บทที่ 555 เจ้าแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ไยไม่พูดแต่แรก!
ผู้บำเพ็ญอยู่ในขอบเขตปราณก่อกำเนิดขอบเขตนี้ ความแตกต่างระหว่างกันช่างมหาศาลนัก จากความแตกต่างของพลังรากฐาน ภายใต้การสั่งสมแล้วปะทุออกมา ความแตกต่างที่เคยเล็กน้อย ก็จะขยายใหญ่ขึ้น
เนื่องจากเกี่ยวพันกับจำนวนของผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิดและจำนวนของทัณฑ์ ตลอดไปจนถึงเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างและประสบการณ์ของแต่ละคน ดังนั้น แข็งแกร่งอ่อนแอหรือไม่ หลายครั้งไม่สามารถมองออกได้เพียงปราดเดียวเหมือนกับระดับวังสวรรค์
นอกเสียจากความแตกต่างซึ่งกันและกันจะห่างกันราวฟ้ากับเหว กลิ่นอายก็จะสัมผัสรับรู้ได้
มิเช่นนั้นแล้ว ล้วนต้องประเมินอย่างละเอียดถึงจะได้
แต่พิจารณาจากรากฐานแล้ว หมื่นเผ่ามีความคิดที่เป็นพื้นฐานที่สุดความคิดหนึ่ง
ทัณฑ์ครั้งแรก เป็นการประทานให้ปราณลวงกลายเป็นจริง ทำให้มันกลายเป็นปราณมรรคาที่แท้จริง มีกำลังรบปราณก่อกำเนิด
และทัณฑ์ครั้งที่สองก็เพื่อทำให้พลังปราณเมื่ออยู่ภายใต้การเพิ่มพลังมากขึ้นทบเท่า หนึ่งปราณสองกำลัง สามทัณฑ์ก็เป็นสามกำลัง!
อย่างผู้บำเพ็ญเผ่าผืนนภาที่สวี่ชิงเจอเมื่อก่อนหน้านี้คนนั้น เขาเป็นอัจฉริยะของเผ่าอื่น แม้ไม่มีตะเกียงแห่งชีวิต แต่ก็มีเจ็ดปราณมรรคา อีกทั้งยังผ่านทัณฑ์ชะตามาแล้วสองครั้ง
ดังนั้น กำลังรบพื้นฐานของเขาภายใต้การเพิ่มพลังจากทัณฑ์ลิขิตสวรรค์ ก็จะมองเป็นกำลังรบสิบสี่ปราณ
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำไมหลังจากเขาสังเกตได้ว่าสวี่ชิงมีสิบสามปราณก็ยังคงลงมือ
และอดีตของเขาผ่านจากจุดนี้ก็สามารถมองออกได้อย่างชัดเจน ในตอนที่เขาเป็นขอบเขตแก่นลมปราณมีวังสวรรค์เจ็ดวัง ในตอนเป็นขอบเขตสร้างฐานมีไฟชีวิตสี่ดวง
ช่องเวทจะต้องมีหนึ่งร้อยยี่สิบช่อง
เปิดได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดช่องขั้นสุดยอดขั้นนั้น
อย่างไรเสีย ตลอดเส้นทางที่สวี่ชิงเดินมา ผู้ที่สามารถเปิดช่องเวทได้ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดช่อง นอกจากเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องและข่งเสียงหลง เขาก็ไม่เคยพบใครอีก
บางทีอาจจะมี แต่ไม่ได้แสดงออกมา สวี่ชิงก็ไม่อาจวิเคราะห์ได้
แต่พวกนี้เป็นเพียงแต่พื้นฐานเท่านั้น ในตอนเป็นขอบเขตวังสวรรค์ยังนำมาเป็นวิธีประเมินที่สำคัญได้ แต่การสังหารระหว่างผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิด การเปลี่ยนแปลงมีมากมหาศาล
ผู้บำเพ็ญที่ระดับใกล้เคียงกัน มาตรฐานที่ประเมินความแข็งแกร่งอ่อนแอของกันและกันนอกจากจะมีขอบเขตแล้ว ยังมีปัจจัยของของวิเศษและเคล็ดวิชา ยิ่งรวมไปถึงพรสวรรค์ที่ต่างกันไปของแต่ละเผ่าพันธุ์ ตลอดจนความสามารถในการรับมือของการต่อสู้ในสถานการณ์จริง
ทุกอย่างล้วนเป็นปัจจัยสำคัญ ล้วนสามารถตัดสินแพ้ชนะได้ทั้งสิ้น
ดังนั้น พลังของปราณไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้ทั้งหมด ทำได้เพียงแค่อ้างอิงง่ายๆ ซึ่งกันและกันเท่านั้น
หลายครั้งยังต้องสู้กันถึงจะรู้ความแข็งแกร่งอ่อนแอ
สวี่ชิงทางนี้ก็เช่นกัน
ปราณทั้งสิบสามของเขาล้วนผ่านทัณฑ์ลิขิตสวรรค์มาแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นจากพื้นฐานที่มีในตอนนี้ พูดกันตามทฤษฎีแล้วก็เป็นกำลังรบสิบสามปราณ
แต่ปราณมรรคาของเขาสุดแสนจะพิเศษ ไม่ว่าจะมีความเกี่ยวพันกับเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิหรือกับเทพเจ้า หรือจะมีการเพิ่มพลังจากมรรคาสวรรค์ ตลอดจนของวิเศษล้ำค่าอย่างขวดแห่งกาลเวลา และยังมีแสงประกายอรุณกับตะเกียงแห่งชีวิตนาฬิกาแดดอีก
ปัจจัยทั้งหมดนี้ ภายใต้การสะสมปะทุขึ้นมา ในขอบเขตปราณก่อกำเนิดนี้ก็ทำให้กำลังรบของสวี่ชิงเกินกว่าขอบเขตปกติ เท่ากับว่าทำให้ระดับความแข็งแกร่งของปราณมรรคาเขาในตอนนี้เทียบได้กระทั่งผู้บำเพ็ญที่ผ่านทัณฑ์ลิขิตสวรรค์มาแล้วสองครั้ง
ซึ่งก็หมายความว่า กำลังรบพื้นฐานที่สุดที่สวี่ชิงมีในตอนนี้คือยี่สิบสี่ปราณ!
เหตุที่ไม่ใช่ยี่สิบหกเพราะเขายังมีตะเกียงแห่งชีวิตอีกสองดวงยังไม่ได้หลอม ทันทีที่ตะเกียงที่เหลือสองดวงนั้นเปลี่ยนเป็นนาฬิกาแดด เขาก็จะมีกำลังรบยี่สิบหกปราณ
แต่ว่าสวี่ชิงก็ยังคงระมัดระวังรอบคอบเช่นเดิม เพราะเขาสามารถทำให้ปราณมรรคาพิเศษได้ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นทำไม่ได้ ส่วนของวิเศษและเคล็ดวิชาก็เป็นหลักเหตุผลเดียวกัน
นี่ก็เป็นเรื่องที่จัดการยากซึ่งกันและกันของขอบเขตปราณก่อกำเนิดระดับนี้
ตอนนี้หลังจากความคิดพวกนี้ผุดขึ้นมาในสมองสวี่ชิง ร่างของเขาก็ทะยานขึ้นฟ้าออกมาจากในหินหนืด ปราณมรรคาทั้งสิบสามปะทุสุดพลัง เกิดเป็นกำลังรบน่าครั่นคร้ามที่เทียบได้กับยี่สิบสี่ปราณ ทะยานมาบนฟ้า
รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เพียงพริบตาก็มาปรากฏหน้าผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดหนึ่งทัณฑ์เผ่าเงาคันฉ่องคนนั้น
ผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องคนนั้นหน้าเปลี่ยนสี ต่อให้ตอนนี้สมาธิของเขาครึ่งหนึ่งอยู่ที่การเพิ่มพลังค่ายกล แต่ประสบการณ์การต่อสู้ที่มากมายและความสามารถในการรับมือ ก็ทำให้เขาสามารถดึงสมาธิกว่าครึ่งกลับมาได้ทันที ปราณทั้งหกในร่างปะทุขึ้น
ยิ่งอ้าปากพ่นกระบี่บินเล่มหนึ่งออกมา แผ่นกระจกที่หน้าผากกะพริบแสงวาบ ส่องมายังร่างสวี่ชิงที่ประชิดมา ใบหน้าก็รางเลือนตามไปด้วย แล้วเปลี่ยนมาคล้ายกับสวี่ชิง
นี่เป็นหนึ่งในพรสวรรค์ของเผ่าของเขา ใช้เรื่องนี้มาเพิ่มพลังตัวเอง ทำให้กำลังรบพุ่งถึงแปดปราณในพริบตา
พรสวรรค์นี้รวมกับปฏิกิริยาตอบสนองของเขาก็ไม่ธรรมดามากๆ แล้ว หากเปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญหนึ่งทัณฑ์คนอื่นๆ มาลอบโจมตี น่ากลัวว่าคงยากจะทำการสังหารได้สำเร็จ
ทว่า พลังไร้เทียมทานหากต่างกันอย่างมหาศาล เช่นนั้นปัจจัยเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจควบคุมได้มากมาย ก็จะเปลี่ยนมาควบคุมได้
ดังนั้น เสี้ยวพริบตาต่อมา ทันทีที่สวี่ชิงพุ่งมาอย่างรวดเร็ว แสงวาววับกะพริบวูบ ศีรษะของผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องคนนั้นก็แยกออกจากร่างทันที
เลือดสาดกระเซ็น ในตอนที่เสียงร้องน่าเวทนาโหยหวนดังออกมา สวี่ชิงก็จากไปไกลแล้ว พุ่งตรงไปยังเผ่าเงาคันฉ่องระดับปราณก่อกำเนิดอีกคนหนึ่ง
ในขณะเดียวกัน พิษต้องห้ามของสวี่ชิงก็พวยพุ่งรอบๆ เป้าหมายไม่ใช่ผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิด แต่เป็นผู้บำเพ็ญแก่นลมปราณวังสวรรค์เหล่านั้น
การยกระดับขึ้นของพลังแท้จริงสวี่ชิง ลูกกลอนพิษต้องห้ามของเขาก็สำแดงพลังที่ยิ่งโหดเหี้ยมและน่ากลัวกว่าเดิม ตอนนี้ท่ามกลางพิษที่แผ่ซ่าน มีผู้บำเพ็ญวังสวรรค์อย่างน้อยเจ็ดคนส่งเสียงน่าเวทนาออกมา
พวกเขากระทั่งว่ายังไม่ทันตั้งตัว ร่างก็เปลี่ยนเป็นสีดำม่วงไปแถบหนึ่งในพริบตา เริ่มเน่าเปื่อย
เสียงหวาดกลัวตื่นตกใจน่าขนลุกดังไปทั่ว
ยิ่งมีผู้บำเพ็ญระดับวังสวรรค์สามสี่คน ร่างสั่นสะท้านเล็กน้อย ดวงตาดำสนิททันที มุมปากยิ้มเป็นรอยยิ้มแปลกประหลาด แล้วพลันหันหลังพุ่งตรงไปยังค่ายกลกระจกบานมหึมา หลังจากที่เข้าไปใกล้ก็พลันระเบิดตัวเอง
ในขณะที่เสียงระเบิดดังก้อง ก้างปลาที่พันล้อมไปด้วยสายฟ้าสีแดงทางหนึ่งก็ทะลุไปในนั้น ทุกที่ที่ผ่าน สังหารอย่างน่าหวาดหวั่น
ภาพนี้ทำให้ผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องที่อยู่ที่นี่ต่างสีหน้าเปลี่ยนไป
วุ่นวายปั่นป่วนอย่างหนัก แทบจะเป็นเวลาเพียงเสี้ยวพริบตาก็ปะทุขึ้นที่นี่
ตวนมู่ฉางที่ต้านทานพลังกดดันของกระจกบานยักษ์ก็อึ้งตะลึงไปเช่นกัน หลังจากสังเกตเห็นผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องที่โดนพิษเหล่านั้น รูม่านตาของเขาก็หดเล็ก รู้ต้นตอในทันที
“เป็นไอ้เด็กเจ้าเล่ห์คนนั้น!”
ดังนั้นจึงตะโกนเสียงดังออกไป
“อย่ามัวเสียเวลา รีบสู้รีบจบ สังหารผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดข้างนอกทำให้ค่ายกลไม่ได้รับการเพิ่มพลัง ข้าก็จะหลุดออกไปได้!
“เร่งมือเข้า ราชครูของเผ่าเงาคันฉ่องกำลังอยู่ระหว่างทางแล้ว!”
คำพูดของตวนมู่ฉางเพียงดังขึ้นมา สายตาของใบหน้าที่อยู่บนกระจกบานยักษ์ก็เบนไป กำลังจะมองไปทางสวี่ชิง แต่ตวนมู่ฉางหัวเราะออกมาทีหนึ่ง ไม่สนใจว่าอาการบาดเจ็บของร่างกายกำเริบ พลังบำเพ็ญปะทุขึ้นมา
เห็นเพียงปราณแปดปราณพุ่งทะยานขึ้นมาจากในร่างของเขา ทุกปราณล้วนมีพลังห้าทัณฑ์ชีวิต ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ ข้างหลังปราณทั้งแปดนี้มีเงาของสมบัติลับหนึ่งคลังปรากฏออกมารางๆ
เพียงแต่ สมบัติลับนี้พังถล่ม เต็มไปด้วยกลิ่นอายเหือดแห้ง เห็นได้ชัดว่าเกิดจากความล้มเหลวในเสี้ยวขณะของการทะลวงขั้นในอดีต
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ความแข็งแกร่งของกำลังรบเขาก็ยังคงปรากฏออกมาจากเงาคลังสมบัติลับ พวยพุ่งออกมามหาศาล ทำให้ใบหน้าบนประจกบานยักษ์บนท้องฟ้าบานนั้นจำต้องเก็บสายตาที่มองไปทางสวี่ชิงกลับมา ทำการสะกดสุดกำลัง
เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วผืนฟ้า การลงมือของสวี่ชิงเร็วยิ่งกว่าเดิม
ไม่จำเป็นต้องให้ตวนมู่ฉางมาเตือน ในเสี้ยวพริบตาที่ตัดสินใจลงมือ สวี่ชิงก็รู้ว่าศึกนี้จะต้องรีบจบให้เร็วที่สุด จะปล่อยยืดยาวไม่ได้
ดังนั้นตอนนี้พิษต้องห้ามปะทุ ขณะที่เจ้าเงาสังหารโหดเหี้ยม ก้างปลาพุ่งฉวัดเฉวียน ร่างของสวี่ชิงก็เข้าไปใกล้ผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิดเผ่าเงาคันฉ่องคนหนึ่ง
แต่ตอนนี้เผ่าเงาคันฉ่องคนอื่นๆ ก็ตั้งสติกลับมาได้แล้ว ท่ามกลางเสียงคำรามที่ดังมา ผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิดสองทัณฑ์สองคน สามทัณฑ์หนึ่งคน ก็พุ่งตรงมาหาเขาอย่างรวดเร็วจากรอบๆ
เห็นว่าเข้ามาใกล้เต็มที แสงประกายอรุณในร่างสวี่ชิงพลันฉายแสงวาบ กวาดไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
สีสันรอบๆ ถูกแทนที่ด้วยแสงประกายเจ็ดสี ขณะที่พร่างพรายระยิบระยับ ฝีเท้าของคนที่บุกมาก็ต่างหยุดชะงัก ต่างถอยไปข้างหลัง ส่วนร่างของสวี่ชิงก็เปลี่ยนเป็นพรางมารยาทันที ในยามที่พุ่งออกไปก็ทะลุผ่านร่างของผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องที่อยู่ข้างหน้าสุด
ปราณสองปราณถูกเขาคว้าเอาไว้ในมือแล้วบีบแหลก
ร่างมารฟ้าหลายสิบร่างมาพร้อมความเหี้ยมเกรียม พุ่งเข้าไปในร่างผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่อง
เสี้ยวขณะต่อมา เสียงกรีดร้องหวีดแหลมที่น่าสังเวชเป็นที่สุดก็ดังออกมาจากปากของผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องคนนั้นอย่างน่าเวทนา ร่างของเขาสั่นสะท้าน ในยามที่เหี่ยวแห่งไปอย่างรวดเร็ว ร่างของสวี่ชิงก็พลันถอยไปข้างหลัง
แทบจะในพริบตาที่เขาถอยหลังไป บริเวณที่เขาอยู่ตรงนั้นก็ถูกผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องสามทัณฑ์ที่พุ่งมาคนนั้นซัดพลังมาจนเป็นคลื่นวนขนาดมหึมา
“เผ่ามนุษย์ต่ำต้อย เจ้ารนหาที่ตาย!”
ท่ามกลางเสียงคำรามผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องคนนี้ ในร่างก็ฉายปราณออกมาเจ็ดปราณ ในั้นมีห้าปราณที่เป็นสามทัณฑ์ สองปราณที่เป็นสองทัณฑ์ ปะทุกำลังรบน่ากลัวที่ใกล้เคียงกับยี่สิบปราณ
ข้างหลังเขายิ่งมีกระจกสีดำบานหนึ่งปรากฏออกมาทำการเพิ่มพลังให้เขา ในกระจกบานนั้นพันธนาการค้างคาวตัวมหึมาเอาไว้ตัวหนึ่ง ส่งคลื่นเสียงมาหาสวี่ชิงจากในนั้น ระเบิดรอบๆ
ขณะเดียวกัน ในมือยังมีทวนยาวเล่มหนึ่ง บนนั้นพันล้อมไปด้วยวิญญาณแค้นที่ส่งเสียงโหยหวนนับไม่ถ้วน แผ่มาราวหมอกควันเป็นกลุ่มๆ พลังน่าครั่นคร้าม
ยังไม่จบ เผ่าเงาคันฉ่องสามทัณฑ์ที่นี่มีทั้งหมดสองคน ตอนนี้อีกคนหนึ่งก็กำลังพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
คนคนนี้สวมชุดเกราะสีดำทั้งตัว เหนือศีรษะมีไฟวิญญาณลอยอยู่เจ็ดดวง
ทุกดวงล้วนแปรเปลี่ยนมาจากปราณของเขา ผ้าคลุมข้างหลังเกราะสะบัดพริ้ว บนนั้นมีดวงตานับไม่ถ้วน ล้วนลืมขึ้น มองสวี่ชิงอย่างโมโห
ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ยิ่งมีเผ่าเงาคันฉ่องสองทัณฑ์สี่คนพุ่งมาจากรอบๆ ล้อมสวี่ชิงเอาไว้
ภาพนี้ทำให้ตวนมู่ฉางที่มองอยู่เคร่งเครียดขึ้นมา แม้หลังจากที่เขาหลุดพ้นออกมาแล้ว ฆ่าเผ่าเงาคันฉ่องเหล่านี้จะง่ายราวพลิกฝ่ามือ แต่สำหรับกำลังรบของสวี่ชิงเขามองไม่ทะลุ
‘ปราณของเจ้าเด็กคนนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด!’
ตอนนี้รอบๆ หมอกพิษลอยตลบ เสียงร้องน่าเวทนายิ่งโหยหวน ผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดเผ่าเงาคันฉ่องหกคนที่อยู่รอบๆ สวี่ชิงกำลังใกล้เข้ามา
แต่ในตอนนี้เอง ในดวงตาสวี่ชิงหล่อหลอมไอเย็นยะเยือก เข็มบนนาฬิกาแดดอันหนึ่งในร่างของเขาถูกดึงออกมาในพริบตา สายตาจับไปที่ร่าง ผู้บำเพ็ญสามทัณฑ์เผ่าเงาคันฉ่องที่อยู่ใกล้ตนที่สุดสามคนนั้น
ทันใดนั้น เวลาในนาฬิกาแดดเรือนแรกในร่างสวี่ชิงก็หยุดลง
พลังหยุดกลุ่มนี้เคลื่อนไปตามสายตา ส่งผลกระทบไปยังผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องโลกภายนอกที่ถูกสายตาทั้งสองข้างของเขาจ้องเพ่ง
กริชของสวี่ชิง ในเสี้ยวขณะที่เวลาของคนคนนี้กลับคืนมาก็ปาดผ่านคอของเขาไป เลือดสดๆ พุ่งกระฉูด หัวขาดกระเด็น
สวี่ชิงไม่ทันดูดซับมากเท่าใด หลังจากบีบปราณสองปราณแหลกละเอียด เข็มบนนาฬิกาแดดเรือนแรกของเขาก็ร่วงหล่นลงอย่างช่วยไม่ได้ และการเหี่ยวแห้งของหน้าปัดนาฬิกาก็สาหัสกว่าตอนที่ทดสอบกับหลิงเอ๋อร์มากนัก
แต่ก็ใช่ว่าจะแก้ไขไม่ได้ ตอนนี้กำลังฟื้นฟู
สวี่ชิงไม่ได้สนใจ ในตอนที่เผ่าเงาคันฉ่องคนอื่นๆ หวาดกลัว เขามองไปทางผู้บำเพ็ญสามทัณฑ์อีกคนหนึ่ง ดึงเข็มบนนาฬิกาแดดเรือนที่สอง
ใจของผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องคนนั้นเกิดลมพายุพัดกระหน่ำ ดวงตาฉายความหวาดกลัวและไม่อยากเชื่อ ภาพที่เขาได้เห็นอยู่ในตาเมื่อก่อนหน้านี้ คือสหายของตนไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ก็หยุดนิ่งไป
ไม่มีการต่อต้านใดๆ ไม่มีการดิ้นรนทั้งสิ้น เหมือนกลายเป็นหุ่นเชิด ถูกผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์คนนั้นลงมือสังหารทันที
“นี่มัน…” ไม่รอให้เขาได้ครุ่นคิด สายตาของสวี่ชิงก็จ้องมา
เพียงพริบตา ร่างของเผ่าเงาคันฉ่องสามทัณฑ์คนนี้ก็สั่นสะท้าน สูญเสียความรู้สึก สูญเสียทุกสิ่ง จนในพริบตาที่ฟื้นฟู เขามองเห็นใบหน้าของสวี่ชิง
ศีรษะของเขาขาดกระเด็น ปราณแตกดับ
ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาสองอึดใจ
ผู้บำเพ็ญสองทัณฑ์เผ่าเงาคันฉ่องรอบๆ ล้วนกรีดร้องเสียงหลง ตอนนี้หนังศีรษะชาวาบ หวาดกลัวสุดขีด ถอยหลังในพริบตาคิดจะหนี
สวี่ชิงไม่สนใจ พุ่งตรงไปยังค่ายกลกระจกบานยักษ์
“ของสิ่งนี้เป็นของวิเศษล้ำค่าของราชครูเผ่าเงาคันฉ่อง ยากที่จะทำลายมันได้ แต่ว่าตอนนี้ไม่มีใครเพิ่มพลังให้มันก็ง่ายแล้ว เจ้าถอยไปหน่อย ข้าเตรียมจะระเบิดปราณหนึ่ง ให้เป็นรูโหว่!”
ตวนมู่ฉางสะกดความตื่นตะลึงจากการลงมือของสวี่ชิง คำรามเสียงต่ำทุ้ม กำลังจะระเบิดตัวเอง
แต่สวี่ชิงมือขวายกขึ้นชี้ไป สายฟ้าสีแดงที่แปลงมาจากบรรพจารย์สำนักวัชระก็พุ่งมาอย่างรวดเร็วจากที่ไกล
รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เข้าใกล้มาในพริบตา ขับเคลื่อนก้างปลา แทงไปที่กระจกบานมหึมาอย่างเต็มแรง
ใบหน้าบนกระจกบานยักษ์พลันหันมามองสวี่ชิง ขณะที่สีหน้าเหี้ยมเกรียมกำลังจะอ้าปาก แต่เสี้ยวขณะต่อมาสีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมหาศาล
ท่ามกลางเสียงระเบิดดังสนั่น ก้างปลาเมินเฉยต่อการป้องกันทุกอย่างของกระจกบานนี้ พุ่งทะลุไป แข็งแกร่งทรงพลัง แทงไปที่ผิวกระจก
เสียงเปรี๊ยะดังขึ้น ผิวกระจกแตกร้าว
สวี่ชิงไม่ได้มองตวนมู่ฉาง หันหลังสะบัดมือ
พิษรอบๆ พุ่งมาที่เขา เจ้าเงาก็เช่นกัน ก้างปลาเปลี่ยนเป็นประกายแสงสีแดง ลอยลงมาที่มือสวี่ชิง
ความเร็วของสวี่ชิงปะทุขึ้น พุ่งตรงไปยังที่ไกล หนีไปจากที่นี่
ตลอดเหตุการณ์ทั้งหมด เขาไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว
สายฟ้ามาอย่างทรงพลังไร้เทียมทาน และจากไปอย่างเงียบงันไร้เสียง
ส่วนกระจกบานมหึมาบานนั้นตอนนี้สั่นสะเทือนรุนแรง รอยร้าวบนนั้นแผ่ลามออกไปไม่หยุด ใบหน้าบิดเบี้ยว สีหน้าเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เงยหน้าจ้องสวี่ชิงที่จากไปไกลเขม็ง
ส่วนตวนมู่ฉางที่ถูกมันขังเอาไว้ข้างในก็สูดลมหายใจลึก จากนั้นก็รีบหยุดการระเบิดปราณทันที ภายใต้การพุ่งทะยานออกไป ก็หนีออกไปตามรูโหว่ จากนั้นก็เหวี่ยงคลังสมบัติลับที่พังถล่มทุ่มไปที่กระจกยักษ์บานนั้น
เปรี๊ยะ!
รอยร้าวของกระจกมากขึ้นกว่าเดิม ร่วงลงมาจากฟ้า กระแทกลงมาที่หินหนืด
ใบหน้าในนั้นอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ความรุนแรงสาหัสจากความเสียหายทำให้จิตเทพของมันยากจะส่งออกมา
ตวนมู่ฉางแค่นเสียงขึ้นจมูก ถ่มเสมหะเหนียวข้นออกมา
เสมหะนี้หนักมาก กระแทกไปที่ใบหน้าบนกระจก ทำให้กระจกจมลงไปในหินหนืด
ทำทุกอย่างเหล่านี้เสร็จ ตวนมู่ฉางหันหลังร่างไหววูบ จากไปไกลอย่างรวดเร็ว
และสามชั่วยามหลังจากที่พวกเขาจากมา ฟ้าดินที่ไกลเกิดลมพายุเปลวเพลิง ในนั้นมีเงาร่างมหึมาร่างหนึ่ง สวมชุดคลุมยาวสีทอง ไม่มีใบหน้า ใบหน้าทั้งดวงเป็นกระจกสีทองบานหนึ่ง
เขามาอย่างรวดเร็ว หยุดอยู่ที่นี่ ก้มหน้ามองไปทางหินหนืด
ใบหน้าสะท้อนภาพที่อยู่รอบๆ
นานหลังจากนั้น มือขวาของเขาก็ยกขึ้นคว้า ทันใดนั้นกระจกที่จมไปในหินหนืดก็ถูกเขาดึงออกมา ถือไว้ในมืออยู่ครู่หนึ่ง จากในกระจกมีเสียงเย็นเยือกดังออกมา
“เผ่ามนุษย์…”
สามวันหลังจากนั้น บนทะเลเพลิงสวรรค์ที่ห่างออกไปหมื่นลี้ สวี่ชิงกำลังทะยานไปอย่างเร็วรี่ สามวันนี้เขาไม่หยุดเลย ในขณะเดียวกับที่อำพรางตัว ก็เข้าใกล้ฝั่งไปเรื่อยๆ
ท้องฟ้าที่นี่ในสามวันนี้ยิ่งสว่างมากกว่าเดิม และเปลวเพลิงก็เหมือนจะเข้มข้นขึ้นกว่าที่ผ่านมาเล็กน้อย การผลิบานของดอกหินหนืดก็ยิ่งถี่ขึ้นเช่นกัน
ทำให้อุณหภูมิของที่นี่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งแผ่ความรู้สึกวิญญาณถูกเผาไหม้แบบหนึ่งออกมาด้วย
“ต้องรีบกลับไปบนฝั่งให้เร็วที่สุด หากเป็นแบบนี้ต่อไป ต่อให้ร่างกายทนไหว แต่วิญญาณจะถูกหลอม”
สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงความไหม้ที่ส่งมาจากผมของตัวเอง และวิญญาณก็เกิดสัญญาณเหี่ยวแห้งเล็กน้อย ดังนั้นขณะพึมพำ กำลังจะเร่งความเร็ว แต่เสี้ยวขณะต่อมาเขาก็เอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ
“ผู้อาวุโสตามข้ามานานขนาดนี้แล้ว ไม่จำเป็น”
หลังจากนั้นครู่หนึ่งสวี่ชิงก็เคลื่อนไปข้างหน้าต่อ
สามวันนี้ ทุกหนึ่งชั่วยามเขาก็จะทำแบบนี้ครั้งหนึ่ง
แม้กลิ่นอายพิษเขาจะสัมผัสรับรู้ได้ แต่สวี่ชิงเข้าใจดี หากมองความเข้าใจ ทัศนคติบางอย่างให้กลายเป็นนิสัย เช่นนั้นก็จะกลายเป็นความประมาท และในโลกโลกาวินาศนี้ เพียงแค่ประมาทก็อาจจะเป็นจุดจบที่อเนจอนาถได้
ดังนั้นต่อให้เขาสัมผัสไม่ได้ถึงกลิ่นอายพิษต้องห้ามก็จะเอ่ยออกไปเช่นนี้เหมือนเดิม
ผ่านไปอีกวันหนึ่งเช่นนี้เอง ฝีเท้าสวี่ชิงหยุดชะงัก ส่งเสียงสงบนิ่งออกมา
“ผู้อาวุโส ท่านชอบอำพรางตัวขนาดนี้เชียวหรือ
ครั้งนี้มีเสียงตอบรับกลับมา…
“เอ๋”
บริเวณสิบกว่าจั้งเยื้องไปทางขวาของสวี่ชิงมีเสียงแปลกประหลาดดังมา ตรงนั้นบิดเบี้ยวอย่างรวดเร็ว ร่างของตวนมู่ฉางปรากฏออกมา
นอกร่างของเขามีฟองอากาศฟองหนึ่ง สกัดกั้นกลิ่นอายทุกอย่าง ยิ่งไปกว่านั้นบนมือขวาของเขาพันแถบผ้าเอาไว้ด้วย เป็นวัตถุชิ้นนี้ที่สกัดกั้นกลิ่นอายของพิษต้องห้ามเอาไว้ทั้งหมด
สวี่ชิงตาจ้องเพ่ง มองไปผาดหนึ่ง ท่าทางเหมือนรู้สึกว่าค่อนข้างคุ้นอยู่เลาๆ
‘เจ้าเด็กนี้ค้นพบข้าได้อย่างไร’
ตวนมู่ฉางในใจนึกสงสัย นึกถึงการลงมือก่อนหน้านี้ของสวี่ชิง เขาคิดว่าเป็นไปได้อย่างมากว่าอีกฝ่ายยังซ่อนวิชาแปลกประหลาดบางอย่างอะไรเอาไว้อีก
‘แน่นอน ก็เป็นไปได้เหมือนกันว่าเจ้าเด็กนี่ทุกช่วงเวลาหนึ่งก็จะตะโกนออกมาแบบนี้!’
‘เจ้าเล่ห์นัก!’
ตวนมูฉางแค่นเสียงในใจ สังเกตเห็นสายตาของสวี่ชิงมองมาทางแถบผ้าที่มือขวาของตัวเองก็ไม่ได้อธิบายอะไร แต่มองสวี่ชิงอย่างโมโห
“ไอ้หนู เจ้ามันไร้มโนธรรมเสียจริง!
“ข้าไม่มีจิตคิดร้ายอะไรต่อเจ้าเลย ทั้งยังให้กล่องสกัดกั้นกับเจ้าด้วย แต่ยาแก้พิษที่เจ้าให้ข้ามาเป็นของปลอม!”
สวี่ชิงขมวดคิ้ว
“แต่ว่าเห็นแก่ที่เจ้าช่วยข้าเมื่อก่อนหน้านี้ ข้าก็จะไม่ไปคิดเล็กคิดน้อยกับเจ้า” เห็นสวี่ชิงขมวดคิ้ว น้ำเสียงของชายชราอ่อนลงทันที จากนั้นก็ยกมือ กระแอมออกมาทีหนึ่ง
“เราต่างเป็นเผ่ามนุษย์ เช่นนั้นแล้ว…เจ้าแก้พิษให้ข้าดีหรือไม่”
สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ เอ่ยเสียงราบเรียบ
“หินวิญญาณหมื่นก้อน!”
ชายชราสูดลมหายใจลึก ถลึงตามองสวี่ชิง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ยิ้มขื่นส่ายหน้า โยนถุงเก็บของออกมาใบหนึ่ง นี่เป็นถุงเก็บของที่สวี่ชิงให้เขาเมื่อก่อนหน้านี้
สวี่ชิงเมื่อรับมาก็นับ รับประกันว่าไม่มีปัญหา
เห็นสวี่ชิงยังจะนับอีก โทสะของชายชราก็จะพวยพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็สะกดเอาไว้ได้
“พอได้แล้วกระมัง!”
สวี่ชิงพยักหน้า มือขวายกขึ้นคว้าไปทางชายชรา ทันใดนั้นชายชราร่างสั่นสะท้าน พลังพิษต้องห้ามในร่างทะลักมาทันที ท่ามกลางสีหน้าเจ็บปวดของเขาก็ลอยออกมานอกร่างของเขา
สุดท้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นหมอกดำ พุ่งตรงมายังสวี่ชิง ผสานไปในร่างสวี่ชิง แล้วหายไป
การสลายหายไปของพิษต้องห้าม ชายชราเห็นได้ชัดว่ารู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลาย พลังบำเพ็ญโหมทะลัก การฟื้นฟูในร่างก็กลับเป็นปกติ เปลี่ยนมารางเลือน
นี่ทำให้เขาถอนหายใจยาวออกมา มองไปทางสวี่ชิง
สวี่ชิงถอยไปสามสี่ก้าว ระมัดระวังสุดขีด
ชายชราถลึงตา
“เจ้าหนู เห็นการลงมือของเจ้าเมื่อก่อนหน้านี้ร้ายกาจปานนั้น ไยสองครั้งแรกเจ้าจึงไม่ลงมือ ต้องให้ข้าปรากฏตัวไปช่วยเจ้า”
“ข้าลงมือไม่ทัน” สวี่ชิงเอ่ยสงบนิ่ง สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง
ชายชราได้ยินดังนั้นก็เงียบนิ่ง เขารู้สึกว่าเจ้าเด็กคนนี้พูดไม่เป็นเสียจริงๆ จึงหันหลังจะจากไป แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หันกลับมามองสวี่ชิงผาดหนึ่ง
“เพลิงสวรรค์จะมาแล้ว เจ้ารีบหาสถานที่หลบเสียเถิด”
ชายชราสะบัดมือโยนร่มมาให้สวี่ชิงคันหนึ่ง
“ร่มคันนี้สามารถต้านทานได้ระยะหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจยืนหยัดได้นานมากนัก เจ้าระวังตัวไว้ให้มาก”
สวี่ชิงรับร่มมา หลังจากสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง สัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีของอีกฝ่าย จึงคิดๆ แล้วตะโกนเรียกชายชราที่ใกล้จะหายไปแล้วเต็มที
“ช้าก่อน”
ชายชราร่างหยุดชะงัก มองมาทางสวี่ชิงอย่างแปลกประหลาด
สวี่ชิงยกมือ ดึงหมอกพิษกลุ่มสุดท้ายในร่างอีกฝ่ายออกมา…
นี่เป็นพิษที่สวี่ชิงลงมือทิ้งเอาไว้อย่างกะทันหันเมื่อก่อนหน้านี้เพื่อป้องกันชายชรา
ตอนนี้จากหมอกพิษที่ปรากฏขึ้นมา ชายชราสีหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง ถลึงตาจ้องสวี่ชิง หลังจากหอบหายใจอยู่หลายที สุดท้ายก็หัวเราะอย่างโมโหออกมา
“ไร้คุณธรรม!”
สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ ประสบการณ์นับจากเล็กจนโตทำให้เขารู้ดีถึงความสำคัญของความระมัดระวังรอบคอบ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในแผ่นดินใหญ่ที่ไม่คุ้นชินเช่นนี้
และตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาก็ไม่มีจิตที่คิดจะทำร้าย
ชายชรามองสวี่ชิงผาดหนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้า
“ช่างเถอะ ความระแวดระวังของเจ้าก็นับว่าปกติ”
พูดจบเขาก็คิดๆ เอาแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่งแล้วโยนให้สวี่ชิง
“หากเจ้าหาที่หลบเพลิงสวรรค์ไม่ได้จริงๆ ก็มาที่นี่ก็แล้วกัน”
ชายชราหันหลังร่างไหววูบก็หายไปในฟ้าดิน
สวี่ชิงรับแผ่นหยกมา หลังจากกวาดตามองก็เก็บลงไป เขารู้ว่าเพลิงสวรรค์คืออะไร นั่นเป็นสภาพอากาศพิเศษอย่างหนึ่งของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ในเวลาแบบนี้ทุกครั้งท้องฟ้าของทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราจะเปลี่ยนมาสว่างเจิดจ้า
‘น่าจะเกี่ยวกับทะเลเพลิงสวรรค์’
ก่อนหน้านี้สวี่ชิงไม่รู้รายละเอียด ตอนนี้จึงเดา นึกถึงความร้อนแผดเผาบนทะเลเพลิงสวรรค์หลายวันมานี้ เขาคล้ายครุ่นคิด เร่งความเร็วจากไป
เทียบกับเมื่องสองเดือนก่อน ท้องฟ้าในตอนนี้เปลวเพลิงยิ่งรุนแรงขึ้น และการเดือดพล่านของหินหนืดทะเลเพลิงก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเช่นกัน
ยืนอยู่ตรงนี้ เสียงครืนครันเลื่อนลั่นของทะเลเพลิงประดุจอัสนีสวรรค์สะท้านสะเทือนพิภพ
และเงาร่างของผู้บำเพ็ญก็น้อยกว่าปกติมากนัก
กระทั่งว่าพื้นดินยังสั่นสะเทือน ราวว่ามีสัตว์ยักษ์ใหญ่อะไรกำลังจะพุ่งขึ้นมาจากทะเลเพลิงสวรรค์
นี่ทำให้สวี่ชิงนึกถึงภาพที่ทหารชายแดนเผ่าเงาคันฉ่องซ่อนไปใต้ดินในตอนนั้นขึ้นมา
‘หรือนี่จะเป็นวิธีการหลบเพลิงสวรรค์อย่างหนึ่ง’
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด ไปไกลจากที่นี่หาสถานที่แห่งหนึ่ง ขุดหลุมใหญ่บนพื้น หลังจากแทรกลงไปก็ใช้วิชาเวทปิดเอาไว้ หลังจากที่ซ่อนไปใต้ดินแล้ว เขาก็นั่งขัดสมาธิ เริ่มฟื้นฟูร่างกาย
แม้เป็นร่างเทพเจ้า แต่ทะเลเพลิงสวรรค์ผืนนั้นลึกลับเกินหยั่ง อุณหภูมิสูงใต้หินหนืดทำให้สวี่ชิงรู้สึกว่ายิ่งแฝงไว้ด้วยความน่ากลัว เขาอย่างมากสุดดำลงไปได้ประมาณหนึ่งจั้ง
ดำลึกลงไปอีกสวี่ชิงไม่กล้าแล้ว ไฟนี้เผาวิญญาณ การดูดซับจากผลึกวารีสีม่วงก็ยากจะคุ้มครองให้ไม่บาดเจ็บ
เวลาก็ผ่านไปแต่ละวันๆ เช่นนี้เอง สวี่ชิงอยู่ในส่วนลึกใต้ดินแห่งนี้ ฟื้นฟูร่างกายไปด้วย ศึกษาตะเกียงแห่งชีวิตนาฬิกาแดดของตัวเองไปด้วย คุยเล่นกับหลิงเอ๋อร์บ้างเป็นบางครั้ง
ก็ไม่ได้เหงาอะไร
จวบจนเจ็ดวันหลังจากนั้น ในยามที่ร่างกายของเขากลับสู่สภาวะสมบูรณ์อีกครั้ง สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก
อุณหภูมิในเจ็ดวันนี้สูงขึ้นเรื่อยๆ
ต่อให้ตัวอยู่ใต้ดินก็ยังเป็นเช่นนั้น ดินรอบๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
จวบจนกระทั่งเสียงระเบิดสะท้านสะเทือนดังมาจากบนฟ้า แผ่ลามไปราวสายอัสนีบาต สวี่ชิงผ่านจากการสัมผัสรับรู้ประสาทสัมผัสเทพ ก็เห็นภาพที่ทำให้จิตใจเกิดคลื่นยักษ์ซัดโหม
ทะเลเพลิงสวรรค์ประดุจคลื่นยักษ์ปะทุมา
หินหนืดท่ามกลางการซัดโหมอย่างรุนแรงเกิดเป็นคลื่นลูกใหญ่ลูกแล้วลูกเล่า ขณะเดียวกับที่แผ่ลามไปยังทางท่อนแขนขนาดมหึมาที่มีขนาดถึงแสนจั้งคู่หนึ่ง ก็พุ่งขึ้นมาจากในทะเลเพลิงสวรรค์ท่วมฟ้า
ท่อนแขนขาดทั้งสองนี้ ที่ปลายแขนมีติ่งเนื้อขนาดมหึมาที่มีรยางค์นับไม่ถ้วนยาวยื่น และบนฝ่ามือที่เหมือนผืนฟ้านั่นก็มีลายมือที่เห็นได้อย่างชัดเจน
พวกมันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ประสานปางมืออย่างช้าเนิบ
หินหนืดพวยพุ่ง ภาพเหตุการณ์ประหลาดเหมือนมังกรแต่ละตัวดูดน้ำปรากฏขึ้นบนทะเล หินหนืดกลุ่มใหญ่ๆ ถูกดูดไปบนฟ้า แผ่ลามมา ปกคลุมผืนฟ้ารอบๆ อย่างรวดเร็ว
ท้องฟ้าสว่างจ้า
เปลวไฟกว้างใหญ่มหาศาลพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ทำให้แผ่นดินก็ล้วนถูกเผา
นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำไมพื้นที่แถบนี้ถึงเป็นภูเขาหัวโล้นอีกทั้งยังเป็นภูเขาลูกเตี้ยๆ ไม่เป็นระเบียบ และไม่มีต้นไม้ใบหญ้าใดๆ ทั้งสิ้น
ความกว้างใหญ่ของอาณาเขตแผ่ปกคลุมไปทั้งพื้นที่ความร่วมมือของสองเผ่า จากตะวันออกสู่ตะวันออก แผ่ออกไปไม่หยุด จวบจนกระทั่งปกคลุมไปทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา
“เพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้า…”
สวี่ชิงมองภาพนี้ พึมพำเสียงต่ำทุ้ม