บทที่ 564 ดาวพิฆาตผ่านตะวันทะลวงฟากฟ้า
ทะเลเพลิงสวรรค์ของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ความเป็นเอกลักษณ์รวมถึงสภาพแวดล้อมที่ร้อนระอุของมัน ทำให้เผ่าที่ใช้ชีวิตที่นี่มีอยู่ไม่มากนัก
ในบรรดานี้มีเผ่าเงาคันฉ่องกับเผ่าผืนนภาเป็นเผ่าหลัก
และเพราะผลึกเพลิงสวรรค์ในทะเลเพลิงสวรรค์ เป็นหนึ่งในของเซ่นไหว้จำเป็นที่ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดกำหนดไว้ จึงเกิดการแย่งชิงกันระหว่างต่างเผ่าในทะเลเพลิงสวรรค์อยู่บ่อยครั้ง
เพื่อต่อต้านศัตรูจากภายนอก ทำให้ทั้งสองเผ่าต้องร่วมมือกัน จึงมีชื่อความร่วมมือขึ้นมา
และมีเมืองศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองเผ่าขึ้นแห่งหนึ่ง
เมืองนี้ตั้งตระหง่านบนผืนแผ่นดินมานับพันปี คอยปกป้องทั้งสองชนเผ่าจำนวนมหาศาลจากเพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้าหลายต่อหลายครั้ง
ระหว่างนี้แม้จะมีพังทลายบ้าง แต่สุดท้ายก็ยังถูกก่อร่างสร้างขึ้นใหม่ ดังนั้นในสายตาของคนทั้งสองชนเผ่า เมืองแห่งนี้ มีความหมายลึกซึ้งยาวนาน
พวกเขาเข้าใจว่าการคงอยู่ของมันเป็นประจักษ์พยานให้กับประวัติศาสตร์ของความร่วมมือสองเผ่าในอดีต และจะเป็นประจักษ์พยานให้กับทั้งสองเผ่าต่อไปในอนาคต
แต่สำหรับเผ่าระดับล่างในบริเวณทะเลเพลิงสวรรค์แล้ว นี่เป็นเมืองแห่งความสิ้นหวัง ไม่ว่าจะเผ่ามนุษย์หรือว่าเผ่าที่ถูกล่าสังหารอื่นๆ ในใจพวกเขา ที่นี่เต็มไปด้วยความตาย เต็มไปด้วยความชั่วร้าย
กระทั่งว่าต่างเผ่าที่ตายในนี้ จำนวนยังมากกว่าที่บวงสรวงแก่ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดเสียอีก
ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะความโหดร้ายป่าเถื่อนในกระดูกดำของทั้งสองเผ่า
ใช้ชีวิตอยู่ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราที่ไร้ซึ่งความหวัง พวกเขาชอบที่จะมองเห็นสีหน้าของผู้คนที่แต่เดิมไม่มีความหวังอยู่แล้วสิ้นหวังขึ้นไปอีก
แทบจะมีเพียงเช่นนี้ ที่จะสามารถทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกที่เหนือกว่า จึงตามหาความเพลิดเพลินของชีวิต
ตอนนี้ แม้ในเมืองจะปกคลุมไปด้วยเสียงหัวเราะยินดี แต่ท่ามกลางเสียงหัวเราะนี้ ยังมีเสียงร้องไห้รวมถึงเสียงโหยหวนแทรกอยู่ด้วย
เสียงหวดแส้ เสียงตะคอก เสียงสังหาร ดังก้องอยู่ทั่วทุกมุมเมือง
ที่กลายเป็นอาหาร ไม่ได้มีเพียงเผ่ามนุษย์เท่านั้น
เพราะการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่รอบนี้ เนื่องจากจำนวนที่ต้องบวงสรวงแด่ตำหนักพระจันทร์สีชาดเพียงพอแล้ว ส่วนเกินจึงกลายเป็นอาหารและของเล่นของทั้งสองเผ่า
เผ่าระดับล่างเหล่านี้ถูกคนจากสองเผ่าซื้อขายกันได้ตามใจชอบ อยู่ก็ไม่สู้ตาย ทนทุกข์ทรมาน ส่วนใหญ่ล้วนกำลังสาปแช่งขอแลกความตายของตนเองกับการล่มสลายของทั้งสองชนเผ่าขณะแบกรับความทุกข์ทรมานไม่จบสิ้น
และวันนี้ จากเสียงครืนครันกึกก้องที่ขอบฟ้า ก็มาถึงแล้ว
ตอนนี้เอง ในเมืองที่โหดเหี้ยม คนจากเผ่าทั้งสองที่กำลังเฉลิมฉลอง บางส่วนเสียงหัวเราะหยุดชะงัก เงยหน้ามองท้องฟ้าที่ไกลๆ อย่างประหลาดใจ
ที่ขอบฟ้า พายุทรายขนาดยักษ์กินพื้นที่กว้างนับร้อยลี้ กลายเป็นเงามืดขนาดใหญ่กำลังตรงเข้ามา
บดบังท้องฟ้าดวงตะวัน ปกคลุมท้องนภา อานุภาพน่าตกตะลึง
ไม่ได้มีเพียงขอบเขตกว้างใหญ่ไพศาล แต่ยังมีสายอัสนีนับไม่ถ้วนแล่นแปลบปลาบ เสียงสายฟ้าฟาดกึกก้องไปทั่วสารทิศ ผืนแผ่นดินล้วนถูกส่งผลกระทบ โหมพายุทรายไร้ขอบเขต หมุนวนไปรอบทิศอย่างต่อเนื่อง
ท้องฟ้ามืดมิดก็แปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวและเลือนราง ไอพลังประหลาดเข้มข้นตลบอบอวลไปทั้งสี่ทิศโดยมีต้นกำเนิดมาจากที่นั่น
มืดมิดไปหมด น่าหวาดผวาอย่างยิ่ง
ขณะที่เลือนรางยังมองเห็นว่าด้านในมีร่างขนาดยักษ์ร่างหนึ่ง
ร่างนี้อยู่ในชุดคลุมสีดำ กำลังแหวกอากาศหวิดหวิวเข้ามาดั่งทูตแห่งความตายได้ยินเสียงสาปแช่งของสรรพชีวิต จุติลงมายังโลกมนุษย์
ภาพนี้ ค่อยๆ ดึงดูดความสนใจผู้บำเพ็ญทั้งสองเผ่า ไม่นานนักก็เงียบงันไปทั้งเมือง
ส่วนราชครูเผ่าเงาคันฉ่องที่กำลังหลอมบูชาตวนมู่ฉางที่ลานกว้างก็เงยหน้ามองเช่นกัน ขณะที่มองไปยังขอบฟ้า คลื่นพลังประสาทสัมผัสเทพที่น่าครั่นคร้าม ก็ปะทุขึ้นจากร่างกายเขา
ทัณฑ์สวรรค์ครืนครันบนฟากฟ้า ร่างจำแลงขนาดเดียวกับหญิงชราชุดดำในพายุทรายร่างหนึ่ง ก็ยืนตระหง่านอยู่เหนือเมือง
“หยุด!”
เสียงเยือกเย็นมืดมนดังออกมาจากปากเขา เสียงสายอัสนีฟาดผ่าดังกึกก้องไร้ที่สิ้นสุด
ขณะเดียวกัน ประสาทสัมผัสเทพหลายสายก็แผ่ออกมาจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ เพ่งเล็งไปในพายุทราย
ในประสาทสัมผัสเทพเหล่านี้ ยังมีคลื่นพลังที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกับราชครูอีกสามสาย จำแลงร่างที่น่าตกตะลึงขึ้นระหว่างฟ้าดินเช่นเดียวกัน จ้องไปยังพายุทรายอย่างเย็นชา
เงาร่างทั้งสี่นี้แผ่คลื่นพลังระดับสมบัติวิญญาณ แม้วิถีสวรรค์ยังไม่ก่อกำเนิด แต่แรงกดดันในช่วงหล่อเลี้ยงมรรคาดวงดาราเจิดจรัสยังสะกดไปรอบทิศ
ตวนมู่ฉางที่จะตายอยู่รอมร่อบนลานกว้าง มองไปยังฟากฟ้าขณะที่เจ็บปวดไปทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ
เขาเห็นพายุทรายกว้างใหญ่ไพศาลนั้นรวมถึงร่างเงาขนาดยักษ์ด้านใน ท่ามกลางความเลือนราง คล้ายจะเห็นว่าบนศีรษะของเงานั้น มีอีกร่างหนึ่งยืนอยู่
ร่างนี้ดูแล้วไม่ใช่เผ่ามนุษย์ แต่เป็นเผ่าฟ้าทมิฬ!
ผิวหนังสีเทา ศีรษะใหญ่โต มีหนามแหลมเต็มศีรษะ
ส่วนพายุทรายกว้างใหญ่นั้น เวลานี้ก็ค่อยๆ เข้าใกล้เมืองศักดิ์สิทธิ์ สุดท้ายขณะที่แรงกดดันโหมขึ้นในใจของทั้งสองเผ่าในเมืองศักดิ์สิทธิ์ มันก็หยุดที่ด้านนอกเมืองศักดิ์สิทธิ์ในระยะสิบลี้
ระยะห่างสิบลี้ ยังไม่สามารถหยดเสียงครืนครันที่มาจากพายุทราย และไม่สามารถสกัดกั้นพิษต้องห้ามที่แผ่ซ่านออกมาจากด้านในได้
ดังนั้นหมอกเบาบางที่คล้ายหมอกบดบังจันทรา ก็ลอยมาเหนือเมืองศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ค่ายกลป้องกันของเมืองศักดิ์สิทธิ์ ส่งเสียงฉ่าๆ ออกมา กำลังถูกกัดกร่อน
ยิ่งมีเสียงครืนครันสะท้อนก้อง สั่นสะเทือนจนหูแทบหนวก
“แสร้งเป็นเทพเป็นผี!”
เหนือเมืองศักดิ์สิทธิ์ ราชครูเผ่าเงาคันฉ่องคนนั้น ยกมือขวาขึ้นโบก
ฉับพลันหมอกที่ปกคลุมทั่วเมืองศักดิ์สิทธิ์ก็ทยอยม้วนกลับ แต่ไม่ได้สลายหายไปจนหมด และหลังจากฟุ้งกระจาย ก็กลับมารวมตัวใหม่
ภาพนี้ ทำให้ราชครูเผ่าเงาคันฉ่องรู้สึกหนักอึ้ง เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองออกไปสิบลี้
ในพายุทรายที่เกิดจากหมอกพิษต้องห้ามซึ่งอยู่ไกลออกไปสิบลี้เวลานี้ เรือกลวิญญาณหญิงชราค่อยๆ เดินออกมา เผยให้เห็นร่างของสวี่ชิงบนศีรษะนางระหว่างฟ้าดิน
สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ จ้องมองเมืองศักดิ์สิทธิ์สองชนเผ่าที่เหมือนกับรังนกเบื้องหน้าอย่างเย็นชา แผ่จิตเทพเข้าไปในติงหนึ่งสามสองในร่างกาย
“ท่านจะไม่กินจริงๆ หรือ
“ไม่กินๆๆ นี่มันเป็นเครื่องเซ่นไหว้ชื่อหมู่ทั้งนั้น ข้าไม่กล้ากิน ทั้งยังเต็มไปด้วยคำสาป มีแต่รสชาติเหม็นบูด เนื้อที่มันบูดแล้วเจ้ากินด้วยรึ”
นิ้วเทพเจ้ากล่าวออกมาอย่างฉะฉาน
สวี่ชิงไม่สนใจอีก ระหว่างทางเพื่อป้องกันเป้าประสงค์ที่จะเปิดโปงตนเอง จึงกระตุ้นลูกกลอนจันทราปีศาจฟ้าทมิฬที่เคยกินตอนที่ไปเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์กับนายกองตอนนั้น ปลดปล่อยฤทธิ์ยาที่หลงเหลือในร่างกายออกมา กลายร่างเป็นเผ่าฟ้าทมิฬอีกครั้ง
ตอนนี้เขามองไปที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ ยกมือขวาขึ้น ชี้ไปยังท้องฟ้าเบื้องบนเหนือเมือง
ฉับพลันท้องนภาก็ตีเกลียว ตามด้วยเสียงครืนครัน พระจันทร์สีม่วงดวงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมากลางอากาศในพริบตา ลอยเด่นอยู่เหนือเมืองศักดิ์สิทธิ์
พระจันทร์สีม่วงจุติยังโลก รอบด้านเปลี่ยนสี ทั้งหมดทั้งมวลล้วนกลายเป็นสีม่วงในพริบตา
ท้องฟ้าเป็นเช่นนี้ ผืนแผ่นดินก็เช่นกัน เมืองนั้นก็ด้วย
ทุกที่ที่สายตามองเห็น ทั้งหมดล้วนกลายเป็นสีม่วง!
อำนาจเทพแผ่ซ่าน ปกคลุมโลกมนุษย์ ด้านในแฝงอำนาจแห่งชื่อหมู่ที่เข้มข้นเอาไว้ จากระดับชั้นที่สูงส่งกว่าทูตเทวะทั้งหมด เฉกเช่นเดียวกับบุตรเทวะมาเยือน ทำให้เมืองทั้งเมืองบิดเบี้ยว รอบด้านเลือนรางไปหมด
ไอพลังประหลาดเข้มข้นแผ่ลามจากในเมือง ลอยขึ้นมาจากสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด ปะทุจากร่างทั้งสองเผ่าทีละตน วุ่นวายกันทั้งแผ่นดิน
เสียงสูดลมหายใจ เสียงตกตะลึง เสียงตกตะลึงนับไม่ถ้วน ดังออกมาจากปากของสองชนเผ่าเมืองศักดิ์สิทธิ์ในเสี้ยวอึดใจ พวกเขาหน้าเปลี่ยนสี ในใจของพวกเขากโหมระลอกคลื่นขนาดยักษ์
ความรู้สึกคุ้นเคย ทำให้ผู้บำเพ็ญของสองเผ่าไม่น้อยคุกเข่าลงคารวะตามสัญชาตญาณ ใจสั่นสะท้านถึงขีดสุด
และสีหน้าที่เปลี่ยนไปมหาศาลเช่นนี้ ยังรวมไปถึงร่างเงาสมบัติวิญญาณทั้งสี่เหนือเมืองด้วย
พวกเขาที่รวมถึงราชครู ระลอกคลื่นในใจโหมกระหน่ำซัดอย่างรุนแรง สีหน้าก็ไม่อาจเยือกเย็นได้อีกต่อไป ดวงตาฉายแววพรั่นพรึง
ในร่างกายสรรพชีวิตทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราล้วนแฝงคำสาปของพระจันทร์สีชาดไว้ และคำสาปที่แฝงอยู่ในสายโลหิตทุกรุ่น ขณะที่ทำให้พวกเขาออกจากแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราไม่ได้ ก็ยังทำให้ตอนที่พวกเขาเผชิญหน้ากับตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด สามารถสัมผัสถึงแรงกดดันที่มาจากเทพเจ้าได้อย่างชัดเจน
เพียงแต่ในยามปกติ คำสาปนี้ก็ราวกับหลับไหลอยู่ แต่ตอนที่พวกเขามีความคิดจะหลบหนีออกจากแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราถึงจะปะทุขึ้นมา
แต่ตอนนี้ สมบัติวิญญาณทั้งสี่รวมถึงคนสองเผ่าในเมืองทั้งหมดสัมผัสคำสาปของสายโลหิตในร่างกายได้แล้ว มันกำลังฟื้นคืนมา
แม้จะยังห่างจากการปะทุอีกไกล แต่การฟื้นคืนนี้ ก็เหมือนดีดสายพิณหยุดชีวิตให้สั่นไหวชั่วคราว จนเสียงระฆังมรณะดังก้อง ทำให้พวกเขาสั่นสะท้านอย่างยิ่ง
ห่างออกไปสิบลี้ สวี่ชิงที่ยืนอยู่บนหัวเรือกลวิญญาณหญิงชรา มองทั้งหมดนี้ ก็เอ่ยประโยคแรกหลังจากมาถึงออกมา
“สมบัติวิญญาณทั้งหมดของความร่วมมือสองเผ่า ออกมาต้อนรับเดี๋ยวนี้!”
เมื่อสวี่ชิงเอ่ยออกไป แสงพระจันทร์สีม่วงก็พลันเจิดจ้า อำนาจเทพรุนแรงขึ้นอีกครั้ง ฟ้าดินยิ่งบิดเบี้ยว ทุกอย่างกำลังสั่นไหว คนธรรมดาทั้งสองเผ่าในเมืองไม่อาจทานรับได้ ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน
พวกเขาบางส่วนเริ่มกลายพันธุ์ คำสามปในร่างกายก็ยากระงับ แผ่ลามไปทั่วร่าง ทำให้เสียงกรีดร้องยิ่งหวีดแหลม ร่างกายแห้งเหี่ยวอย่างต่อเนื่อง
ทั้งหมดนี้ ทำให้ผู้คนในพันธมิตรสองเผ่ารู้สึกตกตะลึงหวาดกลัว รวมถึงราชครูในสมบัติวิญญาณทั้งสี่ก็พุ่งออกมาตามสัญชาตญาณ ตรงไปหาสวี่ชิง
ส่วนในพระราชวังของทั้งสองเผ่า ก็มีคลื่นพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าอีกสองสาย พุ่งมาบนท้องฟ้าในพริบตา
นั่นคือเจ้ารัฐของทั้งสองเผ่า และเป็นบรรพจารย์ของทั้งสองเผ่าด้วย
สีหน้าพวกเขาก็ตื่นตะลึงเช่นกัน ขณะที่ในใจยังตกตะลึงสงสัย พระจันทร์สีม่วงกับพระจันทร์สีชาด มีความแตกต่างกันอยู่ แต่กลิ่นอายรวมถึงอำนาจเทพนั้นเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
ทั้งหมดนี้ ทำให้พวกเขาไม่กล้าล่วงเกินสัญชาตญาณ หลังจากพุ่งออกมาตอนนี้ก็ตรงไปหาสวี่ชิงพร้อมกับสมบัติวิญญาณทั้งสี่ ไม่กล้าเข้าไปใกล้นัก หยุดอยู่ห่างออกมาพันจั้ง
“คารวะทูตเทวะ!”
บรรพจารย์สองเผ่าสีหน้าเคร่งขรึม ประสานหมัดทันที
สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ นี่เป็นขั้นตอนแรกวิธีเดียวที่เขาคิดระหว่างทางในการมาครั้งนี้
ทั้งหกคนอยู่ด้วยกันแล้ว!
ตอนนี้ขั้นตอนแรกสำเร็จ พริบตาที่พวกเขาคารวะ พระจันทร์สีม่วงบนท้องฟ้าก็ครืนครันมา ลอยอยู่เหนือคนทั้งหก สะกดพวกเขาทันที
นี่คือขั้นตอนที่สอง
สวี่ชิงรู้ว่าผู้บำเพ็ญสมบัติวิญญาณไม่ได้โง่ โดยเฉพาะในฐานะที่เป็นถึงบรรพจารย์ ยิ่งจะดูถูกมิได้ ฐานะตนเองแรกเริ่มยังพอหลอกได้ แต่ก็รับประกันได้ยากว่าจะไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิด
จึงชักช้าไม่ได้ ต้องรีบสู้รีบจบ ขณะที่พวกเขายังคงตกตะลึงสงสัย!
ดังนั้นขั้นตอนที่สองนี้ คือการใช้พลังพระจันทร์สีม่วงสะกดพวกเขา ทำให้พวกเขาสับสนในพริบตา
ภายใต้การสะกดของพระจันทร์สีม่วงตอนนี้ สีหน้าผู้แข็งแกร่งสมบัติวิญญาณทั้งหกของความร่วมมือสองเผ่าล้วนเปลี่ยนไป พลังคำสาปในร่างกายปั่นป่วนในเสี้ยวขณะนี้
เพียงแต่พลังบำเพ็ญของพวกเขา ก่อนหน้าที่คำสาปยังไม่ถูกกระตุ้นจนปะทุ สามารถประคับประคองพวกเขาให้ไปสะกดได้ ขณะที่ยังตกตะลึงโกรธแค้นนี้ สวี่ชิงไม่ลังเลแม้แต่น้อย ดึงเข็มนาฬิกาแดดทั้งห้าในร่างกายออกมา!
นี่คือขั้นตอนที่สาม
เวลาสับสนในขั้นตอนที่สองยังไม่เพียงพอ ต้องมีขั้นตอนที่สามสนับสนุน เพื่อเปิดโอกาสให้กับขั้นตอนที่สี่!
เมื่อดึงเข็มนาฬิกาออกมา ขณะที่การหน่วงเวลานาฬิกาแดดทั้งห้าปะทุ ทำให้กาลเวลารอบตัวสมบัติวิญญาณทั้งหกคนเชื่องช้าลงในพริบตา
เสี้ยงขณะต่อมา อสูรสมุทรบรรพกาลวิถีสวรรค์ก็ปรากฏตัว สำแดงร่างกายอันใหญ่โต ขณะที่สมบัติวิญญาณทั้งหกคนกำลังต่อต้านการสะกดของพระจันทร์สีม่วงรวมถึงความสับสนในใจช่วงที่ถูกหน่วงเวลาพริบตานี้ ก็ไปกลืนกินพวกเขาทันที
กลืนกินผู้บำเพ็ญทั้งหกคนรวมถึงพระจันทร์สีม่วงเข้าไป!
นี่ คือแผนการขั้นตอนที่สี่ของสวี่ชิง
แต่สิ่งที่ต้องแลกก็มากมายมหาศาลนัก
นาฬิกาแดดทั้งห้าของสวี่ชิง แตกกระจายเป็นชิ้นๆ ทันที
สวี่ชิงกระอักเลือด ร่างกายก็อ่อนล้าไปหมด แต่พลังบำเพ็ญไม่ได้ลดลงมากนัก เพราะตะเกียงชีวิตที่แปรมาจากสายโลหิตที่แท้จริงของเขา อันที่จริงคือเข็มนาฬิกาห้าเล่มนั้น!
ส่วนนาฬิกาแดดมาจากผลึกวารีสีม่วง ประสบการณ์ในทะเลเพลิงสวรรค์ก่อนหน้านี้ ทำให้สวี่ชิงเข้าใจว่าพวกมันฟื้นฟูได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาเท่านั้น
ตอนที่ใช้พลังนาฬิกาแดด แผนการขั้นที่สี่ก็สำเร็จ
พระจันทร์สีม่วงหายไป สมบัติวิญญาณทั้งหกก็หายไปเช่นกัน อสูรสมุทรบรรพการแผดเสียงคำรามอย่างทรมานกลางอากาศ ร่างปูดบวมส่งเสียงครืนครัน
มันยืนหยัดได้ไม่นานนัก
แม้ว่ามันจะมีความพิเศษ มีวิถีสวรรค์หนุนนำ แต่สุดท้ายก็ยังอ่อนแอ ต่อให้ใช้พลังพระจันทร์สีม่วงสะกด ก็ยังยากจะพันธนาการสมบัติวิญญาณหกคนนั้นไว้ได้
และอำนาจเทพของสวี่ชิงก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้คำสาปผู้บำเพ็ญสมบัติวิญญาณฟื้นตื่นขึ้นมาได้
เขาทำได้แค่ให้คำสาปเหล่านี้ฟื้นตื่นขึ้นมา
แต่ในความเป็นจริง สามารถทำได้ถึงจุดนี้ก็น่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่งแล้ว เพราะว่าเขาใช้พลังทั้งหมดเข้างัด และทูตเทวะก็ใช้ร่างกายตนเองเป็นภาชนะ ใช้พลังเทพเจ้า ถึงจะสำแดงผลลัพธ์ได้ถึงระดับเดียวกัน
ดูคล้ายกัน แต่คุณสมบัติแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ทนไว้หนึ่งก้านธูป!” สวี่ชิงเอ่ยกับอสูรสมุทรบรรพกาล จากนั้นก็มองไปทางเมืองศักดิ์สิทธิ์ จิตสังหารในตาไม่อาจสะกดได้แล้วในตอนนี้ ปะทุออกมาน่าตื่นตะลึง
เขาพุ่งตรงไปที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ รอบด้านส่งเสียงครืนครัน
“เผ่าเงาคันฉ่อง กำเริบเสิบสานเบื้องหน้าจันทราคิดจะทำร้ายทูตเทวะฟ้าทมิฬอย่างข้า ต้องโทษประหาร ชนเผ่าต้องดับสูญ!”
กล่าวจบ สวี่ชิงก็ยกมือขวาขึ้น โบกไปด้านหน้า
รวดเร็ว ทรงพลังอย่างยิ่ง ทัณฑ์สวรรค์ส่งเสียงสะท้อนก้องเป็นทอดๆ
สายอัสนีสีแดงคือบรรพจารย์สำนักวัชระ ดวงตาทั้งสองแดงเถือก จิตสังหารอบอวลในใจ
ติดตามสวี่ชิงมาจนตอนนี้ ในอดีตเขาล้วนลงมือเพื่อสวี่ชิงทั้งนั้น ล้วนเป็นฝ่ายถูกกระทำ มีเพียงวันนี้ที่เขาเลือกลงมือเอง เพื่อล้างแค้นให้กับผู้ฟังที่ตายไปเหล่านั้น!
คิดถึงสายตาผู้ฟังเหล่านั้น คิดถึงเสียงและใบหน้าของพวกเขา ความโกรธแค้นและโศกเศร้าของบรรพจารย์สำนักวัชระก็ปะทุระเบิดออกมาจนถึงที่สุด
“สังหาร!!”
บรรพจารย์สำนักวัชระคำราม หมุนก้างปลาเทพเจ้าที่แข็งแกร่งทรงพลัง เข้าประชิดม่านพลังป้องกันเมืองศักดิ์สิทธิ์ในพริบตา พุ่งทะลวงไปอย่างรุนแรงโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น!
หลังจากม่านพลังป้องกันเมืองศักดิ์สิทธิ์เพิ่งผ่านเหตุการณ์เพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้าก็ถึงขั้นไฟตะเกียงใกล้มอดดับ แม้การฟื้นฟูอยู่หลายเดือนจะทำให้มีพลังอยู่บ้าง แต่ก็ต่างจากตอนที่สมบูรณ์พร้อมที่สุดมหาศาล
ในความมืดสลัวตอนนี้ สกัดกั้นพลังทะลุทะลวงที่มาจากก้างปลาเทพเจ้าไม่ได้เลย จากเสียงครืนครันที่ดังมา ก้างปลาที่อาบไปด้วยอัสนีสีแดง ก็ทะลวงม่านแสงป้องกันจนเป็นรูขนาดเล็กรูหนึ่ง!
เมื่อรูขนาดเล็กนี้ปรากฏขึ้น ทำให้เกิดรอยปริแตกมากมายแผ่ลามออกไปถ้วนทั่วอย่างรวดเร็ว
และค่ายกลของเมืองศักดิสิทธิ์ก็ไม่ธรรมดา ต่อให้ตอนนี้จะอ่อนกำลังจนถูกทะลวงเป็นรู แต่มันก็ส่องแสงวูบวาบกำลังฟื้นฟู
แต่ระหว่างที่สวี่ชิงเดินทางมา ก็คิดทุกอย่างไว้ในใจแล้ว พริบตาที่บรรพจารย์สำนักวัชระทะลวงเข้าไปแล้วพริบตาที่ค่ายกลฟื้นฟูตัวเอง บนท้องฟ้าก็มีเสียงดังสนั่นน่าตื่นตะลึงดังมา
ยอดเขาขนาดยักษ์ยอดเขาหนึ่ง ปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้า
ยอดเขานี้มองไกลๆ เหมือนเป็นร่างเงานั่งขัดสมาธิ หน้าตาของเขาเหมือนสวี่ชิงไม่ผิดเพี้ยน แบกโลกใหญ่มืดสลัวไว้สองใบ แผ่ซ่านแรงกดดันที่น่าตกตะลึงออกมาทั่วร่าง
เขาจักรพรรดิภูตของสวี่ชิงนั่นเอง!
เมื่อเขาลูกนี้ปรากฏ ก็พุ่งชนม่านพลังป้องกันเมืองศักดิ์สิทธิ์ด้านล่างอย่างรุนแรงทันที!
แต่สุดท้ายมันก็ยังไม่สลายและค้ำยันไว้ได้ เพียงแต่รอยแตกมากมายก็ยิ่งแผ่ลามออกไปจากรูที่ก้างปลาแทงทะลุเข้าไปขณะที่เขาจักรพรรดิภูตพุ่งชน
ตอนนี้เอง เสียงคำรามสะท้อนก้องเก้าชั้นฟ้าเสียงหนึ่ง ดังมาจากด้านบนร่างสวี่ชิง
วิหคทองสีดำบินออกมาฉับพลันจากความว่างเปล่า ร่างขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ชั่วพริบตา ร่างของมันก็ขนาดพันจั้ง หางสองร้อยกว่าเส้นโบกสะบัดราวกับเป็นพญาหงส์ดำ แผ่ขยายไปทั่วท้องฟ้า พุ่งไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์
ชั่วอึดใจก็มาถึงด้านบนเหนือเมืองศักดิ์สิทธิ์ ดวงตาของมันฉายแววเย็นชา ขณะที่แผดเสียงคำรามสั่นสะเทือนจิตใจ มันก็อ้าปากขนาดใหญ่ พ่น…เพลิงสวรรค์ไปยังม่านพลังป้องกันที่เต็มไปด้วยรอยแตกร้าว!
นั่นคือสิ่งที่แปรมาจากหินหนืดที่มันกลืนมาจากทะเลเพลิงสวรรค์ ร้อนระอุอย่างยิ่ง
ขณะนี้บินพลางพ่นเปลวเพลิงมหาศาลออกมา มองไกลๆ ทั่วทั้งเมืองถูกเพลิงสวรรค์ปกคลุม
ราวกับเพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้าปรากฏขึ้นอีกครั้งในฟ้าดิน!
ทั้งหมดนี้พูดแล้วเหมือนเชื่องช้า แต่ความจริงนับตั้งแต่ที่บรรพจารย์สำนักวัชระพุ่งออกไปจนถึงช่วงที่วิหคทองพ่นไฟ ทั้งหมดจบลงในชั่วไม่กี่อึดใจเท่านั้น
และม่านแสงคุ้มกันเมืองศักดิ์สิทธิ์ หลังจากทานรับทุกอย่าง สุดท้ายก็ประคับประคองต่อไปไม่ไหว ขณะที่เสียงกร๊อบดังเสียดหูก็พังทลายลงมา
เขาจักรพรรดิภูตร่อนลงบนพื้นดิน ครืนครันไปทั้งเมือง
บรรพจารย์สำนักวัชระหวีดหวิวออกไป พอเห็นคนก็สังหาร!
เปลวเพลิงบนท้องฟ้าไม่มีอะไรขวางกั้นอีกต่อไป สาดร่วงลงมาในเมือง แผดเผาทุกสรรพสิ่ง
ฟ้าดินสิ้นสีสัน!
ในเมืองศักดิ์สิทธิ์ คนของความร่วมมือสองเผ่า พวกเขาเห็นพวกเจ้ารัฐตนเองถูกอสูรสมุทรบรรพกาลขนาดยักษ์ตัวหนึ่งกลืนกินไปกับตา เดิมระลอกคลื่นในใจก็โหมกระหน่ำอยู่แล้ว
ความตกตะลึงสงสัยและความพรั่นพรึงอัดแน่นอยู่ในใจพวกเขา ส่วนการฟื้นตื่นของคำสาปของแต่ละคนก่อนหน้านี้รวมถึงฐานะทูตเทวะของสวี่ชิง ก็ยิ่งทำให้ระลอกคลื่นในใจพวกเขาถาโถมขึ้นไปอีก
แค่ชั่วสั้นๆ ไม่กี่อึดใจ ค่ายกลก็ถล่มลงมา เพลิงสวรรค์ยิ่งลุกลาม ทั้งหมดนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกถึงหายนะ
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสองชนเผ่า แม้สมบัติวิญญาณจะถูกขังไว้ แต่ก็ยังมีผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิดอีกไม่น้อย ในนี้แก่นลมปราณก็ยิ่งมีมาก หลังจากผ่านประสบการณ์โกลาหลวุ่นวายฉุกละหุกก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็ทยอยตอบสนอง ร่างหลายร่างพลันพุ่งออกไปหาสวี่ชิง
สีหน้าสวี่ชิงเย็นชา เขาที่อยู่กลางอากาศ ยกมือขวาขึ้น กดลงไปที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ด้านล่างทันที
พายุทรายที่อบอวลไปด้วยพิษนับร้อยลี้ตลอดทางด้านหลังเขาก็กลายเป็นเงามืดขนาดยักษ์ กลายเป็นหมอกไร้ที่สิ้นสุด พัดเข้าไปทางเมืองศักดิ์สิทธิ์!
ราวพายุคลั่งพัดกวาด
พายุทรายที่เกิดจากพลังพิษต้องห้ามมาพร้อมกับความทรงอำนาจ มาพร้อมพิษเข้มข้นถึงขีดสุด แฝงไอพลังประหลาดที่น่ากลัว หวีดหวิวมาจากด้านหลังและปกคลุมร่างสวี่ชิง
ผู้บำเพ็ญที่พุ่งมาด้านหน้าสวี่ชิงเหล่านั้น ตนแรกที่บุกมา เสียงกรีดร้องถูกเสียงคำรามของพายุทรายกลบ
ท่ามกลางพิษต้องห้ามเข้มข้น ร่างกายของพวกเขาเริ่มเน่าสลาย ถึงขนาดกับร้องโหยหวนไม่ออก มีเพียงพายุทรายพิษต้องห้ามที่ปกคลุมเมืองศักดิ์สิทธิ์สองเผ่านี้ด้วยพลังที่น่าตกตะลึง
ทุกจุดที่แล่นผ่าน ฟ้าถล่มดินทลาย
สิ่งแรกที่พังถล่มคือกำแพงเมือง ถัดมาคือสิ่งปลูกสร้างนับไม่ถ้วนด้านใน จากนั้นก็เป็นคนทั้งสองชนเผ่าในนี้ทั้งหมด
แผ่นดินใหญ่สั่นสะเทือน ไอพลังประหลาดปะทุ เมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้งเมืองถูกพายุทรายขนาดนับร้อยลี้ปกคลุมไว้ในพริบตา
ภาพนี้ มองไกลๆ ราวกับเทพเจ้าลงโทษ!
ส่วนสวี่ชิงที่อยู่กลางอากาศ ราวกับกลายเป็นเทพเจ้า ปลดปล่อยอำนาจเทพของเขาออกมา
สิ่งที่เห็นทั้งหมดในครรลองสายตา หมอกพิษต้องห้ามปกคลุมทั่วทั้งเมือง ความตายกระจายอยู่ทุกหนแห่ง!
ส่วนเสียงกรีดร้องเสียงเดียวที่ยากจะเปล่งออกมา แต่หลังจากเพิ่มมากขึ้นก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
เสียงกรีดร้อง โหยหวน ดังก้องไปทั้งแปดทิศ
สำหรับทั้งสองเผ่าแล้ว นี่คือทัณฑ์สวรรค์
แต่ก็มีผู้บำเพ็ญทั้งสองเผ่าบางส่วนพุ่งออกมาจากหมอกพิษในตอนนี้ ขณะที่ทั่วร่างอยู่ในสภาพเน่าเปื่อย ดวงตาก็ฉายแววโกรธแค้น พุ่งมาหาสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของพวกเขาเหี้ยมเกรียม ในใจพวกเขาเดือดดาล ในสายตาพวกเขา สวี่ชิงก็คือมารร้ายที่ชั่วช้าจนเกินอภัย
ส่วนพวกเขาก็เป็นเช่นนี้เช่นเดียวกันในสายตาสวี่ชิง
ชั่วพริบตา ตอนที่ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน
ดวงตาสวี่ชิงเปล่งแสงเยือกเย็น กริชปรากฏขึ้นขณะที่ยกมือขวา ก้าวไปหนึ่งก้าวประชิดทีละคนฉับพลันโดยไม่สนใจวิชาเวทที่อีกฝ่ายลงมือ
ยกมือวาดกริช!
ขณะที่เลือดสดสาดกระเซ็น ตอนที่ศีรษะร่วงลงพื้น เหนือศีรษะสวี่ชิงมีห้าฉัตรปรากฏขึ้น ต่างตัดสลับกันจนกลายเป็นบัลลังก์ราชันสีม่วง
สิ่งนี้ ถึงจะเป็นรูปร่างแท้จริงของตะเกียงชีวิตที่แปรมาจากสายโลหิตของสวี่ชิง
เมื่อบัลลังก์ราชันปรากฏ เมฆทั่วสารทิศเคลื่อนคล้อย คลื่นพลังในสายโลหิตวูบหนึ่งกลายเป็นพลังสะกด ทำให้รอบๆ จุดที่สวี่ชิงอยู่บิดเบี้ยว
ความเร็วและพลังต่อสู้ของสวี่ชิงล้วนได้รับการสนับสนุน จุดที่พุ่งผ่านผู้บำเพ็ญที่ตรงเข้ามาเหล่านั้น แต่ละคนราวกับกระดาษ พินาศย่อยยับ แตกดับกันต่อเนื่อง
ศพแต่ละร่างร่วงหล่นจากท้องฟ้า ขณะที่ทั่วทั้งเมืองมีเสียงกรีดร้องดังระงม ร่างของสวี่ชิงก็กลายเป็นเงาคงค้าง ปรากฏตัวที่เบื้องหน้าผู้บำเพ็ญเผ่าผืนนภาตนหนึ่ง กริชในมือเปล่งแสงเย็นวาบ จะเข้าปาดคอของเขา
แต่ผู้บำเพ็ญตนนี้ก็ไม่ธรรมดา กลับยังไม่ตาย สองแขนโอบรัดร่างสวี่ชิงแน่น ผู้บำเพ็ญรอบๆ คนอื่นก็ลงมือในพริบตา
เห็นวิกฤต ฉัตรเหนือศีรษะสวี่ชิงก็ลดลงมาในพริบตา เงาบัลลังก์ราชันแผ่ปกคลุมรอบๆ
ขณะส่งเสียงครืนครัน ฉัตรก็ลางเลือนกลายเป็นหนามแหลมห้าเล่มพุ่งทะลวงรอบด้านอย่างรวดเร็ว ตอนที่เสียงกรีดร้องดังก้อง หนามแหลมห้าเล่มก็หมุนสน กลายเป็นบัลลังก์ราชันข้างๆ สวี่ชิงอีกครั้ง
สวี่ชิงพุ่งออกไป เมื่อปาดกริช ก็ตัดขาดคอของผู้บำเพ็ญเผ่าผืนนภาคนนั้นจนขาด
แต่ตอนนี้เอง พลันมีเงาสามร่างเข้ามาใกล้ ร่างปะทุคลื่นพลังปราณก่อกำเนิดขั้นบริบูรณ์ออกมา
ร่างของสวี่ชิงร่วงลงไปทันใดท่ามกลางเสียงครืนครัน กระอักเลือดออกมา อวัยวะภายในกำลังสั่นสะเทือน ดีที่กายเนื้อเขาแข็งแกร่ง แม้จะไม่ใช่คู่มือ แต่ก็ไม่แตกสลายไปด้วยเหตุนี้
สามคนนั้นกำลังไล่ตามมา ร่างของสวี่ชิงไหววูบ เปลี่ยนเป็นกึ่งโปร่งแสง เข้าไปในปราณหมอกที่ปกคลุมเมืองศักดิ์สิทธิ์
เขาที่อยู่ในสภาพนี้ อำพรางกลิ่นอายมิดชิดถึงขีดสุด บนหน้าเขามีหน้ากากชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบได้
แต่หากเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญทั้งสองเผ่า เขาก็ไม่ลังเล จัดการปาดคอทันที
หากไม่สะดวก จะอวัยวะหรือจุดตายทั้งหมดล้วนเป็นจุดที่สวี่ชิงจะลงมือ
ในระหว่างนี้ เขาจึงเลี่ยงผู้แข็งแกร่งบางตนได้ยาก สังหารได้ก็สังหารทิ้ง ที่สังหารไม่ได้สวี่ชิงก็จะฝืนอาการบาดเจ็บหนีไปให้ไกลทันที
ขณะเดียวกันผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิดที่สามารถสังหารได้ ปราณก่อกำเนิดของพวกเขาก็คือของบำรุงของสวี่ชิง
เขาจะดึงมันออกมาแล้วบีบทิ้ง สูดรับอายุขัยสวรรค์เข้าไป ขณะเดียวกันก็ปลดปล่อยร่างมารฟ้าทั้งหมดออกมา แผ่พลังสัมผัสผู้แข็งแกร่งทั้งสองเผ่าอยู่ในปราณหมอกนี้ เจอใครคือสังหารทิ้งทันที
ร่างศพร่วงหล่นไม่หยุด เน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว เสียงกรีดร้องสะท้อนก้องในปราณหมอกไม่หยุด ส่วนผู้แข็งแกร่งความร่วมมือสองเผ่ารอบๆ ก็กำลังเดือดดาลถึงขีดสุด ต้องพุ่งทะลวงเข้ามาในปราณหมอก
ยังมีส่วนหนึ่งที่พุ่งไปที่อสูรสมุทรบรรพกาลวิถีสวรรค์ โจมตีใส่มัน คิดจะช่วยบรรพจารย์ของพวกเขาที่ถูกขังไว้ออกมา
ยิ่งมีไม่น้อยที่ขึ้นไปสำแดงวิชากลางอากาศ คิดจะสลายพายุทรายพิษต้องห้ามร้อยลี้นี้ แต่ความสามารถของพวกเขาไม่สามารถทำได้ถึงจุดนั้นในเวลาสั้นๆ
ส่วนร่างของสวี่ชิงก็เป็นตัวแทนของความตาย คาดเดาไม่ได้ สังหารทุกชีวิตที่อยู่ในปราณหมอก
ที่นี่ เป็นสนามรบที่เตรียมไว้ให้ตนซึ่งคิดไว้ดีแล้วระหว่างทางที่มาที่นี่
ที่อ่อนแอกว่า จะถูกเขาสังหารอย่างโหดเหี้ยม ที่แข็งแกร่งกว่า สวี่ชิงก็จะหลีกเลี่ยงอย่างสุดกำลัง รอจนพิษอีกฝ่ายกำเริบแล้วค่อยสังหาร!
พวกเจ้าไม่เข้ามาก็ได้ แต่ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะสังหารพวกคนธรรมดาทิ้ง
ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ที่ทุกจะหนีออกไป และความน่ากลัวของหมอกพิษ ปนเปื้อนเพียงนิดเดียวก็เท่ากับเป็นตราประทับแห่งความตายแล้ว
สรุปคือ ทุกอย่างที่นี่ ล้วนเป็นเป้าหมายที่เขาจะสังหาร!
ในสนามรบที่ขึ้นอยู่เขาแต่เพียงผู้เดียว สวี่ชิงที่ไปมาอย่างไร้ร่องรอย คือตัวตนระดับเทพแห่งความตาย!
ความโหดเหี้ยมของเขา นิสัยกัดไม่ปล่อยของเขา ทำให้ผู้บำเพ็ญสองเผ่าใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรงในตอนนี้
นี่ คือการล้างแค้นของสวี่ชิง!