Skip to content

Outside Of Time 571

บทที่ 571 ตื่นขึ้นเถิด พี่หญิงสามของข้า

ในโลกเศษเสี้ยวแห่งนี้ ตอนนี้ไม่มีท้องฟ้าแล้ว

ม่านฟ้าชั้นน้ำแข็งแต่เดิมตอนนี้ถล่มลงมาแล้วกว่าครึ่ง รอบๆ เต็มไปด้วยรอยร้าวขนาดมหึมาเป็นทางๆ ฉีกทึ้งผืนฟ้า

โพรงขนาดมหึมาตรงกลางทะลุทั้งในและนอก ทอดตัวไปสู่นอกโลก

ส่วนชั้นน้ำแข็งบนพื้นก็เช่นกัน ผืนดินกว้างใหญ่ไพศาล ภายใต้การแตกหักนี้ดูแล้วไร้ระเบียบ ทั้งชั้นน้ำแข็งถูกโลงสัมฤทธิ์ที่อยู่ข้างใต้ดันขึ้นมา น่าหวาดหวั่นขวัญเสียนัก

โลงสัมฤทธิ์ขนาดมหึมาใบนี้กระทั่งว่าใหญ่กว่าโลงที่สวี่ชิงได้เห็นใต้ทะเลเพลิงสวรรค์ขึ้นมาอีกเท่า

ตอนนี้พื้นที่กว่าครึ่งปรากฏอยู่ข้างนอก มองดูไกลๆ เต็มไปด้วยพลังมหาศาล

กลิ่นอายโบราณเก่าแก่ของห้วงเวลาที่หมุนผ่านไปแผ่ซ่านไปในโลกใบนี้ โจมตีทุกสิ่ง เหมือนว่าจะปลดปล่อยเวลาที่ฝังมันออกมาทั้งหมดในเสี้ยวขณะนี้

มันถูกฝังอยู่นานมากๆ จะเห็นบนผิวโลงเต็มไปด้วยไปด้วยรอยสนิม ฉายความเก่าแก่ผ่านห้วงเวลามาเนิ่นนานออกมา

และแรงปะทะที่พลังตะปูแห่งเจ้าเหนือหัวดอกนั้นพุ่งไปก่อนหน้านี้เห็นได้ชัดว่ารุนแรงมาก ฉายความทรงพลังบ้าคลั่งออกมา แม้ตอนนี้จะปักลงมาเพียงครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังมีรอยแยกเกิดขึ้นในบริเวณที่มันตอกลงไปและเชื่อมกับชายขอบ

ขณะเดียวกับที่มีจำนวนมากมายมหาศาล ก็ยังมีพื้นที่อีกจำนวนไม่น้อยที่สูงต่ำสลับขึ้นลงเป็นคลื่น โลงทั้งใบดูแล้วห่างจากแตกเป็นเสี่ยงๆ อีกเพียงแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น

ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงที่อยู่บนท้องฟ้าและพวกนายกองสามคนที่อยู่ที่ไกลๆ หลังจากที่ต่างมองหน้ากัน ก็ลอยขึ้นฟ้าไปตามสัญชาตญาณเล็กน้อย

ขณะเดียวกัน เงาร่างที่แปลงมาจากหมอกสีฟ้าที่ลอยตลบอวลอยู่บนตะปูแห่งเจ้าเหนือหัว เสียงของเขาก็ดังสะท้อนก้อง

“พี่หญิงสาม หลังจากที่ข้าหลุดพ้นจากพันธการก็สัมผัสรับรู้ต้นกำเนิดพลังเดียวกัน ผู้ที่ยังมีระลอกคลื่นสติสัมปชัญญะรับรู้ทั่วทั้งผืนแผ่นดินบรรพชน มีเพียงข้าและท่านเท่านั้น…พี่น้องคนอื่นๆ สูญสิ้นสติสัมปชัญญะไปกันหมดแล้ว

“วิญญาณของพวกเขาไม่สมบูรณ์แล้ว ถูกหลีพั่นน้องสี่ของพวกเราดูดเอาไปแล้ว…

“ดังนั้น ข้าจึงมาที่นี่ เปิดผนึกของท่าน พี่หญิงสาม…ตื่นเถิด”

เสียงจากเงาร่างที่แปลงมาจากหมอกสีฟ้าแฝงด้วยความโศกเศร้าอย่างเข้มข้น ตอนนี้ขณะที่แผ่ไปในโลกใบนี้ โลงสัมฤทธิ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นก็พลันสั่นคลอนขึ้นมา

จากการสั่นคลอน รอยร้าวบนฝาโลงใหญ่ขึ้น ทำให้โลกใบเล็กท่ามกลางการสั่นคลอน มือเหี่ยวแห้งข้างหนึ่งพลันยื่นทะลุฝาโลงออกมาจากข้างใน

เสียงครืนครันสนั่นหวั่นไหวดังก้อง เศษโลงนับไม่ถ้วนแตกกระจายออกไปข้างนอก มือข้างนั้นปรากฏออกมาโดยสมบูรณ์

วิเคราะห์จากลักษณะของมือก็มองไม่ออกแล้วว่าเป็นมือของผู้หญิง ผิวหนังบนนั้นไม่มีแล้ว เหลือเพียงเลือดเนื้อเหี่ยวแห้ง อัปลักษณ์เป็นอย่างยิ่ง

เล็บทั้งหมดหายไป กลิ่นอายความตายเป็นระลอกๆ ลอยขึ้นจากในนั้นอย่างต่อเนื่อง

เงาร่างที่แปลงมาจากหมอกสีฟ้ามองมือข้างนี้ยิ่งเกิดความหมองเศร้าขึ้นไปอีก

นี่คือพี่หญิงสามของเขา ลูกสาวสุดรักปานแก้วตาดวงใจของเสด็จพ่อ และเป็นเพียงคนเดียวในบรรดาพี่น้องทั้งเก้าคนที่ทางด้านพรสวรรค์คุณสมบัติเทียบเคียงได้กับน้องเก้า

พลังบำเพ็ญยิ่งน่าครั่นคร้าม เคยออกรบไปทั่วทุกทิศแทนเสด็จพ่อ คุณงามความชอบมากมาย

ไม่ใช่เพียงแค่นี้ ความงามของนางยิ่งเป็นที่เลิศล้ำในทั้งหมื่นเผ่าในตอนนั้น บุตรชายผู้มีตำแหน่งสูงส่งมากมายหลงรัก จักรพรรดิโบราณแต่งตั้งเป็นองค์หญิง หมิงเหมยด้วยตัวเอง

ตอนนั้นเคยมีคำกล่าวไว้ว่า งามล้ำงามเลิศพริ้งเพริศดุจพรายเมฆา งามสุดแสนโสภาบริสุทธิ์ล้ำไร้มลทิน

แต่การมาเยือนของชื่อหมู่ ทุกอย่างเปลี่ยนไป องค์หญิงหมิงเหมยโฉมสคราญหยาดเยิ้มผู้นั้น จากการแตกดับของเสด็จพ่อ ก็ถูกผนึกเอาไว้ในโลง

น้องสี่ที่เลวยิ่งกว่าเดรัจฉานของตนผู้นั้น เหนี่ยวนำเลือดลมของเจ้าสามส่งไปที่โลง ทำให้นางที่อยู่ในสภาพหิวโหย จำต้องวางเกียรติศักดิ์ศรีและขีดจำกัดในฐานะที่เป็นมนุษย์ลง เพื่อแก้แค้น ทำได้เพียงแค่ดูดซับเท่านั้น

คนไม่ใช่คน ผีไม่ใช่ผี มีชีวิตแต่ก็ไม่มีชีวิต ตายแต่ก็ไม่ตาย

รัฐทายาทเจ้าเหนือหัวความโศกเศร้าพวยพุ่งขึ้น มองไปที่โลง

ตรงนั้นมืดมิด มองไม่ชัด มองเห็นเพียงมือที่ยื่นออกไปยกขึ้นอย่างช้าๆ คล้ายว่าวางอยู่ข้างหน้า

โลงทั้งใบสั่นคลอนอย่างรุนแรง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็เปลี่ยนมาสงบนิ่ง เสียงแหบแห้งของผู้หญิงดังมาจากในโลง

“รัฐทายาท…”

เสียงที่คุ้นเคยนี้ทำให้รัฐทายาทนึกถึงห้วงเวลาที่งดงามในอดีต

และหลังจากที่เสียงนั้นดังขึ้น เงาร่างในโลงก็เดินออกมาช้าๆ เดินมายังโลกใบนี้ สะท้อนภาพในดวงตาสวี่ชิง

นั่นเป็นเงาร่างสูงใหญ่ที่สวมชุดเกราะเปื่อยผุ ทั้งร่างแห้งเหี่ยว เกราะเหมือนแขวนอยู่บนนั้น ฉายให้เห็นจุดที่ว่างโล่งมากมาย

ลมพัดมาในยามนี้ พัดผ่านช่องว่างชุดเกราะ ส่งเสียงหวีดหวิวออกมา และร่างที่ปรากฏให้เห็นข้างนอก สยดสยองพรั่นพรึงนัก

บนนั้นเต็มไปด้วยรอยแผล ในนั้นยังมีหนอนนับไม่ถ้วนชอนไชกัดกิน ขณะเดียวกันร่างของนางไม่มีหนัง เหมือนถูกคนถลกออกไปทั้งเป็น

ทุกอย่างทำให้นางทั้งคนดูอัปลักษณ์เป็นอย่างยิ่ง และจากร่างกายก็ยากที่จะดูว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย

ส่วนใบหน้ายิ่งเว้าแหว่งไป บริเวณดวงตามีเพียงแค่รูโบ๋สองรู แผ่แสงเย็นยะเยือกออกมา ประดุจว่ากลับมาจากยมโลก

สภาพเช่นนี้ทำให้คนไม่อาจจินตนาการได้เลยว่านางเคยประสบพบเจอกับการทรมานและความเจ็บปวดแบบใด

แต่ว่า ระลอกคลื่นพลังน่าครั่นคร้ามที่แผ่ออกมาจากร่างของนาง จากการก้าวเดินออกมาก็พวยพุ่งขึ้นไม่หยุด ทำให้โลกเศษเสี้ยวใบนี้ยิ่งส่งผลกระทบออกไปนอกโลก

ทั้งที่ราบน้ำแข็งทางเหนือ ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมพัดกรรโชกเมฆหอบม้วน คลื่นวนขนาดมหึมาลูกหนึ่งส่งเสียงครืนครันเลื่อนลั่นปรากฏบนท้องฟ้าที่โลกภายนอก

คลื่นวนลูกนี้หมุนวนอย่างรวดเร็ว ทำให้ทางเหนือทั้งแถบเกิดการบิดเบี้ยวรางเลือน

ประดุจเทพเจ้ามาเยือน

ขณะที่สรรพชีวิตทั้งหลายสั่นสะท้าน ปลายขอบฟ้าไกลประกายแสงสีแดงกะพริบวูบ

นั่นเป็นระลอกคลื่นพลังจากตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด ที่นี่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล ตำหนักเทพไม่มีทางไม่รู้

และที่มาเยือนตอนนี้ไม่ใช่ทูตเทวะ แต่เป็นตราประทับฝ่ามือมหึมายิ่งใหญ่ตราหนึ่ง

ลายนิ้วมือบนตราประทับฝ่ามือประดุจร่องน้ำ ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง แผ่ประกายแสงสีแดงพร่างพรายประดุจแสงเลือด แผ่ลามไปทั่วสารทิศ

มันประชิดเข้ามาใกล้จากปลายขอบฟ้า ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จวบจนกระทั่งปกคลุมฟ้าดิน เหมือนว่ามีเทพเจ้าอยู่บ้างบนสูงสุด ซัดฝ่ามือลงมาปกคลุมไปบนที่ราบน้ำแข็งทางเหนือ กดอัดลงมาอย่างรวดเร็วไปยังที่ที่เศษเสี้ยวโลกใบใหญ่อยู่

คล้ายว่าจะสะกดที่นี่อีกครั้งไปพร้อมกับที่ราบน้ำแข็งทางเหนือทั้งแถบ

มิติแตกร้าว ที่ราบน้ำแข็งสั่นคลอน หิมะปลิวหอบม้วน สรรพชีวิตทั้งหลายเหม่อลอย

และในเศษเสี้ยวโลกใบใหญ่นั่น ไม่ว่าจะเป็นเงาร่างสีฟ้าหรือบุตรสาวของเจ้าเหนือหัวที่เดินออกมาจากโลง ล้วนไม่เงยหน้าไปสนใจเลยแม้แต่น้อย

พวกเขามองตากัน

มาถึงระดับพลังอย่างพวกเขา เรื่องราวมากมาย ความคิดต่างๆ เพียงแค่สายตาประสาย ก็ต่างเข้าใจกันกระจ่าง

ตอนนี้ บุตรีแห่งเจ้าเหนือหัวผู้นี้รู้ชัดถึงเป้าหมายของรัฐทายาทแล้ว

“เจ้าแน่ใจหรือ” เสียงแหบแห้งคล้ายแผ่นเหล็กสองแผ่นเสียดสีกัน ดังแสบแก้วหูมา

“พี่หญิงสาม ชื่อหมู่หลับใหล โอกาสนี้หาได้ยากยิ่ง ข้าอยากจะไปพบหน้าน้องสี่ของเราสักหน่อย คิดบัญชีบุญคุณความแค้นในช่วงหลายปีมานี้ให้จบไป

“ส่วนผลจะเป็นอย่างไร ข้าไม่อยากไปคิด เทียบกับมีชีวิตไปแบบนี้ ข้ายินดีที่จะทุ่มสุดกำลัง”

เงาร่างสีฟ้าตอบเสียงแผ่วเบา

ผู้หญิงที่เดินออกมาจากในโลงไม่ได้พูดอะไร นางเพียงสะบัดมือ ทันใดนั้น ตะปูแห่งเจ้าเหนือหัวที่หลังจากฝาโลงแตกก็ลอยอยู่ข้างๆ สั่นสะท้านรุนแรงก็หายไปในทันที

ในยามที่มาปรากฏขึ้นอีกครั้งก็ไม่ได้อยู่ในเศษเสี้ยวโลกแล้ว แต่มาอยู่ในโลกภายนอก มาถึงยังท้องฟ้าของที่ราบน้ำแข็ง พุ่งไปหาตราประทับฝ่ามือสีเลือดขนาดมหึมาที่ตรงมาอย่างรวดเร็วทันที

บนนั้นแผ่พลังทำลายล้างบดขยี้ซึ่งทุกสิ่ง ยิ่งมีรังสีอำมหิตกลุ่มหนึ่งระเบิดออกมาจากในนั้น ตรงไปที่ตราประทับฝ่ามือ

แทงไปในนั้นทันที

เสียงเลื่อนลั่นกึกก้องดังไปทั่วที่ราบน้ำแข็งทางเหนือ ในตอนนี้ประดุจสายฟ้าฟาดเปิดฟ้าเบิกปฐพี

ตราประทับฝ่ามือที่แต่เดิมยิ่งใหญ่มาพร้อมด้วยพลังกดดันสูงสุด ตอนนี้หยุดนิ่งกลางอากาศ จุดที่ปะทะกับตะปูบนนั้นแผ่ประกายแสงสีแดงฟ้าออกมา สอดประสานกัน ทำการสะกดซึ่งกันและกัน

จนเมื่อแสงสีฟ้าแหลมคมจนกลายเป็นหนึ่งช่อ ก็ทะลุประกายแสงสีแดง ทำลายปราการป้องกัน ในชั่วขณะที่ทะลุฝ่ามือ รอยแตกเป็นทางๆ ก็แผ่ออกไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว

ขณะที่ร้าวก็ถล่มลงมาด้วย

เพียงพริบตา ตราประทับฝ่ามือนี้ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ไปบนท้องฟ้า พังทลายลง กลายเป็นหลายสิบชิ้น ทั้งยังต่างแหลกสลายเอง แสงเลือดนับไม่ถ้วนมาพร้อมด้วยเศษชิ้นส่วนมากมาย ร่วงลงบนที่ราบน้ำแข็งทางเหนือ

แต่ละชิ้นร่วงลงมา มองไกลๆ คล้ายดาวตกสีเลือด และแผ่นดินในเสี้ยวขณะนี้ก็ถล่มทลาย กลายเป็นหลุมสีเลือดมากมาย

อาบย้อมทั่วทุกทิศจนแดงฉานไปทั่ว

ตะปูสีฟ้านั่นก็ไม่ได้หยุดรอ พุ่งตรงไปที่ขอบฟ้า ไม่รู้ว่าไปที่ใด

ผู้หญิงในเศษเสี้ยวโลกเงยหน้าขึ้น

“เขารู้ว่าเจ้าและข้าหลุดพ้นจากพันธนาการแล้ว ตราประทับฝ่ามือนี้แฝงคำเชิญไว้ด้วย

“เช่นนั้นพวกเราก็ไปเถอะ ดูสิว่าน้องชายแท้ๆ ร่วมพ่อแม่เดียวกันของข้าคนนี้ หลังจากเข้าพวกกับชื่อหมู่แล้ว ตอนนี้พัฒนาไปสักเพียงใดกัน”

เสียงแหบแห้งดังก้อง บุตรีแห่งเจ้าเหนือหัวก้าวไปข้างหน้า เดินไปกลางท้องฟ้า

เงาร่างสีฟ้าลอยมา ในยามที่มาลอยอยู่ข้างๆ นาง สายตาก็มองไปยังร่างสวี่ชิงที่กำลังถอยไปไม่หยุดตรงปลายขอบฟ้าที่ไกล ส่วนนายกองกับหนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอู เขาไม่ไปสนใจแม้แต่น้อย

“สหายตัวน้อย ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยเหลือ”

พูดจบ เขาก็พยักหน้าให้พี่หญิงสามที่อยู่ข้างๆ เขา บุตรีเจ้าเหนือหัวคนนั้นมองมาทางสวี่ชิงเช่นกัน

สวี่ชิงฝีเท้าหยุดชะงัก โค้งคารวะพวกเขาจากที่ไกล

บนใบหน้าอัปลักษณ์ราวโครงกระดูกของบุตรีเจ้าเหนือหัวไร้ซึ่งอารมณ์ใด นางเพียงแค่ยกมือเหี่ยวแห้งกดไปบนพื้น

ทันใดนั้นเศษเสี้ยวโลกใบนี้ก็ส่งเสียงครืนครันเลื่อนลั่น พื้นสั่นคลอนขุนเขาสะเทือน ชั้นน้ำแข็งที่เหลือแหลกละเอียด หอบม้วนพลิกตลบพวยพุ่งขึ้นฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นหิมะสีดำ เหมือนว่านับจากเสี้ยวขณะนี้ ที่นี่จะโปรายปรายไปด้วยหิมะสีดำตลอดกาลนาน

ในเสี้ยวขณะนี้ยิ่งมีเสียงกร๊อบดังออกไปจากโลกเศษเสี้ยวทั้งใบ เหมือนว่ามาจากมือของบุตรีเจ้าเหนือหัว กำลังกำเศษชิ้นส่วนนี้เอาไว้ในมืออย่างไร้รูปร่าง

ตอนนี้จากการบีบ เศษเสี้ยวโลกใบนี้ก็เริ่มหดเล็ก

เพียงพริบตา โลกทั้งใบก็กลายเป็นเศษชิ้นส่วนขนาดเท่ากับฝ่ามือ แผ่แสงสีดำออกมา เหมือนกระจกสีดำที่ไร้รูปทรง ตรงไปหาสวี่ชิง

จากการเข้าไปใกล้ของมัน บนนั้นมีเปลวไฟลุกท่วมขึ้นมา เผาไหม้ไม่หยุด หลอมไม่หยุด ยามที่มันร่วงอยู่ข้างหน้าสวี่ชิง มันก็กลายเป็นเหมือนกับผลึกวารี ใสแวววาว

กลิ่นอายมหาศาลทรงพลังตลบอวลในนั้น ประดุจดวงดาราบนท้องฟ้า เจิดจรัสเป็นประกายโดดเด่นนัก สิ่งที่หาได้ยากยิ่งคือ ภายใต้การหลอม มันไร้เจ้าของแล้ว

ราคาของมันยากจะพรรณา!

สวี่ชิงในใจเกิดคลื่นยักษ์ซัดโหม ต่อให้ก่อนหน้านี้มีการเตรียมใจ แต่ตอนนี้ในใจของเขาก็ยังตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งอยู่ดี ตอนนี้เมื่อรับมา หลังจากเก็บลงไปก็โค้งคารวะไปทางเงาร่างของบุตรีแห่งเจ้าเหนือหัวและรัฐทายาทอย่างนอบน้อม

นายกองที่อยู่ที่ไกลๆ ลมหายใจหอบถี่ ในดวงตาฉายความปรารถนาอย่างแรงกล้า หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอูในใจก็สั่นสะท้านบ้าคลั่งเช่นกัน ฝ่ายหลังยังดี แต่หนิงเหยียนรู้ดีถึงราคาและความหมายของเศษเสี้ยวโลกใบหนึ่ง

“นี่ๆๆ ให้กันแบบนี้เลยน่ะหรือ”

ในยามที่ในใจของหนิงเหยียนเกิดคลื่นซัดโหม ร่างของบุตรีแห่งเจ้าเหนือหัวก็ไหววูบแล้วหายไปจากที่ตรงนั้น มาปรากฏที่โลกภายนอก ส่วนรัฐทายาทเจ้าเหนือหัว คนนั้นพยักหน้าให้สวี่ชิงน้อยๆ ในดวงตาแฝงด้วยรอยกล่าวลา แล้วหายไปเช่นกัน

บนท้องฟ้า ท่ามกลางฝนเลือด เงาร่างของทั้งสองยืนตระหง่าน

“เผ่าพันธุ์โสโครกไม่จำเป็นต้องมีอยู่ในโลกใบนี้” บุตรีแห่งเจ้าเหนือหัวก้มหน้ามองสำนักเผ่าเงารัตติกาลที่ตื่นตระหนกลนลานผาดหนึ่ง กำหมัดแล้วชกไปผ่านอากาศ

เงาหมัดขนาดมหึมาหมัดหนึ่งปรากฏเหนือเผ่าเงารัตติกาลทันที แล้วซัดลงไปอย่างรวดเร็ว

ขุนเขาสายธารระเบิด แผ่นดินถล่มยุบ สิ่งก่อสร้างทุกอย่างในนั้น สิ่งมีชีวิตทุกอย่างล้วนกลายเป็นเศษเนื้อเละๆ ผสมไปกับหิมะน้ำแข็ง แปรเปลี่ยนเป็นรอยหมัด สีเลือดรอยหนึ่ง

ทำเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว เงาร่างทั้งสองก็แปรเปลี่ยนเป็นรุ้งยาวสองสาย ไปพร้อมด้วยพลังแข็งแกร่งไร้เทียมทาน ไปพร้อมด้วยการบดขยี้ทำลายล้าง ไปพร้อมด้วยความอัดอั้นจากความแค้นอาฆาตที่สะสมในใจมาเนิ่นนานหลายปี พุ่งตรงไปยังที่ราบสำนึกบาป

ที่นั่น เป็นที่ที่กระดูกเสด็จพ่อของพวกเขาอยู่ และเป็นที่ตั้งของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดสาขาหลัก

ขณะเดียวกัน บนทะเลเพลิงสวรรค์ ท้องฟ้าบิดเบี้ยว มีแสงสีฟ้าทางหนึ่งพุ่งทะลุมิติความว่างเปล่า แสงเพลิงแตกร้าวผ่าม่านฟ้า กะพริบวูบวาบเหนือฟ้าดิน

มองให้ละเอียด นั่นคือตะปูยาวหมื่นจั้งดอกหนึ่ง!

มันมาจากปลายขอบฟ้า เป้าหมายแน่ชัด จับเป้าหมายใต้ทะเลเพลิงสวรรค์ จากนั้นก็เกิดเสียงแสบแก้วหู ระลอกคลื่นทะเลเพลิงซัดโหม ซัดโหมไปในทะเลเพลิงสวรรค์ พุ่งตรงไปยัง…โลงสัมฤทธิ์

เสี้ยวขณะต่อมา ทะเลเพลิงปะทุขึ้นมา หินหนืดมหาศาลหอบม้วน คลื่นเปลวเพลิงพันจั้งคำราม

ตะปูที่ปักลงไปในทะเลดอกนั้นซัดไปบนโลงสัมฤทธิ์ที่อยู่ในส่วนลึกทันที!

พันธนาการพระจันทร์สีชาดหมองหม่น โลงสั่นคลอน เพียงพริบตาก็ส่งเสียงกึกก้องชั้นฟ้า แล้วแหลกละเอียดโดยสมบูรณ์!

เศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนพุ่งออกไปใต้ทะเลเพลิง พัดกวาดเป็นคลื่นวนขนาดมหึมาลูกแล้วลูกเล่า มองไปไกลๆ พื้นที่บริเวณนี้เกิดดอกไม้ไฟปรากฏขึ้นนับไม่ถ้วน

ร่างยิ่งใหญ่น่าตื่นตะลึงเหมือนกับบุตรีแห่งเจ้าเหนือหัวปรากฏออกมาจากโลงที่พังทลาย

ร่างนี้ผอมแห้ง บนร่างเต็มไปด้วยเส้นเลือด ลมปราณสีฟ้า เหมือนเทือกเขานูนขึ้นมาเป็นลูกๆ แผ่ความเหี้ยมโหดออกมา

ชุดคลุมยาวสีน้ำตาลเก่าเปื่อยคลุมอยู่บนร่างเขา บนนั้นเปื้อนไปด้วยเลือดสดเป็นปื้นๆ ทำให้สีเหลืองส้มแต่เดิม เมื่ออยู่ในวันเวลาอันเนิ่นนานนี้อาบย้อมจนกลายเป็นสีในตอนนี้

ใบหน้าของเขาแห้งเหี่ยว แต่ก็ยากสะกดความหล่อเหลาสง่างาม ดวงตาสีฟ้ายิ่งเป็นเหมือนอัญมณี แผ่พลังที่สะท้านสะเทือนจิตใจคนออกมา สายเลือดของเจ้าเหนือหัว แผ่ระลอกคลื่นออกมาจากร่างของเขาไม่หยุด

สิ่งที่ยิ่งดึงดูดสายตาคนบนร่างของเขาคือเส้นผม นี่เป็นผมยาวสีเทา แผ่สยายอยู่รอบกายของเขา สยายไปรอบๆ ปลายผมโค้งไปข้างบน

เส้นผมทุกเส้นล้วนแปรเปลี่ยนเป็นวิญญาณดวงหนึ่ง กำลังเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า

นี่ก็คือร่างของรัฐทายาทเจ้าเหนือหัว!

เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า

ก้าวเดียวเหยียบย่างออกไปนอกทะเลเพลิงสวรรค์

เขายืนตระหง่านอยู่เหนือท้องฟ้า ผมยาวปลิวพริ้วปกคลุมฟ้าดิน คล้ายเมฆดำกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต

“ข้าถือกำเนิดในยามยุครุ่งโรจน์แห่งจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว หลังจากถูกผนึกไว้ยามเทพจำแลงลงมาเยือน วันนี้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในยามยุคต้องประสงค์ตกต่ำ ชั่วชีวิตข้า…ได้เสพสุขกับเกียรติยศความมั่งคั่ง ได้รับทุนที่หมื่นเผ่าล้วนปรารถนา พอแล้ว เพียงพอแล้ว”

เสียงพึมพำประดุจสายอัสนีฟาดผ่า ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมเมฆหอบม้วน ทะเลเพลิงเดือดพล่านซัดโหม ทั่วทั้งแปดทิศสั่นคลอน

“ตอนนี้มีเรื่องที่ยังยึดติดอยู่สองเรื่อง ยากที่จะคลายไปได้ หนึ่งคือแก้คำสาปของไพร่ฟ้าประชาชน สองคือสังหารกายและวิญญาณของอนุชาผู้ทรยศเพื่อล้างความแค้นในใจ!

“ไม่สังหารหลีพั่น ผิดต่อบิดาข้า ผิดต่อประชาชนบ้านเมือง ผิดต่อชีวิตนี้!”

รัฐทายาททอดสายตามองที่ราบสำนึกบาป ดวงตาทั้งสองเย็นเยียบดุดัน ประดุจมีหุบเหวลึกแห่งยมโลกอยู่ในนั้น ก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง แหวกมิติ

ฟ้าดินเดือดพล่าน แต่ละชั้นๆ ระเบิด บดขยี้ท้องฟ้าก้าวไป

เพลิงสวรรค์ยากจะสยบ ท้องฟ้าเกิดรอยยับย่น แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา สรรพชีวิตทั้งหลายต่างหวาดกลัว

ผู้แข็งแกร่งเผ่าต่างๆ ล้วนสัมผัสรับรู้ได้ เงยหน้ามองอย่างหวาดหวั่น ทอดสายตามองที่ราบสำนึกบาป

และที่ราบน้ำแข็งทางเหนือตอนนี้ หลายที่ยุบลงไป ชั้นน้ำแข็งแผ่นใหญ่ๆ แหลกละเอียดยุบลงไปจากบนพื้น ทั่วทั้งผืนแผ่นดินยุบตัวถล่มอย่างรุนแรงเนื่องจากการหายไปของเศษเสี้ยวโลกที่อยู่ใต้พื้น

เป็นสวี่ชิงกับพวกนายกองนั่นเอง

พวกเขากระโดดวิ่งห้อตะบึงอย่างรวดเร็ว จากใต้พื้นดินพุ่งตัวออกไปโลกภายนอก

ข้างหลังของพวกเขา เสียงเลื่อนลั่นสะท้านสะเทือนประดุจเทพเจ้าคำราม ก้อนน้ำแข็งร่วงหล่น แผ่นดินกลายเป็นคลื่นวนถ้ำสีดำ จะกลืนกินวัตถุภายนอกโลกทุกอย่างไปในนั้น

ข้างหน้าของพวกเขา ชั้นน้ำแข็งประดุจคมมีดขนาดมหึมาขรุขระไร้ระเบียบมาพร้อมสายลมเย็นเยียบพัดผ่านไปจากข้างกายพวกเขาอย่างรวดเร็ว

ดีที่ทั้งสี่เดิมก็ไม่ธรรมดา ตอนนี้ต่างสำแดงวิชา รอบๆ อู๋เจี้ยนอูมีอสูรร้ายมากมายปรากฏตัวขึ้นมาช่วยเขาเบิกทาง ส่วนวิธีของนายกองได้ผสานพลังของหนิงเหยียนเอาไว้ได้อย่างเต็มที่ ใช้อาวุธของอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นค้อนดาวตก แข็งแกร่งเกินต้านทาน

รวมกับพลังกดดันที่แผ่ออกมาจากหนังผืนนั้นก็ยิ่งราบรื่น

ส่วนสวี่ชิง เขายิ่งเรียบง่ายที่สุด ร่างเพียงไหววูบก็แปรเปลี่ยนเป็นพรางมารยา เมื่อกลายเป็นกึ่งโปร่งแสงแล้ว ก็เมินซึ่งทุกสิ่ง

ทั้งสี่ก็เข้าไปใกล้ผืนดินอย่างต่อเนื่องเช่นนี้เอง และระหว่างทางนี้ นายกองก็มองไปทางสวี่ชิงอยู่หลายครั้งอย่างอดไม่ได้ คิดจะพูดอะไรแต่ก็หยุดเอาไว้ สีหน้าแฝงด้วยความอัดอั้น

ในใจของเขาความจริงแล้วยังคงอึ้งตะลึงอยู่นิดๆ การปรากฏตัวและเรื่องที่สวี่ชิงทำทำให้เขามีความรู้สึกเหมือนถูกชิงตัดหน้า

‘ในแผนของข้า การใหญ่เรื่องที่หกหลังจากมาถึงแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราคือเอาตะปูที่หน้าผากบุตรคนที่สามของเจ้าเหนือหัวมาไว้ในมือ จากนั้นการใหญ่เรื่องที่แปดคือปล่อยรัฐทายาทที่อยู่ใต้ทะเลเพลิงสวรรค์ออกมา…

‘แต่อาชิงน้อยแค่ไปทะเลเพลิงสวรรค์รอบเดียวก็…ทำสำเร็จหมดแล้วอย่างนั้นหรือ อีกทั้งยังไม่ได้ทำสำเร็จแค่เล็กๆ น้อยๆ กระทั่งว่าได้โอกาสทำสำเร็จเกินเป้า ช่วยบุตรีคนที่สามของเจ้าเหนือหัวออกมาด้วย

‘จังหวะนี้ไม่ถูก ไม่ใช่ว่าควรเป็นข้าที่พาเขาไปทำการใหญ่หรอกหรือ…’

นายกองมองสวี่ชิงอย่างตัดพ้อผาดหนึ่ง

สิ่งที่ยิ่งทำให้ในใจของเขายิ่งเกิดคลื่นซัดโหมคือสวี่ชิงสุดท้ายยังได้เศษเสี้ยวโลก ใบใหญ่มาชิ้นหนึ่งด้วย

นึกถึงการมาเยือนอย่างยากลำบากของตัวเองเพียงเพื่อถ่ายภาพสำเนาลายนิ้วมือ แต่อาชิงน้อยกลับขุดเอาไปทั้งราก เอาไปหมดเลย…

‘ไม่ได้ ข้าจะต้องพยายามอีก ข้าในฐานะที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ ที่นี่ข้ายังคุ้นเคยเป็นอย่างดีด้วย จะต้องวางอำนาจของศิษย์พี่ใหญ่อีกครั้ง ทำการใหญ่จะต้องเป็นข้าที่เป็นผู้เริ่ม!’

ในดวงตานายกองฉายแววเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น ขณะเคลื่อนไปอย่างเร็วรี่ ความเร็วก็เพิ่มขึ้นอีก

เช่นนี้เอง หลังจากหนึ่งก้านธูป เงาร่างของคนทั้งสี่ในที่สุดก็พุ่งออกมาจากใต้ดิน ทันทีที่เหยียบไปบนที่ราบน้ำแข็ง นายกองก็ตบหน้าผาก ตะโกนลั่น

“เจ้าอ้วนน้อย!”

เพียงพริบตา แสงเพลิงหมองหม่นกลุ่มหนึ่งลอยออกมาจากหว่างคิ้วของเขา หลังจากที่ตรงไปยังท้องฟ้า นายกองเพียงไหววูบก็ก้าวไปในนั้น

“พวกเจ้ายังไม่มาอีก!”

อู๋เจี้ยนอูและหนิงเหยียนไม่พูดพร่ำทำเพลงก็พุ่งไปอย่างรวดเร็ว แต่ความเร็วของพวกเขาก็ยังสู้สวี่ชิงไม่ได้

ทันทีที่นายกองนำดวงอาทิตย์ออกมา สวี่ชิงก็เคลื่อนไหวแล้ว เขาเข้าใจนายกองเป็นอย่างดี ดังนั้น แค่เห็นการกระทำของอีกฝ่ายก็รู้เป้าหมายแล้ว เพียงพริบตาก็มาปรากฏตัวข้างนายกอง

เสี้ยวขณะต่อมา ดวงอาทิตย์หมองหม่นดวงนี้ส่งเสียงวู้มออกมาก็ตรงไปยังขอบฟ้า หลังจากกะพริบวูบวาบสามสี่ครั้งก็หายไปจากขอบฟ้า

เรื่องที่ราบน้ำแข็งทางเหนือ จากการจากไปของดวงอาทิตย์ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกสวี่ชิงแล้ว

เวลาไหลผ่าน ไม่นานหนึ่งวันก็ผ่านไป

บนท้องฟ้าแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา มีลำแสงรางเลือนกลุ่มหนึ่งกำลังเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว บนนั้นมีพลังซ่อนอำพราง ทำให้มันเคลื่อนไปอย่างไร้สุ้มเสียง

มองไปอย่างละเอียด จะเห็นว่าแสงกลุ่มนี้เกิดจากวงแหวนขนาดมหึมาห้าวงซ้อนทับอยู่ด้วยกัน

บนวงแหวนมีอักขระมากมาย ส่องกะพริบตามกฎเกณฑ์บางอย่าง ต่างสอดสลับหมุนวนซึ่งกันและกัน รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง สาดประกายแสงจากในนั้น และใจกลางของวงแหวนทั้งห้า ตรงนั้นมีหินอุกกาบาตสีทองก้อนหนึ่งลอยอยู่

แสงที่มันสาดออกมาถูกวงแหวนที่อยู่ข้างนอกดูดซับขยาย จึงเกิดเป็นแสงและความร้อน

บนหินอุกกาบาตสีทองนั่น จะเห็นว่ามีสิ่งก่อสร้างวิจิตรประณีตบางอย่างอยู่ เงาร่างนายกองนอนอยู่บนหลังคาของสิ่งก่อสร้างนั้น สีหน้าแปลกประหลาด ประเดี๋ยวก็ถอนหายใจ ประเดี๋ยวก็เด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น ประเดี๋ยวก็เข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟัน

ส่วนหนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอูเห็นได้ชัดว่าเคยมาที่นี่ ไม่อยากรู้อยากเห็นอะไรรอบๆ นอนแผ่หราไปบนพื้น นึกย้อนถึงเรื่องที่ที่ราบน้ำแข็ง ก็ต่างนึกหวาดหวั่นนัก ส่วนหนังวิเศษผืนนั้นก็ถูกโยนอยู่ข้างๆ

สวี่ชิงยืนอยู่ที่ไกล จ้องมองรอบๆ

เขารู้ถึงที่มาทที่ไปของดวงอาทิตย์จำลองดวงนี้

สิ่งที่ทำให้เขาอยากรู้คือวัตถุนี้สร้างออกมาอย่างไร

และในตอนที่สวี่ชิงขบคิดอย่างละเอียดอยู่ทางนี้ นายกองอยู่บนหลังคาที่ไกลก็ส่งเสียงเย็นเยือกมา

“พวกเจ้าสองคนพักพอแล้วหรือยัง ยังไม่เก็บหนังวิเศษของข้าลงไปอีก ย่างต่อไปแบบนี้มันได้แห้งกันพอดี!”

อู๋เจี้ยนอูและหนิงเหยียนถอนหายใจ รีบปีนขึ้นมาเดินไปทางหนังวิเศษ ม้วนมันเอาไว้

สวี่ชิงสังเกตเห็นการกระทำของทั้งสองคน เดินไปหา

ส่วนนายกองทางนั้น…สวี่ชิงก่อนหน้านี้ก็มองออกว่าไม่ชอบมาพากล และเข้าใจดีว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ไม่ไปสนใจ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่แค่ครั้งแรก

ตอนนั้นที่เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะก็เป็นแบบนี้ จากการวิเคราะห์ของสวี่ชิง นายกองต้องการเวลาเพื่อไปจัดระเบียบจิตใจ

“นี่ก็คือเป้าหมายที่พวกเจ้ามาที่นี่อย่างนั้นหรือ” หลังจากเข้าไปใกล้หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอู สวี่ชิงมองไปทางหนังผืนนั้น สังเกตเห็นบนนั้นมีตราประทับลายนิ้วมือ

อู๋เจี้ยนอูหยักหน้าอย่างโมโหแต่ไร้แรง หนิงเหยียนยังคงเคารพยำเกรงสวี่ชิง จึงรีบพูดขึ้นว่า

“ใช่แล้วพี่ใหญ่ นี่เป็นเป้าหมายที่หลังจากศิษย์พี่เอ้อร์หนิวพาพวกเราจากไปแล้วก็ทรมานเรามาตลอดทาง” พูดจบก็ยังปรายตามองนายกองทางนั้น

นายกองอยู่ที่ไกลได้ยินก็ส่งเสียงถอนหายใจมาอีกครั้ง

สวี่ชิงกะพริบตาปริบๆ เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม

“หนังนี่ไม่เลวเลย!”

หนิงเหยียนลังเล แต่ก็ยังส่งเสียงต่ำทุ้มออกมา

“ก็ไม่เลวจริงๆ…นี่เป็นหนังของศิษย์พี่เอ้อร์หนิว เขาให้ข้ากับพี่เจี้ยนเจี้ยนถลกร่างเขาสิบกว่าครั้ง…ถลกหนังเองกับมือ

“สุดท้ายพี่เจี้ยนเจี้ยนมีปมในใจไปแล้ว”

สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขารู้ว่านายกองบ้าคลั่ง แต่ก็ยังนึกไม่ถึงว่าจะบ้าคลั่งจนถึงขั้นนี้ ใช้ข้อดีทุกอย่างของตัวเองอย่างสมเหตุสมผลแบบนี้

นายกองที่อยู่บนหลังคาที่ไกลสังเกตเห็นสีหน้าของสวี่ชิง ในใจก็รู้สึกได้ใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ กำลังจะอ้าปาก แต่เมื่อนึกถึงว่าของแค่นี้ของตัวเองไม่สามารถไปเทียบกับเศษเสี้ยวโลกชิ้นหนึ่งได้ จึงถอนหายใจอีกครั้ง

เขารู้สึกว่า หนังของตัวเองถลกเสียเปล่าแล้ว…

ดังนั้นสายตาของเขาจึงฉายแววเด็ดเดี่ยว พลันดีดตัวลุกขึ้นนั่ง สีหน้าล้ำลึกมองไปทางสวี่ชิง เอ่ยเสียงราบเรียบ

“อาชิงน้อย!” สวี่ชิงสีหน้าจริงจัง มองนายกอง

“อาชิงน้อย ครั้งนี้เป็นเพียงแค่การแสดงความสามารถเล็กๆ ของข้าศิษย์พี่ใหญ่คนนี้ก็เท่านั้น ต่อจากนี้พวกเราไปเขาวัวสวรรค์มิรู้สิ้น ศิษย์พี่ใหญ่จะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตา ทำให้เจ้ารู้ว่าข้าในตอนนี้ยิ่งใหญ่เก่งกาจเพียงใด!”

สวี่ชิงได้ยินก็ตื่นเต้น ทำท่าเต็มไปด้วยความวาดหวัง

เห็นสวี่ชิงเป็นเช่นนี้ นายกองก็สบายใจขึ้นมาทันที ลุกขึ้นยืนมือไพล่หลังมอง อู๋เจี้ยนอูผาดหนึ่งก่อน จากนั้นก็เงยหน้าทอดสายตาไปยังฟ้าดินที่อยู่ไกลๆ

“อดีตผ่านพ้นไปไม่มีใครเห็นสำคัญ มาดูกันในวันพรุ่งจะเป็นใครเก่งใคร!”

อู๋เจี้ยนอูเอ่ยอย่างจนปัญญา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!