Skip to content

Outside Of Time 542

บทที่ 542 หญิงสาม งูหนึ่ง ชายหนึ่ง

ท่ามกลางความอ่อนโยนแฝงด้วยเสียงที่ไพเราะ เหมือนสายฝนกระทบมาในเรือศึกเวท ดังมาในหูของสวี่ชิง หลิงเอ๋อร์ก็ได้ยินเช่นกัน

หลิงเอ๋อร์เบิกตากว้าง มองไปข้างนอกอย่างสงสัย

สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ เมื่อได้ยินก็ยกมือขึ้นสะบัด ทันใดนั้นเกราะป้องกันเรือศึกเวทสลายไป และเงาร่างของติงเสวี่ยในเสี้ยวพริบตาที่เกราะป้องกันเรือเวทสลายไป ก็เหยียบเงาจันทร์เข้ามา

คนที่ปรากฏในดวงตาสวี่ชิงผมยาวประบ่า สวมชุดสีม่วงทั้งชุด ที่ผมผูกแถบผ้าสีทอง แสงจันทร์สาดทอ เกิดประกายแสงกระจ่างวาววาม หลังแบกกระบี่โบราณสัมฤทธิ์เอาไว้ ยิ่งฉายความงามสง่า

แต่ก็ไม่ขาดความงดงามอ่อนโยน ดวงตาทั้งสองที่แฝงด้วยรอยยิ้มพราวเสน่ห์งดงาม ฉายอารมณ์ชัดเจน มุมปากเล็กยกขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากแดงเผยอเล็กน้อย มีความรู้สึกที่ชวนอยากใกล้ชิดสนิทสนม

รวมกับวัยสาวที่เต็มไปด้วยความอ่อนเยาว์ ทำให้ติงเสวี่ยที่มาเยือนหลังจากที่ไม่ได้พบหน้ากันมาสองปี กลายเป็นหญิงสาวที่ฉายเสน่ห์งดงามมาจากในกระดูก

และแสงจันทร์เมื่ออยู่ต่อหน้าเงาร่างงดงามที่คอยดึงดูดความสนใจจากเพศตรงข้ามอยู่ตลอดเวลานี้ก็เหมือนจะเปลี่ยนมาเขินอายถอยหลบ ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่อง นางยิ่งดูงดงามน่าหลงใหล

สวี่ชิงคาดไม่ถึงเช่นกัน มองไปทางฝั่งที่อยู่ไกลไปตามสัญชาตญาณ

“พี่สวี่ชิง ไยท่านถึงมองข้าเช่นนี้เล่า” ใบหน้างดงามของติงเสวี่ยแดงเล็กน้อย เดินเข้ามาในห้องโดยสารเรือ

“ข้าไม่ได้มองเจ้า ข้ากำลังมองหาเจ้าจงเหิง” สวี่ชิงพูดตามตรง

อกอวบอิ่มของติงเสวี่ยสะท้านขึ้นลงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าคำพูดไม่รู้ประสาของสวี่ชิงประโยคนี้มีพลังทำลายล้างไม่น้อย แต่สำหรับติงเสวี่ยแล้วนี่ไม่นับเป็นเรื่องอะไร

ความลำบากไม่ใช่สิ่งที่เอาไว้กำจัดข้ามไปหรอกหรือ!

ท่ามกลางดวงตางดงามที่แฝงด้วยห้วงอารมณ์วาดหวัง ก็เดินมาข้างหน้าสวี่ชิง มองใบหน้างดงามที่ทำให้คนวิญญาณเฝ้าถวิลหาแม้ในฝันข้างหน้า หัวใจของติงเสวี่ยเต้นตึกตัก กลืนน้ำลายอึกหนึ่งอย่างควบคุมไม่ได้

ขณะเดียวกับที่พยายามควบคุมตัวเอง ในใจของนางก็นึกเสียดายเรื่องที่ตัวเองคว้าเอาตัวสวี่ชิงมาไม่ได้ที่เกาะเงือกในตอนนั้นเสียเหลือเกิน

‘โทษเจ้าจงเหิงคนนั้นเลย หึ แต่ไม่เป็นไร เรื่องอะไรก็ไม่พ้นความพยายามคน!’

ติงเสวี่ยให้กำลังใจตัวเอง ยกมือเอาตั๋ววิญญาณออกมาปึกหนึ่ง วางไว้ข้างหน้าสวี่ชิง ระหว่างนั้นก็จงใจเผยท่อนแขนขาวเนียนละเอียดเรียวงามราวหยกออกมา

“พี่สวี่ชิง นี่เป็นผลกำไรท่าเรือที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกในสองปีนี้ ต่อให้จางซานนั่นจะเก่งกาจเพียงใด ก็ละเอียดสู้ข้าไม่ได้ เหรียญวิญญาณขาดไปเหรียญหนึ่งก็ไม่ยอม”

สวี่ชิงพยักหน้า ก่อนหน้านี้ทางศิษย์พี่จางซานทางนั้น เขาก็ได้รู้แล้วว่าติงเสวี่ยสองปีมานี้ช่วยตนดูแลผลกำไรมาตลอด สำหรับความกระตือรือร้นของติงเสวี่ย สวี่ชิงซาบซึ้งนัก

โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงตอนที่ตนยากจนที่สุดในตอนนั้น หินวิญญาณเหล่านั้นที่อีกฝ่ายจ่ายเพื่อแสดงความเคารพต่อความรู้ ก็ทำให้สวี่ชิงรู้สึกดีกับติงเสวี่ยมาโดยตลอด

ดังนั้นบนใบหน้าของเขาจึงฉายรอยยิ้ม รับตั๋ววิญญาณมา ดึงจากในปึกออกมาจำนวนหนึ่งแล้วยื่นให้ติงเสวี่ย

“พวกนี้ให้เจ้าแล้วกัน”

ติงเสวี่ยกะพริบตาปริบๆ ไม่ได้ยื่นมือไปรับทันที แต่มือทั้งสองบิดชายเสื้อ ทำท่าเหมือนอยากจะพูดแต่ก็หยุดเอาไว้ หลังจากนั้นหลายอึดใจ ในใจนางคิดว่าสมควรแก่เวลาแล้ว จึงหยิบขวดสีขาวงดงามไร้ตำหนิใบหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของ แล้ววางไว้ข้างๆ

“พี่สวี่ชิง นี่เป็นน้ำแกงข้นลูกบัวดอกกุ้ยที่ข้าตุ๋นด้วยตัวเอง ข้าคิดว่าจะส่งไปให้ท่านน้ากับน้าเขย ท่านช่วยข้าชิมหน่อยสิเจ้าคะ”

สวี่ชิงลังเล แต่เรื่องนี้ไม่มีอะไรให้ปฏิเสธได้ จึงหยิบมา หลังจากชิมไปคำหนึ่ง คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย

“หวานเสียจริง”

ใบหน้าดวงเล็กของติงเสวี่ยแดงวาบขึ้นมาทันที เอ่ยอย่างเขินอาย

“พี่สวี่ชิงท่าน…ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ”

สวี่ชิงรู้สึกว่าประโยคนี้ค่อนข้างจะแปลกๆ กำลังจะพูด ติงเสวี่ยก็หน้าแดงก่ำลุกขึ้นมา

“พี่สวี่ชิง ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ ท่านเพิ่งกลับมาพักผ่อนให้ดี พรุ่งนี้ข้าค่อยมาหาท่านใหม่

“แล้วก็ ขอบคุณพี่สวี่ชิงที่ให้เงินค่าขนมข้า”

ติงเสวี่ยหยิบตั๋ววิญญาณที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมา ใบหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากไปจากเรือศึกเวทแล้ว ที่ริมฝั่ง สีหน้าของนางฉายแววได้ใจออกมา

‘วิธีที่ท่านน้าสอนได้ผลจริงๆ ด้วย ต้องวางตัวเองให้เป็นคนดูแลบ้าน และคิดอยากจะคว้าตัวพี่สวี่ชิงมา เรื่องนี้ข้าจะรีบร้อนไม่ได้ จะต้องทำเงียบๆ เนียนๆ ไม่ให้รู้ตัว มีเพียงทำเช่นนี้ถึงจะคลายความระแวงระวังของเขาได้ จากนั้นก็จะถูกข้าหลอมละลายโดยไม่รู้ตัว

‘อีกทั้งจะเป็นฝ่ายเสนอตัวมากเกินไปไม่ได้ ต้องสวมบทตัวเองเป็นเหยื่อ ท่านน้าบอกแล้ว ตอนนั้นนางก็ใช้วิธีนี้คว้าน้าเขยมา”

ติงเสวี่ยคิดถึงตรงนี้ ในใจก็เริ่มจัดลำดับแผนการของตัวเอง ละเอียดมาก…

ในห้องโดยสารเรือ สวี่ชิงขมวดคิ้ว ก่อนหน้านี้ คำพูดของติงเสวี่ยค่อนข้างจะกำกวม

“พี่สวี่ชิง” หลิงเอ๋อร์มุดออกมาจากแขนเสื้อสวี่ชิง น้ำเสียงแฝงด้วยความจริงจัง

“ท่านต้องระวังนาง เมื่อครู่ข้ารู้สึกถึงสายตาที่นางมองท่านมันแฝงด้วยการโจมตี คล้ายว่ามีจุดประสงค์อันแรงกล้า ข้าเคยได้ยินท่านพ่อข้าพูดไว้ มีคนจำนวนไม่น้อยเชี่ยวชาญการสิงร่าง สายตาของนางมีความหมายนี้ พี่สวี่ชิง นางเป็นคนไม่ดี”

สวี่ชิงได้ยินก็ระแวงขึ้นมาตามสัญชาตญาณเป็นอันดับแรก แต่จากนั้นก็รู้สึกว่าไม่ค่อยจะเป็นได้ ทว่าสุดท้ายแล้วในใจก็เพิ่มความระแวดระวังขึ้นมาเล็กน้อย

เห็นสวี่ชิงยังคงเห็นด้วยกับตน หลิงเอ๋อร์ดีใจมาก

“พี่สวี่ชิง ข้าเก่งกาจมาก โดยเฉพาะเรื่องสังเกตรายละเอียดสีหน้าท่าทางของคนอื่น มีข้าอยู่จะต้องช่วยท่านแยกแยะว่าใครเป็นคนไม่ดีได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

สวี่ชิงหัวเราะออกมา กำลังจะเตรียมนั่งสมาธิ แต่ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น มองไปข้างนอก

ไม่นานนัก เสียงผู้หญิงที่มีความตื่นเต้นยินดี แฝงด้วยความสั่นเครือเล็กน้อยก็ดังมาจากนอกเรือ

“พี่สวี่ชิง ในที่สุดท่านก็กลับมาเสียที…”

นอกเรือ เด็กสาวชุดดำทั้งตัวคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงนั้น ในมือถือไหดินใบใหญ่เอาไว้ แบกไว้บนบ่า

ไหนั่นใหญ่กว่าร่างผอมแห้งของนางมาก ดูแล้วไม่สมดุล

แต่ก็เพราะเหตุนี้ยิ่งขับเน้นความพิเศษของนาง ใบหน้าขาวเนียน คิ้วใบหลิวอ่อนๆ ดวงตาไม่โตแต่กลับเหมือนแสดงโลกในใจของนางออกมาโดยไม่ปิดบัง

ในนั้นเต็มไปด้วยความหลงใหล คลั่งไคล้ และความรักที่บิดเบี้ยวอย่างหนึ่ง

จากแขนที่โผล่ออกมาก็จะเห็นรอยเลือดนับไม่ถ้วน นั่นเป็นรอยเล็บข่วน เกิดจากการทำร้ายตัวเอง

นอกจากนี้แล้ว จมูกเล็กๆ และปากเล็กๆ บนใบหน้าก็วิจิตรปราณีตนัก ผมรวบหางม้าที่สูงจนถึงกลางกระหม่อมยิ่งเพิ่มความงดงามอีกหลายส่วน

รูปลักษณ์ภายนอกที่สดใสกระฉับกระเฉง สายตาที่หลงใหล รอยแผลบนแขน ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้เกิดเป็นเงาร่างที่พิเศษเป็นอย่างมากร่างหนึ่ง

เหยียนเหยียน

จากการกระโดดของนาง เห็นว่าใกล้จะชนกับเกราะป้องกันเรือศึกเวทเต็มที และเรือศึกเวทของสวี่ชิงมีพลังระดับแก่นลมปราณ สำหรับเหยียนเหยียนที่พลังบำเพ็ญอยู่ในระดับสร้างฐานบริบูรณ์ เพียงสัมผัสก็จะต้องถูกพลังสะท้อนกลับได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่นอน

แต่นางไม่สนใจแม้แต่น้อย

สวี่ชิงรู้สภาพจิตใจของเหยียนเหยียนดี จึงสลายการป้องกัน ทำให้เหยียนเหยียนก้าวเข้ามาได้อย่างราบรื่น

ในพริบตาที่เหยียบไปบนกระดานเรือ สีหน้าของเหยียนเหยียนก็ฉายแววเสียดายออกมาเล็กน้อย นางเหมือนเตรียมเอาไว้แล้วว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส และวาดหวังเอาไว้ด้วย ตอนนี้ปลอดภัยไร้ขีดข่วนทำให้นางไม่ค่อยชิน

แต่นึกถึงเรื่องต่อจากนี้นางก็ตื่นเต้นจนเนื้อตัวสั่นระริก พุ่งไปในห้องโดยสารเรืออย่างรวดเร็ว วางไหดินไว้ข้างๆ ดังตึง ขณะสะบัดมือ เครื่องมือลงทัณฑ์ครบชุดก็ปรากฏขึ้นเสียงดังเคร้งอยู่ข้างๆ

มีเข็ม มีด คีม เลื่อย…

ครบครันขึ้นกว่าเมื่อสองปีที่แล้ว กระทั่งว่าบนนั้นมีรอยเลือดแห้งดำมากมายด้วย

เครื่องมือลงทัณฑ์พวกนี้เห็นได้ชัดว่าใช้มาหลายครั้งแล้ว แปดเปื้อนวิญญาณแค้นและรังสีอำมหิต อวลไปทั่วทั้งห้องโดยสารเรือ

“พี่สวี่ชิง พวกเรา…พวกเราเริ่มเลยเถอะ”

ปีกจมูกของนางหด ลมหายใจหอบถี่ ยกมือซัดไปยังไหดิน

จากไหดินที่แตกออก หมอกเป็นกลุ่มๆ ลอยออกมาจากในนั้น เป็นเผ่าควันขจรนั่นเอง

แม้หลังจากเหตุการเปลี่ยนแปลงปลัดเขตปกครองจะถูกเผ่ามนุษย์ลงโทษไปแล้ว แต่ก็เผ่าควันขจรยังมีจำนวนหนึ่งที่ไหวตัวทัน จึงหนีไปก่อน หรือออกไปนอกเผ่ายังไม่ได้กลับไป

ในนั้นมีผู้แข็งแกร่ง และก็มีพวกที่ธรรมดาๆ เช่นกัน

ที่ปรากฏออกมาจากไหดินพวกนี้เป็นพวกหลัง แม้จำนวนจะไม่มาก แต่ส่วนใหญ่ล้วนแผ่ระลอกพลังระดับสร้างฐานออกมา มีบ้างที่เป็นแก่นลมปราณวังสวรรค์ แต่ก็อ่อนแรงยิ่งนัก

“พี่สวี่ชิง นี่เป็นพวกเผ่าควันขจรที่ท่านย่าพาข้าไปจับมา น่าเสียดายที่ตัวใหญ่ๆ หาไม่เจอ มีแค่พวกปลายแถวพวกนี้ แต่ก็พอให้พวกเราเล่นแล้ว

“หลังจากท่านไป ข้าก็ตัวคนเดียว เล่นไม่สนุกเลย”

ในสายตาเหยียนเหยียนแฝงด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง ยกมือคว้า ทันใดนั้นเงาร่างเผ่าควันขจรกลุ่มหนึ่งก็ถูกนางกระชากมา ลอยอยู่กลางฝ่ามือ ขณะที่ดิ้นรนก็มีมีดมากมายพุ่งมาจากข้างๆ ล้อมอยู่รอบๆ ลอยวนอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมมีด

นอกจากฉีกร่างหมอกขาดวิ่นแล้ว กลับไม่มีเสียงร้องโหยหวนดังออกมา

เพราะต่อให้ขาดวิ่นเพียงใด ร่างหมอกของเผ่าควันขจรก็ยังสามารถผสานได้ใหม่อย่างรวดเร็ว เช่นนี้แล้วความเจ็บปวดจากการฉีกขาดก็อยู่ไม่นาน ยากที่จะส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมา

แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เห็นร่างหมอกเผ่าควันขจรถูกฉีกขาด ภาพนี้ก็ยังคงทำให้เหยียนเหยียนหลงใหล ขณะที่ร่างยิ่งสั่นสะท้าน นางก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางสวี่ชิง

กำลังจะอ้าปากพูด แค่พบว่าสีหน้าของสวี่ชิงเหมือนไม่แยแส นี่ทำให้นางอึ้งตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ ส่งเสียงถามออกไปอย่างลังเล

“พี่สวี่ชิง ท่านไม่ชอบแบบนี้แล้วหรือ”

ขณะพูด ในดวงตาเหยียนเหยียนก็ฉายแววกระวนกระวาย กระทั่งว่ากลิ่นอายบนตัวนางเริ่มวิตกปั่นป่วน สีหน้ามีรอยกังวล แฝงด้วยความสิ้นหวัง

นางสนใจกับคำตอบของสวี่ชิงมากๆ และคำตอบนี้สามารถส่งอิทธิพลต่อโลกในใจของนางได้ทั้งใบ

สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด เขามองท่าทีไม่ชอบมาพากลของเหยียนเหยียนออก

สองปีก่อนแม้อีกฝ่ายจะอยู่ในสภาวะป่วย แต่ก็ห่างไกลจากความบ้าคลั่งแบบนี้ในตอนนี้มาก รอยบนแขนของนาง เก่าใหม่เต็มไปหมด จินตนาการได้ว่าทั้งตัวก็จะต้องเป็นแบบนี้เช่นกันแน่นอน

และแววขาดอากาศหายใจที่แฝงอยู่ในสุดลึกของดวงตานางเหมือนคนที่จมน้ำที่ขอความช่วยเหลือตามสัญชาตญาณก่อนตาย

อาการป่วยของนางสาหัสยิ่งกว่าเดิมแล้ว

ไม่ทารุณคนอื่น แต่ทำร้ายตัวเอง มีเพียงอยู่ในความเจ็บปวดและความบิดเบี้ยวอย่างสุดขีดเท่านั้น นางถึงจะหายใจได้คล่อง ถึงจะหาความสุขเจอ

ในดวงตาสวี่ชิงฉายประกายล้ำลึก ข้างหูมีเสียงแก่ชราที่คนอื่นไม่ได้ยินดังมา

“สวี่ชิง เจ้าช่วยหลานสาวเพียงคนเดียวของหญิงชราคนนี้ด้วยเถิด…เนื่องจากในกายนางไม่มีไอพลังประหลาด ตั้งแต่เด็กก็เกิดจิตมารขึ้น นิสัยก็โหดเหี้ยมทารุณขึ้นเรื่อยๆ แม้ข้าจะชำระล้างให้นางอยู่บ่อยๆ แต่ไม่สามารถกำจัดจิตชั่วร้ายที่พัวพันกับนิสัยของนางได้อย่างสิ้นซาก

“โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ยกระดับสู่แก่นลมปราณล้มเหลว จิตใจของนางเกือบแตกสลาย แม้ข้าจะรักษาร่างกายของนางเอาไว้ได้ แต่ความกดดันในใจของนางมาถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้ว ไม่ทารุณสังหารคนอื่น ก็ทำร้ายสังหารตัวเอง อีกทั้งยังเก็บเนื้อเก็บตัวมากยิ่งขึ้น ข้าไม่มีวิธีแล้ว นางยอมรับแค่เจ้าเท่านั้น”

นั่นเป็นเสียงของจอมคนบูรพาสงัดผู้เป็นย่าของเหยียนเหยียน เสียงขมขื่นนัก

สวี่ชิงเงียบนิ่ง มองไปทางเหยียนเหยียน และมองเห็นความสิ้นหวังในดวงตาตลอดจนความกลัดกลุ้มกดดันของกลิ่นอาย ทะเลความรู้สึกของทั้งคนคล้ายว่าพรุนเป็นรังผึ้ง ถูกความเครียดที่สะสมเอาไว้จนเข้มข้นกลุ่มหนึ่งปกคลุมเอาไว้

“ไร้สาระ!” จู่ๆ สวี่ชิงก็พูดขึ้นมา

เหยียนเหยียนเงยหน้า มองไปทางสวี่ชิง

สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ มือขวายกขึ้นคว้า ทันใดนั้นหมอกเผ่าควันขจรกลุ่มหนึ่งก็ลอยมา ในพริบตาที่ปรากฏกลางฝ่ามือสวี่ชิง ไอเย็นก็แผ่ซ่านออกมาจากร่างของสวี่ชิงแล้วรวมกัน เพียงพริบตา ท่ามกลางเสียงเปรี๊ยะๆ ก้อนน้ำแข็งก้อนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา แช่แข็งหมอกนั่นเอาไว้ในนั้น

สวี่ชิงสะบัดมือ ทันใดนั้น เข็มในกองเครื่องมือลงทัณฑ์ของเหยียนเหยียนก็พุ่งมา ภายใต้การเพิ่มพลังจากพลังบำเพ็ญของสวี่ชิงก็ทะลุก้อนน้ำแข็ง แทงไปในร่างหมอกเผ่าควันขจรที่ถูกแช่แข็งจนไม่อาจขยับเคลื่อนไหวได้

เสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากก้อนน้ำแข็งทันที ยิ่งไปกว่านั้นจากการพุ่งมาของมีดบิน ก็เสียบไปในก้อนน้ำแข็งทีละครั้งๆ ทำการหั่นเผ่าควันขจรที่ถูกแช่แข็งเอาไว้

เพราะถูกแช่แข็งเอาไว้ ดังนั้นส่วนที่ถูกหั่นจะไม่สามารถรวมกันได้ ไม่นานนักน้ำแข็งก็กลายเป็นหลายสิบส่วน สวี่ชิงวางเรียงมันทีละชิ้นๆ บนพื้น วางเป็นตัวอักษร ‘大’ ระหว่างชิ้นมีระยะห่างระหว่างกัน

ความรู้สึกที่ได้สัมผัสได้มองเห็นเช่นนั้น การทรมาณที่เกิดจากเห็นอยู่ใกล้ๆ ข้างหน้าแต่ไม่สามารถสัมผัสได้ ฟื้นฟูไม่ได้ ไม่ได้เกิดขึ้นกับกายเนื้ออย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความเจ็บปวดของจิตใจด้วย

เสียงร้องน่าเวทนายิ่งฟังโหยหวน

ดวงตาทั้งสองของเหยียนเหยียนฉายประกายแสงแรงกล้าทันที ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่ร่างกายสั่นสะท้านความตื่นเต้นก็เริ่มกลับคืนมา

สวี่ชิงไม่สนใจ หลังจากที่โยนก้อนน้ำแข็งพวกนี้ให้เหยียนเหยียนก็คว้ามาอีกครั้ง เผ่าควันขจรกลุ่มที่สองมาอยู่ในมือทันที ครั้งนี้สวี่ชิงไม่ใช้น้ำแข็ง แต่เป็นพิษ

พิษนี้เพียงแผ่มาก็ผสานไปในร่างหมอกอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบให้กับมัน แผ่กระจายไปในหมอก พิษที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกับกายหมอกเท่านั้น แต่ยังมีการกัดกร่อนวิญญาณด้วย

ดังนั้นเสียงร้องโหยหวนครวญครางก็ยิ่งดังก้องไปในห้องโดยสารเรือ

ความตื่นเต้นของเหยียนเหยียนพุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง เสียงร้องโหยหวนพวกนั้นเมื่อดังขึ้นในหูของนาง เหมือนว่าเป็นเสียงจากธรรมชาติที่ไพเราะที่สุดในโลก

ยังไม่จบแค่นั้น สวี่ชิงเอ่ยเสียงเย็นขึ้นมา

“ฉีกเสื้อของเจ้ามาให้ข้าชิ้นหนึ่ง”

เหยียนเหยียนเชื่อฟังเป็นอย่างดี ไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น ฉีกเสื้อบนร่างออกมาเป็นชิ้นใหญ่ทันที เพราะออกแรงเยอะเกิน จึงเผยให้เห็นผิวที่เต็มไปด้วยรอยแผล

แต่นางไม่สนใจแม้แต่น้อย ราวกับลูกสุนัข คลานไปข้างหน้าสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว ยื่นเศษผ้าด้วยสองมือ

หลังจากที่สวี่ชิงรับมาก็สะบัดมือเล็กน้อย ทันใดนั้นผ้าชิ้นนี้ก็เปียก แฝงพลังสะกดเอาไว้ จากนั้นก็คว้าร่างหมอกเผ่าควันขจรกลุ่มที่สามมา แล้วกดมันไปบนผ้า

ผ้าเป็นสีดำทันที เงาร่างเผ่าควันขจร ภายใต้การดูดซับจากผ้าก็ปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน

สวี่ชิงโยนมันไปให้เหยียนเหยียน เอ่ยเรียบนิ่ง

“เช่นนี้มันก็จะเสียอิสระของร่างกาย เสียความเป็นอิสระของวิญญาณ

“ไล่ไขว่คว้าการทำร้ายกายเนื้อด้วยตาที่มืดบอด ไม่ว่าจะต่อตัวเองหรือต่อศัตรูเป็นเพียงแค่หนึ่งในวิธีการเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด เมื่อใช้จนเกินสมควร เช่นนั้นก็คือการกระทำที่ไร้สาระ

“การทรมาณทางจิตใจถึงจะเป็นระดับที่สูงขึ้นไปอีก”

สวี่ชิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง

เหยียนเหยียนตัวสั่นสะท้าน ริมฝีปากแดงอ้าเล็กน้อย คล้ายว่าถูกสวี่ชิงตำหนิ ความสุขในใจของนางก็ยิ่งมากล้น ความหลงใหลในดวงตาถึงขีดสูงสุด นางจึงยกมือขึ้นแล้วกัดปลายนิ้วจนเป็นแผล ยื่นไปทางสวี่ชิงอย่างสั่นระริก

สายตาของสวี่ชิงเย็นเยียบ

เหยียนเหยียนก้มหน้า เก็บนิ้วกลับมา แตะไปที่ปากตัวเองแล้วดูด

ความกลัดกลุ้มอัดอั้นสะสมในทะเลความรู้สึกกำลังสลายไปอย่างรวดเร็ว และระลอกคลื่นพลังบำเพ็ญก็พวยพุ่งขึ้นบนร่าง

ท่ามกลางความรางเลือน เหมือนว่าวังสวรรค์วังแรกก็ก่อเค้าร่างขึ้นมาแล้ว

แต่ว่ายังขาดอีกนิด

เห็นเป็นเช่นนี้ สวี่ชิงก็ลอบถอนหายใจ ยกนิ้วชี้ขึ้น

แทบจะในทันทีที่เขายกนิ้วขึ้นมา เหยียนเหยียนก็คลานมาทันที แล้วดูดอย่างรวดเร็ว ดวงตาหรี่ลง ทั้งคนเหมือนยกระดับขึ้น สีหน้าฉายความสบายสุดยอดออกมา ฉายความพึงพอใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

เหมือนว่านางรอวันนี้มานานมาก

และวังสวรรค์ของนาง ในเสี้ยวขณะนี้ก็พลันปรากฏขึ้นมา!

การสั่นสะเทือนของจิตใจทำให้เหยียนเหยียนแบกรับไม่ไหว หมดสติไป

เสี้ยวขณะต่อมา นอกเรือมีเสียงที่แฝงไว้ด้วยความซาบซึ้งของจอมคนบูรพาสงัดดังขึ้น

“ขอบคุณมาก…”

จากนั้น ร่างของเหยียนเหยียนก็หายไป จอมคนบูรพาสงัดนำตัวไปจากเรือแล้ว

ในห้องโดยสารเรือเงียบกริบ

หลังจากนั้งครู่หนึ่ง หลิงเอ๋อร์ก็โผล่ออกมาจากปกเสื้อของสวี่ชิง มองบริเวณที่เหยียนเหยียนอยู่ก่อนหน้านี้อย่างอึ้งตะลึง สวี่ชิงสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย กำกลังจะอธิบาย หลิงเอ๋อร์ก็พลันเอ่ยอย่างตื่นตระหนกออกมา

“พี่สวี่ชิง นี่เป็นปีศาจ แย่เสียยิ่งกว่าคนก่อนหน้านี้เสียอีก นางกัดนิ้วของท่านด้วย ท่านต้องระวังตัวนะเจ้าคะ!”

ไม่รอให้สวี่ชิงได้อ้าปาก เสียงหัวเราะอ่อนโยนเสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นในห้องโดยสารเรือ

“ช่างเป็นเด็กสาวที่น่ารักเสียจริง”

เสียงนี้ดังขึ้น ร่างของสวี่ชิงชะงักไปทันที

การมาเยือนของติงเสวี่ย เขาไม่สนใจได้ การปรากฏตัวของเหยียนเหยียน เขาสามารถสยบได้ แต่ในพันธมิตรแปดสำนักมีผู้หญิงคนหนึ่งที่หลังจากสวี่ชิงได้พบแล้วจิตใจล้วนน่าเวทนาทุกครั้ง

ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ได้พบหน้าถูกเชยคาง หรือจะเป็นนิสัยที่สลับเปลี่ยนไปมากมายในการเดินทางลาดตระเวนแม่น้ำ หรือจะเป็นการสบสายตาในเมืองหลวงเขตปกครอง สายตาประสานกันในยามที่เปลือยกายทำการลงวิชาคุ้มกาย…

สิ่งที่รู้ นางรู้มากยิ่งกว่า สิ่งที่ไม่รู้ นางรู้ดีกว่าเช่นกัน

สิ่งที่เห็น นางเคยเห็นมาก่อน สิ่งที่ไม่เคยเห็น นางคุ้นชินยิ่งกว่า

สิ่งที่คิดในใจ นางรู้ทั้งหมด แม้แต่ความคิดที่ตัวเองไม่ทันได้รู้ตัว ก็เหมือนว่านางจะรู้กระจ่างเช่นกัน

หาที่ติไม่ได้เลย

ตอนนี้จากเสียงที่สะท้อนก้อง จากร่างของสวี่ชิงที่แข็งทื่อไปตามสัญชาตญาณ หญิงงามเฉิดโฉมผู้นี้ ก็เดินออกมาจากความว่างเปล่า

กระโปรงยาวดอกเยวี่ยจี้[1]สีม่วงอ่อน แต่งแต้มขับเน้นด้วยสีขาว เอวผูกแถบผ้าไหมปักลายดวงจันทร์สีเดียวกัน ผมสีดำขลับขมวดมุ่นเป็นมวยองค์หญิง บนมวยปักปิ่นดอกไม้มุก บนนั้นมีพู่ห้อยระย้า

ใบหน้างดงามเพริศพริ้งคิ้วทั้งสองเรียวยาวดุจภาพวาด ดวงตาทั้งสองเป็นประกายดุจดวงดารา

มุมปากยกยิ้ม รอยยิ้มฉายมา คล้ายว่าหล่อเลี้ยงไปทั่วทั้งสี่ทิศ เกี่ยวกระหวัดจิตใจผู้คน ทั้งยังท่วงท่าสง่างามสูงส่ง สงบนิ่งงดงาม ราวบัวผุดพ้นน้ำ ไร้มลทินแปดเปื้อน

มีเพียงบนใบหน้าที่คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม แฝงด้วยรอยตัดพ้อ แฝงด้วยรอยกลัดกลุ้ม มองมาทางสวี่ชิง

คนคนนี้ก็คือจอมเซียนจื่อเสวียนผู้เฉิดฉันล้ำเลิศนั่นเอง

ดวงตาของหลิงเอ๋อร์เบิกกว้าง หลบไปตามสัญชาตญาณ

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ลุกขึ้นโค้งคารวะผู้มาเยือน

“คารวะจอมเซียน”

จื่อเสวียนยิ้มบางๆ เดินไปข้างหน้าสวี่ชิงอย่างเป็นธรรมชาติ ยกมือปัดฝุ่นที่เกาะบนร่างสวี่ชิงออกไป ทำให้มันไม่อาจแปดเปื้อนสวี่ชิงได้

ทั้งยังช่วยเขาจัดรอยยับบนเสื้อ

จากนั้นก็มองดวงตาทั้งสองของสวี่ชิงอย่างล้ำลึก ในเสี้ยวพริบตาที่ดวงตาทั้งสองคู่ประสานกัน นางก็เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา

“ปลอดภัยก็ดีแล้ว”

ประโยคง่ายๆ เพียงแค่สี่ตัวอักษรแฝงด้วยความใส่ใจ สนใจ กังวล คิดถึง อารมณ์ทุกอย่างนี้ล้วนอยู่ในทั้งสี่ตัวอักษร ส่งเข้ามาในใจสวี่ชิงอย่างกระจ่างชัด ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่น

สวี่ชิงร่างสะท้านเฮือก ความอบอุ่นนี้แผ่ลามไปในใจของเขาโดยไม่รู้ตัว ทำให้ร่างที่แข็งทื่อของเขาผ่อนคลายลง ปล่อยให้จื่อเสวียนจับมือเขา นั่งลงข้างๆ

กลิ่นหอมที่คุ้นเคยลอยเข้ามาในจมูก พู่ระย้าที่อยู่บนเรือนผมงามของจื่อเสวียนก็พริ้วไหวไปมาจากการนั่งลงของนาง มองผาดหนึ่งเหมือนจะถูกเกี่ยวกระหวัดความคิด พร้อมทำให้ใจสั่นไหวตามไปด้วย

สวี่ชิงเหม่อลอยเล็กน้อย เก็บกริยาไปตามสัญชาตญาณ

ดวงตางามของจื่อเสวียนฉายแววอ่อนโยน เสียงหัวเราะดังก้องในห้องโดยสารเรือ

“ข้ารู้เป้าหมายในใจเจ้า และรู้ว่าเจ้าจะทำอะไร ข้าไม่ขวางเจ้า แต่ข้าอยากบอกเจ้า ตอนนั้น หากข้ารู้ว่ามีเรื่องนี้ ข้าจะก้าวออกไปกับเจ้า

“เจ้าน่าจะรู้ว่าสิ่งที่ข้าพูดไม่ใช่คำลวง

“ข้านิสัยเด็ดเดี่ยว หากตัดสินอะไรแล้ว ข้าจะไม่มีวันเปลี่ยน ไม่ว่าใครจะมาเตือนโน้มน้าว ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย ข้าก็ไม่มีวันเสียใจภายหลัง”

เสียงของจื่อเสวียน แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นในใจสวี่ชิง แผ่ระลอกมาไม่หยุด

เขาเชื่อ

สวี่ชิงนึกไม่ออกว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นตอนอยู่ในตำหนักแดนต้องห้ามเซียนแห่งนั้นคืออะไร เขาแค่นึกย้อนได้ว่าที่นั่นมีตะเกียงดวงหนึ่ง นึกย้อนได้ถึงเงาร่างที่เหมือนกับจื่อเสวียนทุกประการ

แต่ตอนนี้เมื่อเขาได้ยินคำพูดของจื่อเสวียน ท่ามกลางความรางเลือน เหมือนว่ามีภาพบางอย่างฝังกลบอยู่ในจุดลึกของความทรงจำ มีบางอย่างซ้อนทับ ถึงแม้ว่าเขาจะยังนึกรายละเอียดภาพเหตุการณ์ไม่ออก แค่ความรู้สึกแบบนี้เขาจำได้

นิสัยของอีกฝ่าย ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ

นานหลังจากนั้น สวี่ชิงเอ่ยเสียงแผ่วเบา

“ข้าทราบแล้ว”

รอยยิ้มบนใบหน้าจื่อเสวียนยิ่งงดงาม

“อาจารย์เจ้าเชิญข้าให้พาสำนักโลกันต์ทมิฬและสำนักเจ็ดเนตรโลหิตบางส่วนไปเมืองหลวงเขตปกครอง ทั้งสองสำนักหลังจากนี้จะรวมกัน จัดตั้งเป็นสำนักใหม่ ข้าตกลงแล้ว

“เขาให้ข้าตั้งชื่อสำนักใหม่ด้วย

“ข้ามาที่นี่เพื่อถามเจ้า เจ้าคิดว่าชื่อสำนักครามทมิฬ(ชิงเสวียน)ชื่อนี้เป็นอย่างไร”

สวี่ชิงลังเล แต่สุดท้ายก็พยักหน้า

สายตาอ่อนโยนของจื่อเสวียนจับจ้องที่ใบหน้าของสวี่ชิง แล้วมองที่ปกเสื้อของเขา สุดท้ายก็หัวเราะ แล้วคุยกับสวี่ชิงเกี่ยวกับการพัฒนาสำนักครามทมิฬบางอย่างในอนาคต

เหตุการณ์ทั้งหมดล้วนเป็นการคุยธุระการงาน แต่เสียงที่ไพเราะนี้ทำให้คนรู้สึกสบายผ่อนคลายนัก ทำให้ไม่ทันได้รู้ตัว ลืมการหมุนผ่านของเวลาไป

สวี่ชิงค่อยๆ ผ่อนคลายลง

จวบจนกลางดึก จื่อเสวียนเอ่ยเสียงเบา

“ข้ามาที่นี่ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าจะวาดภาพสัญลักษณ์คุ้มกันให้เจ้าใหม่ มา ถอดเสื้อออก”

ในยามที่ร่างผ่อนคลายของสวี่ชิงแข็งเกร็งขึ้นมาอีกครั้ง เสียงหัวเราะน่าฟังของจื่อเสวียนดังออกมา ในดวงตาฉายแววหยอกล้อ ลุกขึ้นยืน ออกไปจากเรือศึกเวท มีเพียงเสียงอ่อนโยนเท่านั้นที่ดังก้องในห้องโดยสารเรือ

ห้องโดยสารเรือค่อยๆ เงียบลง

สวี่ชิงถอนหายใจยาว ในยามที่ก้มหน้าไปมองที่ปกเสื้อ หลิงเอ๋อร์เลื้อยออกมาจากในนั้นเนื้อตัวสั่นเทา ดวงตาแฝงด้วยความตื่นตระหนก เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว

“พี่สวี่ชิง! คนนี้อันตรายที่สุด เป็นราชาปีศาจ!!

“น่ากลัวเหลือเกิน พี่สวี่ชิง คนไม่ดีก่อนหน้านี้พวกนั้นเทียบกับราชาปีศาจตนนี้แล้ว ไม่ใช่ระดับขั้นเดียวกันเลยเจ้าค่ะ”

สวี่ชิงกระแอมออกมาหนึ่งที ปลอบประโลมหลิงเอ๋อร์

ท่ามกลางความสงสัยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งของหลิงเอ๋อร์ เวลาไหลผ่าน หลายวันผ่านไป

ระหว่างนั้นเหยียนเหยียนปิดด่าน จื่อเสวียนไม่ปรากฏตัวขึ้นอีก มีเพียงติงเสวี่ยเท่านั้นที่ประเดี๋ยวๆ ก็วิ่งมาอยู่ข้างๆ สวี่ชิง เพียงแต่แผนการทุกอย่างของนางล้วนไม่อาจลงมือได้

ด้านหนึ่งเป็นเพราะเจ้าจงเหิงปรากฏตัวขึ้น แม้จะกลัวสวี่ชิง แต่เขาก็ยังกัดฟันตามอยู่ข้างหลังติงเสวี่ยเงียบๆ ความมุ่งมั่นในสีหน้า ท่าทางที่ในท้ายที่สุดแล้วติงเสวี่ยจะต้องหวั่นไหวกับข้า ทำเอาสวี่ชิงเห็นแล้วรู้สึกสะท้อนใจ

อีกด้านหนึ่งคือสวี่ชิงไม่ได้กลับมาสองปี มีหลายเรื่องที่ต้องไปจัดการ และความแตกต่างของฐานะก็ทำให้สำนักต่างๆ ในมณฑลรับเสด็จราชันหลายวันนี้ล้วนมาขอเข้าพบคาวระนายท่านเจ็ด นายท่านเจ็ดบางครั้งก็ให้สวี่ชิงเข้าร่วมด้วย

เช่นนี้เอง หลังจากผ่านไปสิบวัน ท่ามกลางความร้อนรนกลัดกลุ้มใจของติงเสวี่ย สวี่ชิงก็เตรียมออกเดินทาง

เขาจะไปทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณสักหน่อย ไปเซ่นไหว้หัวหน้าเหลย

ก่อนออกเดินทาง นายท่านเจ็ดมอบกล่องหยกใบยาวให้กับเขากล่องหนึ่ง

“ในนี้คืออาวุธเทพที่ข้าใช้ก้างปลาเทพเจ้าชิ้นนั้นหลอมขึ้นมา ระหว่างทางที่เจ้าเดินทางลองทำความคุ้นเคยกับมัน วัตถุชิ้นนี้พลังไม่ธรรมดา เป็นวัตถุคุ้มกายให้เจ้าได้

“อีกทั้งสำหรับเจ้าแล้ว อาวุธก้างปลาชิ้นนี้มีต้นกำเนิดพลังเดียวกับร่างของเจ้าร่างนี้ เจ้าใช้มันเหมาะสมที่สุด”

ในกล่องหยกเป็นหนามสีดำชิ้นหนึ่ง ขนาดประมาณนิ้วมือ บนนั้นเต็มไปด้วยลวดลายตามธรรมชาติ กลิ่นอายน่าครั่นคร้ามกลุ่มหนึ่งไหลวนอยู่ภายใน ยิ่งมีระลอกคลื่นพลังเทพเจ้าแผ่ไปทั่วทิศ

แม้มันจะเป็นเพียงวัตถุ แต่ในเสี้ยวพริบตาที่สวี่ชิงมองไป มันก็สั่นคลอนขึ้นมาทั้งชิ้น เหมือนได้รับพลังทำให้มันหายใจได้

เหมือนกับการหายใจของสวี่ชิงทุกประการ เกิดเป็นการเหนี่ยวนำทางด้านสายเลือด

ความรู้สึกที่เหมือนว่าวัตถุชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง ทำให้สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงความคมของหนามชิ้นนี้ได้อย่างชัดเจน ขณะเดียวกับที่ในใจครั่นคร้าม นายท่านเจ็ดก็เอ่ยเสียงเบา

“ในสายตาของเทพเจ้า วัตถุธรรมดาทั่วไป อ่อนด้อยสิ้นดี ยากจะทำร้ายองค์ท่านได้แม้เพียงเล็กน้อย แต่วัตถุชิ้นนี้…ทำร้ายเทพเจ้าได้ ในนั้นแฝงไว้ด้วยอำนาจเทพเจ้าเคราะห์หายนะ

“ดังนั้นข้าจึงตั้งชื่อมันว่าหนามเคราะห์หายนะ”

………………

[1] ดอกเยวี่ยจี้ (月季花) คือดอกกุหลาบ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!