บทที่ 582 กระตุกหนวดเสือ ล้วงคองูเห่า
สวี่ชิงคิดเช่นนี้ก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าตัวเองนั้นมีเหตุผล อย่างไรเสียนี่ก็คือสิ่งที่อาจารย์สอนสั่งตน และสิ่งที่อาจารย์สอนไม่มีทางผิด
สวี่ชิงโล่งอก ในใจไม่นานนักก็สงบเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง สายตายิ่งเป็นประกายแจ่มชัด
เขาเผชิญหน้ากับเจตจำนงตั้งมั่นยิ่งใหญ่ที่แผ่ซ่านออกมาจากกระจกอย่างไม่มีสิ่งใดต้องละอาย
ในใจสงบนิ่ง
กระจกบานนั้นกะพริบแสงเบาบางข้างหน้าเขา ท่ามกลางความรางเลือนยังมีพลังคำสาปจำนวนหนึ่งแผ่ซ่านออกมาจากผิวกระจก คล้ายว่าถูกขับออกมา
สวี่ชิงกวาดตามอง ยังคงสุขุมเยือกเย็น
ไม่นานนัก หลังจากกระจกขับคำสาปออกไปเสร็จแล้ว ประกายแสงก็หมองลงเล็กน้อย แต่เจตจำนงมุ่งมั่นในนั้นยังคงแผ่ออกมา บอกสวี่ชิงถึงเนื้อหาการทดสอบเรื่องที่สอง
“ศรัทธา”
สวี่ชิงพึมพำ ก่อนหน้านี้จากการศึกษาค้นคว้าการทดสอบตำหนักขบถจันทร์ของเขาก่อนหน้านี้ก็รู้ถึงเนื้อหาหัวข้อที่สอง
การทดสอบศรัทธาหัวข้อที่สอง สำหรับผู้บำเพ็ญแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราแล้ว แทบจะทั้งร้อยส่วนล้วนไม่มีปัญหาเท่าใด ประเด็นสำคัญของการทดสอบข้อนี้คือการแยกแยะผู้บำเพ็ญตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดที่แฝงตัวเข้ามา
ขอเพียงศรัทธาพระจันทร์สีชาด ในกายมีคำอวยพรจากพระจันทร์สีชาด เช่นนั้นด่านนี้ไม่มีทางผ่านแน่นอน
สวี่ชิงถอนหายใจ
เขารู้ดีว่าหากผ่านการทดสอบหัวข้อแรกได้โดยการใช้วิธีของตัวเอง เช่นนั้นก็หมายความว่าหัวข้อที่สองระดับความยากจะต้องมากจนเกินสมควรอย่างแน่นอน
“นี่หมายถึงตำหนักขบถจันทร์แยกพระจันทร์สีม่วงกับพระจันทร์สีชาดไม่ออก…”
นี่ก็สามารถเข้าใจได้ อย่างไรเสีย จะพระจันทร์สีม่วงก็ดี พระจันทร์สีชาดก็ช่าง ต่างมีพลังอำนาจเดียวกัน เพียงแต่เจ้าของต่างกันก็เท่านั้น แต่สำหรับสวี่ชิงแล้วนี่เป็นตรรกะที่พายเรือในอ่างชวนให้ปวดหัว
ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ศรัทธาอะไรพระจันทร์สีชาดชื่อหมู่ แต่ในร่างของตัวเองมีพลังพระจันทร์สีม่วง จะต้องถูกมองว่าเป็นผู้บำเพ็ญของพระจันทร์สีชาดอย่างแน่นอน กระทั่งว่าเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นบุตรเทวะก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“การทดสอบนี้ต้องหาวิธีอื่นสอบให้ผ่าน”
สวี่ชิงไม่กล้าบุ่มบ่ามลอง แต่ก็ไม่ได้ยอมแพ้ การศึกษาค้นคว้าก่อนหน้านี้ เขานึกย้อนถึงรูปแบบการลงมือของอาจารย์อยู่หลายครั้ง ในใจมีวิธีบางอย่างแล้ว แต่ว่าต้องวิเคราะห์ให้ละเอียดถึงจะได้
เวลาผ่านไปแต่ละวันเช่นนี้เอง
เจ้าเงายังคงออกไปล่าให้สวี่ชิงบ้างเป็นบางครั้ง บรรพจารย์สำนักวัชระก็ทุ่มสุดตัวเช่นกัน ลอยอยู่บนคานคอยจ้องแขกทุกคนที่เข้ามาในร้าน
ส่วนต้นอ่อนน้อยยิ่งเติบโตดี ขยับไหวทุกวัน ราวกับว่ากำลังเต้นระบำ
ส่วนหลิงเอ๋อร์ อารมณ์ของนางดีมากขึ้นทุกวันๆ เพราะเวลาจดบัญชีนานขึ้นแล้ว
ร้านยาเล็กๆ ของพวกเขาร้านนี้ จากเวลาที่เปิดมาได้นาน จากการขายลูกกลอนขาวครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ค่อยๆ บอกต่อกันไป ดังนั้นลูกค้าที่เดินทางมาซื้อยาย่อมมากขึ้นไปตามธรรมชาติ
นี่ทำให้ความระแวดระวังของบรรพจารย์สำนักวัชระยิ่งสูงขึ้น แต่ว่าเขาก็ไม่ได้แสดงความสามารถอะไร ผู้บำเพ็ญที่มาซื้อยาส่วนมากล้วนเป็นระดับรวมปราณ ระดับสร้างฐานมีให้เห็นน้อย
อย่างไรเสีย ลูกกลอนขาวยาประเภทนี้ ผู้บำเพ็ญระดับรวมปราณต้องการมากที่สุด และในเมืองเล็กๆ แม้จะมีผู้บำเพ็ญระดับสูงปรากฏ แต่ก็มีก็มีผู้บำเพ็ญไร้สังกัดอาศัยอยู่เพียงลำพังในเทือกเขาทนทุกข์มาซื้อบ้างเป็นบางครั้ง
สำหรับความต้องการลูกกลอนขาว พวกเขามีทางซื้อจากที่อื่น ไม่สนใจร้านยาเล็กๆ ธรรมดาๆ เช่นนี้
ส่วนขั้วอำนาจ ในเทือกเขาทนทุกข์ค่อนข้างวุ่นวาย ขั้วอำนาจเล็กใหญ่มากมาย ล้วนรวมตัวกันตามเผ่าพันธุ์หรือจับกันเป็นกลุ่ม ผู้บำเพ็ญระดับต่ำในขั้วอำนาจเหล่านี้และประชาชนในเมืองเล็กๆ ถึงจะเป็นกลุ่มผู้ซื้อสำคัญของร้านยาเล็กๆ
ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ก็มีเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนหนึ่งเดินมาในร้านยา
เด็กหนุ่มคนนี้สวมชุดคลุมยาวตัวกว้าง พลังบำเพ็ญประมาณรวมปราณขั้นห้า เขามาจากขั้วอำนาจระดับกลางแถวๆ นี้ เพราะมีสหายข้างกายเคยซื้อยาที่นี่ ดังนั้นเมื่อได้รู้ก็เลือกที่จะมาซื้อยาที่นี่เช่นกัน
ทันทีที่เดินเข้ามาในร้านยา เขากวาดตามองรอบๆ อย่างระมัดระวัง สิ่งที่ได้เห็นในพริบตาแรกคือเด็กสาวหน้าตาอัปลักษณ์ที่ก้มหน้าจดบัญชีข้างหลังโต๊ะรับลูกค้า หลังจากมั่นใจว่าไม่มีอันตราย เขาก็ก้าวเท้าเดินไปยังโต๊ะรับลูกค้าอย่างรวดเร็ว
“ข้าเอาลูกกลอนขาวสิบเม็ด!”
หลิงเอ๋อร์ตาเป็นประกาย คว้าเหรียญวิญญาณมาอย่างรวดเร็ว หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดทีละเหรียญๆ แล้ว ก็เก็บลงไปอย่างดีด้วยความพอใจ เอาถุงออกมาใบหนึ่งแล้วยื่นไป
“ครั้งหน้ามาอีกนะ” หลิงเอ๋อร์ยิ้มพลางเอ่ย
เด็กหนุ่มรับถุงมา เปิดออกตรวจสอบดูอย่างละเอียด พบว่าลูกกลอนขาวที่นี่เหมือนกับที่สหายบอกจริงๆ ไม่เหมือนกับที่อื่นๆ ไม่มีสิ่งแปลกปลอมใดๆ
เขาจึงเอาออกมาหนึ่งเม็ดแล้วกลืนลงไป หลังจากสิบกว่าอึดใจ ในยามที่ลืมตาขึ้น เขาเหงื่อออกทั่วทั้งร่าง สีหน้าค่อนข้างตื่นเต้น
“ฤทธิ์ยาดีขนาดนี้เชียวหรือ” เด็กหนุ่มตะลึง ถอยหลังไปหลายก้าว ในตอนที่กำลังจะจากไปเขาลังเลขึ้นมาเล็กน้อย หันไปมองทางหลิงเอ๋อร์
หลิงเอ๋อร์ยิ้มพลางมองไป
“ท่านลูกค้าผู้นี้ยังมีอะไรต้องการอีกหรือไม่”
เด็กหนุ่มลังเลเล็กน้อย ท่าทางเนื่องจากฤทธิ์ยาของลูกกลอนขาวจึงเปลี่ยนมาเคารพนอบน้อมขึ้นเล็กน้อย เอ่ยเสียงต่ำทุ้มออกไป
“ที่เจ้าที่นี่มียาแก้พิษหรือไม่
“ช่วงนี้ทุกครั้งที่ข้าฝึกบำเพ็ญล้วนสะกดกลั้นไม่ไหวกระอักเอาเลือดสีดำเหม็นคาวออกมา อีกทั้งบริเวณหัวใจยังเกิดอาการเจ็บแปลบๆ บางครั้งนั่งสมาธิก็เจ็บจี๊ดขึ้นมาจนหลุดจากสมาธิ
“ข้าสงสัยว่าตัวเองจะถูกพิษ”
หลิงเอ๋อร์สายตากวาดไป กำลังจะเอ่ยปาก เด็กหนุ่มรีบพูดขึ้นมา
“ข้ายังมีหินวิญญาณอีกก้อน!”
หลิงเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ หันไปมองข้างหลัง
“พี่ชาย มีลูกค้ารายใหญ่มา!”
ในห้องด้านหลัง สวี่ชิงลืมตา
ความซุกซนของหลิงเอ๋อร์ทำให้เขาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขารู้ว่าหลิงเอ๋อร์เกิดความสงสาร จึงลุกขึ้นเดินออกไป
ในพริบตาที่เห็นสวี่ชิง เด็กหนุ่มคนนั้นถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ สีหน้าเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
เขารู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้ทำให้คนตัวสั่นนิดๆ แต่ก็บอกสาเหตุของความกลัวไม่ถูก บนร่างอีกฝ่ายไม่มีระลอกคลื่นพลังบำเพ็ญใดๆ ทั้งสิ้น ดูแล้วเหมือนคนธรรมดา
แต่สามารถเปิดร้านที่นี่ได้ คุณสมบัติของลูกกลอนยังน่าตื่นตะลึงปานนี้ ความเป็นไปได้ว่าเป็นมนุษย์ธรรมดาเท่ากับศูนย์
สวี่ชิงไม่สนใจความระแวงระวังของเด็กหนุ่ม เขาเพียงแค่กวาดสายตามองไปก็เห็นปัญหาในตัวเด็กหนุ่ม
อีกฝ่ายถูกพิษจริงๆ อีกทั้งพิษนี้…สวี่ชิงเคยเห็นมาก่อน
เป็นพิษของผู้บำเพ็ญตาเดียวคนนั้น เพียงแต่ถูกทำให้เจือจางลงไปมาก อีกทั้งยังไม่ถูกทำให้ปะทุ
แต่เนื่องจากคุณสมบัติกายของเด็กหนุ่มอ่อนแอ จึงเกิดปฏิกิริยาขึ้นก่อนกำหนด
สำหรับการหนีไปของผู้บำเพ็ญตาเดียว สวี่ชิงจำเอาไว้ในใจมาโดยตลอด ตอนนี้สังเกตเห็นพิษชนิดนี้ เขาก็เกิดความสนใจขึ้นมานิดๆ จึงยกมือโยนยาแก้พิษไป
“กลับไปเตรียมถังไม้ใบหนึ่ง เอาน้ำใส่แล้วเติมน้ำค้างยามรุ่งอรุณเก้าหยดลงไปด้วย จากนั้นกินยาลูกกลอนเม็ดนี้ ดำดิ่งลงไปทำการกำหนดลมหายใจในนั้นหนึ่งชั่วยาม
“เมื่อสีของน้ำกลายเป็นสีดำสนิทโดยสมบูรณ์ ก็แก้พิษของเจ้าได้แล้ว”
เด็กหนุ่มรับลูกกลอนมา เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ยังมอบหินวิญญาณให้หลิงเอ๋อร์ก้อนหนึ่ง ก่อนจะหันหลังจากไปอย่างรวดเร็ว
หลิงเอ๋อร์เก็บหินวิญญาณลงไป ยิ้มหวานให้สวี่ชิง
สวี่ชิงส่ายหน้า กลับไปยังห้องด้านหลังทำการผ่าชำแหละอสูรร้ายที่มีคำสาปในตัวต่อ ขณะที่ศึกษาค้นคว้าคำสาปก็ทำการวิเคราะห์วิธีการเข้าร่วมตำหนักขบถจันทร์
ทว่าจิตเทพกลุ่มหนึ่งของเขาทิ้งไว้บนร่างของเด็กหนุ่มยังไม่แสดงผล แต่ขอเพียงผู้บำเพ็ญตาเดียวปรากฏตัวข้างกายอีกฝ่าย สวี่ชิงก็จะสัมผัสได้ทันที
ท่ามกลางการค้นคว้าและศึกษาของสวี่ชิงเวลาครึ่งเดือนก็ผ่านไปเช่นนี้เอง
ร้านยาเล็กๆ ของสวี่ชิงกับหลิงเอ๋อร์เปิดมาที่นี่เกือบสองเดือนแล้ว จากฤทธิ์ยาและราคาที่ถูกของลูกกลอนขาวทำให้โถงวิญญาณทมิฬมีชื่อเสียงขึ้นมาบ้าง
ดังนั้นแขกที่มาซื้อยาก็มากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งว่ามีบางวันที่ลูกค้ามากันหลายสิบคน ทำให้คนในเมืองเล็กจำนวนไม่น้อยให้ความสำคัญ ขณะเดียวกันก็ทำให้ขั้วอำนาจเล็กบางขั้วในละแวกใกล้เคียงจับตาดู
บางครั้งต้นไม้ใคร่ยืนนิ่ง ทว่าลมไม่หยุดพัด เรื่องใดก็ตามหากมีชื่อขึ้นมาก็จะเกิดเรื่องยุ่งยากตามมา
เหตุผลนี้ไม่ว่าอยู่ที่ใดล้วนเป็นเช่นนี้ทั้งนั้น
โดยเฉพาะในดินแดนวุ่นวายขั้วอำนาจมากมายเช่นนี้ ก็ยิ่งเป็นเช่นนั้น วันนี้เที่ยงตรง ร้านยาก็มีแขกที่ไม่ได้เชิญมาหา
นี่เป็นผู้บำเพ็ญต่างเผ่าระดับรวมปราณบริบูรณ์คนหนึ่ง สวมชุดคลุมดำ ที่หน้าอกมีกระดูกชิ้นหนึ่งแขวนเอาไว้ ท่าทางเกินสมควรไปมาก
ทันทีที่เดินเข้ามาในร้านยา พลังบำเพ็ญก็แผ่ออก เกิดเป็นระลอกพลังกลุ่มหนึ่งปกคลุมร้านยา ยิ่งเตะเก้าอี้ที่อยู่ข้างหน้าตัวหนึ่งกระเด็น
ท่ามกลางเสียงโครมคราม เก้าอี้กระแทกไปยังโต๊ะรับลูกค้า กระจายเป็นเสี่ยงๆ แหลกละเอียดร่วงลงพื้นไปทั่ว
โต๊ะรับลูกค้าก็เสียหายไปมุมหนึ่ง หลิงเอ๋อร์ที่จดบัญชีอยู่ข้างหลังเงยหน้าขึ้น คิ้วงามขมวดเล็กน้อย
“พวกเจ้าที่นี่นับจากวันนี้เป็นต้นไปทุกเดือนต้องจ่ายลูกกลอนขาวสามร้อยเม็ดให้กับพวกเราพันธมิตรโครงกระดูก ฟังเข้าใจหรือไม่ ข้าจะพูดแค่รอบเดียวเท่านั้น!” ผู้บำเพ็ญระดับรวมปราณบริบูรณ์คนนี้ตบโต๊ะดังปัง เอ่ยเสียงเย็น
เขาไม่ได้ตัวคนเดียว ข้างหลังยังมีอีกสี่คนยืนคุ้มกันอยู่ข้างนอกร้านยา ท่าทางแบบเดียวกัน
คนบนถนนเมื่อเห็นภาพนี้ สังเกตเห็นเอกลักษณ์เฉพาะของเสื้อผ้าคนเหล่านี้ก็ต่างหลบหลีกไป
“เป็นพันธมิตรโครงกระดูก!”
“คนพวกนี้โหดเหี้ยมอำมหิต ก่อนหน้านี้ได้ยินว่ามีร้านค้าที่เมืองเล็กร้านหนึ่งล่วงเกินพวกเขา ถูกพวกเขาบุกไปฆ่าล้างตระกูลในตอนกลางคืน”
“โดยเฉพาะหัวหน้าของพวกเขาเป็นระดับสร้างฐานบริบูรณ์เชียวนะ เฮ้อ คนแข็งแกร่งพวกเขาไม่กล้าหาเรื่อง ก็มาหาเรื่องแต่พวกเราคนอาภัพเหล่านี้”
หลิงเอ๋อร์ไม่พูดอะไร บรรพจารย์สำนักวัชระที่อยู่บนคานตอนนี้สั่นสะท้านไปด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
นานขนาดนี้แล้ว ในที่สุดเขาก็รอคนที่เดินมาหาที่ตายได้เสียที และทำให้เขาได้โอกาสที่จะแสดงความสามารถของตัวเอง
ดังนั้น กำลังจะทะยานทะลุร่างอีกฝ่ายไปมาให้พรุน ทำให้เป็นรูสักหน่อย แต่เสี้ยวขณะต่อมาเขาก็จำต้องหยุด เพราะหลิงเอ๋อร์ไม่อนุญาต
ใบหน้าเล็กๆ ของหลิงเอ๋อร์ขาวซีด คล้ายว่าตกใจกลัว รีบเอาถุงใบหนึ่งออกมาวางไว้ข้างหน้า พยักหน้าหงึกๆ
“ได้ๆ พวกเราจ่าย”
เห็นว่าราบรื่นเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญระดับรวมปราณบริบูรณ์คนนั้นแค่นเสียงขึ้นจมูกขึ้นมาทีหนึ่ง เรื่องแบบนี้พวกเขาทำเป็นประจำ อีกทั้งทุกครั้งยังทำการสำรวจล่วงหน้า มั่นใจว่าไม่เจอตอถึงจะมาทำการรีดไถ
ร้านยาร้านนี้พวกเขาจับตามองมาครึ่งเดือนแล้ว วันนี้มาที่นี่หลักๆ ก็เพื่อหยั่งเชิง แต่คิดไม่ถึงว่าจะสำเร็จแบบนี้ ดังนั้นจึงถลึงตาใส่หลิงเอ๋อร์ เขายกมือคว้าเอาถุงไป เดาะในมือเอ่ยราบเรียบขึ้นมาว่า
“นับว่าเจ้าฉลาด!”
พูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไปอย่างหยิ่งยโส
หลังจากที่พวกเขาจากไป ความตื่นตระหนกหวาดกลัวบนใบหน้าหลิงเอ๋อร์หายไป นางทำบัญชีพลางเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ
“โหยวหลิงจื่อ”
“ขอรับ นายหญิงโปรดสั่งการมาได้เลย” บรรพจารย์สำนักวัชระที่ลอยอยู่บนคานรีบขานตอบ
“ฆ่าคนที่นี่ไม่ดี จะส่งผลกระทบถึงการค้า วันนี้ตอนกลางคืนไปหาพวกมันอย่างเงียบเชียบแล้วฆ่าให้หมดก็แล้วกัน จำไว้ว่าตอนกลับเอาลูกกลอนกลับมาด้วย แม้แต่เม็ดเดียวก็หายไปไม่ได้ นอกจากนี้หากมีอะไรที่มีค่าก็เอากลับมาด้วยเลย
“น่าเสียดายเจ้าเงายังไม่กลับมา เรื่องนี้ต้องให้เจ้าไปจัดการแล้ว”
หลิงเอ๋อร์เอ่ยราบเรียบ
บรรพจารย์สำนักวัชระกวาดตามองไปห้องด้านหลังอย่างรวดเร็ว แล้วมองมาทางหลิงเอ๋อร์ ในใจยิ่งมีความเข้าใจในตัวสาวน้อยคนนี้มากขึ้น
แอบพูดในใจว่านายหญิงคนนี้ไม่ได้ใส่ซื่อไม่เป็นพิษเป็นภัยแบบที่เห็นภายนอกเลย ตอนเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญตาเดียวคนนั้น นางใช้สีหน้าท่าทางใจอ่อน บอกให้มอบความตายอย่างไม่ทรมานให้กับอีกฝ่าย ตอนนั้นก็ทำให้เขาอึ้งไปเล็กน้อยแล้ว
ตอนนี้ละล่ำละลักพูดขึ้นมาทันที
“นายหญิง รับประกันทำภารกิจสำเร็จแน่ขอรับ!”
หลิงเอ๋อร์ยิ้ม เก็บกวาดเก้าอี้ที่แหลกละเอียดบนพื้น แล้วพูดขึ้นอีกว่า
“อ้อ จริงสิ จำไว้ว่าเอาเก้าอี้กลับมาสามตัวด้วยล่ะ”
บรรพจารย์สำนักวัชระกะพริบตาปริบๆ รีบรับคำ
“อ้อ ข้าว่า จับตัวหัวหน้าของพวกเขากลับมาด้วยแล้วกัน เอามาให้พี่สวี่ชิงค้นคว้าศึกษาสักหน่อย”
หลิงเอ๋อร์กำชับอีกประโยค
สวี่ชิงอยู่ในห้องด้านหลังเงยหน้าขึ้น ดวงตาเบนจากร่างแมงป่องระดับแก่นลมปราณที่ชำแหละไปครึ่งหนึ่ง มองไปทางข้างนอก สำหรับความเอาใจใส่ของหลิงเอ๋อร์ ในใจของเขามีความอบอุ่นผุดขึ้นมา
ศึกษาค้นคว้าแต่อสูรร้าย เขาก็ค่อนข้างจะเบื่อแล้วจริงๆ นั่นแหละ
แมงป่องตัวใหญ่ข้างหน้าสวี่ชิงตัวนี้ตอนนี้ยังไม่ตาย ดวงตาฉายความตื่นกลัวและสิ้นหวัง ในความคิดของมัน เผ่ามนุษย์ข้างหน้าคนนี้น่ากลัวเป็นที่สุด มันถูกผ่าชำแหละร่างทั้งยังเป็นๆ
และระลอกคลื่นพลังที่นี่ล้วนถูกซ่อนอำพรางเอาไว้ ข้างนอกนั้นไม่สามารถสัมผัสรับรู้ได้
ไม่เช่นนั้นผู้บำเพ็ญพันธมิตรโครงกระดูกระดับรวมปราณบริบูรณ์คนนั้นจะต้องกลัวจนขาอ่อนทันทีแน่นอน นึกเสียใจที่เดินเข้ามาที่นี่
“ถึงเวลาที่ต้องศึกษาคำสาปในร่างของผู้บำเพ็ญพวกนี้แล้ว” สวี่ชิงพึมพำในใจ ยกมือบีบหัวของแมงป่องจนแหลกละเอียด จบชีวิตมัน
กลางคืน ท้องฟ้าสลัวยิ่งมืดมิด แสงสีดำทางหนึ่งพุ่งออกไปจากร้านขายยาอย่างรวดเร็ว ความเร็วน่าตื่นตะลึง พุ่งผ่านไปในฟ้าดิน เป็นบรรพจารย์สำนักวัชระนั่นเอง
เขาควบคุมก้างปลาเทพเจ้า พุ่งตรงไปยังขั้วอำนาจขนาดเล็กที่คนที่มาเมื่อเช้า
‘เจ้าเงาตัวดี ปกติโง่เง่าทึบทึ่ม แต่มันเดินหมากได้ถูกต้อง นั่นก็คือประจบนายหญิง…
‘เรื่องนี้ข้าประมาทไป ทีแรกเห็นว่าเด็กสาวนั่นปกติใสซื่อไร้เดียงสา แต่ความจริงแล้วจิตใจโหดเหี้ยมเหมือนกับเจ้าดาวพิฆาตนั่นไม่มีผิดเลย
‘ในนิยาย นายหญิงเช่นนี้ล้วนเป็นตัวละครที่ร้ายกาจห้ามล่วงเกินทั้งสิ้น
‘เจ้าเงาตัวดีมีที่พึ่ง ช่วงนี้ก็เปลี่ยนมากำเริบขึ้น’
บรรพจารย์สำนักวัชระนึกย้อนภาพแต่ละฉากๆ ที่เกี่ยวกับหลิงเอ๋อร์ ก็ยิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้ธรรมดาเหมือนที่เห็นภายนอก จึงตัดสินใจในใจ วันหน้าจะต้องประจบไว้ให้มากๆ หน่อยถึงจะถูก
‘แต่ว่าข้าก็ยังไม่เสียโอกาส…ไม่เป็นไร รอเมื่อกลับไปยังเขตปกครองผนึกสมุทรข้าก็จะไปประจบนายหญิงอีกคนหนึ่ง
‘เช่นนี้หากวันใดเจ้าดาวพิฆาตดวงนี้เห็นข้าแล้วไม่สบอารมณ์ ข้าก็มีไพ่ตายรักษาชีวิตใบหนึ่ง’
ขณะที่บรรพจารย์สำนักวัชระในใจคิดว้าวุ่น ก็พุ่งแหวกอากาศไป ไม่นานก็ออกไปจากเมืองดิน มาถึงยังแถวๆ บริเวณที่ขั้วอำนาจเล็กๆ นั่นตั้งอยู่
แต่ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือด
บรรพจารย์สำนักวัชระร้องเอ๊ะเบาๆ ในใจ แม้ในสายตาของเขาอีกฝ่ายจะสามารถสังหารได้ภายในพริบตา แต่เขาก็ยังคงรักษาความระมัดระวังภัยเอาไว้ อำพรางร่องรอยเข้าไปใกล้ช้าๆ จวบจนกระทั่งวนไปในนั้นรอบหนึ่ง เขาก็เห็นศพเต็มพื้นไปหมด
ผู้บำเพ็ญขั้วอำนาจเล็กๆ นี้ถูกคนฆ่าตายหมดแล้ว ไม่เหลือผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว ทรัพย์สินในนั้นก็ถูกกวาดเอาไปหมดเกลี้ยงเช่นกัน
‘ดูจากท่าแล้ว เวลาตายน่าจะเป็นเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ อีกทั้งคนที่ลงมือยังมีระดับพลังบำเพ็ญอย่างน้อยเป็นขั้นแก่นลมปราณ เมื่อมาถึงก็ทำการสังหารอย่างรวดเร็ว…’
บรรพจารย์สำนักวัชระครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็หันหลังไปจากที่นี่ หลังจากกลับไปถึงร้านยาเขาก็รีบบอกสิ่งที่ตนเองเห็นทั้งหมดตลอดจนการวิเคราะห์ของเขารายงานให้กับหลิงเอ๋อร์และสวี่ชิง
หลิงเอ๋อร์ประหลาดใจ สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด เรื่องนี้ความเป็นไปได้ที่จะเป็นความบังเอิญมีไม่มาก กลับทำให้รู้สึกว่าเป็นการกระทำโดยตั้งใจ
และคำตอบก็ปรากฏขึ้นในวันที่สอง
เช้าตรู่ ร้านยายังไม่ทันเปิด ข้างนอกก็มีคนสองคนอยู่ตรงนั้น รออย่างเคารพนอบน้อม
ทันทีที่หลิงเอ๋อร์เปิดประตูร้าน สองคนนี้ก็โค้งคารวะหลิงเอ๋อร์
“คารวะผู้ดูแล ไม่ทราบว่าท่านปรมาจารย์อยู่หรือไม่”
หลิงเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ สายตากวาดไปบนร่างทั้งสองคนนี้
คนหนึ่งในนั้นนางเคยเห็น เป็นเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ที่ซื้อยาแก้พิษไปคนนั้น ส่วนชายกลางคนที่อยู่ข้างๆ เขาสวมชุดคลุมยาวสีเขียวคราม บนร่างมีกลิ่นอายสง่างามอย่างบัณฑิต เสื้อผ้าแตกต่างจากคนอื่นๆ ที่นี่อย่างเห็นได้ชัด
พลังบำเพ็ญของเขาก็ไม่ธรรมดา ท่าทางเป็นระดับแก่นลมปราณช่วงปลาย อีกทั้งห่างจากทะลวงขั้นก็เหมือนว่าอีกไม่นานแล้ว
ผู้ที่พูดกับนางคือชายกลางคนระดับแก่นลมปราณผู้นั้น เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ สีหน้าสงบเสงี่ยมระมัดระวังกิริยา ดวงตาเหลือบมองไปทางห้องด้านหลังที่สวี่ชิงอยู่
เห็นเป็นเช่นนี้ ชายกลางคนผู้นั้นโค้งคารวะไปทางห้องด้านหลังอีกครั้ง เอ่ยออกไปอย่างเคารพนอบน้อม
“ท่านปรมาจารย์ เมื่อวานคนของพันธมิตรโครงกระดูกหาเรื่องสร้างความเดือดร้อนให้ท่าน ข้าได้ทำการกำจัดพวกเขาออกไปแล้ว นี่คือลูกกลอนที่พวกเขาขูดรีดไปจากพวกท่านขอรับ”
ชายกลางคนระดับแก่นลมปราณเอาถุงออกมาใบหนึ่ง ยื่นสองมือออกไปหาหลิงเอ๋อร์
หลิงเอ๋อร์ดวงตาเป็นประกาย เมื่อคืนวานนางขบคิดเรื่องยาลูกกลอนมาโดยตลอด รู้สึกว่าตัวเองขาดทุนแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือไปเอามาทันที รอปฏิกิริยาของสวี่ชิง
นางรู้จักนิสัยของพี่สวี่ชิง รู้ว่าบางเรื่องไม่ใช่สิ่งที่นางจะตัดสินใจได้
“เชิญเข้ามาเถิด”
ครู่หนึ่ง เสียงของสวี่ชิงก็ดังออกมาจากห้องด้านหลัง
หลิงเอ๋อร์ถอยหลังไปสองสามก้าว คนทั้งสองหน้าประตูเดินเข้าไปอย่างเคารพนอบน้อม ยืนอยู่ข้างๆ มองไปทางประตูห้องข้างหลัง ไม่ได้มีท่าทีหยั่งเชิงสืบค้นใดๆ
มีมารยาทรู้อะไรควรไม่ควรเช่นนี้ สวี่ชิงจะไม่ออกมาก็ไม่ได้ จึงเดินออกมาจากห้องด้านหลัง มองมายังทั้งสองคน
ความอ่อนเยาว์ของสวี่ชิง ทำให้ผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณคนนี้ดวงตาฉายประกายประหลาด แต่นี่ไม่กระทบต่อท่าทีของเขา ตอนนี้สีหน้าแววตาเคร่งขรึม ประสานหมัดไปทางสวี่ชิง บอกจุดประสงค์ที่มา
“คารวะท่านปรมาจารย์
“ข้าน้อยเฉินฝานจัวเจ้าสำนักธุลีดินที่อยู่แถวนี้ๆ นี้ นี่คือลูกศิษย์สำนักข้า และข้าก็ได้ทราบถึงวิชาแพทย์ของท่านมาจากเขา
“บุ่มบ่ามมาถึงที่นี่เพราะลูกศิษย์สำนักข้าล้วนได้รับพิษกันหมด แม้แต่ข้าแซ่เฉินคนนี้ก็เช่นกัน ไม่ทราบว่าท่านปรมาจารย์ยังมียาแก้พิษอีกหรือไม่
เขารู้ดี บางเรื่องต้องลงมืออย่างเรียบง่ายตรงไปตรงมา จะปกจะปิดไม่ได้ อีกทั้งลูกศิษย์ทั้งสำนักทยอยอาการกำเริบ เขาหาปรมาจารย์ลูกกลอนจำนวนไม่น้อยแต่ก็แก้พิษนี้ไม่ได้
ในใจจึงร้อนรนเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งเขาพบลูกศิษย์คนหนึ่งโดยบังเอิญว่าไม่เป็นอะไร
ดังนั้นหลังจากที่รู้เรื่องทุกอย่างแล้ว เขาก็ตัดสินใจมาที่นี่
เขาไม่เชื่อว่าคนธรรมดาจะหลอมลูกกลอนเช่นนี้ได้ อีกทั้งยังมีความลึกซึ้งต่อลูกกลอนแก้พิษถึงปานนี้ยิ่งไม่มีทางเป็นคนธรรมดาไปได้เลย
ดังนั้นท่าทีของเขาจึงเกรงอกเกรงใจรักษามารยาทมาโดยตลอด
สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ มองผู้บำเพ็ญกลางคนผาดหนึ่ง คร้านจะวิเคราะห์ว่าการกระทำของพันธมิตรโครงกระดูกเป็นคนคนนี้ผลักดันอยู่ข้างหลัง เพื่อแสดงท่าทีเป็นมิตรจากการนี้หรือไม่
ท่าทีของอีกฝ่ายเพียงพอแล้ว
เขาจึงยกมือสะบัด ก็โยนถุงที่บรรจุยาแก้พิษเอาไว้เต็มไป
ชายกลางคนคนนั้นรับไปสองมือ ทั้งยังไม่ตรวจสอบ เอาถุงเก็บของใบหนึ่งออกมาแล้ววางไว้ข้างๆ จากนั้นก็จากไปอย่างนอบน้อมรักษามารยาท
หลังจากเขาจากไป หลิงเอ๋อร์ก็รีบพุ่งตัวมาตรวจดู จากนั้นก็ร้องอย่างตื่นตะลึง
“พี่สวี่ชิง ในนี้มีหินวิญญาณแสนก้อนเจ้าค่ะ”
สวี่ชิงเลิกคิ้ว มีความรู้สึกดีๆ กับผู้บำเพ็ญกลางคนคนนั้นขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็เรียกให้หลิงเอ๋อร์เข้าไปในห้องด้านหลัง
หลิงเอ๋อร์ไม่รู้ว่าคิดไปถึงไหน ใบหน้าดวงน้อยแดงก่ำ รีบปิดประตูร้านยาทันที จากนั้นก็สูดลมหายใจลึก เดินกระบิดกระบวนตามสวี่ชิงเข้าไปในห้องข้างหลัง จากนั้นก็ยืดหน้าอกน้อยๆ เต็มที่ เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“พี่สวี่ชิง กลางวันแสกๆ เช่นนี้ ท่านเรียกข้ามาทำอะไรเจ้าคะ”
สวี่ชิงไม่ได้สนใจคำพูดของหลิงเอ๋อร์ หลังจากนั่งลงขัดสมาธิก็เอากระจกแผ่นหนึ่งออกมา
“หลิงเอ๋อร์ ข้าอยากให้เจ้าเข้าร่วมตำหนักขบถจันทร์”
“หา?” หลิงเอ๋อร์อึ้งตะลึง ในใจผิดหวังเล็กน้อย การกระทำของสวี่ชิงไม่ค่อยเหมือนกับสิ่งที่ตนจินตนาการเอาไว้
ตอนนี้เหลือเพียงวิธีสุดท้ายเท่านั้น
นั่นก็คือให้หลิงเอ๋อร์เข้าร่วมและทำการทดสอบให้สำเร็จ ตนอาศัยวิชาร่วมชะตากับหลิงเอ๋อร์ ใช้วิธีนี้เข้าร่วมตำหนักขบถจันทร์
ในจุดนี้เดิมมีเรื่องยากอยู่เรื่องหนึ่ง เนื่องจากคนของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดพลังบำเพ็ญขั้นต่ำก็เป็นระดับปราณก่อกำเนิดแล้ว ส่วนพลังบำเพ็ญของหลิงเอ๋อร์ยังไม่ถึงแก่นลมปราณเลย ดังนั้นพลังด้านการสังเวยพลังสร้างคุณูปการจะมีปัญหา
เป้าหมายของการทดสอบการมอบพลังสังเวยคุณูปการจะต้องเป็นระดับเดียวกับผู้มอบพลังสังเวยคุณูปการถึงจะได้ หากผู้บำเพ็ญตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดที่จับมาสังเวยมีขั้นสูงกว่ามาก ช่องโหว่ที่เห็นได้ชัดนี้จะถูกมองว่ามีคนช่วยโกง
เช่นเดียวกันนี่ก็เป็นการจำกัดพลังบำเพ็ญของคนที่เข้าร่วมตำหนักขบถจันทร์
แต่ว่ามีสวี่ชิงอยู่เรื่องนี้จัดการได้ง่าย
ภายใต้การอธิบายของสวี่ชิง หลิงเอ๋อร์จึงได้กระจ่างกับเรื่องนี้ แอบเก็บความคิดลงไป พยักหน้าเต็มแรง
“ไม่มีปัญหาพี่สวี่ชิง ข้าได้หมดเลย”
พูดแล้ว หลิงเอ๋อร์ยังตบอกเล็กๆ หน้าสวี่ชิงอีกด้วย
ตอนนี้สวี่ชิงสมองเต็มไปด้วยเรื่องของตำหนักขบถจันทร์ เรื่องนี้เขาขบคิดมานานมาก แล้วก็ทำการคิดวิเคราะห์อย่างละเอียดในใจว่าไม่มีอันตรายอะไร ดังนั้น หลังจากที่เขาบอกขั้นตอนกับหลิงเอ๋อร์แล้ว คนทั้งสองก็เริ่มลงมือทันที
สวี่ชิงให้หลิงเอ๋อร์กระตุ้นกระจกก่อน จากนั้นก็เอาอสูรร้ายที่มีพลังบำเพ็ญเท่ากับหลิงเอ๋อร์ออกมาสองตัว ประทานพรอย่างรวดเร็ว แล้วโยนมันไปในกระจกก่อนที่คำสาปของพวกมันจะปะทุ
ไม่นานนัก การทดสอบรายการแรกก็ผ่าน จากนั้นด่านความศรัทธาก็ผ่านไปอย่างราบรื่น บนร่างหลิงเอ๋อร์ไม่มีพลังพระจันทร์สีชาด นางผ่านการทดสอบหัวข้อที่สองได้อย่างง่ายดาย
พริบตาที่สำเร็จ กระจกที่ลอยอยู่กลางอากาศก็ส่งเสียงแตกร้าวขึ้น เกิดรอยแยกทางหนึ่ง
พลังดูดเป็นระลอกๆ แผ่ซ่านออกมาจากในรอยแยก
“พี่สวี่ชิง เสียงนั้นบอกข้าว่าที่นี่ก็คือทางเข้าของตำหนักขบถจันทร์” หลิงเอ๋อร์มองกระจก รีบเอ่ยขึ้น
สวี่ชิงมองรอยแตกบนกระจกทางนั้น ไม่กล้าลองเข้าไป ด้วยความยอดเยี่ยมของตำหนักขบถจันทร์ หากผู้รับการทดสอบฝืนบุกรุกเกรงว่าคงจะมีพลังสังหารซัดมาในทันที
ในดวงตาหลิงเอ๋อร์ฉายแวววาดหวัง นับจากที่สวี่ชิงสลายวิชาร่วมชะตากับนาง ปากนางบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ในใจก็ยังคงผิดหวังมากๆ ตอนนี้สามารถผูกชะตาต่อไปได้ ในใจของนางเต็มไปด้วยความสุข ไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น ร่างของนางเพียงไหววูบก็แปลงเป็นงูขาวตัวเล็ก พันมายังข้อมือของสวี่ชิง
เสี้ยวขณะต่อมา เส้นไหมทางหนึ่งก็เกี่ยวกระหวัด
สายสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่สวี่ชิงตอนนี้ไม่ใช่คนเดิมในอดีต ภายใต้การเพิ่มพลังจากพลังดวงชะตาในกาย ครั้งนี้จึงไม่ได้ผูกเพียงแค่ฝ่ายเดียว หากแต่ทั้งสองฝ่ายต่างผูกชะตาไว้ด้วยกัน
ทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ สวี่ชิงก็สามารถสัมผัสได้ทันทีว่าตัวเองกับหลิงเอ๋อร์ในเสี้ยวขณะนี้เหมือนว่าเป็นร่างเดียวกัน
“พี่สวี่ชิง นี่คือพรสวรรค์ที่มีเฉพาะเผ่าวิญญาณบรรพกาลเรา ชั่วชีวิตนี้…จะผูกชะตาได้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ต่อให้ปลดทิ้งก็ไม่สามารถผูกชะตากับคนอื่นได้อีก
“ชั่วชีวิตนี้ ข้ากับท่านมีชีวิตร่วมกัน ท่านมีชีวิตข้ามีชีวิต ท่านตายข้าตาย เป็นตายเคียงคู่ แสงพรายรุ้งน้ำพุเหลือง…เคียงคู่มิห่าง!”
เสียงกังวานในดังขึ้นในใจสวี่ชิง
สวี่ชิงจ้องมองตราประทับที่ข้อมือ พยักหน้าอย่างหนักแน่น หลังจากสูดลมหายใจลึก เขาก็มองไปทางกระจกที่ลอยอยู่ชิ้นนั้น ร่างเพียงไหววูบก็ตรงไปยังรอยแยกในพริบตาที่เข้าไปใกล้ ร่างของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นแสงทางหนึ่งผสานไปในรอยแยก
เข้าไปยังดินแดนมหัศจรรย์แห่งหนึ่ง!