Skip to content

Outside Of Time 551

บทที่ 551 สวี่ชิงลูกศิษย์คนใหม่แห่งสำนักบุปผาหยินหยาง

ชายแดนแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์และแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา มีรัฐเล็กๆ คนธรรมดากระจัดกระจายกันจำนวนหนึ่ง ขณะเดียวกันก็มีร้านค้าที่จัดเตรียมไว้เพื่อคนที่จะข้ามแม่น้ำโดยเฉพาะอีกด้วย

อย่างไรเสีย คนนอกที่เข้าไปในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราขอเพียงไม่อยู่นานเกินไป เช่นนั้นก็จะไม่ได้รับผลกระทบจากคำสาป จึงมีการค้าระหว่างกันเล็กน้อย

ส่วนชายแดน ความจริงแล้วก็เป็นแม่น้ำสายยาวที่กว้างใหญ่ไพศาลเส้นหนึ่ง

แม่น้ำชื่อว่าเซ่นทมิฬล้อมรอบแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราเอาไว้ทั้งหมด ล้อมมันเอาไว้ข้างใน

และน้ำในแม่น้ำเป็นสีออกแดงตลอดปี ราวกับเลือด แม้แต่กลิ่นก็เป็นเช่นนั้น บางครั้งมีลมพัดผ่านผิวน้ำ นำกลิ่นคาวเลือดพวกนี้มาบนฝั่ง ตลบอวลไปทั่ว

สำหรับคนที่ไม่เข้าใจทุกอย่างนี้ หลังจากได้กลิ่นนี้ก็จะระแวดระวังขึ้นมาตามสัญชาตญาณ แต่จากการเข้าใกล้พื้นที่แถบนี้มาเรื่อยๆ คนบนถนนที่สัญจรไปมาล้วนชินชา

ขบวนรถที่พวกสวี่ชิงอยู่ก็เช่นกัน ล้วนเป็นเช่นนี้

พ่อค้าเดินเท้าในนั้นและมือปราบเหล่านั้นเห็นได้ชัดว่าใช้เส้นทางสายนี้บ่อย ดังนั้นแต่ละคนสีหน้าจึงเป็นปกติ

สวี่ชิงดมเข้าไปเฮือกหนึ่ง คล้ายครุ่นคิด

ในกลิ่นนี้นอกจากจะมีกลิ่นคาวเลือดแล้ว ยังมีเค้ารางกลิ่นของชื่อหมู่จางๆ แฝงอยู่ด้วย

เพียงแต่กลิ่นนี้อ่อนมาก หากไม่ใช่ว่าสวี่ชิงมีพระจันทร์สีม่วงก็ยากจะค้นพบ

“ที่นี่มีคำสาป”

หลิงเอ๋อร์พลันเอ่ยขึ้นมา เสียงใสกังวาน ไพเราะนัก

ในห้องโดยสาร นายกองบิดขี้เกียจ เปิดหน้าต่าง มองไปข้างนอก แล้วยิ้มขึ้นมา

“นี่เป็นกลิ่นอายที่แม่น้ำเซ่นทมิฬปล่อยออกมา แม่น้ำสายนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากธรรมชาติ แต่ชื่อหมู่หลอมรวมสรรพชีวิตในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ใช้เลือดของพวกเขาเปลี่ยนเป็นแม่น้ำ ยิ่งประทับคำสาปเอาไว้

“แม่น้ำสายนี้สำหรับคนนอกแล้วไม่มีอันตรายอะไร ขอเพียงมอบเครื่องเซ่นที่เพียงพอก็เข้าออกได้ แต่สำหรับเผ่าต่างๆ ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราแล้วมันคือประตูกรงขัง

“นับเวลาดู วันนี้ยามพลบค่ำ พวกเราจะถึงริมฝั่ง จากนี้จะต้องข้ามแม่น้ำอยู่หลายวัน ก็จะเข้าไปในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราได้” นายกองดวงตาฉายแววคาดหวัง

พวกเขาคนกลุ่มหนึ่งหลังจากออกมาจากเขตปกครองผนึกสมุทร ในแผ่นดินใหญ่สีครามก็อำพรางตัวมาตลอดทาง จวบจนหลังจากที่ย่างก้าวเข้ามาในแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็ยังเป็นเช่นนั้น สุดท้าย ภายใต้การเสนอความเห็นของสวี่ชิง ก็แฝงตัวเข้ามาในขบวนรถขบวนนี้ เดินทางตามมา

เดินอยู่ในโลกมนุษย์ธรรมดา เทียบกับใช้วิชาเดินทาง การซ่อนอำพรางตัวง่ายกว่ามาก

ในเวลาหนึ่งเดือนพวกเขาก็มาถึงที่นี่เช่นนี้เอง

ไม่นาน พลบค่ำก็มาเยือน ม่านฟ้าฉายประกายแสงพรายสีแดงไปแถบหนึ่ง สีเหมือนกับน้ำในแม่น้ำที่ฉายอยู่ในดวงตาของพวกสวี่ชิง

ภาพผืนฟ้าและแม่น้ำ ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกงดงาม แต่เป็นแปลกประหลาดน่าขนลุก

ที่นี่พวกสวี่ชิงไปจากขบวนรถ หยุดอยู่ที่ริมแม่น้ำเซ่นทมิฬ

แม่น้ำสายทะลักโหมบ่าซัดโหมไปทางใต้ กลิ่นคาวเลือดที่นี่เข้มข้นนัก ท่ามกลางความรางเลือนยังเห็นในแม่น้ำมีโครงกระดูกลอยกระเพื่อมขึ้นลง นั่นเป็นซากโครงกระดูกของคนตายที่พยายามหนีออกไปจากแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา

พวกมันภายใต้การกัดกร่อนจากน้ำในแม่น้ำก็มองหน้าตาในยามมีชีวิตอยู่ไม่ออกแล้ว แต่ขนาดเล็กใหญ่ของโครงกระดูกก็มองออกว่า ในนั้นมีเด็กจำนวนไม่น้อย

“สิ่งมีชีวิตในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา พริบตาที่เกิดมาก็คืออาหาร” นายกองเอ่ยอย่างสงบนิ่ง

หลิงเอ๋อร์มองทุกอย่าง ถอนหายใจเสียงเบา ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับแนบชิดใกล้สวี่ชิงขึ้นอีก คล้ายว่าความอบอุ่นของสวี่ชิงทำให้นางรู้สึกปลอดภัยยิ่งขึ้น

สวี่ชิงเงียบนิ่ง เงยหน้ามองเสี้ยวหน้าเทพเจ้าบนท้องฟ้า

เทียบกับแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ความจริงแล้วแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ทั้งดินแดนก็เป็นเช่นนี้เฉกเช่นเดียวกันมิใช่หรือ

หนิงเหยียนที่อยู่ข้างหลังคนทั้งสอง ใบหน้าที่แต่เดิมก็หมดอาลัยตายอยากอยู่แล้วยิ่งทุกข์ระทมขึ้นไปอีก

เขาไม่อยากมา รู้สึกว่าตัวเองอยู่ที่เขตปกครองหลวงทุกอย่างล้วนดีไปหมด สบายมากๆ แต่กลับถูกบังคับมาสถานที่บ้าบออะไรก็ไม่รู้

แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราเขารู้จัก

‘เฉินเอ้อร์หนิวสมควรตายคนนั้นทำกันเกินไปแล้ว!’ หนิงเหยียนก่นด่าในใจ แต่ใบหน้าไม่กล้าเผยออกมาแม้แต่น้อย เขากลัวถูกกัด

แต่เทียบกับความไม่ยินดีของเขา อู๋เจี้ยนอูสำหรับการเข้าร่วมครั้งนี้นั้นสุดแสนจะยินดี

ต่อให้แม่น้ำสายนี้ดูไปแล้วแปลกประหลาดมาก แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อความหยิ่งทะนงในใจของเขา ตอนนี้ยืนอยู่ริมฝั่ง เขาสูดลมหายใจลึก เอ่ยเสียงดัง

“ข้าเห็นตะวันลับ เห็นควันอ้อยอิ่ง แม่น้ำโหมบ่าเจ็ดหมื่นปี!”

“เป็นกลอนที่ยอดเยี่ยมมาก!” นายกองได้ยิน ดวงตาวาววาบ เอ่ยชมขึ้นมา

อู๋เจี้ยนอูกระแอม เชิดคางขึ้น กำลังจะร่ายกลอนอีกครั้ง แต่เห็นสวี่ชิงขมวดคิ้ว เขารีบเก็บเสียงทันที

สวี่ชิงชักรำคาญนิดๆ แล้ว ตลอดทางมานี้อีกฝ่ายร่ายกลอนมาไม่ต่ำกว่าหลายร้อยบท ตอนนี้ขณะสะบัดมือเรือกลวิญญาณก็ปรากฏขึ้น กระแทกสู่ผิวน้ำ

เรือกลวิญญาณของสวี่ชิงเป็นจางซานเป็นตัวหลัก ผู้อาวุโสยอดเขาลำดับหกลงมือสนับสนุนช่วยเหลือสร้างให้เขา รูปร่างแตกต่างไปจากเรือศึกเวทโดยสิ้นเชิง กระทั่งว่าหลุดจากคำจำกัดความของคำว่าเรือแล้ว

นี่เป็นการออกแบบที่ยอดเยี่ยมราวปีศาจภูตผีของจางซาน

รูปลักษณ์ของมันดูแล้วเหมือนหญิงชราหลังค่อม มีขนาดสูงถึงห้าร้อยจั้ง สวมชุดคลุมดำตัวโคร่ง

บนหลังที่โค้งค่อมสร้างหอเอาไว้เป็นแห่งๆ เอาไว้ใช้เป็นห้องโดยสารเรือ

ส่วนเสื้อปูแผ่ไปบนผิวน้ำ ซัดเป็นระลอกคลื่นเป็นชั้นๆ นี่คือใบเรือ

ที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นคือมือทั้งสองของหญิงชรา

มือขวาของมันถือโคมส่องแสงสีเขียวเรืองๆ เอาไว้ ในนั้นเปลวไฟลุกไหม้ ประเดี๋ยวๆ ก็มีเสียงร้องโหยหวนดังออกมา

นี่คือแหล่งกำเนิดพลัง

ส่วนมือซ้ายมีดวงตาสีแดงข้างหนึ่งลอยอยู่ กำลังมองไปรอบๆ ไม่หยุด

นี่คือของเลียนแบบของวิเศษเวทต้องห้ามของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต

เรือกลวิญญาณเช่นนี้ ก่อนที่สวี่ชิงได้มายังตกใจ ตอนนี้ปรากฏบนแม่น้ำ ไม่ว่าจะเป็นหนิงเหยียนหรืออู๋เจี้ยนอู หลังจากที่ได้เห็นล้วนใจเกิดระลอกคลื่น

“นี่คือเรือกลวิญญาณของยอดเขาลำดับเจ็ดหรือ” อู๋เจี้ยนอูสูดลมหายใจลึก พูดภาษาคนออกมา

นายกองอยู่ข้างๆ หัวเราะ

“ท่าทางจางซานจะค่อนข้างคิดถึงจวีอิงนะ”

รูปร่างของหญิงชราคล้ายกับเทพจวีอิงเกาะเงือกมาก

สวี่ชิงพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมาก ร่างเพียงไหววูบก็เหยียบมาบนหลังของหญิงชรา อยู่ในหอข้างใน มองไปยังที่ไกล

คนอื่นๆ ก็เหาะขึ้นมาเช่นกัน ไม่นาน จากแสงกะพริบวูบวาบของโคมในมือหญิงชรา ชุดดำที่เหมือนใบเรือรอบๆ ก็ลอยสะบัด เงาของมันแล่นไปบนผิวน้ำอย่างรวดเร็ว

อาณาเขตของแม่น้ำเซ่นทมิฬไม่เล็กเลย ด้วยความเร็วของเรือกลวิญญาณสวี่ชิง ให้เวลาห้าวันเพิ่งจะแล่นไปได้กึ่งหนึ่ง

ระหว่างนั้นก็เจออันตรายบ้าง แต่ภายใต้การสำรวจจากดวงตาทำเลียนแบบของวิเศษเวทต้องห้ามสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ส่วนมากพวกเขาล้วนหลบหลีกได้

แต่ว่าก็เกิดเหตุการณ์ฉุกละหุกเป็นบางครั้ง

ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ ในแม่น้ำมีผมยาวสีเลือดนับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นมา พันรัดเรือกลวิญญาณ ยิ่งแผ่ลามมาอย่างรวดเร็ว พุ่งตรงมาหาพวกสวี่ชิง

แต่ไม่จำเป็นต้องให้สวี่ชิงและนายกองลงมือ

อู๋เจี้ยนอูรอที่จะแสดงฝีมือตั้งนานแล้ว ระหว่างทางก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาส ดังนั้นบนแม่น้ำสายยาวสายนี้ แขนเสื้อกว้างของเขาเพียงสะบัด ทันใดนั้นก็มีอสูรร้ายท่าทางเหี้ยมโหดหลายสิบตัวปรากฏรอบตัวเขาทันที

อสูรร้ายพวกนี้บางตัวทะยานไปบนท้องฟ้า บางตัวพุ่งลงไปในแม่น้ำ และยังมีนกแก้วตัวหนึ่งส่งเสียงร้องบาดหู สยายปีกบินลงจับที่ศีรษะของอู๋เจี้ยนอู

นกแก้วเชิดหน้าคล้ายกับกระบอง มองไปรอบๆ ส่งเสียงมนุษย์ออกมา

“บนฟ้าใต้ดินบิดาข้าปรากฏกาย เซียนที่ใดมันกล้าไม่จำนน!”

อู๋เจี้ยนอูสีหน้าหยิ่งทะนง เอ่ยขึ้นราบเรียบ

“ตระกูลอู๋มีชายชาญฉกาจฉกรรจ์ถึงแปดร้อย ย่ำคล้อยผืนนภาเก้ามณฑลใครกล้าหยาม!”

จากการเอ่ยปากพูดของอู๋เจี้ยนอูยังมีหมีอีกตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขาด้วย เพียงไหววูบก็ขยายร่างขึ้นมาหลายสิบจั้ง ยินข้างอู๋เจี้ยนอู คำรามออกมาทีหนึ่ง

เสียงเหมือนอัสนีสวรรค์เลื่อนลั่น แขนทั้งสองกางออก คว้าผมที่ยืดมา แล้วฉีก

อสูรร้ายเหล่านั้นแต่ละตัวล้วนไม่ธรรมดา แม้รูปร่างหน้าตาจะแตกต่างกันไป แต่สายเลือดคล้ายว่ามาจากต้นกำเนิดเดียวกัน พวกมันต่างร่วมมือกันได้สมบูรณ์แบบ ยิ่งเมินต่อสิ่งชั่วร้ายอัปมงคล คล้ายว่าคุณสมบัติสายเลือดสูงมาก

ดังนั้นไม่นานนัก จากการลงมือของพวกมัน หลังจากที่ผมเหล่านั้นแหลกละเอียดไปจำนวนหนึ่ง ก็กลับลงไปในน้ำ

อู๋เจี้ยนอูภาคภูมิใจ นกแก้วบนศีรษะก็เชิดหน้าสุดกำลัง ท่าทางดูไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย แต่เห็นได้ชัดว่าถูกฝึกมาหลายครั้ง ท่าทางจึงดูเหมือนว่าฝึกจนคุ้นแล้ว

ตอนนี้พวกเขาอ้าปากพร้อมกัน กำลังจะพูดบท

แต่อันตรายยังไม่หมดสิ้นไป เสี้ยวขณะต่อมา ผิวน้ำทั้งผืนก็พลันเดือดพล่านรุนแรง กลิ่นคาวเลือดยิ่งเข้มข้น ผมยาวสีเลือดนับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นมาจากผิวน้ำมากมาย พุ่งตรงไปยังท้องฟ้า

เพียงพริบตา จากการรวมตัวของเส้นผมสีเลือดนับไม่ถ้วน ก็วาดออกมาเป็นเค้าร่างเงาสูงใหญ่ถึงหลายร้อยจั้งร่างหนึ่ง เงาร่างนี้มีเพียงแค่เค้าร่าง ไม่มีเลือดเนื้อ

ดูแล้วเหมือนโครงกระดูกโครงหนึ่ง แผ่พลังกดดันน่าครั่นคร้าม

ตอนนี้มันก้มหน้า ก้มมองพวกสวี่ชิง

“เครื่องเซ่นสังเวย!”

เสียงรางเลือนมาพร้อมด้วยเสียงคำรามต่ำ ดังออกมาจากปากเงาร่างสีเลือดมหึมานั่น ขณะที่ดังก้องไปในฟ้าดิน แม่น้ำเลือดรอบๆ ก็เริ่มซัดโหม เงาร่างที่สอง เงาร่างที่สาม เงาร่างที่สี่…

เงาร่างทั้งหมดสามสิบเจ็ดร่าง ทยอยปรากฏขึ้นมา ล้อมรอบพวกสวี่ชิงเอาไว้

ทุกร่างหลังจากที่ปรากฏขึ้นก็ล้วนพูดคำที่เหมือนกันออกมา

“พวกนี้คือพรายแม่น้ำของแม่น้ำเซ่นทมิฬ และเป็นกฎของที่นี่ว่าจะต้องส่งเครื่องเซ่นสังเวยไป” นายกองเตรียมการสำหรับการนี้เอาไว้ตั้งนานแล้ว ตอนนี้ขณะสะบัดมือก็โยนถุงเก็บของลงไปในแม่น้ำใบหนึ่ง

และพวกที่เหลือเหล่านั้น ในตอนที่ใกล้จะเลือนหายไป จู่ๆ ก็มองมาทางหนิงเหยียนพร้อมกัน

“เครื่องเซ่นสังเวย!”

หนิงเหยียนหน้าเปลี่ยนสี

นายกองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน เขารู้ว่าหนิงเหยียนสายเลือดไม่ธรรมดา แต่คิดไม่ถึงว่าอยู่ที่นี่จะทำให้พรายแม่น้ำรีดไถของเซ่นครั้งที่สอง

“ไม่รู้ว่าพรายแม่น้ำอร่อยหรือไม่…” นายกองมองรอบๆ รู้สึกว่าบางทีพรายแม่น้ำที่นี่อาจจะไม่ได้มีแค่นี้ จึงถอนหายใจ

ดีที่ครั้งนี้เขาเตรียมตัวมาพร้อมมาก แม้ตอนนี้ในใจจะไม่พอใจ แต่ก็ยังเอาถุงเก็บของออกมาอีกใบ กำลังจะโยนลงไป สวี่ชิงก็พลันเอ่ยขึ้นมา

“ศิษย์พี่ ให้ข้าลองสักหน่อยดีหรือไม่”

นายกองครุ่นคิด พยักหน้า

“ก็ดี ของเซ่นที่ข้าเตรียม อยู่ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราก็มีประโยชน์เช่นกัน”

สวี่ชิงได้ยินก็ก้าวออกไปสามสี่ก้าว มองไปทางเงาร่างสีเลือดที่อยู่ข้างหน้า เอ่ยออกไปด้วยเสียงสงบนิ่ง

“ถอยไป”

คำพูดเขาแค่ดังออกมา ในดวงตาก็ฉายประกายแสงสีม่วงออกมา ปราณพระจันทร์สีม่วงในร่างก็ลืมตาทันที แผ่พลังกดดันและระลอกคลื่นพลัง แปรเปลี่ยนเป็นการสำแดงคุณสมบัติสายเลือด เรียกอำนาจเทพกลุ่มหนึ่งมา

เพียงพริบตา ระลอกคลื่นในแม่น้ำเซ่นทมิฬสงบ ลมรอบๆ หยุดนิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่าง ในเสี้ยวพริบตาที่พลังพระจันทร์สีม่วงของสวี่ชิงปรากฏขึ้นมาล้วนแข็งค้าง

ร่างพรายแม่น้ำเหล่านั้นพลันสั่นงันงก ก้มหน้าลงไปอย่างรวดเร็ว ต่างคุกเข่าลงไปทั้งหมด

“คารวะทูตเทวะ”

เสียงที่เหมือนกัน ในเสี้ยวขณะนี้ดังออกมาจากรอบแม่น้ำ พรายแม่น้ำจำนวนมากกว่าเดิมปรากฏตัวขึ้นมา

จากหลายสิบเป็นหลายร้อย จนกระทั่งถึงหลายพัน มองไปไม่เห็นจุดสิ้นสุด

พวกมันล้วนคุกเข่าลง เคารพนอบน้อมนัก

ภาพนี้แม้หนิงเหยียนจะมีการเตรียมตัว แต่ก็ยังหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ

หลิงเอ๋อร์ตาเบิกกว้าง สับสนลนลานเล็กน้อย นายกองหน้าตาเบิกบาน แอบพูดในใจว่าเดินทางไปแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราครั้งนี้ มีอาชิงน้อยอยู่ อัตราความสำเร็จของการใหญ่จะเพิ่มขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด

ส่วนอู๋เจี้ยนอู เขาสูดลมหายใจลึก นกแก้วบนศีรษะขณะตัวสั่นระริกก็ลืมรักษาท่าเชิดหน้าเชิดอกเสียสิ้น

หลังจากที่รอบๆ เงียบสงบลงชั่วครู่ เสียงสงบนิ่งของสวี่ชิงก็ดังออกมาเช่นนี้

“คุ้มกัน”

“น้อมรับบัญชาเทวะ!”

พรายแม่น้ำโครงกระดูกร่างมนุษย์ที่ก่อขึ้นจากผมยาวสีเลือดเอ่ยปากพร้อมกัน โครงกระดูกแต่ละโครงเดินมาล้อมรอบเรือกลวิญญาณของสวี่ชิงเอา ยิ่งใหญ่เอิกเกริก รัศมีอำนาจท่วมฟ้า คุ้มกันเคลื่อนไปข้างหน้า

น้ำในแม่น้ำเกิดเป็นคลื่นเองเพิ่มความเร็วให้กับเรือ ผิวน้ำบิดม้วนราวกำลังปีนป่าย ภาพนี้ทำให้อู๋เจี้ยนอูสั่นสะท้าน ขณะที่เหม่อลอยเหมือนฝัน นายกองก็มาข้างกายเขา กอดคอเอาไว้แล้วพูดเสียงต่ำ

“พี่เจี้ยนเจี้ยน ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้หลอกเจ้า สักวันเจ้าก็อยากมีเช่นนี้ใช่หรือไม่”

อู๋เจี้ยนอูแน่นอนว่าอยาก และแน่นอนแล้วว่าหนีไม่พ้นฝ่ามือมารของนายกอง

ดังนั้นไม่นานนักเขาก็ถูกนายกองลากมาข้างๆ ซุบซิบอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ในดวงตา อู๋เจี้ยนอูแฝงแววดิ้นรนและตื่นเต้นฮึกเหิม และสุดท้ายความตื่นฮึกเหิมก็ชนะทุกอย่าง

‘ไอ้โง่เอ๊ย!’ หนิงเหยียนมองภาพนี้ แค่นเสียงขึ้นจมูกในใจ

สวี่ชิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขาสัมผัสรับรู้พรายแม่น้ำเหล่านี้

พวกมันไม่เหมือนกับรูปสลักฟ้าทมิฬเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก่อนหน้านี้ เป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตมากกว่า เพราะในกลิ่นอายของพรายแม่น้ำพวกนี้สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงความเคารพยำเกรงจากพวกมัน

กระทั่งว่ายังมีกลิ่นหอมกลุ่มหนึ่ง สวี่ชิงหลังจากแผ่พลังปราณพระจันทร์สีม่วงออกถึงได้ค้นพบ

ดังนั้นดวงตาทั้งสองของสวี่ชิงฉายวูบ ปราณพระจันทร์สีม่วงลอยขึ้นเหนือศีรษะ ขณะที่แผ่พลังกดดันออกมาเป็นระลอกๆ ก็เป่าไปทางพรายแม่น้ำเหล่านั้นเบาๆ

ทันใดนั้นกลิ่นหอมเหล่านั้นก็มาตามพรายแม่น้ำไหลเข้าไปในปากปราณพระจันทร์สีม่วง

จากการกลืนกินลงไป ความรู้สึกที่โปร่งสบายเป็นที่สุดก็แผ่ซ่านมาในจิตใจสวี่ชิง และปราณพระจันทร์สีม่วงของเขาร่างก็พลันสะท้านเฮือก เติบโตขึ้นมาเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด

หัวใจของสวี่ชิงเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย สัญชาตญาณของเขาสัมผัสได้ว่ากลิ่นหอมนี้เป็นของดี ในตอนที่กำลังจะดูดซับต่อ ความรู้สึกอันตรายกลุ่มหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจ นี่ทำให้เขาควบคุมการกระทำของตัวเองทันที

‘ที่นี่คือสถานที่เพาะเลี้ยงปศุสัตว์พระจันทร์สีชาด ตามหลักแล้วสิ่งที่พระจันทร์ สีชาดดูดซับได้ ข้าก็ทำได้เหมือนกัน แต่การช่วงชิงเช่นนี้ ก็ง่ายต่อการถูกมันค้นพบ หากกระตุ้นจนเกินสมควรทำให้ตื่นขึ้นมาก่อนเวลา…’

สวี่ชิงรู้สึกเสียดาย ไม่ได้ลองทำต่อ เขาเตรียมหลังจากที่เข้าไปในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ

ภายใต้การคุ้มกันจากพรายแม่น้ำหลายพัน เรือกลวิญญาณของสวี่ชิงก็โลดแล่นไปบนแม่น้ำเซ่นทมิฬอย่างเร็วรี่ ใกล้ฝั่งเข้ามาเรื่อยๆเช่นนี้

และความยิ่งใหญ่ภาพนี้ก็น่าครั่นคร้ามตื่นตะลึงเป็นที่สุด ย่อมเป็นที่สนใจจับตามอง

คนที่เดินทางมายังแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราไม่ได้มีเพียงพวกสวี่ชิงกลุ่มเดียว ความจริงแล้วเนื่องจากความพิเศษของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ดังนั้นปกติแล้วผู้บำเพ็ญบริเวณละแวกใกล้เคียงก็จะเข้ามาเป็นบางครั้ง ทำการแลกเปลี่ยนสินค้ากัน

ตอนนี้บนแม่น้ำเซ่นทมิฬ ก็มีเรือเช่นนี้หลายสิบลำ พวกเขาหลังจากที่จ่ายเครื่องเซ่นแล้ว ก็ได้รับอนุญาตให้เดินทางผ่าน ดังนั้นก็เห็นภาพที่ทำให้พวกเขาไม่อยากจะเชื่อ จิตใจหวาดเกรง

เรือทุกลำต่างหยุดนิ่งตามสัญชาตญาณ ผู้บำเพ็ญที่อยู่ในนั้นจิตใจต่างกันไป เกิดการคาดเดาต่างๆ นานา

“พรายแม่น้ำหลายพันคุ้มกันส่ง…นี่ต้องมีฐานะแบบใดกัน!”

“หรือจะมาจากตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด อีกทั้งยังเป็นระดับสูงในนั้น”

“มีคำตอบเดียวเท่านั้น และมีเพียงตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดเท่านั้นถึงจะมีฐานะเช่นนี้”

“ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดปกติน้อยนักที่ปรากฏตัว นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นพวกเขา”

การคาดเดาเช่นนี้ทำให้คนทั้งหลายใจครั่นคร้าม พวกเขาที่เดินทางไปยังแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราเป็นประจำรู้ดีถึงในแผ่นดินใหญ่ที่ถูกสาปนั่น สรรพชีวิตล้วนเป็นลูกแกะ มีเพียงตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดที่อยู่สูงส่ง คอยปล่อยสัตว์แทนเทพเจ้า

ดังนั้นพวกเขาจึงต่างก้มหน้า จวบจนเมื่อพรายแม่น้ำหลายพันจากไปไกล ถึงได้ออกเดินทางอีกครั้ง

เช่นนี้เอง ผ่านไปอีกสองวันครึ่ง ในที่สุดพวกสวี่ชิงก็ข้ามผ่านแม่น้ำเซ่นจันทราที่ปานประหนึ่งทะเลสายนี้ได้

ดินที่นี่เป็นสีดำเข้ม

ท้องฟ้ามืดมิด ไม่มีดวงอาทิตย์ มีเพียงแสงจันทร์ที่มองไม่เห็นต้นกำเนิดแสง สาดทออยู่ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา คลุมผ้าโปร่งบางอันลึกลับให้กับผืนแผ่นดินสีดำผืนนี้

และที่ที่พวกสวี่ชิงขึ้นฝั่งเป็นภูเขาร้างหัวโล้นลูกหนึ่ง

ท้องฟ้ามีนกอำพรางอยู่ในความมืด ส่งเสียงร้องวังเวง ส่วนบนพื้นมีโครงกระดูกเน่าเปื่อยให้เห็นเป็นพักๆ

สวี่ชิงเก็บเรือกลวิญญาณ ทันทีที่คนทั้งหลายเหยียบย่างลงบนผืนดินแห่งนี้ พรายแม่น้ำหลายพันในแม่น้ำเซ่นทมิฬก็โค้งคารวะไปทางฝั่ง แล้วจึงดำลงไปในแม่น้ำ หายลับไป

นายกองมองรอบๆ สีหน้าแฝงรอยระลึกความหลังนิดๆ เอ่ยขึ้นอย่างสะท้อนใจ

“ผ่านไปหลายปี กลับมาที่นี่อีกแล้ว

“ศิษย์น้องเล็ก ถึงที่นี่ความจริงพวกเราก็ค่อนข้างปลอดภัยแล้ว ชื่อหมู่หลับในห้วงนิทราลึก พวกเราแค่ไม่เปิดเผยตัวตนเกินสมควร โดยพื้นฐานแล้วไม่เป็นอะไร”

สวี่ชิงพยักหน้า ที่นี่ คนที่รู้จักพวกเขาโดยพื้นฐานแล้วไม่มี

นายกองตบไหล่สวี่ชิง

“เช่นนั้นพวกเราแยกกันที่นี่ก็แล้วกัน เจ้าไปจัดการเรื่องของเจ้า ข้าจะพาหนิงหนิงน้อยกับพี่เจี้ยนเจี้ยนไปทำอะไรสักหน่อย”

หนิงเหยียนได้ยินดังนั้นก็ทุกข์ระทมขมขื่น อู๋เจี้ยนอูใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขารู้สึกว่าตัวเองได้รับการให้ความเคารพ

สวี่ชิงกวาดสายตามองพวกเขา แอบอวยพรเงียบๆ ในใจ จากนั้นก็มองไปทางนายกอง

“ศิษย์พี่ใหญ่ รักษาตัวด้วย!”

นี่คือข้อตกลงระหว่างทางของพวกเขา และตำแหน่งที่อยู่ตอนนี้คือชายแดนทางตะวันออกของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา เดินทางออกจากที่นี่ไปทางตะวันออก ก็จะไม่ไกลจากทะเลเพลิงสวรรค์ที่สวี่ชิงอยากไปแล้ว

“ข้าไม่เป็นไร มีหนิงหนิงน้อยกับพี่เจี้ยนเจี้ยนปกป้อง ใครจะกล้าแตะข้า”

นายกองขยิบตาให้สวี่ชิง จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้น ตบหน้าผากตัวเอง ทันใดนั้นร่างก็เปลี่ยนไป แปลงเป็นบัณฑิตกลางคนรูปหล่องดงาม ท่าทางก็สง่างามขึ้นอีกไม่น้อย

โดยเฉพาะรอยยิ้มที่มุมปากและความได้ใจในสีหน้า ทำให้เขาดูแล้วมีความชั่วร้ายเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย

ตอนนี้ขณะที่คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม มือขวานายกองก็ตบไปที่ท้องของหนิงเหยียนที่หน้าตาหมดอาลัยตายอยาก หนิงเหยียนทั่วทั้งร่างสะท้านเฮือก รูปลักษณ์ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นสาวใช้

เห็นได้ชัดว่ารู้แต่แรกแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ จึงไม่ประหลาดใจ เพียงแต่สีหน้าที่ ขมขื่นอยู่แล้ว ตอนนี้หลังจากที่กลายเป็นสาวใช้ก็ทำให้คนรู้สึกเหมือนถูกรังแกอยู่เป็นประจำ

และทางอู๋เจี้ยนอูทางนั้น ตอนนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความวาดหวัง นายกองก็ไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง ตบลงไปเช่นกัน รูปลักษณ์ของเขาถูกอำพราง กลายเป็นเด็กรับใช้

เห็นพวกนายกองทั้งสามคนเปลี่ยนไปเช่นนี้ สวี่ชิงไม่ได้แปลกใจอะไร จากการปลดผนึก วิชานายกองค่อยๆ มากมายหลากหลายขึ้น

“ศิษย์น้องเล็ก ตัวตนของเจ้าข้าก็ได้เตรียมเอาไว้ให้แล้วเช่นกัน”

นายกองสะบัดมือ โยนแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้สวี่ชิง

“นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือลูกศิษย์ที่ออกไปพเนจรศึกษาข้างนอกของสำนัก บุปผาหยินหยางแห่งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ชื่อว่าเทียนชิงจื่อ

“นี่คือแผ่นหยกฐานะ เอามาใช้เป็นใบผ่านทางได้ เผ่าต่างๆ รัฐต่างๆในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราล้วนวุ่นวายไม่เป็นระเบียบ ดังนั้นไม่ว่าจะไปที่ใดล้วนต้องใช้ใบผ่านทาง เนื่องจากสำนักบุปผาหยินหยางอยู่ที่นี่รับผิดชอบการระบำบวงสรวงของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด ดังนั้นก็นับว่าเป็นสำนักใหญ่เช่นกัน ใช้เป็นเกราะป้องกันได้!”

สวี่ชิงมองนายกองผาดหนึ่ง รับแผ่นหยกมา เขาสัมผัสได้ว่าการเตรียมการของนายกองครั้งนี้ได้ละเอียดรอบคอบมาก ท่าทางความอยากกลืนกินพระจันทร์สีชาดของอีกฝ่ายจะมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก

“เช่นนั้นพวกเราก็แยกย้ายที่นี่ก่อน หลังจากนี้พวกเราไปรวมตัวกันที่เขาวัวสวรรค์มิรู้สิ้น ไม่ว่าใครไปถึงก่อน ก็รออยู่ที่นั่นช่วงหนึ่ง

“หากอีกฝ่ายไม่มา พวกเราก็ซ่อนตัวก่อน เดินทางไปตามหาในสถานที่ที่อีกฝ่ายไป”

นายกองพูดจบก็ยกมือขวาขึ้นคว้าไปกลางอากาศ พัดด้ามหนึ่งปรากฏขึ้น เขาสะบัดพรึ่บกางออก พัดสองสามที สีหน้าสบายๆ ไม่ทุกข์ร้อน

“ศิษย์น้องเล็ก จำไว้ ตัวตนของข้าในตอนนี้ชื่อเว่ยยางจื่อ เป็นศิษย์สำนักบุปผา หยินหยางเหมือนกัน เป็นพี่ใหญ่ของเจ้า! สามสี่เดือนข้างหน้า ชื่อนี้จะต้องเลื่องลือไปทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราอย่างแน่นอน ระหว่างทางเจ้าก็น่าจะได้ยินชื่อนี้เหมือนกัน

“ไปล่ะ!” นายกองพูดพลางโบกมือให้สวี่ชิง ท่ามการการโค้งคารวะส่งของสวี่ชิง เขาก็พาหนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอูจากไปไกล

หนิงเหยียนอาลัยอาวรณ์นิดๆ ประเดี๋ยวๆ ก็หันมองไปทางสวี่ชิง สีหน้าไร้ที่พึ่งมากๆ

สวี่ชิงแสร้งทำเป็นไม่เห็นมองคนทั้งสามจากไปจนสุดสายตา

“อาชิงน้อย สำนักบุปผาหยินหยางนั่นเจ้ามีโอกาสก็ไปดูสักหน่อย ตัวตนเป็นของจริง สำนักนี้ศึกษาค้นคว้าการปรับสมดุลหยินหยาง ชดเชยส่งเสริมซึ่งกันและกัน ข้าคิดว่าอาชิงน้อยเจ้าไปศึกษาสักหน่อยจริงๆ ได้ ด้วยพรสวรรค์ของเจ้าน่าจะศึกษา ได้ไว เช่นนี้หากพบปีศาจสาวเจ้าก็มีวิชาป้องกันตัว ไม่ถูกเอาเปรียบ!”

หลิงเอ๋อร์ได้ยินก็รีบเลื้อยออกมาจากปกเสื้อสวี่ชิง เอ่ยเสียงดัง

“มีข้าอยู่ พี่สวี่ชิงไม่มีทางเจอปีศาจสาวหรอก!”

เห็นนายกองกำลังจะอ้าปากอีก สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ หยิบลูกท้อออกมากินลงไปคำหนึ่ง

นายกองถลึงตา บ่นพึมพำสามสี่ประโยค ลากคนทั้งสองข้างกายจากไป

สวี่ชิงมองส่งจนลับสายตา จวบจนกระทั่งพวกนายกองทั้งสามคนหายไปในราตรี หลิงเอ๋อร์สีหน้าวาดหวัง เอ่ยอย่างเขินอาย

“พี่สวี่ชิง ครั้งนี้นับเป็นการเที่ยวเล่นตามลำพังของพวกเราสองคนหรือไม่”

สวี่ชิงยิ้ม พยักหน้า ร่างเพียงไหววูบก็ทะยานจากไปไกล หน้าตาของเขาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ไม่ได้โดดเด่นขนาดนั้น เปลี่ยนมาดูธรรมดาไม่น้อย

เวลาหมุนผ่านไปเช่นนี้เอง

หนึ่งคืนผ่านไป

คืนนี้สวี่ชิงทะยานไปในฟ้าดินแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา เขาเห็นโครงกระดูกบนพื้นมากมาย ในนั้นมีเผ่าพันธุ์อะไรก็มีทั้งนั้น ส่วนมากล้วนตายจากการปะทุของไอพลังประหลาด

แล้วก็ยังมีจำนวนหนึ่งตายเพราะการสังหาร

ทุกอย่างนี้ไม่ผิดต่อการคาดเดาในอดีตของสวี่ชิง สภาพแวดล้อมพิเศษของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ทำให้ที่นี่จะต้องตลบอวลไปด้วยความตายและจิตมาดร้าย

กระทั่งว่าในหลายๆ ที่หลังจากที่สวี่ชิงเห็นยังเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง

นั่นคือหลุมกระดูก

ที่บริเวณใกล้ริมฝั่ง สวี่ชิงพบหลุมลึกขนาดมหึมาที่มีพื้นที่ถึงหมื่นจั้งหลายสิบจั้ง ทุกหลุมในนั้นล้วนมีกระดูกกองทับถมนับไม่ถ้วน

จากรอยอาวุธบนกระดูกก็มองออกว่าเลือดเนื้อถูกแล่ออกไปทั้งเป็น เห็นได้ชัดว่าทำแบบนี้ยิ่งสะดวกกับการเอามาเป็นอาหาร

มองภาพเหล่านี้ สวี่ชิงจากไปอย่างเงียบงัน ความระแวดระวังในใจเพิ่มขึ้นอย่างมาก จนกระทั่งเช้าตรู่มาเยือน ท้องฟ้ามีแสงที่มนุษย์สร้างขึ้นอันสลัวรางเลือนจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้น ผืนดินไม่มืดดำอีกต่อไป แต่เป็นสีขมุกขมัว

สีนี้เป็นสภาวะปกติของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา

สวี่ชิงยืนอยู่บนภูเขาหัวโล้นลูกหนึ่ง ทอดสายตามองไปที่ไกล แยกแยะทิศทางครู่หนึ่ง เขาก็นำแผ่นหยกแผนที่ที่นายกองให้ออกมาดู

‘พื้นที่แถบนี้ชื่อว่าแท่นบวงสรวงเล็ก จากที่นี่เดินทางข้ามเป็นเวลาครึ่งเดือนก็จะเป็นดินแดนความร่วมมือระหว่างสองเผ่าดินแดนหนึ่ง ผ่านที่นั่นไปก็จะเป็นทะเลเพลิงสวรรค์’

สวี่ชิงเก็บแผ่นหยก ท่ามกลางความขมุกขมัวนี้ เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

แต่ละวันๆ ผ่านไปเช่นนี้เอง

หลังจากนั้นครึ่งเดือน สวี่ชิงที่ข้ามผ่านพื้นที่ที่ชื่อว่าแท่นบวงสรวงเล็กแห่งนี้ ก็เข้ามายังชายแดนความร่วมมือสองเผ่า และยิ่งมีความเข้าใจเกี่ยวกับชื่อของดินแดนที่อยู่ข้างหลังได้กระจ่างขึ้น

หลุมกระดูกที่นั่นมีมากถึงหลายพัน พวกมันล้วนถูกจัดวางเป็นทรงจันทร์เสี้ยว และที่ตรงกลางจะมีแท่นพิธีโบราณขนาดเท่ากับเมืองอยู่

สวี่ชิงไม่ได้เข้าไปใกล้ จากที่ไกลๆ เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายหลงเหลือจากพระจันทร์สีชาดได้มากขึ้นจากที่นั่น

“แหล่งเพาะเลี้ยงวิญญาณ”

สวี่ชิงพึมพำ ย่างก้าวเข้าไปในดินแดนความร่วมมือสองเผ่า

แต่ในเสี้ยวพริบตาที่เข้าไปยังชายแดน ฝีเท้าของสวี่ชิงก็หยุดชะงัก เงยหน้ามองไปข้างหน้า

ไม่นานนัก บนพื้นดินข้างหน้าเขามีแสงสลัวเป็นทางๆ ปรากฏขึ้น กระจกที่แต่ละบานรูปทรงไม่เป็นระเบียบลอยขึ้นมาจากพื้น ต่างส่องมาที่สวี่ชิง

กระจกเหล่านี้ส่วนมากสูงกว่าคนผิวกระจกขมุกขมัว มีรอยร้าวจำนวนหนึ่ง แต่ก็ยังสะท้อนเงาร่างสวี่ชิงออกมาได้

ที่น่าแปลกประหลาดคือ เงาร่างของสวี่ชิงในกระจกเหล่านี้ ตอนนี้ในดวงตาแฝงด้วยความชั่วร้าย ส่งเสียงเย็นเยือกออกมา

“ใบผ่านทาง!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!