Skip to content

Outside Of Time 573

บทที่ 573 ถือโอกาสช่วงเดือนมืดเปิดสุสาน

ตอนนี้ด้านหลังนายกองกับสวี่ชิง อู๋เจี้ยนอูที่เดินพลางส่ายหน้าไปด้วย ไม่รู้เลยว่าใต้หล้านี้ ในที่สุดคนที่ชื่นชมและฟังกลอนของเขาออกก็ปรากฏตัวออกมา

“ใบไม้แห้งเหี่ยวเปล่าเปลี่ยวเหลือครึ่งซีก วิหคไร้ปีกจักบินสูงได้เยี่ยงไร”

อู๋เจี้ยนอูถอนหายใจแผ่วเบา

หนิงเหยียนที่อยู่ข้างๆ เบ้ปาก แอบบ่นในใจว่าสมองของอู๋เจี้ยนอูจะต้องไม่เหมือนกับคนทั่วไปแน่ๆ หากวันหนึ่งตนยืนอยู่บนจุดสูงสุดในใต้หล้า จะผ่าศีรษะเขาออกมา ดูว่าข้างในมีสัตว์ประหลาดอันใดกอความวุ่นวายอยู่ด้านในหรือไม่

รู้สึกได้รางๆ ว่าสายตาของหนิงเหยียนไม่ชอบมาพากล อู๋เจี้ยนอูก็หันหน้าไปมอง แค่นเสียงเย็นชาเสียงหนึ่ง

“เจ้าเด็กไร้ประสาหน้าไม่อาย จดจ้องไม่วางตาไอ้ขี้หมา!”

หนิงเหยียนมองอย่างหงุดหงิด โมโหในใจ แต่เมื่อคิดถึงอสูรร้ายข้างกายอีกฝ่ายเหล่านั้น จึงอดทนไว้

คำพูดของนายกองก็ดังมาจากด้านหน้าในตอนนั้น

“พวกเจ้าสองคนหยุดได้แล้ว ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ข้าจะพาพวกเจ้าไปที่บ้านข้า

“ให้พวกเจ้าได้เห็นว่าอะไรคือความโอ่อ่าตระการตา อะไรคือความมั่งคั่งน่าตื่นตะลึง ข้าลงทุนลงแรงไปไม่น้อยสร้างห้องสุสานขึ้นมา ยิ่งมีทรัพย์สมบัติที่น่าตกตะลึงทิ้งไว้ด้วย!”

“พี่เจี้ยนเจี้ยน ท่านอยากได้ม้วนคัมภีร์จักรพรรดิโบราณ ข้ามีให้ท่านห้าม้วน

“หนิงหนิงน้อย เจ้าอยากได้ของไว้หวนคืนสายโลหิตบรรพชน ข้ามีอยู่เจ็ดอย่าง เจ้าเลือกได้ตามใจชอบเลย

“แล้วก็ศิษย์น้องเล็ก ข้าจะบอกกับเจ้าให้ว่านี่เป็นพื้นฐานในการทำการใหญ่ของพวกเรา หรือก็คือต้นกำเนิดการล่มสลายของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดในอนาคต!

“พวกเจ้าจำไว้ว่าต้องกดคางของตัวเองเอาไว้ครู่หนึ่ง ไม่เช่นนั้นจะตกลงมาง่ายๆ!”

สายตานายกองฉายแววภูมิอกภูมิใจ เชิดคางขึ้น ทะยานไปเบื้องหน้า

เห็นนายกองมั่นใจและเฝ้าหวังถึงเพียงนั้น สวี่ชิงก็รู้สึกสงสัย เขาเคยคาดเดาชาติก่อนของนายกอง แต่กลับไม่มีเบาะแสอะไรเลย

แต่เมื่อมองจากการแสดงออกของนายกองตลอดทางมานี้ ที่ชาติก่อนของเขาไม่ธรรมดา คงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

ดวงตาจึงฉายแววรอคอย

กระทั่งอู๋เจี้ยนอูก็เลิกร่ายกลอน เพิ่มฝีเท้า หนิงเหยียนทางนั้นก็สีหน้าฮึกเหิม ส่วนหลิงเอ๋อร์ดวงตาฉายแววอยากรู้อยากเห็นเต็มประดาเช่นกัน

ทั้งห้าจึงออกจากเมืองต้อนรับวัว เข้าไปภายในเทือกเขามิรู้สิ้นท่ามกลางราตรีที่ย่างกรายเข้ามาเช่นนี้

นายกองอยู่ด้านหน้า ต่อให้เขาจะไม่ได้มานานแล้ว แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นที่ที่เขาใช้ชีวิตในชาติก่อน ดังนั้นตอนแรกยังต้องหยุดดูรอบด้านระลึกความทรงจำอยู่บ้าง แต่ไม่นานก็คุ้นเคย

สองชั่วยามต่อมา พวกเขาทั้งห้าก็เข้าไปในเทือกเขามิรู้สิ้น ผ่านภูเขาไปลูกแล้ว ลูกเล่า ทุกครั้งที่มาถึงที่แห่งหนึ่ง นายกองก็มักจะบอกเล่าความทรงจำออกมา

“ที่นี่เคยเป็นยอดเขาสาวชาวบ้าน เป็นสำนักที่คนรักข้าในตอนนั้นอยู่ น่าเสียดาย ตอนนี้นางเหลือแต่กระดูก มาไล่สังหารข้าไม่ได้แล้ว

“ที่นี่ในอดีตเคยเป็นสำนักกระถางสามขา เป็นบ้านเกิดของเพื่อนรักข้าคนหนึ่งในตอนนั้น คิดถึงเขาจริงๆ ด้วยฐานะที่เขาเป็นเผ่าศัสตรา แข็งแกร่งกว่าหนิงหนิงน้อยมากนัก เปลี่ยนเป็นอาวุธศัสตราได้อย่างอิสระ

“สรรพสิ่งยังคงเหมือนเดิม มีแต่ผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไป”

นายกองถอนใจยาว เสียงทอดถอนใจก้องสะท้อน ในที่สุดหลังจากฟ้ามืด ก็พาพวกสวี่ชิงมาถึงตีนภูเขาหัวโล้นแห่งหนึ่งในเทือกเขามิรู้สิ้น

ตลอดทาง พวกเขาหยุดพักเจ็ดที่ และทุกครั้งนายกองก็จะทำปางมือ เหมือนกำลังเปิดผนึก

“การจะเปิดสุสานของข้าชาติที่แล้วต้องใช้แปดขั้นตอน และยังต้องใช้ตราประทับของข้ารวมถึงต้องทำให้เสร็จในสามชั่วยาม จะผิดขั้นตอนไม่ได้ หากที่ใดที่หนึ่งเกิดปัญหาก็จะเปิดไม่ออก ที่สำคัญที่สุดคือยังต้องคอยหยุดการเดินทางเป็นระยะ มากไปหรือน้อยไปก็ไม่ได้

“ที่นี่คือที่สุดท้ายแล้ว”

นางกองมองไปทางภูเขาหัวโล้น ที่นี่ดูปกติทุกอย่าง สภาพแวดล้อมรอบๆ ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ

เขาพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง คำนวณเวลา ยกมือขวาขึ้นทำปางมือกดไปเบื้องหน้า

พื้นดินสั่นเล็กน้อย หินภูเขาก็คล้ายจะเคลื่อนเปลี่ยนตำแหน่งเล็กน้อย

หลังจากสัมผัส นายกองก็คลี่ยิ้ม พลันยกมือขึ้นตบที่หน้าอกตัวเอง ส่งเสียงอุกพ่นเลือดรดลงบนพื้น รอยเลือดผสานเข้าไปอย่างรวดเร็ว หายวับไปในพริบตา

และการกระทำของนายกองยังไม่จบ เขาวิ่งวนรอบภูเขาเตี้ยๆ นี้อย่างรวดเร็ว วิ่งพลางซัดพลังใส่ร่างตัวเอง ขณะที่หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอูกำลังตกตะลึง ไม่รู้ว่านายกองกระอักเลือดออกมากี่ครั้ง

เลือดเหล่านั้นล้วนผสานเข้าไปในดิน ไม่ทิ้งร่องรอยใดไว้ ราวกับซึมเข้าไปในส่วนลึก

จนผ่านไปหนึ่งก้านธูป นายกองถึงหอบหายใจกลับมา ใบหน้าซีดขาวหมดเรี่ยวแรง แต่สีหน้ากลับคึกคัก เอ่ยอย่างภูมิใจว่า

“วิธีการทั้งหมดในการเปิดสุสาน พลาดไปหนึ่งก็ไม่ได้ นอกจากข้าก็ไม่มีผู้ใดทำได้แล้ว”

สวี่ชิงคำนวณปริมาณเลือดที่นายกองกระอักออกมา เกือบจะเท่ากับเลือดของคนสองร้อยคน ดังนั้นสีหน้าสวี่ชิงจึงฉายแววแปลกใจเช่นกัน เรื่องนี้นอกจากนายกองแล้ว คงมีไม่กี่คนจริงๆ ที่ทำได้

“ตอนนี้ ขยี้ตาของพวกเจ้าเสีย!”

นายกองหัวเราะ ย่ำลงไปบนพื้นดิน ฉับพลันดินใต้เท้าเขาก็ยุบลงไป กลายเป็นคลื่นวนวงหนึ่ง ดูดร่างของเขาหายเข้าไปด้านใน

สวี่ชิงไม่ลังเล พาหลิงเอ๋อร์เข้าไปพร้อมกัน หนิงเหยียนและอู่เจี้ยนอูก็รีบตามเข้าไปยังคลื่นวนในพริบตา

อึดใจต่อมา คลื่นวนหายไป ทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติ

ตอนที่วางผนึกต้องห้ามของที่นี่ เห็นได้ชัดว่าพิจารณาถึงคลื่นพลังและการซ่อนอำพรางไว้แล้ว จึงไม่เกิดการสั่นสะเทือนเท่าไรนัก ทุกอย่างเงียบสนิท

ส่วนที่ที่เชื่อมกับคลื่นวน สวี่ชิงไม่อาจสัมผัสได้ จากความกระจ่างชัดเบื้องหน้าตอนนี้ พวกเขาทั้งห้าก็อยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง

ที่แห่งนี้กว้างไม่น้อย มีลักษณะกลมรี สูงนับร้อยจั้ง รอบด้านมีรูปปั้นขนาดใหญ่สิบสองรูปตั้งตระหง่าน

ด้านในมีเผ่ามนุษย์และต่างเผ่า มีทั้งถืออาวุธ มีทั้งดวงตาเปี่ยมโทสะ เผยความเก่าแก่โบราณออกมา เทียบกับพวกเขาแล้ว สวี่ชิงทั้งห้าเหมือนมาถึงถิ่นของยักษ์

เบื้องหน้า มีบัลลังก์ขนาดใหญ่อยู่ตัวหนึ่ง บนนั้นว่างเปล่า มีเพียงกวานจักรพรรดิที่ทำจากหินชิ้นหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดอีก

แม้จะเรียบง่าย แต่กลับมีความเผด็จการและความกระด้างในถ้ำหินนี้เต็มเปี่ยม

หนิงเหยียนมองที่นี่ หลังจากเข้าใจโครงสร้างเขาก็ถอนหายใจออกมา

“เจ้าเหนือหัวสิบสององค์สูงเก้าสิบเก้าจั้ง บัลลังก์คารวะราชาสูงร้อยจั้ง นี่คือลักษณะของมหาจักรพรรดิ!”

แม้อู๋เจี้ยนอูไม่เข้าใจแต่ก็รู้สึกว่าร้ายกาจอย่างยิ่ง สายตาที่มองไปทางนายกองแฝงความประหลาดใจเข้มข้น

ในใจสวี่ชิงก็โหมระลอกคลื่นขึ้นมาเช่นกัน ชาติก่อนของนายกอง ดูจากลักษณะของที่นี่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ส่วนหลิงเอ๋อร์ก็เบิกตาโต ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน

สังเกตเห็นสายตาของทุกคน นายกองก็ถอนหายใจแผ่วเบา

เสียงนี้แฝงความระลึกถึง แฝงประสบการณ์โชกโชน ดังก้องอยู่ในถ้ำหิน ตอนที่เสียงสะท้อนก้องออกไป เขาก็เดินตรงไปเบื้องหน้า

ขณะที่ทุกคนจับตามอง นายกองก็เดินไปจนถึงด้านหน้าสุดทีละก้าว ร่างกายใหญ่โตขึ้น หลังจากสูงถึงร้อยจั้ง เขาก็นั่งลงบนบัลลังก์ราชา เงยหน้ามองลงมาที่พื้นดิน

ความสูงและสายตาเช่นนี้ รวมถึงพลังที่มาจากรอบๆ ทำให้นายกองดั่งมหาจักรพรรดิที่หวนกลับมา ยิ่งใหญ่ทรงพลัง

อู๋เจี้ยนอูตัวสั่นตามสัญชาตญาณ ก้มหน้าลงไปคารวะ ส่วนหนิงเหยียนขณะที่สูดลมหายใจก็แข้งขาอ่อนเล็กน้อย

มีเพียงสวี่ชิงที่สะกดระลอกคลื่นในใจไว้ สายตาฉายแววสงสัย มองไปรอบๆ จากนั้นก็มองร่างกายใหญ่โตของนายกอง เอ่ยทันทีว่า

“ศิษย์พี่ใหญ่ ที่นี่คงเป็นเรื่องโกหกกระมัง”

เมื่อสวี่ชิงกล่าวออกมา หนิงเหยียนกับอู๋เจี้ยนอูก็เบิกตากว้าง ส่วนนายกองบนบัลลังก์ สีหน้ายังคงน่าเกรงขาม จ้องสวี่ชิงเขม็งต่อไป

สวี่ชิงหันหน้าไปมองความว่างเปล่าด้านขวาของตน เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“ศิษย์พี่ใหญ่ เลิกเล่นได้แล้ว”

เสียงหัวเราะดังออกมาจากจุดที่สวี่ชิงมอง ร่างของนายกองก็ปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า

หนิงเหยียนกับอู๋เจี้ยนอูมองไปทันที และมองไปทางร่างใหญ่โตบนบัลลังก์ เข้าใจทันทีว่าบนบัลลังก์นั่นเป็นเพียงภาพมายา ส่วนนายกองตัวจริงก็ซ่อนตัวหลังจากที่เข้ามาในนี้แล้ว

นายกองไม่สนใจพวกหนิงเหยียนทั้งสอง เขายิ้มพลางมองไปทางสวี่ชิง

“ฮ่าๆ ศิษย์น้องเล็กรู้จักข้าดีจริงๆ ถูกต้อง เพื่อป้องกันพวกโจรขโมยสุสาน แม้ว่าวิธีการเปิดก่อนหน้านี้จะซับซ้อนจนมีเพียงข้าผู้เดียวที่รู้ แต่ก็ต้องป้องกันสิ่งที่เหนือความคาดหมายไว้ ข้าจึงจงใจสร้างที่นี่ขึ้นมา

“เมื่อเป็นเช่นนี้ หากมีโจรสุสานสักคนเข้ามา จะต้องถูกที่นี่หลอกแน่นอน จากนั้นก็จะตกอยู่วังวนหายนะที่อันตรายถึงชีวิต”

นายกองเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ

“ข้าทำเรื่องเกี่ยวกับการขโมยสุสานมาทั้งชีวิต เข้าใจพวกเขาเป็นอย่างดี”

สวี่ชิงพยักหน้า นี่ก็เข้ากับนายกองดี

นายกองทำหน้าตระหนี่ถี่เหนียว เดินต่อไป พาพวกสวี่ชิงมาถึงใต้บัลลังก์พ่นเลือดสดออกมาคำโต จนคลื่นวนปรากฏออกมา ก็กระโดดเข้าไป

พวกเขาเดินไปเรื่อยๆ เช่นนี้ ผ่านที่ที่นายกองบอกไว้อีกหกแห่ง ทุกแห่งล้วนสร้างไว้สมจริงอย่างยิ่ง และยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะที่ที่หก ความรู้สึกเหมือนมี เมฆหมอกโอบล้อม ด้านในมีภาพเงาเลือนรางปรากฏออกมา กระทั่งหนิงเหยียนทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นเรื่องหลอกลวงก็ยังตื่นตกใจอีกครั้ง

นี่เป็นลักษณะของจักรพรรดิโบราณชัดๆ

ไม่ได้ไปต่อ ในจุดหลอกลวงที่หก นายกองเก็บหมอกเมฆ พ่นเลือดผสานเข้าไป สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นประตูหมอกขนาดใหญ่บานหนึ่ง

“ปกติผู้ที่เข้ามาที่นี่ ถ้ายังทำลายภาพมายาไปเรื่อยๆ ก็จะคิดว่าหลังจากนี้ยังมีอยู่อีกตามสัญชาตญาณ ข้าจึงทำสิ่งที่ตรงกันข้าม ซ่อนของจริงเอาไว้ที่นี่

“เปิดประตูบานนี้ ก็จะเป็นที่อยู่ชั้นแรกของข้าในตอนนั้น”

นายกองยืนอยู่หน้าประตู กล่าวออกมา ท่าทางประหนึ่งนกยูงที่หยิ่งผยอง

อู๋เจี้ยนอูถูกทำให้สั่นสะท้านมาตลอดทาง เขารู้สึกว่าเพื่อจะป้องกันโจรขโมยสุสาน ลงทุนลงแรงวางสุสานมายาไว้มากถึงเพียงนี้ เช่นนั้นในสุสานที่แท้จริงจะต้องอลังการยิ่งกว่าเป็นแน่

ส่วนจุดที่หนิงเหยียนสนใจไม่ได้อยู่ตรงนี่ เขาอดพูดขึ้นมาไม่ได้

“สุสานลวงหลังจากนี้จะเป็นเช่นไรเล่า”

นายกองหัวเราะไม่ตอบ ยกมือขวาขึ้นโบก ดวงอาทิตย์ของเผ่าตะวันเดียวดายก็ปรากฏเบื้องหน้าเขา สลายประตูหมอกตรงหน้า

กระพริบวูบวาบทั้งหมดเก้าครั้ง

หลังจากผ่านไปเก้าครั้ง ประตูใหญ่ปราณหมอกครืนครัน เริ่มเคลื่อนเปิดช้าๆ เบื้องหน้าพวกสวี่ชิง

“ถึงบ้านแล้ว เฮ้อ ไม่ได้กลับมาเสียนาน คิดถึงเหลือเกิน”

เมื่อนายกองจินตนาการถึงเหตุการณ์หลังจากนี้ที่พวกสวี่ชิงจะต้องตกตะลึงอ้าปากค้างกับสมบัติที่เขาสะสมไว้ ก็จงใจทำท่าเชื้อเชิญ โบกมือโบกไม้ให้ทำตัวตามสบาย

สวี่ชิงคาดหวังจริงๆ เดินก้าวเข้าไปก้าวหนึ่ง หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอูก็รีบตามเข้ามา หลังจากทยอยเข้าไป นายกองก็หัวเราะอย่างภาคภูมิใจ ก้าวตามเข้าไป

“ที่นี่ก็คือ…เอ๋”

เสียงนายกองขาดช่วง มองไปรอบๆ อย่างงุนงง

ถ้ำพำนักนี้ว่างเปล่า ไม่มีอะไรอยู่เลย

แม้แต่เก้าอี้ยังไม่มี สะอาดสะอ้าน ราวกับมีคนทำความสะอาดจากด้านในออกไปด้านนอก กระทั่งตามมุมต่างๆ คล้ายไม่เคยวางอะไรไว้เลย

สวี่ชิงทำหน้าแปลกใจ หนิงเหยียนกะพริบตาปริบๆ อู๋เจี้ยนอูเลิกคิ้ว

หลิงเอ๋อร์ข้างๆ สวี่ชิง ยังเอ่ยกระซิบเบาๆ ว่า

“ที่นี่สะอาดจังเจ้าค่ะ”

นายกองหันหน้าไปมองรอบๆ อย่างรวดเร็ว ยิ่งมองในใจก็ยิ่งลนลาน เขารู้มีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่ยังคงทำหน้าสงบนิ่งกล้าแกร่ง

“เดิมชั้นแรกนี้ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไรนัก เวลาก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว จะสลายไปตามสายลมบ้างก็เรื่องปกติ

“ของดีของข้าล้วนอยู่ที่ชั้นสอง ข้าในตอนนั้นยังตั้งใจจัดวางที่นั่นเป็นพิเศษ”

พูดพลาง นายกองก็ก้าวเดินไวๆ ไปอีกสองสามก้าว มาถึงผนังด้านหน้าของ ถ้ำพำนัก สะบัดแขนเสื้อ ผนังนั้นก็พลันครืนครัน กลายเป็นประตูหินบานหนึ่ง

เห็นประตูหินที่ไร้ร่องรอบความเสียหายใดๆ นายกองก็ถอนหายใจโล่งอก ยกมือขึ้นมาเลียๆ ละเลงน้ำลายลงไปจนทั่ว แต่ก็ยังไม่ลืมหันมาแนะนำอธิบายกับสวี่ชิง

“เปิดประตูบานนี้ ต้องใช้น้ำลายและฝ่ามือของข้า ถ้าไม่มีสิ่งนี้ ใครก็เปิดไม่ได้ทั้งนั้น”

พูดพลาง นายกองก็วางมือลงไปบนประตูใหญ่

“เปิด!”

ประตูใหญ่ครืนครัน สั่นสะเทือนหลายครั้ง แต่ต่อมาก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย

สวี่ชิงกะพริบตาปริบๆ มองไปทางนายกองพร้อมกับหลิงเอ๋อร์

อู๋เจี้ยนอูกับหนิงเหยียนก็มองไปเช่นกัน

นายกองประหลาดใจ เก็บมือกลับมาแล้วเปลี่ยนเป็นมือซ้าย หลังจากเลียลงไปจนทั่วก็วางลงไปอีกครั้ง

ประตูหินสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้น แต่ยังคงไม่ขยับ

“เวลาผ่านไปนานมากแล้ว น่าจะเกิดปัญหาเล็กๆ อะไรสักอย่าง ไม่เป็นไรๆ ข้ายังมีวิธีสำรอง”

พูดพลาง นายกองก็ยกสองมือขึ้น กดลงไปสุดกำลัง การสั่นสะเทือนของประตูใหญ่รุนแรงกว่าก่อนหน้านี้ แต่ยังไม่มีเค้าลางว่าจะเปิด นายกองเบิกตากว้าง กัดปลายลิ้นพ่นเลือดออกมา

เลือดของเขา ทำให้ประตูใหญ่สั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ยังไม่เปิด

ดวงตาสวี่ชิงเปล่งประกาย ก้าวไปด้านหน้ายกมือขวาขึ้น ชกไปหนึ่งหมัด ประตูใหญ่ก็ยิ่งสั่นคลอนรุนแรงขึ้นอีก

นายกองสูดลมหายใจ ร้อนรนถึงที่สุดแล้ว

“พวกเจ้ายังงุนงงอะไรอยู่เล่า มาช่วยข้าสิ นี่มันไม่ผิดปกติแล้ว ประตูบ้านข้าถูกเปลี่ยนวิธีการเปิด!!”

อู๋เจี้ยนอูพึมพำในใจประโยคหนึ่ง แต่ก็ยังเลือกอัญเชิญทายาทของตนออกมา

ไม่นานนักหมียักษ์ นกแก้ว อสูรร้ายต่างๆ หลายตัวก็พากันปรากฏตัวออกมา พุ่งเข้าใส่ประตูใหญ่

หนิงเหยียนสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี ตอนจะถอย นายกองก็ยกมือขึ้นคว้าอากาศ ฉับพลันเถาวัลย์ที่ท้องเขาก็โบกสะบัด นายกองจับกระชากมาอย่างแรง หนิงเหยียนร้องโหยหวน ร่างกายกระแทกกับประตูใหญ่

ส่งเสียงครืนครัน

เขาหนังหนาเนื้อแน่น ไม่เป็นอะไรเลย ส่วนประตูใหญ่ด้วยการผนึกกำลังของพวกเขา ในที่สุดก็ฝืนสร้างรอยแตกได้รอยหนึ่ง

นายกองร้อนรน หลังจากรอยแตกนี้ปรากฏก็ทุ่มสุดกำลังจนกระอักเลือดพ่นเลือดเข้าไปในรอยแตกหลายต่อหลายครั้ง และเลือดของเขาในปัจจุบันก็มีประโยชน์สารพัดกับกลไกที่วางไว้ในชาติที่แล้วของเขาจริงๆ…

ดังนั้นตอนนี้จากการที่เลือดผสานเข้าไป รอยแตกจึงกว้างขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ครืนครันดังลั่น ประตูหินเปิดออกทั้งบาน ถ้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง สะท้อนเข้ามาในครรลองสายตาพวกสวี่ชิง

ที่นี่…ระเกะระกะไปหมด

เห็นได้ชัดว่าสภาพคล้ายเจอกับการยกเค้า สิ่งของทั้งหมดถูกรื้อค้น รอบๆ เละเทะไปหมด ขวดยาลูกกลอนนับไม่ถ้วนแตกกระจาย ชั้นแต่ละชั้นล้มระเนระนาด กระทั่งมีกลิ่นเน่าคละคลุ้ง

นายกองเหม่อลอย

ดวงตาสวี่ชิงแวววาว เดินเข้าไปในถ้ำหิน สังเกตร่องรอยเละเทะในนั้น

“หนิวเอ๋อร์หวนสู่เหย้าอย่างปรีดา ชายคาอ้างว้างรกร้างจริง…”

“ความหมายของพี่เจี้ยนเจี้ยนก็คือ ศิษย์พี่เอ้อร์หนิว บ้านท่านโดนยกเค้าไปแล้ว” หนิงเหยียนเอ่ยเสียงแผ่ว

นายกองหันหน้าไปมองพวกเขาสองคน สายตานั้นเหมือนจะกินคน ทำให้ทั้งสองคนหุบปากอย่างตกใจทันที

แต่นายกองตอนนี้ก็ไม่มีอารมณ์สนใจทั้งสอง เขามองระเกะระกะของที่นี่ด้วยไฟสุมทรวง หัวสมองระลึกย้อนถึงชาติที่แล้วอย่างรวดเร็วว่าที่นี่มีอะไรมีค่าวางอยู่บ้าง

ผ่านไปครู่หนึ่ง นายกองก็ถอนหายใจยาว เงยหน้าขึ้นแสร้งทำเป็นผ่อนคลาย เอ่ยเสียงราบเรียบ

“เรื่องนี้ข้าก็คาดการณ์ไว้นานแล้ว ถึงอย่างไรก็ผ่านมาหลายปี จะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายบ้างก็เป็นเรื่องปกติ ดังนั้นข้าตอนนั้นจึงนำของดีใส่ไว้ข้างโลงศพชั้นสุดท้าย”

“ชั้นสองนี้ จะหายก็หายไป แต่โลงศพของข้าอยู่ที่ชั้นสามจะต้องไม่มีปัญหาแน่นอน ฟ้าดินนี้นอกจากข้าแล้วไม่มีใครเปิดได้ แม้แต่เทพเจ้าก็เปิดไม่ได้!”

นายกองภาคภูมิใจ เดินไปยังใจกลางถ้ำหิน ขณะทำปางมือถ้ำหินก็ครืนครัน เลื่อนลั่น ตรงกลางยุบลงไป มีประตูดินรูปวงรีปรากฏขึ้นมาบานหนึ่ง

คำพูดของนายกองประโยคหน้าสวี่ชิงเชื่อ ส่วนประโยคที่ว่าแม้แต่เทพเจ้าก็เปิด ไม่ออก สวี่ชิงไม่เชื่อ

แต่เขาไม่พูดออกมา กวาดสายตาไปบนพื้นดิน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองประตูดินที่ใจกลางถ้ำคล้ายครุ่นคิด กำลังจะเอ่ยปาก

แต่นายกองก็ลงมือเปิดประตูแล้ว เสียงครืนครันกึกก้อง นายกองพ่นเลือดออกมา ร่างกายพลิกม้วนกลับ ดวงตาฉายแววเหี้ยมเกรียม สีหน้าบ้าคลั่ง

“น่าสนใจ แม้แต่ผนึกต้องห้ามนี้ก็แก้ให้ข้าด้วย!”

สวี่ชิงกำลังจะก้าวไป นายกองก็โบกมือ

“ครั้งนี้ไม่ใช่พวกเจ้าที่ไม่เชื่อ ข้าก็ไม่เชื่อ!”

นึกถึงคำพูดตัวเองคล้ายโดนตบเข้าที่หน้าจังๆ ในตอนนี้ ความภาคภูมิใจในตัวเองของนายกองก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรง ดวงตาเขาแดงก่ำ ดวงตาปรากฏใบหน้าสิ่งประหลาด ใบหน้านั้นลืมตาขึ้น และในดวงตายังมีใบหน้าอีก

แต่ละชั้นๆ ประหนึ่งไม่มีที่สิ้นสุด ทั่วร่างเปล่งแสงสีน้ำเงินออกมา ไอเย็นรอบๆก็ปะทุขึ้นในทันใด เข้าใกล้ประตูดินในพริบตา ยกมือขวาขึ้น กดลงที่ไปประตูดินทันที

หน้าอกเขาฉีกขาด มีท่อนแขนสีน้ำเงินที่ปกคลุมไปด้วยกระดูกแหลมคมยื่นออกมา

ไม่ใช่แค่ข้างเดียว แต่มีแขนยื่นออกมาจากร่างเขาถึงเจ็ดแปดข้าง และมีคลื่นพลังที่น่าครั่นคร้ามระเบิดจากร่างกาย

เหล่าทายาทอสูรร้ายทั้งหมดของอู๋เจี้ยนอูตัวสั่นเทา หนิงเหยียนก็พรั่นพรึง จากนั้นแขนที่โหดเหี้ยมสีน้ำเงินเจ็ดแปดข้างนั้นก็กดลงไปบนพื้นพร้อมกัน

ผืนแผ่นดินครืนครัน เดิมนายกองเป็นผู้วางผนึกต้องห้ามที่นี่ไว้ แม้จะถูกปรับเปลี่ยนไป แต่การลงมือของเขาก็ยังแตกต่างจากคนอื่น

ดังนั้นชั่วพริบตาประตูดินจึงสั่นสะเทือน ในรอยแตกหลายทางเปล่งแสงเจิดจ้า ประกอบกันเป็นอักขระหนึ่ง

อักขระนี้กะพริบวูบวาบไปสองสามครั้ง สุดท้ายก็มีเสียงเปรี๊ยะ แตกลามลงไปด้านล่าง ประตูดินพังทลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที เผยให้เห็นถ้ำขนาดสิบจั้งแห่งหนึ่ง

ไม่ลังเลใดๆ ร่างของนายกองก็วูบไหวพุ่งเข้าไปในถ้ำ ไม่นานนักเสียงโอดครวญก็ดังออกมาจากด้านล่าง

เสียงน่าเวทนามาก สวี่ชิงหน้าเปลี่ยนสี พุ่งไปในพริบตา เข้าไปในถ้ำชั้นที่สาม

ทุกอย่างในนี้ ก็ทำให้เขาต้องสูดลมหายใจ

เละเทะยิ่งกว่าชั้นที่สองเสียอีก

หากเปรียบชั้นสองที่มีโจรคนหนึ่งเป็นผู้รื้อค้น เช่นนั้นชั้นที่สามคงเป็นกองโจรบุกยกเค้า

รอบๆ ระเกะระกะมาก กระทั่งมีกองอุจจาระแห้งบางส่วน สภาพเสื่อมโทรม น่าขนลุกขนชัน

โดยเฉพาะโลงศพที่เดิมทีน่าจะวางอยู่บนแท่นสูงตรงกลาง ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว แตกกระจายเป็นชิ้นๆ มีส่วนหนึ่งล้มอยู่ตามมุมด้วย

ด้านในว่างเปล่า

ไม่มีศพ

ส่วนนายกอง ตอนนี้นั่งอยู่บนชิ้นส่วนโลงศพชิ้นหนึ่งนิ่งๆ มองรอบๆ ด้วยสีหน้าเลื่อนลอยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

สวี่ชิงเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจ เดินไปข้างๆ นายกองแล้วตบบ่าของเขา

“ศิษย์น้องเล็ก ชาติที่แล้วของข้า…ถูกขโมยไปแล้ว” นายกองเงยหน้ามองสวี่ชิง สีหน้าโศกเศร้า

ตอนนี้อู๋เจี้ยนอูและหนิงเหยียนก็เข้ามาเช่นกัน มองไปรอบๆ อย่างตกตะลึง

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านใจเย็นก่อน เจ้ามั่นใจใช่หรือไม่ว่าชาติที่แล้วท่านตายที่นี่” สวี่ชิงเอ่ยเสียงแผ่ว

เขาไม่รู้ว่าการถูกขโมยชาติที่แล้วรู้สึกอย่างไร ถึงอย่างไรประสบการณ์เช่นนี้ ใช่ว่าใครก็ได้ประสบพบเจอ แต่เขาเข้าใจความรู้สึกของนายกองตอนนี้

เมื่อนายกองได้ยินสองตาก็แข็งค้างทันที เดิมเขาเป็นคนที่ชาญฉลาดกว่าใคร ก่อนหน้านี้เนื่องจากแรงกระตุ้นที่เกิดขึ้นจากการหายไปของชาติที่แล้วรุนแรงเกินไป จึงเลื่อนลอย ต่อให้สวี่ชิงไม่เตือน เขาก็สัมผัสถึงความผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว สีหน้าจึงเริ่มสุขุมเยือกเย็น

“ความหมายของเจ้า จะบอกว่านี่เป็นสิ่งที่ร่างของข้าในชาติที่แล้วตื่นขึ้นมาทำอย่างนั้นหรือ

“แต่ถ้าชาติที่แล้วของข้ายังไม่ตาย ข้าก็ไม่มีทางมีชาติต่อมา จึงไม่มีวันเป็นไปได้ เว้นเสียแต่…”

“มีสิ่งสกปรกบางอย่าง มาชิงร่างชาติที่แล้วของท่านไป” สวี่ชิงเอ่ยอย่างใจเย็น

“ถูกต้อง ในอดีตล้วนเป็นข้าที่เล่นงานคนอื่น นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตข้าที่ถูกคนอื่นเล่นงาน!” นายกองลุกขึ้นยืน ร่างแผ่คลื่นน่าหวาดหวั่นออกมา

“ความสะเปะสะปะในชั้นสอง ดำเนินการไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้นเป็นไปได้มากว่าจะเป็นคนคนเดียว

“แต่ในชั้นสาม…” สวี่ชิงมองนายกอง

ดวงตานายกองฉายแววบ้าคลั่ง เอ่ยเนิบๆ

“ชั้นที่สามนี้เริ่มจากจุดศูนย์กลาง ดูจากร่องรอยการแตกหักของสิ่งของแล้ว เป็นโลงศพที่ระเบิดออกมาก่อน กลายเป็นแรงกระแทก จากนั้นถึงเป็นการรื้อค้นปล้นทรัพย์

“และเจ้าสิ่งสกปรกนี้สามารถเปิดประตูดินแล้วแก้ไขมันได้ จากนั้นก็ไปแก้ไขประตูชั้นที่สอง อธิบายได้ว่ามันรู้จักข้าดีมาก…

“เมื่อเป็นเช่นนี้ เบาะแสบ่งชี้ก็แคบลงมาก ความเป็นไปได้ที่คนนอกจะเข้ามาน้อยนัก ตรงกันข้ามหากมีวิญญาณสกปรกเกิดขึ้นในนี้มีความเป็นไปได้มากกว่า

“ข้าในตอนนั้นมีสิ่งของที่ฝังอยู่ด้วยกันไม่น้อย หลายปีผ่านไป บางทีในนี้อาจจะมีของบางอย่าง สบโอกาสกลายเป็นวิญญาณศัสตรา!”

นายกองเอ่ยช้าๆ ยิ่งพูดแนวความคิดก็ยิ่งกระจ่างชัด สุดท้ายดวงตาก็เปล่งประกายเย็นเยียบ

“แต่ว่า เจ้าสิ่งสกปรกนี่ก็ไม่ควรชิงร่างชาติที่แล้วของข้าไปเลย ร่างชาติที่แล้วถูกข้าหลอมตั้งแต่เกิด มีความเกี่ยวข้องกับที่แห่งนี้อย่างมาก ถ้าไม่มีข้าคลายผนึกออกห่างจากอาณาเขตของเทือกเขามิรู้สิ้นก็จะกลายเป็นฝุ่นผง

“ดังนั้น ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่ ก็ต้องอยู่ไม่ไกลจากที่นี่แน่!”

สวี่ชิงพยักหน้า มองผนังรอบๆ ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย นายกองก็เข้าใจแล้ว

“พวกเราต้องยืนยันเสียหน่อยว่าการมาเยือนครั้งนี้ อีกฝ่ายรู้ตัวแล้วหรือยัง”

นายกองสองมือประกบปาง รอบๆ สุสานมีเส้นแสงวูบวาบ ผนึกต้องห้ามที่นี่ตอบสนองกับเขา ครู่ต่อมา นายกองก็แค่นเสียงเย็นชา

“ไม่มีร่องรอยคลื่นพลังส่งออกไปด้านนอก แม้เจ้าสิ่งสกปรกนี่จะวางกลไกไว้ที่นี่บ้าง แต่สุดท้ายที่นี่ก็ยังเป็นสุสานของข้า!”

นายกองกล่าวจบ ก็พ่นเลือดออกมา ยกมือขวาขึ้นบีบ เลือดสดเหล่านั้นก็กลายเป็นเข็มทิศที่นิ้วเขา เข็มบนนั้นหมุนวน เริ่มชี้ทิศทาง

“เพียงแค่เกี่ยวข้องกับสายโลหิตของข้า การดึงดูดทางสายโลหิตข้านี้ ก็จะหามันจนพบ!”

พริบตาต่อมา ทิศที่เข็มนี้ชี้ไป ก็คือหนิงเหยียน

หนิงเหยียนหน้าเปลี่ยนสี

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!