวี่ชิงถามขึ้น

นายกองทำเสียงชู่ สำรวจรอบๆ อีกครั้ง มั่นใจว่าไม่มีปัญหาก็ประสานปางมือวางผนึกบางอย่าง หลังจากปกคลุมที่นี่แล้ว ทั้งตัวเขาก็ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง รีบเอ่ยปากทันที

“อาชิงน้อย ครั้งนี้พวกเรารวยเละแล้ว!!”

“ขวดกาลเวลา ข้าเคยเห็นในบันทึกโบราณบางเล่มเขียนเอาไว้ว่า นี่เป็นวัตถุในยุคจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวที่มีเพียงเชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่จะสามารถใช้ได้ มีจำนวนน้อยมาก ไม่ว่าใบไหนปรากฏบนโลกล้วนดึงดูดความสนใจของราชวงศ์ทั้งนั้น คนที่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์หากเก็บเอาไว้โดยส่วนตัว จะต้องถูกล้างโคตร เป็นโทษหนัก

“แต่เล่ากันว่า ตอนนั้นที่จักรพรรดิโบราณเสวียนโยวพาเชื้อพระวงศ์และเผ่ามนุษย์บางส่วนไปจากโลกแห่งนี้ ก็ได้นำขวดกาลเวลาไปหมดแล้วนี่นา ทำไมที่นี่ถึงมีอยู่ใบหนึ่งด้วย!”

เห็นสวี่ชิงสงสัย นายกองก็เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม

“ขวดกาลเวลาที่มาที่ไปลึกลับเกินหยั่ง นับแต่โบราณมาก็ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปที่แท้จริงสักเท่าไร แต่ว่าเหล่าจักรพรรดิโบราณทั้งหลายที่รวบรวมมหาพิภพต้องประสงค์ให้เป็นหนึ่งล้วนค้นหารวบรวม

“เรื่องเล่าก็เป็นแค่เรื่องเล่า ในขวดกาลเวลาแฝงไว้ซึ่งความลับยิ่งใหญ่ในการสร้างมหาพิภพต้องประสงค์ แล้วยังมีคนพูดว่าในนั้นมีวิธีทำลายพันธนาการของผู้ปกครองจักรพรรดิโบราณ

“ยิ่งมีคนบอกว่า ในขวดกาลเวลาแฝงไว้ด้วยมรดกล้ำค่าสูงส่งวิชาหนึ่ง”

“มีพูดกันไปต่างๆ นานา และจำนวนของขวดกาลเวลา ในหนึ่งศักราชจะเกิดขึ้นมาหนึ่งใบ

“สรุปแล้วคือลึกลับเกินหยั่ง มองว่าเป็นวัตถุเฉพาะของราชวงศ์เท่านั้น

“แต่ว่าเวลาเนิ่นนานมานี้ เหมือนจะไม่มีใครไขความลับในนั้นจริงๆ ได้เลย แต่ขวดนี้สามารถกักเก็บเวลาได้เอง ขณะเดียวกันก็มีสรรพคุณในการหลอมอาวุธ ทำให้วัตถุไม่เสื่อมสลาย

“ศิษย์น้องเล็ก ข้ารู้ว่าทำไมก่อนหน้านี้พื้นที่บริเวณนั้นถึงแปลกประหลาดแล้ว เพราะมีช่วงเวลาหนึ่งถูกขวดกาลเวลากักเก็บเอาไว้ แผ่ออกมาข้างนอกไม่หยุด เป็นวัฏจักรซ้ำๆ”

สวี่ชิงได้ยินวัตถุนี้เป็นครั้งแรก ในใจก็ตื่นตะลึงเช่นกัน นึกถึงกล่องปรารถนาและขวดจับเสียง จึงถามขึ้นมา

“กล่องปรารถนากับขวดจับเสียงหรือ ความจริงของสองอย่างนั้นเป็นวัตถุลอกเลียนแบบที่สร้างออกมาตามขวดกาลเวลา อย่างหนึ่งลอกเลียนแบบความสามารถที่ไม่เสื่อมสลาย อีกอย่างหนึ่งลอกเลียนแบบพลังการกักเก็บเวลา!”

นายกองอธิบายเสร็จ ถือขวดใบเล็กสีม่วงเขย่าเล็กน้อย

“ในนี้ยังมีอะไรอยู่ ฟังจากเสียงแล้ว เป็นของเหลว!”

นายกองดวงตาวาววับยิ่งกว่าเดิม ดมๆ ดู ใบหน้าเคลิบเคลิ้ม

“หอมมาก ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่รู้สึกว่ากินได้ ศิษย์น้องเล็ก พวกเรากินมันดีหรือไม่”

สวี่ชิงมองนายกอง เลียริมฝีปาก ส่งขวดให้สวี่ชิง

“เจ้าดมดู”

สวี่ชิงรับมา วางไว้ที่หน้าจมูกดมดู กลิ่นหอมประหลาดกระแทกเข้าจมูก แปรเปลี่ยนเป็นพลังแผ่ซ่านไปทั่วกาย ไม่ได้สร้างปฏิกิริยาของร่างเทพ แต่ตะเกียงแห่งชีวิตสี่ดวงในทะเลความรู้สึกกลับสั่นสะท้านรุนแรง

แผ่ความปรารถนาไม่สิ้นสุด เหมือนว่าวัตถุนี้สำหรับตะเกียงแห่งชีวิตแล้วไม่ธรรมดา

แล้วยังมีวังที่สิบสองที่ยังเปลี่ยนเป็นวัตถุจริงไม่สมบูรณ์ก็สั่นคลอนเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าวัตถุในขวดกาลเวลามีประโยชน์ในการเปลี่ยนวังสวรรค์ให้เป็นวัตถุจริงเป็นอย่างมากมาก

สวี่ชิงหวั่นไหว

แต่ในใจจะมากจะน้อยก็ค่อนข้างลังเล ในเมื่อของเหลวในนี้คืออะไรไม่รู้ อีกทั้งยังผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน แต่ว่ากินได้หรือไม่เรื่องนี้ สวี่ชิงสุดท้ายแล้วก็เลือกที่จะเชื่อนายกอง

“พวกเรากินกัน!” สวี่ชิงพยักหน้าหนักแน่น

นายกองหัวเราะฮี่ๆ รับขวดมา หลังจากแกว่งๆ ขวดเล็กน้อย ก็เทไปในปาก ทันใดนั้นของเหลวโปร่งใสแต่เหนียวเป็นอย่างมากหยดหนึ่งก็ไหลจากปากขวดเข้าไปในปาก

ข้างในยังเหลืออีกหยดหนึ่ง ไม่รอให้มันหยดออกมา นายกองก็ยื่นขวดใบเล็กไปข้างหน้าสวี่ชิง

สวี่ชิงอ้าปาก เสี้ยวขณะต่อมา ของเหลวเหนียวหยดที่สองก็ไหลเข้าปากเขา

เสี้ยวขณะต่อมาต่างหลับตา เริ่มทำการดูดซับ

สวี่ชิงทางนี้รู้สึกเพียงแค่ในร่างกาย ณ เสี้ยวขณะนี้เหมือนจะระเบิด พลังสะท้านสะเทือนฟ้าดินกลุ่มหนึ่งระเบิดมาจากในปากของเขา ไหลไปตามลำคอซัดโหมไปในร่างกาย จากนั้นก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง แล้วไปรวมอยู่ที่ทะเลความรู้สึก

วังสวรรค์ที่แปรเปลี่ยนมาจากตะเกียงแห่งชีวิตสี่ดวงในทะเลความรู้สึกสั่นสะท้านรุนแรง เหมือนปฏิกิริยาที่ลูกกลอนพิษต้องห้ามสัมผัสได้ถึงปราณเทพเมื่อก่อนหน้านี้ แผ่ความปรารถนาสูงสุดออกมา

เห็นได้ชัดว่าพวกมันในห้วงเวลายาวนานต่างแห้งผาก ยากที่จะได้รับการชดเชยหล่อเลี้ยงเช่นนี้ แม้ว่าพวกมันจะอยู่ในร่างสวี่ชิง เพิ่มพลังให้กับเขา แต่ไม่ได้เกิดมาจากสายเลือดของสวี่ชิง

หลังจากต่างดูดซับแล้ว ไฟชีวิตที่ลุกไหม้ในนั้นก็สว่างขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แสงไฟท่วมฟ้า สาดส่องทั่วสารทิศ กระทั่งว่าแม้แต่หมอกแห่งทะเลความรู้สึกภายใต้แสงสว่างนี้ก็เปลี่ยนมาชัดเจน

ส่วนตะเกียงแห่งชีวิตทั้งสี่ดวงนั่นภายใต้แสงโชติช่วงของเปลวไฟ พลังก็พุ่งเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล เลาๆ ว่ารูปลักษณ์มีการเปลี่ยนแปลงด้วย เหมือนว่าต่างมีภาพมายามนุษย์จิ๋วนั่งขัดสมาธิ กำลังก่อตัวขึ้นในไส้ตะเกียง

ภาพนี้ทำเอาจิตใจสวี่ชิงเกิดคลื่นยักษ์ซัดโหม เขารู้ว่ามนุษย์จิ๋วนั่นคืออะไร

นั่นคือปราณก่อกำเนิด!

ตอนนี้แม้จะยังเป็นภาพมายา ยังไม่ก่อตัวขึ้นอย่างแท้จริง แต่ดูจากความเร็วที่ปรากฏเป็นภาพมายา ก็เหมือนจะอีกไม่ไกลแล้ว

ความจริงก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

จากของเหลวโบราณในขวดกาลเวลาหยดนั้นที่ปะทุอยู่ตลอด ตะเกียงแห่งชีวิตสี่ดวงของสวี่ชิง ไฟชีวิตก็ยิ่งลุกโหมโชติช่วง เหมือนหยดน้ำมันตะเกียงลงไป

มนุษย์จิ๋วในไส้ตะเกียงชัดขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับสวี่ชิงทุกประการ

หลายสิบอึดใจหลังจากนั้น ตะเกียงแห่งชีวิตร่มดำที่ติดตามสวี่ชิงมานานที่สุด ประกายแสงบนนั้นพลันปะทุไปข้างนอก พลังแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งหลังจากปะทุในนั้น มนุษย์จิ๋วในนั้นก็แปรเปลี่ยนจากมายาเป็นของจริง

เปลี่ยนมาชัดเจนอย่างยิ่งในเปลวไฟ ดวงตาทั้งสองของมนุษย์จิ๋วก็พลันลืมขึ้น สัมผัสกับจิตเทพของสวี่ชิงโดยมีไฟชีวิตกั้น เหมือนมองซึ่งกันและกัน

สวี่ชิงในสมองมีสายฟ้าฟาดผ่า กลิ่นอายพลังบำเพ็ญแผ่ระลอกตาม แผ่พลังแข็งแกร่งที่เหนือกว่าก่อนหน้านี้

ขณะเดียวกัน ฉัตรคันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะสวี่ชิง

ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ ฉัตรที่ปรากฏครั้งนี้สีแจ่มชัดกว่าเดิม ดูแล้วยิ่งสมจริงมากขึ้น ภายใต้การปกคลุมของมัน สวี่ชิงที่นั่งขัดสมาธิเหมือนกับจักรพรรดิโบราณอายุเยาว์จริงๆ

เต็มไปด้วยอำนาจความน่าเกรงขาม

แต่ทุกอย่างยังไม่จบแค่นั้น ไม่นานนักตะเกียงลมครวญเจ็ดสีของเขา ท่ามกลางเสียงสะท้อนแหลมกังวานน่าฟังเป็นระลอก มนุษย์จิ๋วในไส้ตะเกียงพลันลืมตาทั้งสองขึ้น

ฉัตรคันที่สองปรากฏขึ้นมา!

จากนั้นในตะเกียงปีกโลหิตวิญญาณทมิฬ ปราณก่อกำเนิดก็เกิดขึ้นมา จากนั้นในตะเกียงสังหารเซียนกัดกินเทพ ปราณก่อกำเนิดก็ก่อตัวขึ้นอีก!

สวี่ชิงที่นั่งขัดสมาธิใต้ฉัตรสี่คัน ทั่วทั้งร่างไหลเวียนไปด้วยประกายแสงพราวพร่าง ร่มดำอยู่เหนือศีรษะ แสงเจ็ดสีล้อมรอบ ปีกโลหิตอยู่ข้างหลัง กลิ่นอายอำมหิตโหดเหี้ยม

รวมกับรูปโฉมที่งดงามสง่าของเขา ภาพนี้หากอยู่นอกโลกจะต้องทำให้คนนับไม่ถ้วนจิตใจสั่นสะท้านอย่างแน่นอน กระทั่งว่าหากไม่รู้ฐานะตัวตนของเขา เกรงว่าคงจะคิดว่าเขาถึงจะเป็นจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ลงมาเยือนแน่นอน

ปราณก่อกำเนิดสี่ดวงทยอยปรากฏขึ้นมา ทำให้พลังบำเพ็ญของสวี่ชิงพุ่งเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้ระลอกคลื่นพลังน่าครั่นคร้าม พลังน่าพรั่นพรึงหมุนวนอยู่ในร่าง รวมถึงปราณก่อกำเนิดห้าดวงที่รวมปราณก่อกำเนิดวิหคทองในนั้นปะทุมา

ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกเหมือนเคราะห์สวรรค์จะลงมาเยือน ก็เกิดขึ้นมารางเลือนในจิตใจสวี่ชิง แต่ก็ยังขาดอีกเล็กน้อย ต้องรอให้เกิดความรู้สึกมากกว่านี้ถึงจะเหนี่ยวนำได้

ส่วนพลังของเหลวในขวดกาลเวลาตอนนี้ยังมีพลังเหลืออีกกลุ่มหนึ่ง ภายใต้การเหนี่ยวนำของสวี่ชิง ก็พุ่งตรงไปยังวังสวรรค์ที่สิบสองที่เฝ้าปรารถนามานาน

วังสวรรค์วังนี้ตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นวัตถุจริงไปแล้วกว่าครึ่ง ภายใต้การดูดซับ การแปรสภาพเป็นวัตถุจริงก็โคจรอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็มาถึงแปดส่วน จวบจนเก้าส่วน และสุดท้ายก็เกือบจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว!

วังสวรรค์ที่สิบสองฉายประกายเจิดจรัส สั่นเทือนไม่หยุด

ขาดเพียงวัตถุสะกดชิ้นหนึ่งเท่านั้นก็จะสมบูรณ์!

สวี่ชิงลืมตา เห็นนายกองที่มองฉัตรของตัวเองด้วยสีหน้าเสียดายเล็กน้อยข้างหน้า

กลิ่นอายของนายกองก็เพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มากอย่างเห็นได้ชัด เหมือนกับสวี่ชิง ต่างแผ่ระลอกคลื่นพลังปราณก่อกำเนิด แต่มีพลังปราณกี่ปราณ ยากจะมองออก

“อาชิงน้อย ปราณก่อกำเนิดที่ก่อขึ้นในตะเกียงแห่งชีวิตในร่างเจ้า ใกล้จะเหนี่ยวนำพลังเคราะห์ที่หนึ่งได้แล้ว!”

สังเกตเห็นสวี่ชิงตื่นขึ้น นายกองสูดลมหายใจลึก สีหน้าฉายแววเสียดายเล็กน้อย

“ตะเกียงแห่งชีวิตเป็นของล้ำค่าสูงสุด แต่น่าเสียดาย พวกเราไม่มีสายเลือดเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณ ไม่สามารถสร้างตะเกียงแห่งชีวิตเองได้ และตะเกียงแห่งชีวิตที่มาจากข้างนอกสุดท้ายแล้วก็ไม่อาจผสานกับสายเลือดของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ ทำไม่ได้เหมือนกับลูกหลานเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณในตำนานพวกนั้นที่สามารถเปลี่ยนตะเกียงแห่งชีวิตเป็นเตาหลอมของสมบัติวิญญาณขอบเขตนี้ เอาไว้ในสมบัติวิญญาณทั้งห้า เผาไหม้อยู่ตลอด หลอมทุกอย่างให้เป็นรากฐานสมบัติลับของตัวเอง

“นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้บำเพ็ญยิ่งใหญ่ที่ฝึกบำเพ็ญถึงระดับสมบัติวิญญาณเหล่านั้นถึงไม่ได้ปรารถนาตะเกียงแห่งชีวิตสักเท่าไร ไม่ใช่ตะเกียงแห่งชีวิตไม่ดี แต่พวกเราไม่สามารถใช้ได้ในภายหลัง เฮ้อ”

สวี่ชิงเงียบนิ่ง แม้เขาจะไม่รู้ว่าตะเกียงแห่งชีวิตในระดับสมบัติวิญญาณเปลี่ยนเป็นเตาหลอมได้ แต่ก็ค้นพบเหมือนกันว่าจากการยกระดับขึ้นของพลังบำเพ็ญ การเพิ่มพลังจากตะเกียงแห่งชีวิตก็ใกล้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

“ไม่มีวิธีทำให้มันผสานรวมกับสายเลือดของตัวเองเลยหรือ” สวี่ชิงถามประโยคหนึ่ง

“นี่เป็นวิธีที่แต่โบราณกาลมาทุกคนล้วนอยากหาให้เจอ แต่น่าเสียดาย ทำไม่ได้ นอกเสียจากพลังบำเพ็ญของตัวเองจะถึงระดับเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณ ถึงจะพลิกย้อนทุกอย่างได้ ทำให้สายเลือดก่อกำเนิดตะเกียงแห่งชีวิต ทำให้สายเลือดรุ่นหลังมีวาสนานี้”

นายกองส่ายหน้า

สวี่ชิงพยักหน้า ไม่ได้เสียดายสักเท่าไร จะอย่างไรในขอบเขตปราณก่อกำเนิดระดับนี้ ตะเกียงแห่งชีวิตก็ยังสามารถเพิ่มพลังได้ อีกทั้งสวี่ชิงรู้สึกว่าตะเกียงแห่งชีวิตในขอบเขตปราณก่อกำเนิดน่าจะนับว่าเป็นการสำแดงสภาวะที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว

นายกองตบไหล่สวี่ชิง

“แต่ก็ไม่เป็นไร รอข้าคิดหาวิธี ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะอาศัยพลังทำได้ ยังไม่พูดเรื่องนี้ อาจารย์ก่อนจะไปเหมือนว่าจะคิดไม่ถึงว่าพวกเราจะได้วาสนาขวดกาลเวลา ดังนั้นก่อนไปก็รีบร้อนไม่ได้บอกรายละเอียด เช่นนั้นเรื่องที่เกี่ยวกับปราณก่อกำเนิด ข้าบอกกับเจ้าก่อนก็แล้วกัน

“ปราณก่อกำเนิดขอบเขตนี้ แต่ละเผ่ามีชื่อเรียกต่างกันไป มีเรียกว่าขอบเขตอายุขัยสวรรค์ ขอบเขตปราณมรรคา แล้วก็มีปราณก่อกำเนิดลิขิตสวรรค์ ชื่อเรียกทุกอย่างความจริงล้วนเปลี่ยนไปตามจักรพรรดิโบราณที่รวมดินแดนเป็นหนึ่งจากทุกรุ่น

“หลังจากที่จักรพรรดิโบราณเสวียนโยวรวมเป็นหนึ่งก็กำหนดเรียกเป็นชื่อเดียว เรียกว่าปราณมรรคาลิขิตสวรรค์ ความจริงล้วนเป็นความหมายเดียวกัน คำว่ามรรคา ตอนนั้นเติมเข้าไปเพื่อรวบรวมความเข้าใจของทุกเผ่าให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

“ส่วนลิขิตสวรรค์คือเคราะห์สวรรค์ประเภทหนึ่ง”

จากการบอกของนายกอง สวี่ชิงผนวกความเข้าใจต่อขอบเขตปราณมรรคาลิขิตสวรรค์ของตัวเองก่อนหน้านี้ ความรู้ความเข้าใจที่ครบทุกด้านก็ค่อยๆ ผุดขึ้นมาในใจ

ขอบเขตปราณมรรคาลิขิตสวรรค์ของเขตนี้ความจริงแล้วในความรู้ความเข้าใจเผ่ามนุษย์ อย่างน้อยจะต้องมีปราณมรรคาหนึ่งดวงผ่านการชำระล้างจากเคราะห์สวรรค์ จึงจะเรียกได้ว่าปราณมรรคาลิขิตสวรรค์

ต่อให้เหยียบไปในขอบเขตนี้แล้ว แต่ไม่ได้ผ่านการชำระล้างจากเคราะห์สวรรค์ ไม่ว่าจะมีปราณมรรคาเท่าไร ตามทฤษฎีแล้วล้วนเป็นระดับก่อกำเนิดลวง

ยุคจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวล้วนเป็นเช่นนี้ แต่จากการสญสลายการรวมเป็นหนึ่งของเผ่ามนุษย์ ชื่อเรียกก็ถูกเปลี่ยนไป

จากความเข้าใจที่แตกต่างออกไปของแต่ละเผ่า ก็มีความเข้าใจมากมาย หลายเผ่ามองว่าต่อให้ไม่ผ่านเคราะห์สวรรค์ แต่ขอเพียงมีปราณมรรคาปรากฏ ก็คือขอบเขตปราณก่อกำเนิด

ส่วนด่านเคราะห์สวรรค์ที่ต้องผ่านด่านนี้เป็นพันธนาการของขอบเขตปราณก่อกำเนิดเอง ทุกครั้งที่มีปราณใหม่ก่อกำเนิดขึ้น สะสมพลังเผชิญเคราะห์สวรรค์ หลังจากถูกเคราะห์สวรรค์ชำระล้างแล้ว ก็จะทำลายพันธนาการครั้งหนึ่ง

มหาพิภพต้องประสงค์อย่างไรก็กว้างใหญ่มาก เผ่าพันธุ์มากมาย คุณสมบัติกายก็ต่างกัน เหมือนเผ่าเคียงเซียนที่มุมมองต่างไปจากเผ่าอื่นๆ โดยสิ้นเชิงก็มีไม่น้อย จึงยากที่จะมีความเข้าใจแบบเดียวกันในขั้นนี้

ส่วนวิธีการยกระดับ จากการที่แต่ละเผ่ามีสาขาย่อยมากมาย ด้วยเหตุนี้จึงมีความแข็งแกร่งอ่อนแอ

สรุปแล้ว โดยรวมแบ่งเป็นสองประเภท ประเภทหนึ่งคือหลังจากที่ปราณก่อกำเนิดปราณที่สองก่อกำเนิดขึ้นในร่าง เลือกที่จะเหนี่ยวนำเคราะห์สวรรค์ทำการชำระล้าง และยกระดับลิขิตสวรรค์จากการนี้

ประเภทที่สอง ผู้บำเพ็ญที่เลือกค่อนข้างน้อย นั่นก็คือหลังจากที่ทำให้วังสวรรค์ทุกวังของตัวเองเปลี่ยนเป็นปราณมรรคาแล้ว ก็ทำการผ่านเคราะห์สวรรค์ไปพร้อมกัน เกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าถล่มปฐพีในทีเดียว

อย่างหลังยากลำบาก แต่หากสำเร็จ พลังลิขิตสววรรค์ที่ได้จะยิ่งเข้มข้น จะมีส่วนช่วยสมบัติวิญญาณในภายหลังไม่น้อย

และหลังจากเหยียบย่างเข้าสู่ปราณมรรคาลิขิตสวรรค์ขอบเขตนี้แล้ว วิธีการยกระดับต่างไปจากแก่นลมปราณวังสวรรค์ ที่ต้องผ่านเคราะห์ลิขิตสวรรค์ ผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิดทุกคนล้วนผ่านหนึ่งครั้งก็เป็นการยกระดับมหาศาล

ทั้งหมดห้าครั้ง ผ่านทั้งหมด ก็จะเป็นขั้นบริบูรณ์

ในนั้นแฝงไว้ด้วยอันตราย ดังนั้นผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิดต้องยกระดับความแข็งแกร่งของร่างกาย พัฒนาไม่หยุดหย่อน ถึงจะมีทุนในการผจญเคราะห์ ไม่เช่นนั้นแล้ว หากผจญเคราะห์ล้มเหลว ปราณก่อกำเนิดก็จะแตกสลายอย่างไม่อาจย้อนแก้ไขได้ หายไปตลอดกาล

และตะเกียงแห่งชีวิตขั้นนี้ เป็นสภาวะที่แข็งแกร่งที่สุด เพราะเคราะห์ตะเกียงแห่งชีวิตต่อให้ล้มเหลวก็ไม่สลายไป ดังนั้นหลังจากที่ล้มเหลวสามารถลองได้หลายครั้ง

“ใช้สิ่งนี้วางไปในวังที่สิบสองของเจ้า ใช้เป็นวัตถุสะกด!”

สวี่ชิงเงยหน้ามองนายกอง

“ของชิ้นนี้แม้จะล้ำค่า แต่ข้าไม่ได้ใช้ การฝึกบำเพ็ญของข้าคือการคลายผนึก” นายกองหัวเราะฮี่ๆ ขยิบตาให้สวี่ชิง

“ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่” ในใจสวี่ชิงเกิดความอบอุ่น หลายปีมานี้ เขามองนายกองกับนายท่านเจ็ดเป็นคนในครอบครัวที่ไม่อาจขาดได้ของตัวเองแล้ว

ประสบการณ์ในวัยเด็กของสวี่ชิง ทำให้นิสัยของเขาเย็นชา แต่ส่วนลึกในใจล้วนเฝ้าปรารถนาในครอบครัวมาโดยตลอด

ส่วนนายกองทางนี้ ทั้งสองคนตลอดทางที่เดินมาผ่านเรื่องราวมากมาย เป็นตายหลายครั้ง ในใจสวี่ชิงวางเขาไว้ในตำแหน่งพี่ชายตั้งนานแล้ว

ตอนนี้รับขวดกาลเวลามา สวี่ชิงไม่ลังเลแม้แต่น้อย วางมันไปในวังสวรรค์ที่สิบสองของตัวเอง

วังสวรรค์ส่งเสียงสนั่นหวั่นไหว เสร็จสิ้นสมบูรณ์ อีกทั้งไม่เหมือนกับวังสวรรค์วังอื่น ในวังสวรรค์วังที่สิบสองแผ่พลังแสงเป็นระลอกๆ ในความเลือนราง สวี่ชิงเหมือนได้ยินเสียงถอนหายใจที่คุ้นเคยดังสะท้อนมาในวันเวลาด้วย

เสียงถอนหายใจนี้ทำให้เขาอึ้งตะลึง

นั่นคือ…เสียงของจื่อเสวียน

สวี่ชิงกำลังจะหาให้ดี แต่ตอนนี้เองท้องฟ้ามีเสียงระเบิดกึกก้องสะท้านสะเทือนดังมา ยิ่งมีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังมา รอยแยกแต่ละทางๆ แผ่มาจาปลายฟ้าไกล แผ่ลามไปเต็มผืนฟ้าอย่างรวดเร็ว

ฟ้าเหมือนกลายเป็นใยแมงมุม

พลังสีแดงฉานแถบหนึ่ง ปะทุมาบนท้องฟ้าแห่งนี้!

สวี่ชิงและนายกองหน้าเปลี่ยนสีไปพร้อมกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!