Skip to content

Outside Of Time 574

บทที่ 574 พรหมลิขิต อัศจรรย์จนไม่อาจพรรณนา

“ไม่ใช่ข้า!” หนิงเหยียนในใจตื่นกลัว พูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“เป็นทางที่ข้าอยู่ทางนี้ใช่หรือไม่ จะต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ!”

หนิงเหยียนรีบขยับมายังข้างอู๋เจี้ยนอู

แต่ในขณะที่เขาขยับ เข็มของเข็มทิศชี้นำสายโลหิตของนายกองก็ขยับตามไปด้วย ยังคงจับเป้าหมายหนิงเหยียน

สีหน้าของนายกองเปลี่ยนมาเคร่งขรึม มองหนิงเหยียนอย่างมีความหมายลึกล้ำแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงราบเรียบ

“เอามา!”

อู๋เจี้ยนอูก็หน้าเปลี่ยนสี พลันหันไปมองหนิงเหยียน เอ่ยขึ้นตามสัญชาตญาณ

“ได้บุตรยามชรา ดุจพฤกษาออกผลยามต้นแก่ เวลาหมุนผันแปร ไม่แน่ว่าจะเป็นบิดาเจ้า”

หนิงเหยียนสะดุ้ง ไม่มีจิตใจไปสนใจอู๋เจี้ยนอู ตอนนี้สีหน้าฉายความงุนงงสับสนออกมา ในใจเกิดคลื่นซัดโหมกระหน่ำ

เดิมเขาคิดว่าเป็นบริเวณที่ตัวเองอยู่ซ้อนทับกับโจรขุดสุสาน แต่ตอนนี้ดูแล้ว เป้าหมายของเข็มนั่นก็คือตนชัดๆ

นึกถึงความหมายที่ทุกอย่างที่นี่แสดงออกมา หนิงเหยียนลนลานแล้ว รีบร้อนอธิบายตะกุกตะกัก

“ศิษย์พี่เอ้อร์หนิว ไม่ใช่ข้าจริงๆ นะ ข้า…ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น”

ในดวงตาสวี่ชิงฉายแววแปลกประหลาด ไม่พูดอะไร ส่วนนายกองเลิกคิ้ว

“เอาออกมาเร็วๆ เข้า!”

“เอาอะไรออกมาเล่า เราสองคนไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดจริงๆ”

หนิงเหยียนใบหน้าทุกข์ระทม ร่างสั่นสะท้าน

นายกองขมวดคิ้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ

“ข้าย่อมรู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่เจ้า ข้าจะไปมีผู้สืบสายเลือดรุ่นหลังแบบเจ้าไปได้อย่างไร ข้าให้เจ้าเอาหนังวิเศษของข้าออกมาต่างหาก!”

หนิงเหนียนได้ยินก็ะท้านเฮือกทั้งร่าง รีบเอาหนังวิเศษของนายกองออกมาจากถุงเก็บของ วัตถุชิ้นนี้อยู่กับเขาที่นี่มาโดยตลอด ทันทีที่เอาออกมาแล้วโยนไป เข็มจานเข็มทิศนมือนายกองก็หมุนเร็วจี๋

เห็นภาพฉากนี้ ในที่สุดหนิงเหยียนก็โล่งอก ก่อนหน้านี้เขาตกใจจริงๆ

อู๋เจี้ยนอูแอบเสียดาย พึมพำเสียงเบา

“ดินทลายฟ้าถล่มร่วงตก วิหคตื่นตกปอดแหกฉี่ราด น่าอนาถเรื่องเล็กเท่าขี้ผง”

หนิงเหยียนฟังไม่เข้าใจ แต่สัมผัสได้ถึงคำเสียดสีที่อยู่ในนั้น ดังนั้นจึงมองไปอย่างโมโห

อู๋เจี้ยนอูถลึงตาใส่ อสูรร้ายเล็กใหญ่ข้างกายเหล่านั้นต่างถลึงตามองไปเช่นกัน

หนิงเหยียนเงียบนิ่ง

ส่วนนายกอง เขาไม่สนใจความขัดแย้งระหว่างสองคนนี้ เขาเก็บหนังวิเศษลงไป หาการชี้นำของสายเลือดอีกครั้ง ไม่นานนักก็จับเป้าหมายไปที่ทางหนึ่ง

“ไป อยู่ทางนั้น!

“ข้าจะดูสิว่า ไอ้ตัวที่มันสิงร่างชาติที่แล้วของข้ามันเป็นตัวบ้าอะไรกัน!”

พูดแล้วนายกองก็ท่าทางดุดัน พุ่งตรงไปยังทางออกของสุสาน

สวี่ชิงก้าวเท้าไหววูบออกไป ตามติดอยู่ข้างหลัง ระหว่างทางเขามองเจ้าเงาที่อยู่ใต้เท้า แล้วสัมผัสก้างปลาในถุงเก็บของเล็กน้อย ระแวดระวังพวกมันเพิ่มขึ้นมาอีกหลายส่วนเพราะเรื่องของนายกองเรื่องนี้

สัมผัสได้ถึงจิตเทพของสวี่ชิง เจ้าเงาตัวสั่น บรรพจารย์สำนักวัชระในก้างปลาก็สั่นสะท้านเช่นกัน ต่างแผ่ระลอกคลื่นประจบประแจงออกมา

สวี่ชิงสีหน้าแปลกประหลาด ในใจแอบขบคิดควรเรียนวิชาพันธนาการบางอย่าง เพื่อเพิ่มการป้องกันเจ้าเงากับบรรพจารย์สำนักวัชระให้มากยิ่งขึ้น

เขาไม่มีจิตคิดร้ายต่อผู้อื่น แต่จะทำพลาดเหมือนนายกองไม่ได้เด็ดขาด

ขณะที่ขบคิดนี้ คนทั้งหลายภายใต้การนำของนายกองก็ออกไปจากสุสาน เมื่อมาถึงโลกภายนอกก็เป็นเวลาเช้าตรู่แล้ว

รุ่งอรุณจากดวงอาทิตย์จำลองแผ่แสงออกมาจากที่ไกลขับไล่ความมืดมิดออกไป ทำให้ฟ้าดินเกิดประกายแสง พืชพรรณเขียวชอุ่มในเทือกเขาปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ร่องรอยเด่นเจน พลังชีวิตเข้มข้น เทียบกับโลกอันทุกข์ระทมแห่งนี้แล้ว พลังชีวิตพวกนี้มีเสี้ยวขณะหนึ่งทำให้สวี่ชิงรู้สึกว่าเหมือนไม่ใช่ของจริง

แต่ไม่นานนัก จากแสงสว่างที่ส่องประกายเจิดจ้า ทุกอย่างฟื้นคืนสู่ปกติ และ ก้อนหิน ภูเขาบนภาคพื้นก็ไม่ดูแปลกประหลาดชั่วร้ายเหมือนภูตผีปีศาจแล้ว

เพียงแต่ พวกนายกองที่อยู่ใต้แสงอาทิตย์ อารมณ์แตกต่างกันไป

นายกองร้อนรน อู๋เจี้ยนอูเสียดาย หนิงเหยียนหวาดหวั่นสะท้านใจ สวี่ชิงนั้นระแวดระวังรอบตัว เขาไม่คิดว่าครั้งนี้จะราบรื่นแบบที่นายกองพูดแบบนั้นจริงๆ

อย่างไรร่างเมื่อชาติที่แล้วของนายกองไปจากที่นี่นานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ต่อให้ยังอยู่ในเทือกเขามิรู้สิ้นนี้จริงๆ ก็จะต้องมีการวางค่ายกลอะไรมากมายแน่นอน

“มีความเป็นไปได้สูงมากที่อีกฝ่ายจะรู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่กลับชาติมาเกิด นั่นก็หมายความว่าจะต้องเดาได้ว่าวันหนึ่งศิษย์พี่ใหญ่จะกลับมา

“เช่นนั้นเขาจะต้องระมัดระวังตัวมากอย่างแน่นอน”

สวี่ชิงพึมพำ ไล่ตามนายกองที่นำทางอยู่ข้างหน้า บอกเรื่องพวกนี้ที่ตัวเองคิดออกไป

นายกองได้ยินก็พยักหน้า เรื่องพวกนี้เขาก็เคยคิดเช่นกัน แค่เขาก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวเอง ตบไหล่สวี่ชิง เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม

“ศิษย์น้องเล็ก ไม่ว่าไอ้ตัวบ้านั่นมันวางแผนอะไร มีเรื่องหนึ่งที่มันไม่อาจแก้ไขได้ นั่นก็คือ ขอเพียงแค่ข้าสัมผัสมัน ข้าจะต้องมีวิธีพันธนาการมันเอาไว้ได้อย่างแน่นอน!

“ข้ามีนิสัยหนึ่งคือทุกครั้งหลังจากที่กลับชาติเกิดล้วนหลอมร่างของตัวเองทันทีในเสี้ยวพริบตาแรกที่เกิด เตรียมเอาร่างมาเป็นอาวุธอยู่ตลอดเวลา

“ดังนั้น ร่างชาติที่แล้วของข้าร่างนี้ หนีไม่พ้นมือของข้า”

สวี่ชิงมองนายกองแวบหนึ่ง ประเมินตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ครั้งนี้ก็เช่นกันหรือ

“แน่นอนอยู่แล้ว อาชิงน้อย ตอนนั้นที่เขตปกครองผนึกสมุทร ข้าเตรียมปลดผนึก เตรียมเรียกร่างชาติที่แล้วทั้งหมดมา ข้าไม่ได้โม้นะ แต่ร่างชาติที่แล้วทุกร่างของข้า มาเยือน เทพเจ้าเมื่อเห็นยังต้องเรียกพี่ชาย”

นายกองเอ่ยอย่างหยิ่งทะนง

สวี่ชิงยิ้ม นิสัยชอบคุยโวโอ้อวดของนายกองนี้เขารู้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่ในประโยคนี้ฉายความเป็นห่วงเป็นใยต่อเขาออกมา สวี่ชิงสามารถสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน

เขาจึงพยักหน้าอย่างจริงจัง

เวลาหมุนผ่านไปเช่นนี้เอง ไม่นานนักก็ผ่านไปเจ็ดวัน

ในเจ็ดวันนี้ พวกเขาไปตามการชี้นำของเข็มทิศสายโลหิตของนายกอง มาถึงยังส่วนลึกของเทือกเขามิรู้สิ้น

ที่นี่ต้นไม้ขึ้นเรียงราย พืชพรรณยิ่งหนาแน่นสมบูรณ์ จะเห็นสัตว์ป่ามากมายโผล่เพ่นพ่าน

เหมือนกับผู้บำเพ็ญและประชาชนทั่วไป สัตว์ป่าในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราก็โดนคำสาปเช่นเดียวกัน จึงเกิดการกลายพันธุ์บางอย่างอย่างช่วยไม่ได้ มีความดุร้ายมากยิ่งกว่า

ตอนนี้มีผีเสื้อหัวเสือตัวขนาดครึ่งจั้งฝูงหนึ่ง กำลังบินต่ำอยู่กลางอากาศผ่านมาอย่างรวดเร็ว ร่างแผ่ฝุ่นละอองที่มีพิษร้ายแรงมากมาย

สวี่ชิงยกมือกดไปเล็กน้อย หลังจากสัมผัส ดวงตาก็ฉายแววอัศจรรย์ เงยหน้ามองไปทางที่พวกมันจากมาอยู่หลายครั้ง

‘ในผงพิษมีคำสาปพระจันทร์สีชาด…อีกทั้งยังใหม่มากๆ เหมือนว่าเพิ่งเกิดขึ้น’

สวี่ชิงประหลาดใจเล็กน้อย ฝังเรื่องนี้ไว้ในใจ ตามนายกองเคลื่อนไปข้างหน้าต่อ

ในยามที่พวกเขากลุ่มนี้เข้าไปในจุดลึกของเทือกเขามากยิ่งขึ้นทีละน้อย สัมผัสรับรู้จากสายโลหิตทำให้นายกองยิ่งระมัดระวังรอบคอบ ร่างค่อยๆ รางเลือน อยู่ในสภาวะอำพรางกาย

อู๋เจี้ยนอูและหนิงเหยียนภายใต้การลงมือของเขาก็อำพรางกลิ่นอายเช่นกัน

ส่วนสวี่ชิงก็ใส่หน้ากากที่อาจารย์มอบให้ ร่างแปรเปลี่ยนเป็นพรางมารยา ร่องรอยทุกอย่างหายไปหมด

“อาชิงน้อย พื้นที่ระยะหนึ่งวันข้างหน้านี้ก็จะเป็นที่ที่พลังสายโลหิตของข้าเข้มข้นที่สุด แต่ตรงนั้นล้วนเป็นกลิ่นอายหลงเหลือ ต้นกำเนิดพลังไม่อยู่

“เทียบกับการไล่ตามต่อไป มิสู้รออยู่ที่นี่ให้อีกฝ่ายกลับมา นอกจากนี้กำลังรบร่างชาติที่แล้วของข้า เนื่องจากเหตุผลพิเศษบางอย่างจึงไม่มีทางฟื้นฟูถึงระดับหวนสู่อนัตตาได้ น่าจะเป็นเพียงแค่สมบัติวิญญาณ กายเนื้อสมบัติวิญญาณ”

ในหนองน้ำหุบเขา นายกองนั่งยองๆ บนยอดไม้แห่งหนึ่ง เอ่ยเสียงต่ำทุ้มกับบริเวณว่างโล่งข้างกาย

“ได้” เสียงของสวี่ชิงดังมาจากอีกข้างหนึ่งของนายกอง

นายกองกะพริบตาปริบๆ แอบพูดในใจว่าการอำพรางของอาชิงน้อยมาถึงขั้นนี้แล้ว เช่นนั้นตนจะต้องยิ่งทุ่มเทให้กับด้านนี้เหมือนกันถึงจะถูก แต่ว่าตอนนี้เขาไม่มีจิตใจมาขบคิดเรื่องพวกนี้มากสักเท่าไร นั่งยองๆ อยู่ตรงนั้นนิ่งไม่ขยับ

อู๋เจี้ยนอูกับหนิงเหยียนอยู่ข้างๆ เขาก็เช่นกัน ไม่กล้าหายใจดัง

ดังนั้น ภายใต้ความระมัดระวังรอบคอบของแต่ละคน เวลาแต่ละวันๆ ก็หมุนผ่านไป

สี่วันหลังจากนั้น นายกองพลันสื่อเสียงมา

“มาแล้ว!”

สวี่ชิงหรี่ตาไม่ได้มองไปทางท้องฟ้า แต่มองไปข้างหน้านายกอง

ตรงนั้นมีดวงตาข้างหนึ่ง สะท้อนภาพในฟ้าดินออกมา

อู๋เจี้ยนอูและหนิงเหยียนก็เก็บกลิ่นอายทั้งหมดเช่นกัน สายตาหลังจากจ้องเพ่งไปบนท้องฟ้าก็ตั้งสติกลับมาได้ เบนสายตาอย่างรวดเร็ว มองไปทางดวงตาของนายกองที่อยู่ข้างหน้า

ขณะเดียวกัน ในเทือกเขาที่ห่างจากที่นี่ไปเป็นระยะทางหนึ่งวัน ม่านฟ้าตรงนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลง

คนกลุ่มหนึ่งมาจากที่ไกลอย่างยิ่งใหญ่ เงาร่างเพิ่งปรากฏที่ปลายขอบฟ้าก็มีเสียงดนตรีดังก้องไปทั่วทิศ คนถึงร้อยกว่าคนบรรเลงขลุ่ยผิว ท่วงทำนองงดงาม ชื่นมื่นครื้นเครง

ยิ่งมีสาวใช้เหาะเหินอยู่กลางท้องฟ้าพลางโปรยดอกไม้ เพียงพริบตากลิ่นดอกไม้ก็ฟุ้งขจร ดนตรีดังแว่วกังวาน

และจากการเข้ามาใกล้ของผู้มาเยือน พวกเขาเสื้อผ้าอาภรณ์สีสันสดใสดุจดอกไม้มากมายผลิบานบนท้องฟ้า

กลางหมู่มวลดอกไม้นับไม่ถ้วนล้อมรอบนี้เป็นเกี้ยวเจ้าสาวที่ทำจากกะโหลกยักษ์ มีชายกำยำสามสิบสองคนแบก เดินไปข้างหน้าอยู่กลางอากาศ

ชายกำยำทั้งสามสิบสองคนไม่ใช่เผ่ามนุษย์ แต่เป็นเผ่าสิงโต ขนสีทองทำให้พวกเขาอยู่ใต้แสงอาทิตย์ราวกับทหารฟ้าขุนพลสวรรค์ รัศมีอำนาจเกรียงไกรน่าเกรงขาม

ความอลังการเช่นนี้อยู่ที่เขตปกครองผนึกสมุทรบางทีอาจไม่นับเป็นอะไร แต่ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา โดยเฉพาะในเทือกเขามิรู้สิ้นนับว่าเอิกเกริกเป็นอย่างยิ่งแล้ว

ส่วนในเกี้ยวเจ้าสาวกะโหลกยักษ์ที่พวกเขาแบกอยู่ จะเห็นว่ามีชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอยู่

ผู้หญิงคนนั้นสวมกระโปรงเมฆาพรายประกายแดง ดูแล้วอายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด ผิวขาวยิ่งกว่าหิมะ งดงามเป็นอย่างยิ่ง โฉมสคราญหยาดเยิ้มจนมิอาจจ้องมองตรงได้

ตอนนี้ร่างอรชรครึ่งหนึ่งของนางอิงแอบกับชายที่อยู่ข้างๆ วางมือของผู้ชายไว้ บนร่าง ในดวงตาแฝงด้วยความอ่อนหวาน คล้ายว่าในดวงตาของนาง ในฟ้าดินนี้มีเพียงแค่คนข้างหน้านี้เท่านั้น

และใต้ลำคอระหงเนียนละเอียด หน้าอกงามประดุจเทียนไขหยกขาว ปกปิดวับแวม เอวอรชรคอดงดงาม เรียวขายาวงดงามชุ่มชื้นเปล่าเปลือย แม้แต่เท้างดงามก็ยังเผยท่าทีงดงามเย้ายวนอย่างไร้สุ้มเสียง ส่งคำเชิญอันยั่วเย้าออกมา

เป็นหญิงงามหยาดเยิ้มพริ้มเพรา

ส่วนชายคนนั้นรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหยาบกระด้าง ผิวสีเทาขาวเหมือนไม่มีพลังชีวิตอยู่ในนั้น ดวงตาทั้งสองข้างหนึ่งใหญ่ข้างหนึ่งเล็กไม่สมดุลกัน เหมือนตอนปั้นออกมาเกิดปัญหา โดยเฉพาะยามพ่นลมหายใจ ไอหมอกสีดำเป็นระลอกๆ แผ่ออกมาจากปาก ทำให้คนรู้สึกขยะแขยง

ตาขาวในดวงตาของเขายิ่งไม่ปกติ มีสีเหลืองลักษณะแบบอาการป่วย ร่างยิ่งมีหลายที่ที่เน่าเปื่อย บางทียังมีน้ำเหลืองขุ่นข้นไหลออกมา ทำให้คนไม่อยากจะมองนานๆ

เทียบกับหญิงสาวข้างกายแล้ว หน้าตาของผู้ชายคนนี้ไม่เหมาะสมกับนางเลย แต่ก็ต้องยอมรับว่าความเหี้ยมโหดที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาแฝงด้วยรังสีอำมหิตในดวงตาที่เล็กใหญ่ไม่เท่ากันแฝงด้วยความเย็นชาต่อชีวิต นั่งอยู่ตรงนั้นเกิดรัศมีอำนาจความน่าเกรงขามขึ้นเอง ทำให้คนไม่กล้าดูถูก

ทั้งสองมาจากปลายขอบฟ้า หลังจากมาถึงที่นี่ ผู้ชายลุกยืนขึ้น ผู้หญิงก็ลุกขึ้นตาม

ทั้งสองมองหน้ากัน คนหนึ่งเย็นชา คนหนึ่งรักสุดจิต

สุดท้ายก็จุมพิตกัน ก็ไม่รู้ว่าหญิงสาวคนนั้นรับไอหมอกดำจากปากคนที่อยู่ข้างๆ ได้อย่างไร ในยามที่ลิ้นเกี่ยวกระหวัดชวนให้คนสยองพรั่นพรึงนัก

สรุปคือท่าทางสนิทสนมชิดเชื้อ ฉายความรักลึกซึ้งระหว่างคนทั้งสองออกมา

จากนั้นผู้ชายก็ก้าวออกไปยังท้องฟ้าก้าวหนึ่ง ตรงดิ่งไปยังยอดเขาที่ไกล ส่วน ผู้บำเพ็ญทั้งหลายที่ปลายขอบฟ้าก็ต่างก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว หลังจากน้อมส่งแล้วก็ยกเกี้ยวจากไปไกล

จวบจนนานหลังจากนั้น ม่านฟ้าที่นี่กลับสู่ปกติ และในใบไม้บนต้นไม้ต้นหนึ่ง บนพื้น ดวงตาที่งอกขึ้นมาเมื่อไรไม่รู้หลับตาลงอย่างรวดเร็ว ละลายกลายเป็นน้ำค้าง

ในหนองน้ำหุบเขาที่ห่างจากที่นี่เป็นระยะทางหนึ่งวัน สวี่ชิงมองภาพทุกอย่างที่สะท้อนจากดวงตาข้างหน้านายกอง สีหน้าเปลี่ยนแปลงไป

อู๋เจี้ยนอูกับหนิงเหยียนยังดี สำหรับพวกเขาแล้ว ทั้งสองคนในภาพนั้นพวกเขาล้วนไม่รู้จัก

“อาชิงน้อย ผู้บำเพ็ญหญิงคนนั้นค่อนข้างคุ้นหน้าใช่หรือไม่…” นายกองมองไปทางสวี่ชิง สีหน้าค่อนข้างสับสนทำอะไรไม่ถูก

สวี่ชิงในใจรู้สึกเหลือเชื่อ ผู้หญิงคนนั้นในความทรงจำของเขาเป็นคนที่รักความสวยงามเป็นอย่างยิ่ง ข้อเรียกร้องต่อความงามอยู่ในขั้นสูงสุด แต่ตอนนี้กลับใกล้ชิดกับคนที่ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยน้ำเหลืองน้ำหนอง

นี่ทำให้สวี่ชิงไม่อาจเข้าใจได้ ตอนนี้ได้ยินคำพูดนายกอง เขาพยักหน้าหงึกๆ

“เหมือนกับโยวจิงที่ถูกท่านยกเค้า เกลียดท่านเข้ากระดูกดำทุกประการเลย”

พูดจบ สวี่ชิงก็เอ่ยเสริมอีกประโยค

“นายกอง ในตัวท่านยังมีเสื้อผ้าของนางอีกหรือไม่”

นายกองสีหน้าแปลกประหลาด ประเดี๋ยวเหี้ยมเกรียม ประเดี๋ยวฉายแววเหลือเชื่อออกมา การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างนี้ สวี่ชิงล้วนเข้าใจดี

“ผู้ชายข้างกายนาง…” สวี่ชิงลังเล

นายกองขมขื่นระทมใจ ถอนหายใจยาว

“คนผู้นั้น บางที อาจจะ มีความเป็นไปได้ว่า…คือร่างเมื่อชาติก่อนของข้า”

อู๋เจี้ยนอูกับหนิงเหยียนต่อให้ไม่รู้จักโยวจิง แต่ฟังคำพูดของเขาทั้งสองคน ในใจจะมากจะน้อยก็เดาได้ จึงต่างถอนหายใจออกมา

“ขอแสดงความยินดีด้วย!” หนิงเหยียนลังเล เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม

“ภาพนี้ฉากนี้ชวนให้ใจหวาดหวั่น เอ้อร์หนิวงงงันสมองขาวโพลน ในวันโน้นเจ้าและข้าเห็นหน้าจ้องฆ่ากัน มาวันนี้สองเรากลับปลงใจร่วมอยู่กันชั่วกาลนาน!”

อู๋เจี้ยนอูประทับใจ ในสมองมีเรื่องเกี่ยวกับบุพเพวาสนามากมายผุดขึ้นมา เกิดอารมณ์กวีขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

สวี่ชิงเงียบนิ่ง นายกองเงียบนิ่ง

“เช่นนั้นหากพวกเขามีลูกกันขึ้นมา ศิษย์พี่เอ้อร์หนิว เด็กต้องเรียกท่านว่าอะไรหรือ” หนิงเหยียนจะปล่อยโอกาสนี้ไปได้อย่างไร เอ่ยถามเสียงต่ำทุ้ม

นายกองที่หน้าผากเส้นเลือดเขียวนูนปูดขึ้นมา

เห็นเป็นเช่นนี้ อู๋เจี้ยนอูก็ทิ้งจิตปฏิปักษ์ที่มีต่อหนิงเหยียน หลังจากขบคิดอยู่ข้างๆ ก็มองนายกองด้วยสายตาที่มีความหมายลึกซึ้ง

“บิดาลูกข้ากลับไม่ใช่บิดาเขา แต่มารดายังคงเป็นมารดาเขา หากถามว่าบุตรข้า ควรเรียกข้าว่ากระไร คนโน้นก็พ่อ นี่ก็พ่ออย่างไรก็พ่อ!”

อู๋เจี้ยนอูเพิ่งร่ายกลอนจบ นายกองก็ชกมาหมัดหนึ่ง ท่ามกลางเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น อู๋เจี้ยนอูครวญคราง ร่างกระแทกห่างออกไปร้อยจั้ง

หนิงเหยียนกำลังจะหนี นายกองถีบออกไป หลังจากส่งเขาไปอยู่กับอู๋เจี้ยนอูแล้ว ในดวงตานายกองเต็มไปด้วยเส้นเลือด เงยหน้ามองท้องฟ้า

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นายกองก็โหยไห้ออกมา

“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!

“โยวจิงนั้นทำไมจึงมาชื่นชอบร่างเมื่อชาติก่อนของข้า!” ความซับซ้อนในสีหน้าของนายกองยากจะใช้คำพูดมาพรรณนาได้

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านอย่าได้เศร้าใจไปเลย ความจริงทางโยวจิงทางนั้นหากรู้ความจริง นางน่าจะอารมณ์ซับซ้อนมากกว่าท่าน” สวี่ชิงปลอบคนเป็นมากๆ เอ่ยโน้มน้าวอยู่ข้างๆ

ประโยคนี้ได้ผลจริงๆ นายกองหลังจากฟังก็อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ฟื้นคืนกลับมา กัดฟันกรอดๆ

“ไม่เป็นไร เมื่อครู่เห็นผาดหนึ่ง ข้ามั่นใจแล้วว่าเป็นวิญญาณศัสตราที่เกิดจากของฝังให้คนตายที่ถูกข้าฝังเมื่อขาติที่แล้วสิงชิงร่าง

“ส่วนเป็นของฝังให้คนตายชิ้นใด ตอนนี้ข้ายังไม่อาจยืนยันได้

“แต่นี่ไม่ส่งผลต่อการชิงคืนมา ขอแค่ให้ข้าได้สัมผัส!” นายกองดวงตาฉายแวว บ้าคลั่ง ลากสวี่ชิงมาหารือ

เพียงแต่เรื่องนี้หากคิดจะทำให้ได้มีความยากไม่น้อยเลย ก่อนอื่นคือกลิ่นอายที่โยวจิงแผ่ออกมา จากการสัมผัสรับรู้เป็นระดับสมบัติวิญญาณบริบูรณ์แล้ว

นี่ตรงกับในรายงานสงครามที่สวี่ชิงเคยอ่านเกี่ยวกับเรื่องที่โยวจิงได้รับบาดเจ็บสาหัสในสนามรบแล้วหายตัวไป

“ผู้อาวุโสใหญ่มณฑลรับเสด็จราชันจงใจปล่อยให้นางหนีเพื่อที่จะควบคุมองค์ชายเจ็ด เดิมข้าคิดว่าคงถูกผู้อาวุโสใหญ่พันธนาการอย่างลับๆ แต่ตอนนี้ดูแล้วคือปล่อยนางไปจริงๆ

“แต่ว่าสำหรับเรื่องนี้ทางผู้อาวุโสใหญ่จะต้องมีการวางแผนอย่างอื่นอีกแน่นอน

“น่าเสียดายที่นี่ห่างกับเขตปกครองผนึกสมุทรมากนัก ไม่เช่นนั้นก็ยังจะถามอะไรได้บ้าง”

สวี่ชิงเอ่ยพึมพำ

นายกองหรี่ตา เอ่ยออกมาเนิบนาบ

“ส่วนร่างเมื่อชาติที่แล้วของข้านั้นบนร่างกลิ่นอายความตายตลบอวล อีกทั้งยังไม่มีระลอกคลื่นวิชาใดๆ ทั้งสิ้น นี่ตรงกับการวิเคราะห์ของข้า อย่างไรเสียก็ตายมานานขนาดนั้น ไอ้บ้าที่สิงชิงร่างนั่นก็แค่ครอบครองเปลือกเอาไว้เท่านั้น

“แต่ว่าพลังกายเนื้อของร่างชาติก่อนข้าเทียบได้กระทั่งระดับสมบัติวิญญาณบริบูรณ์”

นายกองขมวดคิ้ว ร่างชาติก่อนร่างหนึ่งก็ทำให้เขาไร้หนทางจะต่อกร ตอนนี้ยังมีโยวจิงอีก เช่นนี้แล้วหากคิดจะสัมผัสร่างชาติก่อน โดยพื้นฐานแล้วเป็นไปไม่ได้เลย

“ดูจากความสนิทชิดเชื้อของโยวจิงกับร่างชาติก่อนของศิษย์พี่ใหญ่ ตัวตนของร่างชาติก่อนท่านก็คงเป็นเสวียนมิ่งจื่อ ผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งแห่งเทือกเขามิรู้สิ้น

“เพียงแต่ค่อนข้างแปลกใจว่าไยโยวจิงจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วไยจึงตกหลุมรักทันทีที่เห็น รักจนถึงขั้นนี้”

สวี่ชิงยังคงรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล จึงมองไปทางนายกอง

“เราต้องการรายงานเกี่ยวกับเสวียนมิ่งจื่อผู้นี้”

“ข้ามีรายงานของมัน ก่อนหน้านี้แม้ข้าจะไม่ได้สนใจบุคคลตัวเล็กๆ พวกนี้ แต่ก็ถือโอกาสรวบรวมมาอยู่บ้าง” นายกองพูดพลางเปิดถุงเก็บของค้นหา ไม่นานก็หา แผ่นหยกแผ่นหนึ่งเจอ ในนั้นมีกล่าวถึงเรื่องของเสวียนมิ่งจื่อผู้นี้อยู่บ้าง

อีกฝ่ายสร้างสำนักขึ้นมาสำนักหนึ่งที่เทือกเขามิรู้สิ้น ชื่อว่าสำนักชีวาทมิฬ

และคนผู้นี้ปิดด่านอยู่ในสำนักชีวาทมิฬมาเนิ่นนาน น้อยนักที่จะออกไปข้างนอก จินตนาการได้ว่าสถานที่ที่ปิดด่านจะต้องมีการป้องกันแน่นหนาอย่างแน่นอน หากคิดจะแฝงตัวเข้าไปมีความเสี่ยงสูงมาก อีกทั้งโอกาสยังมีเพียงแค่ครั้งเดียว หากถูกอีกฝ่ายเจอตัว สถานการณ์ของพวกสวี่ชิงจะอันตรายเป็นอย่างยิ่ง

ดังนั้นหลังจากที่สวี่ชิงกับนายกองหารือกันสองคนแล้ว ก็รู้สึกว่าทำได้แค่แผนการบางอย่างเท่านั้นจึงจะได้

“ศิษย์พี่ใหญ่ ร่างชาติก่อนของท่านกับโยวจิงจะเข้าพิธีสมรสกันช่วงนี้…” สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด ในสมองมีแผนการหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด

นายกองได้ฟังก็มีลางไม่ดีอย่างหนึ่งผุดขึ้น

“ศิษย์พี่ใหญ่ โยวจิงจะไปชำระล้างที่บ่อวิญญาณของสำนักบุปผาหยินหยางหนึ่งเดือนมิใช่หรือ หากตอนนั้นพวกเรามีวิธีขังนางเอาไว้ ทำให้นางไม่สามารถเข้าพิธีได้…

“จากนั้นศิษย์พี่ใหญ่ท่านก็ปลอมตัวเป็นโยวจิง”

สวี่ชิงเพิ่งพูดถึงตรงนี้ นายกองก็เบิกตาโพลง อู๋เจี้ยนอูและหนิงเหยียนก็วิ่งกลับมาแล้ว หลังจากได้ยินเรื่องพวกนี้ ต่างในตาฉายประกายแสงประหลาด โดยเฉพาะ หนิงเหยียนยิ่งแสยะยิ้มมีความสุขอย่างอดไม่ได้ แต่ก็กลัวว่าจะถูกอัดอีก จึงพยายามควบคุมตัวเอง

สวี่ชิงพูดต่อไป

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านเข้าใจร่างชาติก่อนของท่านมากที่สุด และท่านก็เข้าใจโยวจิงมากทีเดียว ในเมื่อท่านเคยไปบ้านของนาง โดยเฉพาะท่านยิ่งเชี่ยวชาญการปลอมตัวเป็นเพศตรงข้าม อีกทั้งยังมีประสบการณ์ ยังจำองค์หญิงเผ่าสิงซากสมุทรเมื่อตอนนั้นได้หรือไม่ ท่านในตอนนั้นปลอมได้เหมือนมาก เหมือนจริงเกินบรรยาย”

สวี่ชิงจ้องมองนายกอง เอาผิงกั่วออกมาลูกหนึ่งแล้วยื่นไป เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม

“ดังนั้นข้ารู้สึกว่า ท่านปลอมตัวเป็นโยวจิงไปเข้าพิธีสมรสกับร่างชาติก่อนของท่าน เช่นนี้ท่านก็สามารถสัมผัสร่างชาติก่อนของท่านได้แล้วมิใช่หรือ

“แน่นอน เงื่อนไขคือพวกเรามีวิธีกักขังโยวจิง และท่านสามารถปิดบังร่างชาติก่อนของท่านได้”

นายกองรับผิงกั่วเอาไว้ตามสัญชาตญาณ สีหน้าลังเล

เขารู้สึกว่าแผนที่สวี่ชิงว่ามาลงมือทำได้ เพียงแต่คิดถึงว่าตัวเองไปแต่งงานกับร่างชาติก่อน ความรู้สึกเหลวไหลก็ทำให้ในใจของเขาสับสนทำอะไรไม่ถูก

“ศิษย์พี่ใหญ่ ตอนนี้วิธีที่คิดได้ก็มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น เพียงแต่บ้าระห่ำไปหน่อย ท่านอาจจะรับไม่ได้” สวี่ชิงถอนหายใจ ตบๆ บ่านายกอง

นายกองกัดฟัน สีหน้าเหี้ยมเกรียม หายใจหอบถี่ สุดท้ายในดวงตาก็ฉายแววบ้าระห่ำออกมา

“ข้าทำได้!

“แต่ว่าแผนนี้ต้องเตรียมการให้ดีถึงจะได้ อาชิงน้อย เศษเสี้ยวโลกของเจ้าเอามาให้ข้ายืมหน่อย นี่เป็นพื้นฐานในการกักขังนาง

“คิดจะกักขังโยวจิง วิธีธรรมดาไม่ได้ผล ข้ายังต้องวางค่ายกลขนาดใหญ่มโหฬารเอาไว้ในเศษเสี้ยวโลกของเจ้า กระทั่งว่ายังต้องเดินทางไปที่นั่น ปลดผนึกบางส่วน รวมกับพลังหนังวิเศษของข้า และพลานุภาพของดวงอาทิตย์ ใช่แล้ว ปราณเขาจักรพรรดิภูตของเจ้าก็รวมอยู่ในนี้ด้วย

“เช่นนี้ถึงจะปิดเศษเสี้ยวโลก ขังนางเอาไว้ข้างในได้!

“ส่วนปกปิดร่างชาติก่อนของข้า ข้าหาวิธีเอง!”

นายกองตาแดงก่ำ เพื่อเอาร่างของตัวเองกลับมา เขาเหมือนตัดสินใจทุ่มสุดพลัง จึงศึกษาหารือรายละเอียดบางอย่างกับสวี่ชิงอีก ยกตัวอย่างเช่นจะวางแผนอย่างไร จะทำอย่างไรให้ไม่ดึงความสนใจจากสำนักบุปผาหยินหยาง

ระหว่างนั้นสวี่ชิงยังถามข้อสงสัยของตัวเองออกมาด้วย นั่นก็คือเรื่องนี้มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่อีกฝ่ายกำลังวางเหยื่อล่อ

อย่างไรเรื่องบางเรื่องไม่สามารถมองเพียงผิวเผินได้

นายกองได้ยินก็พยักหน้า สายตาที่มองไปทางสวี่ชิงมีประกายแสงประหลาด กลุ่มหนึ่งฉายวาบขึ้นมาแล้วหายไป แต่ไม่นานนักเขาก็ท่าทางมั่นอกมั่นใจ ตบอกบอกว่าเขามีวิธีจัดการ

สวี่ชิงมองนายกองผาดหนึ่ง หลังจากนายกองเข้ามาในเทือกเขามิรู้สิ้น คำพูด คำจาท่าทางเหมือนจะแตกต่างไปจากในความทรงจำของเขาเล็กน้อย แต่ว่าคำพูด มั่นอกมั่นใจเช่นนี้ก็พูดเอาไว้มากมาโดยตลอดจริงๆ

หลายวันหลังจากนั้น พวกเขาหารือกันหลายครั้ง สุดท้ายก็กำหนดแผนการ ออกเดินทางไปยังสำนักบุปฝาหยินหยางที่ตั้งอยู่ทางใต้ของเทือกเขามิรู้สิ้น

สำนักบุปผาหยินหยางอยู่ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราเป็นสำนักใหญ่สำนักหนึ่ง เนื่องจากขึ้นกับตำหนักเทพรับผิดชอบระบำบวงสรวง มีอำนาจในระดับหนึ่ง ดังนั้นในทิศเหนือใต้ออกตก ล้วนมีสำนักสาขาย่อยมากมาย

ลูกศิษย์มีดีชั่วปะปน ตัวตนปลอมก็หาซื้อเอามาได้ง่ายมาก

นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ตอนนายกองมาเลือกจึงตัวตนของสำนักนี้

ส่วนสำนักย่อยที่เทือกเขามิรู้สิ้นเป็นเพียงแค่สำนักจำนวนหนึ่งในแผ่นดินใหญ่ทางใต้เท่านั้น บรรพจารย์ของพวกเขาเป็นระดับหวนสู่อนัตตา อยู่ที่ที่ราบสำนึกบาป สาขาหลักของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดเป็นประจำ

ส่วนเจ้าสำนักของสำนักย่อยเป็นบุตรในสายโลหิตของเขา มีพลังบำเพ็ญระดับสมบัติวิญญาณ คอยดูแลสำนักแห่งนี้

แต่เนื่องจากสาขาย่อยของสำนักบุปผาหยินหยางมีมากมายนัก ดังนั้นระหว่างสำนักความจริงแล้วไม่ได้สามัคคีกันเท่าไร ต่อให้มีการไปมาหาสู่กันบ้าง ก็ไม่ได้สนิทสนมกันถึงเพียงนั้น คล้ายว่าต่างฝ่ายต่างกีดกันกัน ค่อนข้างหวาดระแวงป้องกันอีกฝ่าย

แม้นายกองกับสวี่ชิงจะมีตำแหน่งฐานะในสำนักบุปผาหยินหยาง แต่เมื่ออยู่หน้าประตูสำนัก หลังจากที่ยื่นป้ายฐานะออกไปก็ยังคงถูกขวางเอาไว้

ประตูสำนักบุปผาหยินหยางอยู่บนยอดเขาคู่แห่งหนึ่งในเทือกเขามิรู้สิ้น สิ่งก่อสร้างในนั้นรั้วแกะสลักอิฐเป็นหยก หรูหราเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะทะเลสาบวิญญาณข้างหลังเขา เนื่องจากเป็นจุดไหลรวมของแม่น้ำวิญญาณของเทือกเขามิรู้สิ้น จึงยิ่งมีชื่อเสียง

ตอนนี้ใต้ยอดเขาคู่แห่งนี้ ม่านแสงทางหนึ่งปรากฏข้างหน้านายกองกับสวี่ชิง ขณะเดียวกับที่ขัดขวางฝีเท้า ลูกศิษย์ที่เฝ้าประตูสำนักสามคน ก็ปรากฏออกมาจากในนั้น

“ป้ายของพวกเจ้าไม่ใช่ของสำนักทางใต้เทือกเขามิรู้สิ้น ตามกฎสำนักแล้วจะให้พวกเจ้าเข้าไปง่ายๆ ไม่ได้ ดังนั้นมากันจากทางไหนก็กลับไปทางนั้นเถอะ”

ชายกลางคนที่อยู่ตรงกลางคนทั้งสามมือไพล่หลัง เอ่ยราบเรียบ

สำหรับเรื่องนี้ พวกสวี่ชิงระหว่างทางมาก็มีแผนรับมือแล้ว ดังนั้นใบหน้านายกองจึงเผยรอยยิ้ม ก้าวขึ้นไปสามสี่ก้าว มือขวายกขึ้นวางไว้บนถุงเก็บของ กำลังจะเอาอะไรออกมา

แต่ในตอนนี้เอง ท้องฟ้ามีระลอกคลื่นพลังแผ่ระลอกมา เสียงเอ๊ะเบาๆ ดังก้องมาจากปลายขอบฟ้า จากนั้นสิ่งที่ตามมาคือระลอกคลื่นพลังระดับสมบัติวิญญาณพัดกวาดไปทั่วทั้งสี่ทิศ

สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม นายกองชะงักไปเหมือนกัน

ในตอนที่อู๋เจี้ยนอูและหนิงเหยียนอยู่ข้างหลังแอบพูดในใจว่าแย่แล้ว เงาร่างหนึ่งก็ออกมาจากท้องฟ้า เพียงพริบตาลอยลงมายังกลางอากาศ

นี่เป็นหญิงสาววัยกลางคนสวมชุดนักพรตคนหนึ่ง หน้าตาค่อนข้างงาม ในพริบตาที่ปรากฏตัวขึ้น ลูกศิษย์ที่เฝ้าประตูสำนักทั้งสามสีหน้าเปลี่ยนไป รีบคุกเข่าคำนับทันที

“คารวะเจ้าสำนัก”

สวี่ชิงกับนายกองก็รีบประสานหมัดเช่นกัน สีหน้าเคารพนอบน้อม แต่ว่าในขณะที่สวี่ชิงโค้งคารวะอยู่ทางนี้ ในใจก็เกิดความสงสัย อีกฝ่ายเหมือนว่าจะมาได้ค่อนข้างเหมาะเจาะ

ส่วนสายตาของหญิงวัยกลางคนคนนั้นไม่ได้มองไปทางสวี่ชิงกับนายกองเลยในพริบตาที่นางปรากฏตัวออกมา ใบหน้าก็ฉายรอยยิ้ม มองไปทางอู๋เจี้ยนอู เอ่ยเสียงแผ่วเบา

“คุณชายผู้นี้ นี่เป็นครั้งที่สองที่พวกเราได้พบกันแล้ว กลอนของท่านเมื่อครั้งที่แล้ว ข้ายังจำได้เหมือนเพิ่งฟังเมื่อวาน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!