Skip to content

Outside Of Time 583

บทที่ 583 เจ้ากลัว ข้าก็กลัวเหมือนกัน

ในร้านยาเมืองดินเงียบสงัดไปหมด

ต้นอ่อนน้อยไหวเอนอยู่สองสามทีพบว่าไม่มีใครสนใจตน จึงยื่นกิ่งออกไปอย่างสนใจใคร่รู้ แอบมองไปยังห้องด้านหลัง

รออยู่ครู่หนึ่ง สังเกตเห็นว่าตรงนั้นยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ มันก็ดึงรากของตัวเองออกมาจากดินอย่างระมัดระวัง ท่าทางเหมือนในที่สุดก็รอโอกาสมาถึงแล้ว วางแผนจะหนี

แต่ในตอนที่รากของมันดึงออกมาจนหมดแล้ว เพียงกระโดดก็หมุนตลบลงมาจากกระถางต้นไม้ เตรียมจะหนีไปอย่างเงียบเชียบ จิตสังหารกลุ่มหนึ่งก็แผ่มาจากคานทันที

ก้างปลาที่บรรพจารย์สำนักวัชระผสานตัวเข้าไปมาปรากฏข้างหน้าต้นกล้า ปลายก้างชี้ลำต้นของมัน

ต้นอ่อนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว คลานกลับกระถางต้นไม้ไปอย่างเชื่องช้า รากของตัวเองที่ถอนออกมาอย่างไรก็ยัดกลับไปใหม่อย่างนั้น จากนั้นก็ไหวเอนต่อไปเหมือนประจบประแจง

ก้างปลาวนรอบมันอยู่สองสามรอบ เพียงกะพริบวูบก็กลับมาที่คาน

‘หากปล่อยให้เจ้าตัวน้อยนี้หนีไปได้ เจ้าดาวพิฆาตกลับมาจะต้องพาลโกรธข้าแน่ๆ’ บรรพจารย์สำนักวัชระแค่นเสียงหัวเราะขึ้นจมูก จากนั้นก็มองไปทางห้องด้านหลัง

เนื่องจากมีการปิดบังอำพราง เขาไม่สามารถสัมผัสได้โดยละเอียด แต่อาศัยความเชื่อมโยงกันอย่างรางเลือนกับสวี่ชิง เขาสัมผัสได้เลาๆ ว่าในห้องข้างหลังไม่มีกลิ่นอายของสวี่ชิงแล้ว

ความจริงก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

ในห้องด้านหลังไม่มีใครเลย สิ่งที่เข้าไปในรอยแยกกระจกไม่ได้มีเพียงประสาทสัมผัสเทพเท่านั้น แต่ยังมีร่างของสวี่ชิงและหลิงเอ๋อร์ด้วย

นี่ก็คือความน่าอัศจรรย์ของตำหนักขบถจันทร์

แต่ตอนนี้เส้นทางที่ตรงไปยังดินแดนอัศจรรย์ นำความรู้สึกไม่ค่อยดีมาให้สวี่ชิงสักเท่าไร

เขารู้สึกว่าตัวเองเข้ามาในสถานที่คับแคบที่เต็มไปด้วยแรงกดอัด รอบๆ กะพริบประกายแสงวูบวาบแล้วแปรเปลี่ยนเป็นกำแพงแสงหุ้มเขาเอาไว้ข้างใน

กำแพงแสงวงรีจับกลุ่มกันเป็นวงกลม ขณะเดียวกับที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งก็พันธนาการร่างสวี่ชิงเอาไว้อย่างแน่นหนา ขยับไม่ได้ เหมือนว่าติดอยู่ตรงนั้น

ยิ่งดิ้นรน การพันธนาการนี้ก็ยิ่งแข็งแกร่ง เหมือนว่าไม่อาจเคลื่อนไปข้างหน้าได้ ทำได้เพียงถอยหลังไปเท่านั้น

สวี่ชิงขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึงว่าหลังจากเข้ามาในรอยแยกแล้วจะมาปรากฏในที่บ้าๆ เช่นนี้

‘หรือว่านี่จะเป็นการทดสอบหัวข้อที่สาม’

สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด จากการศึกษากระจกของเขาเมื่อก่อนหน้านี้สัมผัสได้ว่าการทดสอบทั้งหมดมีสามหัวข้อ สองอย่างแรกเขาทดลองหารายละเอียดได้ แต่หัวข้อที่สามไม่รู้อะไรเลย

ดังนั้นหลังจากเงียบนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง สวี่ชิงก็ลองแผ่ประสาทสัมผัสเทพของตัวเองออกไป ระหว่างนั้นไม่สบายเอาเสียเลย แรงกดดันที่มาจากรอบๆ ไม่ได้พันธนาการแค่กายเนื้อของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความรู้สึกด้วย

โดยเฉพาะกำแพงแสงจากรอบๆ มีพลังอำนาจ ประสาทสัมผัสเทพไม่อาจผ่านทะลุไปได้ แต่ดีที่ข้างหน้ายังนับว่าผ่านไปได้ ดังนั้น จากการทดลองทีละนิดๆ ของเขา ประสาทสัมผัสเทพก็แผ่ลามไปข้างหน้า

ในที่สุด ท่ามกลางความพยายามไม่ย่อท้อ เขาค่อยๆ สัมผัสได้ถึงบริเวณที่ตัวเองอยู่

‘เป็นท่อเส้นหนึ่งอย่างนั้นหรือ’

สวี่ชิงอึ้งตะลึง อาศัยประสาทสัมผัสเทพเขาสัมผัสได้ถึงสถานที่ที่ตัวเองอยู่ว่าเป็นท่อยาวเรียวเส้นหนึ่ง

ส่วนสุดปลายทางเกินกว่าขอบเขตประสาทสัมผัสเทพของเขา ไม่อาจตรวจสอบได้ แต่มีระลอกคลื่นพลังมหาศาลแผ่มารางๆ ทำให้เขาทายได้ว่าที่นั่นน่าจะเป็นตำหนักขบถจันทร์ที่เขาต้องการจะไป

‘น่าสนใจ ท่าทางนี่คงเป็นการทดสอบหัวข้อที่สามแน่แล้ว หากไม่สามารถเดินไปตามทางท่อเส้นนี้ได้ ก็ไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมกับตำหนักขบถจันทร์’

สวี่ชิงดวงตาฉายประกาย ทีแรกเขาอยากเข้าร่วมตำหนักขบถจันทร์เพราะตวนมู่ฉางเคยพูดถึงการศึกษาค้นคว้าคำสาปในทุกยุคทุกสมัยของตำหนักขบถจันทร์ มีความเข้าใจในคำสาปล้ำลึกเป็นอย่างมาก

สวี่ชิงจึงคิดอยากจะมา เพื่อให้ได้ซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับคำสาปบางอย่าง อย่างไรเสียการศึกษาค้นคว้าของคนหนึ่งคน สุดท้ายก็ไม่สู้การขบคิดวิเคราะห์จากคนกลุ่มหนึ่งในช่วงเวลาอันเนิ่นนาน

นี่มีประโยชน์ต่อการศึกษาคำสาปของสวี่ชิงเป็นอย่างมาก สามารถประหยัดเวลาไปได้ไม่น้อยเลย

และตอนนี้ นอกจากเขาจะต้องการข้อมูลของคำสาปแล้ว สำหรับตำหนักขบถจันทร์เองเขาก็มีความสงสัยใคร่รู้อยู่ด้วย

‘มิน่าเล่าศิษย์พี่ใหญ่ก็อยากเข้าร่วมเช่นกัน’

สวี่ชิงสายตามุ่งมั่น พลังบำเพ็ญในร่างพลันปะทุ กายเนื้อยิ่งเพิ่มพลังขึ้นมาทันที อาศัยร่างเทพเจ้าร่างนี้ย้อนศรสยบรอบๆ

เสียงสนั่นหวั่นไหวดังก้อง สวี่ชิงร่างสั่นสะท้าน กำแพงแสงรอบๆ แข็งแกร่งเหลือเกิน ต่อให้เขาใช้พลังทั้งหมดก็ยันเอาไว้ได้ไม่นานเท่าไร ร่างก็ขยายได้แค่ครึ่งจั้งเท่านั้น

มาถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้ว

และความรู้สึกที่ร่างกายและวิญญาณถูกกดอัดอย่างรุนแรงเช่นนั้นก็ทำให้ในใจสวี่ชิงเกิดรังสีอำมหิตขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เขาพลันหดตัว ทำให้ร่างกายกลับมาเป็นปกติจากขนาดครึ่งจั้งทันที

ผนังรอบๆ ก็หดตัวลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน แต่ระยะระหว่างทั้งสองก็ยังคงมีช่องว่างเล็กน้อย

อาศัยช่องว่างที่หดจากผนัง สวี่ชิงยกมือขวาขึ้น พลังบำเพ็ญในกายโคจร นอกจากพระจันทร์สีม่วงแล้ว ปราณอื่นๆ ปะทุพลังทุกด้าน ซัดไปข้างหน้าทันที

หมัดนี้แฝงไว้ด้วยพลังของพิษต้องห้าม เขาจักรพรรดิภูต วิถีสวรรค์ ขวดแห่งกาลเวลาและวิหคทอง และยังมีพลังตะเกียงแห่งชีวิตของเขา ก่อเป็นลมพายุพัดกวาดไปข้างหน้า

เสียงเปรี๊ยะๆ แผ่ลาม สวี่ชิงพุ่งตัวออกไป ก้าวไปข้างหน้าจากที่ที่อยู่หลายสิบจั้ง จากความรู้สึกถูกพันธนาการที่ปกคลุมมาอีกครั้ง สวี่ชิงกัดฟัน ใช้วิธีเดิมเคลื่อนไปข้างหน้า

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร สวี่ชิงซัดพลังดังเลื่อนลั่นมาตลอดทาง ฝืนเปิดเส้นทางอยู่ตลอด แม้จะยกฝีเท้าได้อย่างยากลำบากแต่สุดท้ายก็เดินออกมาได้ร้อยจั้ง

หลังจากมาถึงที่นี่ เขาก็หมดแรงแล้ว สัมผัสถึงปลายทางอันไกลโพ้นครู่หนึ่ง สวี่ชิงถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ เลือกที่จะจากไปกลับไปยังร้านยา หลังจากพักก็เข้าไปในกระจกต่อ

บริเวณที่บุกเบิกทางไว้ก่อนหน้านี้ไม่ได้หายไปในตอนที่เขากลับมาอีกครั้ง เขาอยู่ที่บริเวณร้อยจั้ง กัดฟันกรอด ในดวงตาฉายแววเด็ดเดี่ยว ซัดพลังโจมตีข้างหน้าต่อไป

เวลาแต่ละวันๆ ก็ผ่านไปเช่นนี้เอง

หลิงเอ๋อร์ไม่จำเป็นต้องคอยตามทุกครั้ง นางมีตราประทับอยู่ สวี่ชิงเดินทางไปคนเดียวก็ได้ ดังนั้นหลิงเอ๋อร์จึงเปิดร้านยาใหม่อีกครั้ง

เพียงแต่ประเดี๋ยวๆ นางก็หันกลับไปมองทางห้องด้านหลัง จับตามองความคืบหน้าของสวี่ชิง

‘ตำหนักขบถจันทร์นี่ยากเสียจริง ด้วยพลังของพี่สวี่ชิงนานเพียงนี้แล้วยังเข้าไปไม่ได้เลย’ หลิงเอ๋อร์ในใจทอดถอน และความรู้สึกสะท้อนใจแบบเดียวกันนี้ก็ผุดขึ้นมาในใจสวี่ชิงหลายครั้งเช่นกัน

หลังจากนั้นครึ่งเดือน ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหวรุนแรงนี้ สวี่ชิงที่บุกเบิกเส้นทางมุ่งหน้าไปยังตำหนักขบถจันทร์เกือบสามพันจั้งก็กลับมาที่ร้านยาอีกครั้ง ในพริบตาที่เขาปรากฏตัวขึ้นก็นั่งลงขัดสมาธิหอบหายใจฮัก ในดวงตามีเส้นเลือดปรากฏขึ้น

‘ระเบิดไปได้แค่สามส่วนเท่านั้น ห่างจากสุดปลายทางยังเหลืออีกเจ็ดพันกว่าจั้ง

‘ผู้ที่เข้าร่วมตำหนักขบถจันทร์เหล่านั้น ทุกคนจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งสุดยอดอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ล้วนเป็นระดับสมบัติวิญญาณกระมัง’

สวี่ชิงในใจเกิดความยำเกรง ยิ่งวาดหวังในกลุ่มนี้มากขึ้น เขารู้สึกว่าผู้เข้าร่วมที่ระเบิดเส้นทางรายการทดสอบหัวข้อที่สามได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนไม่ธรรมดาทั้งสิ้น

‘ข้าก็ทำได้เหมือนกัน!’

สวี่ชิงสีหน้าฉายแววเด็ดเดี่ยว หลังจากพักก็ก้าวเข้าไปในกระจกอีกครั้ง ระเบิดทางต่อไป

การกระทำวนซ้ำๆ ก็ทำให้สวี่ชิงได้รับการฝึกฝน กายเนื้อของเขาอยู่ภายใต้การบีบอัดเช่นนี้ก็เปลี่ยนมายิ่งแข็งแกร่ง ขนาดหลังจากที่ขยายตัวขึ้นแล้วค้ำยันก็เปลี่ยนจากครึ่งจั้งมาเป็นหนึ่งจั้งแล้ว

เช่นนี้แล้ว ความเร็วของเขาก็เพิ่มขึ้นอีกมาก จวบจนกระทั่งผ่านไปอีกครึ่งเดือน เขาก็ระเบิดเส้นทางนี้ได้เป็นระยะแปดพันจั้ง

ยืนอยู่ตรงนั้น เขาหันกลับไปมองเส้นทางที่มา รู้สึกว่ายากลำบากเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นก็เงยหน้าสัมผัสบริเวณที่ห่างออกไปสองพันจั้ง ในใจยิ่งเคารพยำเกรงคนของตำหนักขบถจันทร์ขึ้นไปอีก

“ยังเหลืออีกสองพันจั้ง หวังว่าตรงนั้นก็จะเป็นตำหนักขบถจันทร์!”

ที่ไกล สุดปลายทางถนนสายนี้ที่สวี่ชิงระเบิด สถานที่ที่มันเชื่อมอยู่เป็นตำหนักขบถจันทร์จริงๆ

ตำหนักขบถจันทร์เป็นมิติเอกเทศ ในนั้นกว้างใหญ่จนน่าตื่นตะลึง มีภูเขาลูกมหึมาที่ไม่อาจใช้คำว่าเล็กใหญ่มาพรรณนาได้

มีศาลเจ้าเก่าแก่โบราณอยู่แสนแห่งสร้างอยู่บนภูเขาลูกยักษ์นี้ แม้จะมีระยะห่างระหว่างกัน แต่มองไกลๆ แล้วก็ยังคงมีมากมายเต็มไปหมด

ศาลเจ้าทุกแห่งในนั้นเต็มไปด้วยความเก่าแก่ผ่านห้วงเวลามาเนิ่นนาน เหมือนว่าไหลไปอย่างไม่สิ้นสุดในแม่น้ำห้วงเวลานี้ไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้ว

ศาลเจ้าเหล่านั้นบางแห่งส่องประกายเจิดจ้า บางแห่งมืดมิด และศาลเจ้าที่มีประกายแสงเหล่านั้น ในนั้นเหมือนมีรูปสลักตั้งอยู่ แผ่ประกายแสงพร่างพราย

ประเดี๋ยวๆ ก็มีรูปสลักเดินออกมาจากในศาลเจ้า เหาะเหินไปในฟ้าดินแห่งนี้ มุ่งหน้าไปยังศาลเจ้าแห่งอื่น

พวกเขาล้วนมีแสงอ่อนโยนห่อหุ้มกาย มีความศักดิ์สิทธิ์เปล่งออกมา รูปร่างแตกต่างกันไป มองไกลๆ เหมือนเทพมารนับไม่ถ้วน

และล่างภูเขายักษ์ลูกนี้ ศาลเจ้าตรงนั้นมีเยอะที่สุด แสงหมองหม่นครึ่งหนึ่ง แสงเจิดจ้าครึ่งหนึ่ง

ในนั้นมีศาลเจ้าแห่งหนึ่งอยู่ระหว่างศาลเจ้าที่ส่องประกายเจิดจ้าพร่างพรายมากมาย

เดิมมันไม่โดดเด่นอะไร แต่ในเวลาหนึ่งเดือนนี้กลับดึงดูดความสนใจจากรูปสลักในศาลเจ้าแห่งอื่นๆ รอบๆ

เพราะมันเสียงดังหนวกหูเหลือเกิน

ตอนนี้ ในตอนที่สวี่ชิงกำลังฝืนระเบิดเปิดทางอยู่ในเส้นทางไม่หยุด เสียงกึกก้องเลื่อนลั่นก็ดังออกมาจากในศาลเจ้าธรรมดาๆ แห่งนี้ ดังแผ่ไปรอบๆ เสียงดังอยู่ตลอด

“เอาอีกแล้ว!” ในศาลเจ้ารอบๆ ก็มีรูปสลักสามถึงห้าตนเดินออกมาทันที มองไปทางศาลเจ้าที่ส่งเสียงดังอย่างโมโห

“สมควรตาย เจ้านี่มันไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียที นี่กำลังทำอะไรอยู่เนี่ย!”

“หนึ่งเดือนแล้ว คนนี้จะเข้าก็รีบเข้ามา โจมตีแสงนำทางอยู่ตลอด นี่คิดอะไรอยู่กันแน่”

“เป็นบ้า!”

“สมองมีปัญหาแน่นอน!”

จากเสียงที่ยิ่งดังรุนแรงขึ้น ในศาลเจ้ารอบๆ มีรูปสลักเดินออกมามากขึ้น แต่ละตนต่างมองไปอย่างจนปัญญา

“ไม่เคยเห็นใครเป็นแบบนี้ เส้นทางรับตัวสำหรับพวกเราแล้ว ไม่ใช่แค่ก้าวเท้าก็เดินออกมาทันทีหรอกหรือ คนคนนี้ทำไมจะต้องระเบิดไประเบิดมาอยู่นั่นกัน”

“หรือจะโอ้อวดแสดงกำลังรบของตัวเอง”

“แต่มีอะไรให้โอ้อวดกัน ตำหนักขบถจันทร์ไร้ผู้เป็นนายมาเนิ่นนาน วิญญาณศัสตราหลับใหล แค่มอบพลังที่เป็นพื้นฐานทีสุดให้เท่านั้น อีกทั้งเพื่อรักษาการโคจรไปอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นแสงรับตัวจะกำหนดไว้ตามพลังบำเพ็ญของผู้เข้ารับการทดสอบ เพื่อให้ผู้เข้ารับการทดสอบถูกรับตัวมาโดยไม่มีปัญหา”

“ไอ้เจ้านี่แค่ก้าวเท้าก็เดินขึ้นมาได้แล้ว ไยต้องเดินไปด้วยระเบิดไปด้วย ทำเหมือนยากลำบากเสียเหลือเกิน!”

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เสียงระเบิดก็ยังคงดังต่อไป อีกทั้งยังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ดีที่ครั้งนี้ไม่นานเท่าไร หลังจากที่เสียงระเบิดดังอยู่สองชั่วยามก็เงียบลง

สวี่ชิงเหนื่อยแล้ว

เขาหอบหายใจฮัก มองระยะทางที่ยังเหลือพันกว่าจั้ง เลือกที่จะกลับไป

ทันทีที่สวี่ชิงมาปรากฏที่ห้องด้านหลังร้านยา ในดวงตาก็ฉายแววมุ่งมั่น

‘อย่างมากสามถึงสี่วันจะต้องระเบิดได้อย่างแน่นอน!’

คิดถึงว่าในที่สุดก็จะผ่านการทดสอบรายการที่สามได้เสียที สวี่ชิงทอดถอนอยู่ในใจ เขารู้สึกว่ายากเหลือเกิน

’หลังจากเข้าไปแล้วจะต้องยิ่งรอบคอบและระมัดระวัง คนในนั้น…ล่วงเกินไม่ได้ง่ายๆ’

สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนหลับตานั่งสมาธิหล่อเลี้ยงจิต ประสาทสัมผัสเทพของเขากวาดไปที่นอกร้านยาผาดหนึ่ง

ตรงนั้นมีคนเข้าแถวอยู่จำนวนหนึ่ง

จากคำเล่าลือปากต่อปากของร้านยาในเมืองดิน กิจการดีขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะขั้วอำนาจที่ผู้บำเพ็ญกลางคนนั้นซื้อยาแก้พิษไปจากเขา เนื่องจากคลี่คลายวิกฤตได้สำเร็จ จึงยิ่งเคารพนอบน้อมสวี่ชิงขึ้นไปอีก

ภายใต้การสยบกำราบจากพวกเขา ขั้วอำนาจเล็กมากมายไม่กล้ามาหาเรื่องร้านยา มีการคุ้มครองจากพวกเขา การซื้อขายยาลูกกลอนราบรื่นเป็นอย่างยิ่ง โดยพื้นฐานแล้วทุกวันล้วนขายลูกกลอนขาวได้ร้อยกว่าเม็ด

ดีที่สวี่ชิงมีตุนไว้ไม่น้อย บางทีก็ลงมือหลอม

ส่วนทางด้านสมุนไพรตัวเขานอกจากจะมีสะสมจากในหลายปีแล้วก็ยังมีรับซื้อจากข้างนอกด้วย

แม้สมุนไพรที่ได้มาจะไม่มากเท่าไร แต่เฉินฝานจัว ผู้บำเพ็ญกลางคนผู้นั้นก็มาบ้างเป็นบางครั้ง ทุกครั้งล้วนเกรงอกเกรงใจ เคารพนอบน้อม มอบสมุนไพรให้เป็นจำนวนไม่น้อย

บางครั้งสวี่ชิงไม่อยู่ หลังจากที่เขาส่งสมุนไพรให้แล้วก็รู้ว่าไม่เหมาะที่จะรบกวน ก็ประสานหมัดคารวะหลิงเอ๋อร์แล้วหันหลังจากไป

มีมารยาทรู้กาลเทศะเช่นนี้ทำให้ยากจะเกิดความอคติ อย่างเช่นตอนนี้ที่หน้าประตู เงาร่างของเฉินฝานจัวคนนี้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาไม่ได้อาศัยตำแหน่งและพลังบำเพ็ญไม่เห็นหัวคนที่เข้าแถวอยู่ข้างนอก แต่รออยู่ข้างๆ

จนกระทั่งช่วงที่ว่าง เขาถึงเดินเข้ามาในร้านยา

“ท่านอาเฉิน” หลิงเอ๋อร์เงยหน้า เห็นผู้บำเพ็ญกลางคนก็ยิ้มพลางทักทาย

“แม่นางหลิงเอ๋อร์ ท่านปรมาจารย์ยังหลอมยาอยู่หรือไม่” เฉินฝานจัวเอ่ยถามอย่างเกรงใจ หลังจากวางถุงที่บรรจุสมุนไพรไว้จนเต็ม สายตาก็กวาดมองไปข้างหลัง

หลิงเอ๋อร์กำลังจะอ้าปาก แต่ข้างหลังคล้ายจะสัมผัสได้ ม่านห้องข้างหลังถูกเลิกขึ้น สวี่ชิงเดินออกมาจากในนั้น

“คารวะท่านปรมาจารย์” เฉินฝานจัวสีหน้าจริงจัง ประสานหมัดคารวะ

สวี่ชิงพยักหน้า สายตากวาดไปยังร่างของอีกฝ่าย ในใจเกิดความสงสัย

เฉินฝานจัวครั้งที่แล้วในกายมีพิษแต่จากการกินยาแก้พิษของเขา ตอนนี้พิษควรจะหายไปแล้วถึงจะถูก แต่ตอนนี้ดูแล้ว พิษไม่เพียงแต่ยังหลงเหลืออีกจำนวนหนึ่งเท่านั้น ที่ยิ่งกว่านั้นคือมีพิษใหม่ด้วย

“เจ้าอมไว้ในปาก โคจรพลังบำเพ็ญย้อนศรหนึ่งรอบจักรวาลน้อย ให้มันค่อยๆ ละลาย”

เฉินฝานจัวอึ้งไปเล็กน้อย ฟังสิ่งผิดปกติจากคำพูดสวี่ชิงออก จึงลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วถึงรับยาลูกกลอนมาอมไว้ในปาก โคจรพลังบำเพ็ญตามคำของสวี่ชิง

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในยามที่ยาลูกกลอนในปากเขาละลายจนหมด แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง สวี่ชิงก็พลันเอ่ยขึ้นมา

“พลังบำเพ็ญรวมไว้ที่นิ้วชี้ขวา กรีดเลือดออกมาหยดหนึ่ง หยดไว้บนใบไม้ใบนี้”

สวี่ชิงยกมือเอาสมุนไพรสีเหลืองออกมาต้นหนึ่ง หลังจากวางไว้ข้างๆ เฉินฝานจัวก็ไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้นกรีดนิ้วชี้ของตัวเองทันที เลือดสดๆ สีดำหยดหนึ่งผุดออกมาจากบาดแผล

กลิ่นเหม็นเป็นระลอกๆ แผ่มา เฉินฝานจัวเมื่อได้กลิ่นสีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เดิมเขาคิดว่าพิษของตัวเองแก้ได้แล้ว แต่ตอนนี้ดูไป เห็นได้ชัดว่าพิษยังอยู่

เขาจึงไม่กล้าประมาท รีบทาเลือดหยดนี้ไปบนสมุนไพรสีเหลืองที่สวี่ชิงให้

ทันทีที่เลือดหยดนี้สัมผัสกับสมุนไพร ก็เกิดเสียงแซ่ดๆ มีควันลอยขึ้นมา ขยับเลื้อยไปกลางอากาศ ยังมีเสียงคำรามดังก้องมาในวิญญาณแว่วๆ อีกด้วย

มองภาพนี้ รูม่านตาเฉินฝานจัวหดเล็ก ขณะสะบัดมือก็ทำท่าคุ้มครองรอบๆ คล้ายว่าไม่อยากให้สิ่งแปลกประหลาดในควันไปแปดเปื้อนร้านยา

ท่าทางเช่นนี้แม้จะค่อนข้างปลอม แต่ท่าทีที่แสดงออกมาได้จริงจังนัก

สวี่ชิงกวาดตามองเขาผาดหนึ่ง เอาขวดลูกกลอนโปร่งแสงออกมาใบหนึ่ง เขย่าเล็กน้อยแล้วเปิดออก กลิ่นอายที่แผ่ออกมาคล้ายว่าสำหรับควันกลุ่มนั้นแล้ว มีแรงดึงดูดอย่างรุนแรง

ดังนั้นเสี้ยวขณะต่อมา ควันกลุ่มนี้ก็ตรงไปยังขวดลูกกลอนในมือสวี่ชิง หลังจากที่มันผสานเข้าไปในเพียงพริบตา สวี่ก็กดจุกขวดลงไป ถือไว้ในมือทำการสังเกต

เห็นเพียงควันในขวดลูกกลอน เลื้อยขยับและรวมตัวไม่หยุดในพื้นที่แคบเล็กๆ นี้ สุดท้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นตะขาบสีเขียวครามตัวหนึ่ง

หน้าตาเหี้ยมเกรียมดุดันนัก และเมื่อมองให้ละเอียดก็จะพบว่าสิ่งที่ก่อตัวเป็นตะขาบตัวใหญ่ก็คือตะขาบตัวเล็กๆ นับไม่ถ้วน

“ท่านปรมาจารย์ นี่มัน…” เฉินฝานจัวสยดสยองขนลุกขนพอง นึกถึงว่าในเลือดหยดหนึ่งของตัวเองมีสิ่งแปลกประหลาดเช่นนี้อยู่ด้วย เขาก็ขนลุกขึ้นมาเสียดื้อๆ

“นี่คือวิญญาณของตะขาบปากกว้าง เป็นวัตถุดิบยาพิเศษที่ไม่ค่อยพบเห็นสักเท่าไร พิษธรรมดาๆ เอาไว้ใช้ในการสะกดรอยตามและจับเป้าหมายมากกว่า จะระบุตำแหน่งให้กับผู้ใช้วิชา แต่เมื่อรวมกับวิธีอื่นๆ สามารถหลอมให้เป็นกู่พิษได้”

สวี่ชิงค่อนข้างดีใจ เขาคิดไม่ถึงว่าที่นี่จะได้เจอสิ่งล้ำค่าที่บันทึกไว้ในตำราของปรมาจารย์ไป่ จึงพูดขึ้นอย่างพอใจ

“เจ้าถูกคนจับตามองแล้ว อีกทั้งดูจากความกระวนกระวายของวิญญาณตะขาบปากกว้าง คนที่จับตามองเจ้า น่าจะอยู่ไม่ไกลจากที่นี่”

ขณะสวี่ชิงพูด ตะขาบสีเขียวครามในขวดใบเล็กก็พลันคลุ้มคลั่งขึ้นมา กระแทกไปที่ขวด

ขวดใบเล็กสั่นรุนแรง แต่กลับหนีไม่พ้นฝ่ามือของสวี่ชิง

“เอ๋ คนที่จับตามองเจ้า กำลังใกล้เข้ามา”

สวี่ชิงเอ่ยราบเรียบ

เฉินฝานจัวสีหน้าเปลี่ยนไป โค้งคารวะสวี่ชิงอย่างจริงจัง จากนั้นก็หันหลังเดินไปที่ประตูใหญ่

เขารู้ว่าปรมาจารย์ร้านยาคนนี้ไม่ได้มีหน้าที่ช่วยแก้วิกฤตอันตรายให้กับเขาช่วยแก้พิษและบอกเรื่องเหล่านี้ให้กับตน นี่ก็นับว่าเมตตาแล้ว

หากยังไม่รู้จักดีชั่ว ฝืนดึงให้อีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในความแค้นส่วนตัว นี่ไม่ตรงกับเจตจำนงในการลงมือทำสิ่งต่างๆ ของเขา

นึกถึงตรงนี้เขาก็สาวเท้าไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว พอผลักประตูใหญ่ร้านยากำลังจะก้าวออกไป เสียงของสวี่ชิงก็ดังมาจากข้างหลัง

“เขามาแล้ว”

ทันทีที่สวี่ชิงพูดขึ้นมา ท้องฟ้าในเมืองดินก็เกิดมเมฆพัดหอบขึ้นในเสี้ยวขณะนี้ทันที หมอกกลุ่มใหญ่ๆ เดือดพล่านบนม่านฟ้า ยังมีเสียงผีร่ำไห้หมาป่าหอนดังมาจากในนั้นรางๆ เป็นระลอกอีกด้วย

เสียงนี้น่าขนลุกเป็นอย่างยิ่ง เมื่อประชาชนเมืองนี้ได้ยินต่างจิตใจสั่นสะท้าน รีบปิดประตูบ้านทันที ต่อให้อยู่ข้างนอกก็รีบหาห้องหับที่ว่างๆ มุดเข้าไปทันที

เพียงพริบตาทั้งเมืองเล็กๆ ก็ว่างโล่ง

และหมอกดำบนท้องฟ้าในขณะนี้ก็รวมไปที่เมือง สุดท้ายก็ก่อขึ้นเป็นเงาร่างหนึ่งบนถนน

จากการที่มันชัดเจนขึ้น รูปร่างของเงาร่างนี้ก็ปรากฏขึ้นมา

เขาเป็นชายชราคนหนึ่ง สวมชุดคลุมยาวตัวกว้าง ท่ามกลางระลอกคลื่นพลังบำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดผมขาวทั้งศีรษะปลิวพริ้ว ในดวงตาแฝงด้วยความเย็นชา มุมปากยิ่งมีรอยเสียดสี

และขอบอาภรณ์ของเขา ตอนนี้อยู่กลางสายลมก็มีบางส่วนที่เป็นหมอก

ทุกอย่างนี้ทำให้ชายชราคนนี้ดูแล้วแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง

‘กล้าขโมยของของข้า ไอ้เด็กเวรเจ้ามีชีวิตอยู่จนเอียนแล้วหรือไร’

ชายชราคนนี้ก็คือร่างของผู้บำเพ็ญตาเดียวที่ล่วงเกินสวี่ชิงคนนั้นนั่นเอง ก่อนหน้านี้หลังจากที่เขาเกิดเรื่องขัดแย้งกับสวี่ชิงก็อกสั่นขวัญแขวนมาตลอด ใจเต็มไปด้วยความตื่นกลัว

เพื่อที่จะหลบหลีกสวี่ชิงจึงจำต้องซ่อนตัว จวบจนรู้สึกว่าอันตรายผ่านไปแล้ว ถึงได้ออกมาอย่างระมัดระวัง กลับคิดไม่ถึงว่าถ้ำที่เคยเป็นของตนถูกขโมยไปเสียแล้ว

เขาสืบหาร่องรอยอย่างละเอียด วิเคราะห์ได้ว่าพลังบำเพ็ญของขโมยน่าจะเป็นระดับแก่นลมปราณ เพลิงพิโรธลุกไหม้

และโดยปกติแล้วเขามีนิสัยวางพิษเอาไว้ ดังนั้นจึงตามร่องรอยมา

ตอนนี้อาศัยสัมผัสจากตัวกระตุ้นพิษ ในพริบตาที่เขามองมาทางเฉินฝานจัวก็ยืนยันได้ทันทีว่าเป็นฝีมือของอีกฝ่าย ในดวงตาฉายแววเย็นชาออกมาอย่างอดไม่ได้ กำลังจะเดินไป

แต่…บริเวณที่เฉินฝานจัวอยู่ตอนนี้คือประตูใหญ่ร้านยาของสวี่ชิง

หางตาของชายชรา ขณะเดียวกับที่กวาดมองเฉินฝานจัว ก็มองภาพในร้านยาข้างหลังอีกฝ่ายไปตามสัญชาตญาณ

ดังนั้นเขาจึงเห็นว่าในนั้นมีเด็กสาวอัปลักษณ์คนหนึ่งและชายหนุ่มที่หน้าตาไร้อารมณ์

ในพริบตาที่เห็นชายหนุ่มคนนี้ รูม่านตาชายชราพลันหดเล็ก ฝีเท้าหยุดชะงักไปโดยพลัน ร่างสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ จิตใจยิ่งเกิดคลื่นยักษ์ซัดกระหน่ำ

‘นี่ๆๆ…

‘เป็นเขา!

‘เขาอยู่ที่นี่ด้วยอย่างนั้นหรือ!!’

ชายชราลมหายใจหอบถี่ สมองในเสี้ยวพริบตานี้ราวมีสายฟ้านับหมื่นแสนฟาดผ่า ส่งเสียงคำรามไม่หยุด ทั้งคนไม่พูดว่าร่างแตกดับวิญญาณสลาย แต่ก็ไม่ได้ดีไปกว่านั้นเท่าไร

ความหวาดกลัวที่เขามาต่อสวี่ชิงถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้วจริงๆ วันนั้น ภายใต้กำลังรบน่าหวาดกลัวที่สวี่ชิงปะทุขึ้น ทำให้เขาหลายวันนี้ทุกครั้งที่คิดถึงล้วนจิตใจหวาดผวา

โดยเฉพาะจากการวิเคราะห์ของเขา อีกฝ่ายเป็นตัวประหลาดร้ายกาจ พลังบำเพ็ญจะต้องไม่ใช่แค่นี้แน่นอน นอกจากนี้ความว่องไวของสวี่ชิงก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ชายชราหวาดกลัวเช่นกัน

รวมกับการไร้ผลของพิษ ทุกอย่างนี้ทำให้วิกฤตชีวิตเป็นตายปะทุขึ้นอย่างไม่สิ้นสุดทันที

ที่สำคัญที่สุดคือ ร่างที่มาในวันนี้เป็นร่างจริง!

คนที่หวาดกลัวเหมือนเขายังมีเฉินฝานจัว ก่อนหน้านี้เขาได้พาคนและจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยไปขโมยถ้ำถ้ำหนึ่ง

ถ้ำนั้นดูแล้วร้างมานาน ในนั้นมีของล้ำค่าจำนวนไม่น้อย หลังจากเอาของพวกนั้นมาแล้ว เขาก็อกสั่นขวัญแขวน แต่จับตามองอยู่ช่วงหนึ่งก็พบว่าไม่มีใครมาตรวจสอบ

ดังนั้นในใจจึงโล่งอก และภายหลังก็พบว่าถูกพิษ แล้วถึงได้มีเรื่องมาร้านยา

เมื่อครู่ได้ยินสวี่ชิงบอกว่าตนถูกสะกดรอยและจับเป็นหมาย เขาก็รู้สึกว่าแย่แล้ว

ตอนนี้เห็นเจ้าของสิ่งล้ำค่าด้วยตา ระลอกคลื่นระดับปราณก่อกำเนิดของอีกฝ่ายทำให้เขาตกอยู่ในความหวาดกลัวสุดขีด กระทั่งว่าร่างกายสูญเสียสัญชาตญาณในการหนี ทำได้เพียงยืนอยู่ตรงนั้นภายใต้พลังกดดันมหาศาล ตัวสั่นงันงก ร่างโอนเอน ฝืนเอ่ยขึ้น

“ผู้อาวุโสอย่าได้โกรธ ผู้เยาว์ผิดไปแล้ว…ของทุกอย่างยังคงอยู่…”

แต่คำพูดของเขาไม่มีประโยชน์ใดๆ ทั้งนั้น ชายชราที่ทำให้เขาหวาดกลัวตอนนี้ก็หวาดกลัวสุดขีดไม่กล้าขยับเช่นกัน

ถ้ำถูกยกเค้าเรื่องเล็กแค่นี้ ชายชราไม่สนใจแล้ว

ตอนนี้สิ่งที่เขาคิดคือตัวเองจะมีชีวิตรอดอย่างไร

ภาพนี้มองไกลๆ แล้วเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด เฉินฝานจัวมองชายชราอย่างตื่นกลัว ชายชรามองไปข้างหน้าอย่างหวาดวิตก ทั้งสองต่างไม่กล้าจะยกฝีเท้า

สถานการณ์ตกอยู่ในความเงียบสงัดทันที

และการที่ชายชราไม่พูดอะไร ความหวาดกลัวของเฉินฝานจัวก็ยิ่งรุนแรง สวี่ชิงไม่พูดอะไร ความหวาดวิตกของชายชราก็ราวกับมหาสมุทร

ท่ามกลางวิกฤตอันตราย สมองของชายชราหมุนเร็วจี๋ ทำการวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว

‘ที่นี่เป็นร้านยา และเด็กหน้าตาอัปลักษณ์นั่นคือต้นกำเนิดกลิ่นหอม ดูจากเสื้อผ้าแล้วเป็นเด็กในร้าน นี่เป็นร้านยาที่เจ้าตัวประหลาดเปิด!

‘เพราะเขามีแผนการลึกลับอะไร!

‘และการปรากฏตัวตลอดจนการกระทำของข้า เป็นไปได้ว่าจะเป็นตัวกลางในการเปิดเผยพลังบำเพ็ญของเจ้าตัวประหลาด และส่งผลกระทบต่อแผนลับของเขาจากการนี้ เช่นนี้แล้ว เขาจะต้องพาลมาโกรธข้าด้วยอย่างแน่นอน

‘หากหันหลังหนี ก็เป็นจุดจบนี้เหมือนกัน!

‘สู้ก็สู้ไม่ได้ หนีก็หนีไม่รอด…’

ชายชราในใจลังเลเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในตาของเขาก็เปลี่ยนมาแดงก่ำ

ท่ามกลางจิตใจที่ยิ่งสั่นสะท้านของเฉินฝานจัว ชายชรากัดฟันกรอด ยกเท้าก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง สีหน้าบนใบหน้าเปลี่ยนจากเคร่งเครียดมาเป็นยินดีลิงโลดทันที ส่งเสียงดังอย่างตื่นเต้น

“ท่านผู้มีพระคุณ ท่านก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ”

เฉินฝานจัวอึ้งงงงัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!