Skip to content

Outside Of Time 586

บทที่ 586 แกว้ก…เจ้ามีพิษ!

กลางดึก ฟ้าดินมืดมิดไปหมด มีเพียงในทุกๆ แห่งของเมืองดินเทือกเขาทนทุกข์จะมีแสงตะเกียงประปรายสลัวรางเลือนท่ามกลางสายลมอยู่บ้าง

เสียงลมหวีดหวิวพัดไม่หยุด มีบ้างที่มีลมถูกพัดหอบม้วนอยู่ในเมืองดิน

แม้ลมทรายที่พัดมายังเทือกเขาจะมีไม่มาก แต่เมื่อกระทบกับประตูก็ยังส่งเสียงแซ่กๆ มา มีบ้างที่ได้ยินแล้วรู้สึกใจไม่ค่อยดี แต่ฟังไปนานๆ ก็คุ้นเคย

อย่างน้อยๆ สำหรับสวี่ชิงก็เป็นเช่นนี้ สายลมพัดอย่างรวดเร็วกรีดหวีดข้างนอก ในเกือบครึ่งปีนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว ตอนนี้ประสาทสัมผัสเทพของเขาดึงกลับมาจากแผ่นหยกคำสาป ในดวงตาฉายประกายประหลาด

นับจากที่กลับมาจากตำหนักขบถจันทร์ก็ผ่านไปสามวันแล้ว ในสามวันนี้สวี่ชิงวิเคราะห์ข้อมูลคำสาปพวกนั้นอยู่ตลอด ตอนนี้ในที่สุดก็วิเคราะห์ทั้งหมดเสร็จ

“การศึกษาค้นคว้าคำสาปของคนตำหนักขบถจันทร์ลงลึกถึงรายละเอียดได้ถึงขั้นนี้เชียว”

สวี่ชิงพึมพำ เขารู้สึกว่าข้อมูลคำสาปที่ตนใช้ลูกกลอนพิษและหินวิญญาณพวกนั้นแลกมาคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง

ข้อมูลเหล่านี้ค่อนข้างครบถ้วนทุกด้าน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สำเร็จได้แค่คนรุ่นเดียว น่าจะสืบทอดมาอย่างยาวนาน รวมการทดลองต่างๆ นานาของคำสาปและการคาดเดามากมาย

‘มีคนผ่านจากการทดลองมากมายหลายครั้งยืนยันว่าคำสาปนี้มีชีวิต…

‘และยังมีคนหลังจากที่ทำการทดลองไปร้อยกว่าเผ่าก็พบว่า คำสาปของแต่ละเผ่ามีรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป เหมือนว่ามีบางเผ่าที่นับแต่เกิดมาคำสาปก็น้อยมาก แต่จากการหมุนผ่านไปของเวลาก็ค่อยๆ สะสมเพิ่มขึ้น

‘ยังมีคนของตำหนักขบถจันทร์ทำการศึกษาค้นคว้าการเปลี่ยนแปลงการปะทุของคำสาป จัดระเบียบได้เป็นปฏิกิริยาที่แตกต่างกันไปได้ทั้งหมดหนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดประเภท เหมือนว่าแต่ละเผ่าในเสี้ยวขณะที่ปะทุ รายละเอียดล้วนแตกต่างกันไป

‘คำสาปนี้ตามแต่เผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกันไป สามารถสร้างความทรมานให้กับเผ่านั้นๆ โดยเฉพาะ ยกตัวอย่างเช่นเผ่าสะกดอาทิตย์ เกิดมาก็สูญเสียความเจ็บปวดทางด้านกายเนื้อ เช่นนั้นคำสาปปะทุในเผ่าของพวกเขาก็จะเป็นที่จิตวิญญาณ

‘และยังมีอีกทฤษฎีหนึ่งที่ตำหนักขบถจันทร์ค้นคว้าออกมา นั่นก็คือ…คำสาปของแต่ละเผ่าสามารถผสมกันได้

‘สรรพชีวิตทั้งหลายในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา คำสาปในร่างของพวกเขาไม่ได้เป็นเหมือนเดิมอยู่ตลอดและไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง คำสาปในร่างของแต่ละเผ่าสามารถผ่านวิธีการดื่มหรือสายเลือดทับซ้อนและส่งผลกระทบซึ่งกันและกันได้’

ดวงตาสวี่ชิงเป็นประกาย วิธีนี้ทำให้เขาได้แนวคิดมากมาย ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดเลยว่าคำสาปจะถูกเอามาใช้เช่นนี้ได้ด้วย

ยกตัวอย่างเช่นมีคนนำคำสาปหลังจากปะทุแล้ว ที่หลักๆ ส่งผลต่อจิตวิญญาณ ผสมกับเผ่าที่ไม่กลัวจิตวิญญาณจะได้รับความเสียหาย จากนั้นคำสาปของเผ่าพันธุ์นี้ก็จะถูกผสม นับจากนั้นในพริบตาที่คำสาปปะทุก็จะลดความทรมานน้อยลง

‘คำสาปที่แตกต่างกันไปของแต่ละเผ่าก็จะเกิดการแทนที่ผสมผสานกันและกันด้วยเหตุนี้เอง…นี่ก็คือหลักการของลูกกลอนบรรเทาทุกข์’

สวี่ชิงก้มหน้า หยิบแผ่นหยกที่บันทึกข้อมูลคำสาปมากมายข้างหน้ามาแผ่นหนึ่ง วิธีที่บันทึกในแผ่นหยกแผ่นนี้ก็คือวิธีนี้ ส่วนสวี่ชิงในที่สุดก็รู้แล้วว่าทำไมลูกกลอนบรรเทาทุกข์ถึงได้มีราคาสูงถึงเพียงนี้ อีกทั้งมีจำนวนน้อยยิ่งนัก

‘ลูกกลอนบรรเทาทุกข์ทุกเม็ดล้วนต้องรวมลักษณะเฉพาะของหลายๆ เผ่าเอาไว้ ทำการหักล้างทุกด้านจากการนั้น ทำให้คำสาปของผู้ที่คำสาปปะทุขึ้นมาทุเลาลง

‘นอกจากนี้ หากระดับขั้นยิ่งสูง ก็จะต้องมีปรมาจารย์ลูกกลอนหลอมให้โดยเฉพาะ ทำการปรุงยาตามลักษณะเฉพาะของเผ่าผู้ใช้ลูกกลอน

‘ซึ่งก็หมายความว่าความจริงแล้วลูกกลอนบรรเทาทุกข์ก็คือลูกกลอนคำสาปที่ผสมผสานพลังคำสาปของหลายๆ เผ่าเอาไว้ แต่ว่าในส่วนของรายละเอียด ต้องผสมปรุงและขบคิดอีกมาก ทำให้หลังจากที่คำสาปผสมแล้วไม่เพิ่มพลังไปมากกว่านั้น แต่ทำการหักล้างพลังกันเอง

‘ใช้คำสาปต้านทานคำสาป เปลี่ยนการส่งเสริมซึ่งกันและกันให้เป็นการข่มซึ่งกันและกัน’

สวี่ชิงทอดถอนใจ เขารู้ว่าข้อมูลพวกนี้ที่ได้รับ เป็นเพียงแค่มุมเดียวของภูเขาน้ำแข็งที่ตำหนักขบถจันทร์ได้รับจากการศึกษาค้นคว้าคำสาป แต่ต่อให้เขาได้มาแต่มุมเดียวก็สามารถสัมผัสได้ถึงสติปัญญาของผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ได้อย่างลึกซึ้ง

‘ศึกษาค้นคว้าเช่นนี้ต่อไป บางทีในอนาคตอาจมีวันหนึ่งจริงๆ ที่พวกเขาสามารถหลอมลูกกลอนต้านทานการปะทุของคำสาปได้อย่างสมบูรณ์ เช่นนี้ก็มีความเป็นไปได้ที่จะหลบหนีไปจากแผ่นดินนี้’

’เงื่อนไขคือ…ชื่อหมู่ไม่ได้เปลี่ยนวิธีของคำสาป และการถ่ายทอดความรู้ก็ไม่ได้หายไปจากการทำลายในยามที่ชื่อหมู่มาเยือน’

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก หลังจากค้นคว้าศึกษาข้อมูลเหล่านี้เขาก็ตระหนักได้ว่าลูกกลอนบรรเทาทุกข์จะเป็นกุญแจไขความเข้าใจในคำสาปของตน

‘ข้ามีพลังต้นกำเนิดเดียวกับพระจันทร์สีชาด ในมุมหนึ่งตัวข้าสามารถใช้พลังนี้ปลดคำสาปได้ ตามทฤษฎี การประทานพรของข้าสามารถเพิ่มความรุนแรงของคำสาป และเป็นการทำลายแบบหนึ่งได้เช่นกัน

‘และก่อนหน้านี้ข้าเดินมาผิดทางแล้ว ข้าอยากกำจัดคำสาปในทีเดียว แต่ติดที่ขั้นของพระจันทร์สีม่วงของข้าไม่สูงพอ ดังนั้นระดับความยากจึงสูงมาก

เงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาฉายแววมุ่งมั่น

‘ข้าต้องการลูกกลอนแก้คำสาปเม็ดหนึ่งมาพิสูจน์การคาดเดาของข้า’

ไปพร้อมด้วยความคิดเช่นนี้ สวี่ชิงนำกระจกออกมา เข้าไปในตำหนักขบถจันทร์อีกครั้ง

เสี้ยวขณะต่อมา ณ ตีนเขาของเทือกเขาที่ตำนักขบถจันทร์ตั้งอยู่ ดวงตาทั้งสองของรูปสลักบนแท่นบูชาในศาลเจ้าเล็กๆ แห่งหนึ่งก็พลันลืมตื่นขึ้น

ไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างบุ่มบ่าม สวี่ชิงยืนอยู่บนแท่นบูชาสัมผัสรอบๆ ครู่หนึ่ง มั่นใจว่าไม่มีปัญหาอะไร เขาก็ควบคุมร่างรูปสลักก้าวลงไปข้างหน้า

หลังจากลงมาที่พื้นเขาก็ขยับร่างกายครู่หนึ่ง และสำรวจว่ารูปสลักนี้มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่

ยังคงเต็มไปด้วยรอยร้าวเช่นเคย รูปร่างหน้าตาก็เหมือนกับครั้งก่อน เป็นชายชราสวมชุดคลุมยาว หลังแบกน้ำเต้า

ทุกอย่างเป็นปกติ

สวี่ชิงถึงได้ผลักประตูศาลเจ้า เดินออกไป

ทอดสายตามองท้องฟ้าและแสงแดดสดใสสว่างจ้าที่นี่ ทั้งยังมีรูปสลักที่ผ่านไปผ่านมาเหล่านั้น เขาไม่ลังเล เข้าร่วมไปในนั้นทันที

ครั้งนี้เป้าหมายของเขาชัดเจนมาก หาลูกกลอนบรรเทาทุกข์ที่ตนสามารถแลกเปลี่ยนได้เม็ดหนึ่ง ระหว่างทางเขาผ่านศาลเจ้าที่แลกเปลี่ยนลูกกลอนพิษเมื่อสามวันก่อน ก็มองไปโดยสัญชาตญาณผาดหนึ่ง

ศาลเจ้านั้นแม้จะมีประกายแสง แต่เหมือนเจ้าของจะไม่ได้มา

สวี่ชิงไม่สนใจเท่าไร จากไปไกลอย่างรวดเร็ว หาไปทีละศาลๆ เพียงแต่ศาลเจ้าที่นี่มีจำนวนมากเหลือเกิน ไม่สามารถตรวจหาดูได้ในเวลาเพียงสั้นๆ ต่อให้เจอศาลเจ้าที่ขายลูกกลอนบรรเทาทุกข์ เงื่อนไขที่ต้องการสวี่ชิงก็ไม่อาจเติมเต็มให้ได้

ส่วนศาลเจ้าที่ตอนนั้นใช้ผลึกเพลิงสวรรค์สีแดงยี่สิบก้อนแลก สวี่ชิงเมื่อไปถึงก็พบว่าอีกฝ่ายไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ยุติการแลกเปลี่ยน ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้า

สวี่ชิงค่อนข้างเสียดาย หาอยู่นาน ทำได้เพียงแค่แลกเปลี่ยนข้อมูลคำสาปบางอย่างกับศาลเจ้าอื่นๆ จากนั้นก็จากไป

เวลาพ้นผ่าน ไม่นานสิบวันก็ผ่านไป

ในสิบวันนี้ สวี่ชิงนอกจากทำการซึมซับข้อมูล ศึกษาคำสาปอสูรร้ายแล้ว ทุกวันก็แทบจะใช้เวลาครึ่งหนึ่งจมอยู่ในตำหนักขบถจันทร์ ตามหาลูกกลอนบรรเทาทุกข์ที่ตนสามารถทำการแลกเปลี่ยนด้วยได้ต่อไป

ระหว่างนั้นเขาจับตามองศาลเจ้าที่ต้องการผลึกเพลิงสวรรค์นั่นอยู่หลายครั้ง ที่นั่นปิดอยู่ตลอด

ที่ไม่ออกมาปรากฏตัวเหมือนกันยังมีปรมาจารย์ที่ทำการแลกเปลี่ยนลูกกลอนพิษกับสวี่ชิงจะทำการฝึกฝนร้อยพิษมิกล้ำกรายคนนั้น เพียงแต่ ศาลเจ้าของปรมาจารย์คนนี้ไม่ได้ปิดอยู่ สามารถเข้าไปได้ แต่รูปสลักไร้จิตวิญญาณมาโดยตลอด

มีอยู่สองสามครั้งที่สวี่ชิงเข้าไป พบว่าแสงที่ลอยอยู่ในศาลเจ้า ข้อมูลแลกเปลี่ยนในนั้นไม่ได้เปลี่ยนให้เป็นปัจจุบันมานานมากแล้ว กระทั่งว่าสมุนไพรที่อยู่ในกลุ่มแสงบางอย่างก็ว่างเปล่า

เหมือนว่าหลังจากทำการแลกเปลี่ยนกับสวี่ชิงเสร็จ ปรมาจารย์คนนี้ก็ไม่ได้มาตำหนักขบถจันทร์อีกเลย

‘คงไม่ได้กินลูกกลอนพิษแล้วมีปัญหาหรอกกระมัง’ สวี่ชิงค่อนข้างประหลาดใจ แต่ที่มีมากกว่าคือความกระวนกระวาย อีกฝ่ายไม่ได้มีความแค้นอะไรกับเขา…

แต่สวี่ชิงก็เตือนเขาแล้วแท้ๆ

“น่าจะเป็นข้าที่คิดมากไป อย่างไรเสียคนที่ฝึกฝนร้อยพิษมิกล้ำกรายล้วนแต่เป็นผู้แข็งแกร่งทั้งสิ้น” สวี่ชิงพึมพำ รู้สึกว่าตัวเองคิดมากไปแล้ว ไม่แน่ว่าปรมาจารย์คนนั้นอาจจะไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นเพราะเรื่องอื่นก็ได้

สวี่ชิงจากไปพร้อมกับความคิดเช่นนี้

หลายวันหลังจากนั้นอีกฝ่ายก็ยังคงไม่ปรากฏตัวขึ้นมาเช่นเคย…

จนกระทั่งวันนี้ สวี่ชิงตามหาลูกกลอนบรรเทาทุกข์ต่อไป ในตอนที่เข้าๆ ออกๆ ไปในศาลเจ้าที่กะพริบแสงเจิดจ้าแต่ละแห่งๆ ทั้งตำหนักขบถจันทร์ก็พลันสั่นสะเทือนขึ้นมา

แสงเจิดจ้าแสบตาปะทุขึ้นบนท้องฟ้า ยิ่งมีระลอกคลื่นน่ากลัวกลุ่มหนึ่งแผ่ตามมา ปกคลุมไปทั่วทั้งเขาตำหนักขบถจันทร์

สวี่ชิงสัมผัสได้ เดินออกมาจากศาลเจ้า เงยหน้าขึ้น

ไม่ใช่แค่เขาที่ทำเช่นนี้ ตอนนี้รูปสลักในศาลเจ้าส่วนใหญ่ล้วนเดินออกมามองไปทางท้องฟ้า

เห็นเพียงบนท้องฟ้า ศาลเจ้าเก่าแก่ทั้งเก้าใต้ดวงอาทิตย์ ประตูศาลเจ้าหนึ่งในนั้นพลันเปิดออก ประกายแสงมหาศาลสาดออกมาจากในนั้น เงาร่างมหึมาร่างหนึ่งปรากฏในศาลเจ้า

การปรากฏขึ้นของมัน ทำให้ทั้งตำหนักขบถจันทร์สั่นคลอน นิมิตมงคลปรากฏบนท้องฟ้า ประกายแสงหมื่นจั้งแผ่ซ่าน

“คารวะรองเจ้าตำหนัก!”

เสียงที่แฝงไว้ด้วยความเคารพแต่ละเสียงดังออกมาจากรูปสลักแต่ละตนๆ หลังจากรวมเข้าด้วยกันก็แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นเสียงลูกมหึมาแผ่ไปทั่วทั้งแปดทิศ

สวี่ชิงก็อยู่ในนั้นเช่นกัน ในใจพุ่งพล่าน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอผู้นำระดับสูงของตำหนักขบถจันทร์ แม้มีร่างรูปสลักขวางกั้น สัมผัสไม่ได้ถึงพลังบำเพ็ญที่แน่นอน แต่สามารถทำให้ตำหนักขบถจันทร์เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ แค่คิดก็สามารถรู้ได้ถึงพลังบำเพ็ญของรองเจ้าตำหนัก จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

ในขณะเดียวกัน จากการเปิดออกของประตูใหญ่ศาลเจ้า จากการเดินออกมาของรูปสลัก ท่ามกลางประกายแสงเจิดจ้าไม่สิ้นสุด เสียงต่ำทุ้มราวอัสนีสวรรค์ก็ดังก้องไปทั่วสารทิศ

“ประกาศแจ้งกับผู้บำเพ็ญขบถจันทร์สามเรื่อง

“เรื่องแรก ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่ละแห่งล้วนมีผู้บำเพ็ญที่ไม่จำนนต่อชะตาชีวิตทยอยปรากฏตัวขึ้น ประกายไฟจะลุกลามทุ่งหญ้า!

“เรื่องที่สอง ภายใต้การลงมือของพวกข้าในครึ่งปีนี้ ได้ทำการทำลายสาขาย่อยตำหนักเทพพระพระจันทร์สีชาดสำเร็จไปห้าแห่ง สังหารทูตเทวะไปสิบเอ็ดตน ผู้รับใช้เทวะหลายสิบตน ทาสเทวะหลายร้อย!

“เรื่องที่สาม จากการยืนยันข้อมูล รัฐทายาทเจ้าเหนือหัวและองค์หญิงหมิงเหมยอาการบาดเจ็บฟื้นฟูแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยดี พวกข้ากำลังพยายามติดต่อกับพวกท่าน ทันทีที่ติดต่อสำเร็จ ตำหนักขบถจันทร์ของเราจะพบกับความรุ่งเรืองอีกครั้ง!

“ทุกท่าน พระจันทร์สีชาดหาใช่สิ่งนิจนิรันดร์!”

เสียงรูปสลักก้องกังวาน อารมณ์สะท้านสะเทือนเป็นระลอกๆ พวยพุ่งขึ้นในใจรูปสลักมากมาย กระทั่งว่าศาลเจ้าที่ปิดประตูจำนวนไม่น้อยต่างเปิดออก เจ้าของศาลเจ้าหวนคืนกลับมา

สุดท้ายรูปสลักทั้งหมดต่างโค้งคารวะท้องฟ้าจากใจ ปากพูดออกไปเป็นประโยคเดียวกันว่า

“ความหวังนั้นคงอยู่ตลอดกาล!”

ความดังของเสียงสะท้านสะเทือนเลื่อนลั่น ดังก้องชั้นเมฆ

เมล็ดพันธุ์ความหวังถูกปลูกอีกครั้ง

สวี่ชิงอยู่ในนั้น จ้องมองรูปสลักมหึมาในศาลเจ้าบนท้องฟ้าจากที่ไกลๆ สัมผัสได้อย่างรุนแรง และรูปสลักนั่นหลังจากที่ประกาศเรื่องเหล่านี้ก็ไม่พูดอะไรมาก กลับไปอีกครั้ง ประตูศาลเจ้าปิดลง

แม้เขาจะจากไป แต่ข้อมูลที่ประกาศออกมาได้กระจายออกไปจากที่นี่ด้วยความเร็วสูงสุด แพร่ไปทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา

สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด มองรูปสลักที่ตื่นเต้นแต่ละตนกำลังจะจากไป แต่สายตาก็พบว่าศาลเจ้าที่ต้องการผลึกเพลิงสวรรค์ที่ตนจับตามองอยู่นานก็เปิดประตูเช่นกัน

เขารีบเหาะไปทันที หลังจากก้าวเข้าไปก็สัมผัสกลุ่มแสงในนั้น หาการแลกเปลี่ยนลูกกลอนบรรเทาทุกข์ ไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น สวี่ชิงเอาผลึกเพลิงสวรรค์สีแดงออกมายี่สิบก้อน ทำการแลกเปลี่ยนสำเร็จ

ในชั่วขณะที่ได้ลูกกลอนบรรเทาทุกข์มา ในใจสวี่ชิงก็ไร้กังวล หันหลังจากไป

ตำหนักขบถจันทร์ในตอนนี้ จากการประกาศของรองเจ้าตำหนัก รูปสลักที่มาถึงทั้งหมดก็ต่างเลือกที่จะกลับมา เปลี่ยนมาคึกคักยิ่งนัก

กวาดสายตามองไป เหมือนเทพมารสวรรค์ทั้งหลายกำลังร่ายรำไปทั่วทุกทิศ

เพียงแต่ศาลเจ้าที่สวี่ชิงแลกเปลี่ยนลูกกลอนแห่งนั้นยังคงเหมือนเดิม…

สวี่ชิงไม่รู้ว่าควรพูดอะไร มองไปเงียบๆ ผาดหนึ่ง ก็กลับไปยังศาลเจ้าของตัวเองอย่างรวดเร็ว เลือกที่จะกลับไป

ในขณะเดียวกันนี้ ในทะเลทรายครามแสงพรายห้าสีเจิดจ้ากำลังเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ลมทรายสีครามข้างหลังมันตอนนี้ฉายสีขาวออกมารางๆ

เหมือนว่าลมครามกำลังเปลี่ยนไปเป็นลมขาว!

นกแก้วในนั้นตอนนี้สีหน้าแฝงด้วยความตื่นกลัว บินไปด้วย ก่นด่าไปด้วย

“นี่มันบ้าอะไรกัน ข้าก็แค่แอบอู้บินช้าไปนิดเดียว แล้วก็ขี้เป็นฟองๆ ในหลุมทรายดูดก็เท่านั้นเอง ทำไมลมถึงเปลี่ยนเป็นสีขาวเล่า!”

ท่ามกลางการหลบหนีอย่างตื่นกลัวของนกแก้ว ในขณะที่เคลื่อนย้ายในพริบตาหลายครั้ง พยายามที่จะหนีลมทรายที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว ในเมืองดินเทือกเขาทนทุกข์ เงาร่างของสวี่ชิงปรากฏขึ้นที่ห้องด้านหลัง

เขานั่งลงขัดสมาธิ ในดวงตาฉายความวาดหวัง ยกมือเอาลูกกลอนบรรเทาทุกข์ที่แลกเปลี่ยนออกมา ตั้งสมาธิสังเกต

สีของลูกกลอนบรรเทาทุกข์พร่างพราย ปนไปด้วยสีสันต่างๆ ดูแล้วแปลกประหลาดนัก แต่ว่ากลิ่นอายคำสาปที่แผ่ออกมาจากในนั้นชัดเจนมาก

สวี่ชิงไม่ได้บุ่มบ่ามลงมือ ลูกกลอนบรรเทาทุกข์นี้ล้ำค่าเป็นอย่างมาก เขาไม่มีกำลังเหลือแลกเปลี่ยนเม็ดที่สองแล้ว ทำได้เพียงแค่พยายามศึกษาค้นคว้าเม็ดที่มีอยู่เพียงเม็ดเดียวนี้ให้สำเร็จเท่านั้น

เขาจึงมองมันก่อน สังเกตผิวชั้นนอกของลูกกลอนนี้อย่างละเอียด จากนั้นก็วางไว้ข้างหน้าแล้วดมครั้งแล้วครั้งเล่า ในดวงตาฉายแววครุ่นคิด ในใจวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว

‘ไม่มีความรู้สึกว่าใช้สมุนไพรหลอมเป็นลูกกลอน

‘แต่คำสาปที่ผสานเอาไว้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชนิดเดียว แต่รวมไว้ด้วยหลายชนิดจริงๆ…ส่วนประเด็นสำคัญคือองค์ประกอบในนั้น

‘นี่เป็นวัตถุที่ดูดซับพลังคำสาปได้ประเภทหนึ่ง’

สวี่ชิงวิเคราะห์ต่อ

‘ปริมาณของคำสาปทุกกลุ่มไม่เท่ากัน น่าจะมีพลังคำสาปของแต่ละเผ่าเป็นสมุนไพร แล้วเปลี่ยนเป็นตำรับยา

‘น่าสนใจ ทั้งๆ ที่คำสาปเหล่านี้มีต้นกำเนิดเดียวกัน แต่กลับมีการเปลี่ยนแปลงการปะทุที่แตกต่างกัน

‘แต่จะอย่างไรก็เป็นคำสาป แม้กินลงไปแล้วจะสามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้ แต่ความจริงแล้วคำสาปไม่ได้ลดน้อยลงไป รังแต่จะเพิ่มมากขึ้น

‘โดยเฉพาะจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณคำสาปจะสร้างปฏิกิริยาลูกโซ่มากมาย ยกตัวอย่างเช่นการผลาญพลังชีวิตและการลดลงของพลังบำเพ็ญ…นี่ก็คือผลข้างเคียงของลูกกลอนบรรเทาทุกข์

‘ดื่มพิษดับกระหาย…’

สวี่ชิงสะท้อนใจ จากนั้นก็ยกมือซ้ายขึ้น พลังพระจันทร์สีม่วงในร่างหลอมรวมเส้นสีม่วงเป็นเส้นๆ

ประมาณหลายร้อยเส้นเห็นจะได้ หลังจากที่สะบัดพริ้วอยู่ข้างหน้าเขา จากความคิดของสวี่ชิงที่ขยับ เส้นสีม่วงเหล่านี้พุ่งตรงไปยังลูกกลอนบรรเทาทุกข์ทันที

ทะลวงไปอย่างรวดเร็ว ผสานไปในนั้น ทุกเส้นล้วนสัมผัสคำสาปต่างๆ ในลูกกลอนบรรเทาทุกข์ เริ่มทำการลอกเลียน

สำหรับคนอื่นแล้วนี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่พระจันทร์สีม่วงของสวี่ชิงมีต้นกำเนิดเดียวกับพระจันทร์สีชาด เช่นนั้นการเปลี่ยนแปลงที่พระจันทร์สีชาดทำได้ เขาก็ทำได้เช่นกัน

เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่มีวัตถุอ้างอิง และขาดประสบการณ์ที่มากเพียงพอ แต่ตอนนี้คำตอบทุกอย่าง รวมถึงลูกกลอนบรรเทาทุกข์ในนั้นด้วย สำหรับสวี่ชิงแล้ว ก็เป็นแค่ประตูที่ไม่ได้ลงกลอนเท่านั้น

เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละน้อย สีหน้าของสวี่ชิงยิ่งจริงจังขึ้น เส้นสีม่วงที่เขาแผ่ออกมา ท่ามกลางการลอกเลียนแบบไม่หยุดนี้ก็ค่อยๆ ปรับแก้ เปลี่ยนไปตามคำสาปที่แตกต่างกัน

ระหว่างขั้นตอนทั้งหมดเขาระวังรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง ควบคุมระลอกคลื่นพลังของเส้นทั้งหลายร้อยเอาไว้ พยายามไม่ให้คำสาปที่อยู่ในลูกกลอนปะทุ

จนกระทั่งหลังจากนั้นสามชั่วยาม ด้วยการควบคุมจากการตั้งสมาธิอย่างมั่นคงถึงเพียงนี้ แต่สุดท้ายก็เกิดช่องโหว่บางอย่างขึ้นอยู่ดี

เพียงพริบตาลูกกลอนบรรเทาทุกข์ที่ล้ำค่าเม็ดนี้ก็สั่นสะเทือน เสี้ยวขณะต่อมาคำสาปทั้งหมดก็เดือดพล่าน แล้วพลันแตกสลาย เถ้าสีดำไหลมาตามง่ามนิ้วสวี่ชิงหยดลงพื้น

สวี่ชิงไม่เสียดาย ดวงตาของเขาฉายประกายประหลาด เวลาสามชั่วยาม เขาก็ทำการลอกเลียนแบบพลังคำสาปเเผ่าต่างๆ สามร้อยกว่าประเภทที่อยู่ในลูกกลอนบรรเทาทุกข์เม็ดนี้เสร็จสิ้นทั้งหมด

ตอนนี้ก้มหน้ามองเถ้าสีดำบนพื้น สวี่ชิงร้องเอ๋เบาๆ หยิบขึ้นมากลุ่มหนึ่งไว้ข้างหน้า ยิ่งดูก็ยิ่งคุ้นตา

“นี่มัน…”

สายตาของสวี่ชิงฉายประกายวาบ เอาถุงออกมาใบหนึ่ง เทเถ้าสีดำที่อยู่ในนั้นออกมา หลังจากที่ทำการเปรียบเทียบแล้วเขาก็พบว่าทั้งสองฝ่ายเหมือนกันทุกประการ

เถ้าสีดำของสวี่ชิงเปลี่ยนมาจากร่างของอสูรร้ายที่สวี่ชิงศึกษาค้นคว้าคำสาปในร่างของพวกมันในยามที่คำสาปปะทุ ตอนนั้นเขาไม่คิดว่าเถ้าสีดำจะมีประโยชน์อะไร แต่ก็เก็บมันเอาไว้

ตอนนี้ดูไป นี่คือวัสดุที่เอาไว้ดูดซับคำสาป

‘ซึ่งก็หมายความว่าในลูกกลอนบรรเทาทุกข์ทุกเม็ด ความจริงแล้วล้วนใช้กระดูกของสิ่งมีชีวิตที่คำสาปปะทุตายมาเป็นองค์ประกอบพื้นฐาน’

สวี่ชิงครุ่นคิด หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาหยิบเถ้าดำกำหนึ่งขึ้นมา พลังพระจันทร์สีม่วงในร่างแผ่ซ่าน แปรเปลี่ยนเป็นเส้นหลายร้อยเส้น ผสานไปข้างในอย่างรวดเร็ว จากการศึกษาค้นคว้าของเขาก่อนหน้านี้ ก็ลอกเลียนคำสาปที่แตกต่างกันไปแต่ละกลุ่มๆ อย่างรวดเร็ว เคลือบไปบนขี้เถ้าสีดำ

ในขั้นตอนนี้ เถ้าดำกลุ่มนั้นเริ่มหดเล็กลง สีบนนั้นก็เปลี่ยนไปช้าๆ จวบจนในตอนที่แปรเปลี่ยนมามีสีสันพร่างพราย ขนาดก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

สวี่ชิงเพียงบีบ ลูกกลอนที่ไม่เป็นทรงเม็ดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือของเขา

ภายนอกดูแล้วไม่ต่างกับลูกกลอนบรรเทาทุกข์เท่าไร กลิ่นอายก็คล้ายกันทุกประการ แต่คุณสมบัติต่างกัน

‘หากเปรียบเทียบคำสาปพระจันทร์สีชาดเป็นกองทัพศัตรู เช่นนั้นสภาวะตอนนี้ของพลังพระจันทร์สีม่วงข้า ก็คือเปลี่ยนเสื้อผ้าและหน้าตาเป็นกองทัพศัตรู เช่นนี้แล้วกองทัพศัตรูก็ยากจะพบสิ่งผิดปกติ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ข้าแฝงตัวไปในนั้นได้สำเร็จ

‘ใช้วิธีนี้ปะทุในกองทัพศัตรูขึ้นโดยเฉียบพลัน ทำให้คำสาปไม่ทันจะได้กลืนกินก็ทำการหักล้างคำสาปลงไปเล็กน้อย’

ความคิดในสมองสวี่ชิงชัดเจน เอาอสูรทดลองออกมา นั่นเป็นแมงป่องตัวหนึ่ง หลังจากที่ปรากฏขึ้นร่างก็สั่นสะท้าน หางไม่กล้าที่จะชูขึ้นมา

สวี่ชิงมองผาดหนึ่ง แตะลูกกลอนในมือที่ริมปากมัน

“กิน”

สวี่ชิงเอ่ยราบเรียบ

แมงป่องไม่กล้าปฏิเสธ ทำได้เพียงกลืนลงไปอย่างว่าง่าย จากนั้นร่างก็ยิ่งสั่นสะท้านหนักขึ้น เวลาเพียงแค่สิบกว่าอึดใจ มันก็ส่งเสียงบึ้มระเบิดแหลก กลายเป็นเถ้าสีดำ

‘ลอกเลียนแบบไม่สำเร็จ’

สวี่ชิงขมวดคิ้ว หลังจากที่ย้อนนึกขั้นตอนการหลอมของตัวเองก่อนหน้านี้ เขาก็เอาเถ้าสีดำออกมาอีกครั้ง หลังจากที่ปรับอย่างละเอียดก็ทำการหลอมต่อ

เวลาผ่านไปทีละวัน การทดลองของสวี่ชิงก็ดำเนินไปอยู่ตลอด การล้มเหลวทุกครั้ง เขาล้วนทำการปรับ จนในที่สุด พลบค่ำของวันที่สิบวันนี้ ลูกกลอนของเขาก็ทำการลอกเลียนแบบได้สำเร็จ

อสูรร้ายที่กินลูกกลอนลงไปตัวนั้นตัวไม่ระเบิด กระทั่งว่าคำสาปในร่างยังสงบลง

ในใจสวี่ชิงเกิดระลอกคลื่นอารมณ์ มองลูกกลอนบรรเทาทุกข์ที่หลอมขึ้นในมือ นี่เป็นผลสำเร็จของการค้นคว้าศึกษาทีละเล็กทีละน้อยในครึ่งปีมานี้ของเขา

แม้เหตุจากทิศทางยังคงทำให้มีความแตกต่างกับลูกกลอนบรรเทาทุกข์อยู่บ้าง แต่สรรพคุณแตกต่างกันไม่มากเท่าไร

‘ทิศทางของลูกกลอนบรรเทาทุกข์คือบรรเทาความเจ็บปวดของคำสาป ทิศทางของข้า…คือกำจัดคำสาปโดยสิ้นเชิง บรรเทาความเจ็บปวดเป็นเพียงผลพลอยได้

‘ต่อให้ตอนนี้ยังทำไม่ได้ แต่วิธีนี้น่าจะไม่ผิด

‘นอกจากนี้ ต้องยกระดับพลังพระจันทร์สีม่วงของข้า…แล้วยังมีข้อมูลเกี่ยวกับคำสาปที่มากกว่านี้ก็ต้องรวบรวมมา เช่นนี้ถึงจะค่อยๆ สำเร็จสมบูรณ์’

สวี่ชิงสีหน้าวาดหวัง ขณะสะบัดมือกำลังจะหลอมลูกกลอนบรรเทาทุกข์ให้มากอีกสักหน่อย แต่เสี้ยวขณะต่อมาเขาก็พลันเงยหน้า สายตาฉายประกายเหี้ยมโหด มองไปยังโลกภายนอก

ร่างของเขาเพียงไหววูบก็หายไปจากห้องด้านหลัง ในยามที่ปรากฏตัวขึ้นก็มาอยู่ข้างโต๊ะรับแขกร้านยาแล้ว

หลิงเอ๋อร์กำลังจดบัญชีอย่างมีความสุข สัมผัสได้ว่าสวี่ชิงปรากฏตัวเช่นนี้ นางเปลี่ยนร่างเป็นสีขาวมุดเข้าไปในแขนเสื้อสวี่ชิงทันที

บรรพจารย์สำนักวัชระก็ฉายความดุดันออกมาทันที ในตอนที่จับเป้าหมายไปในทิศทางหนึ่ง สีหน้าสวี่ชิงก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย มองไปนอกหน้าต่าง

แสงพรายห้าสีทางหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศจากทางนั้น จากนั้นเพียงกะพริบวูบก็เข้ามาในร้านยา มาปรากฏอยู่ข้างๆ ต้นอ่อนน้อยที่สูงฉื่อกว่าๆ แล้ว

ต้นอ่อนน้อยที่ขยับไหวหยุดชะงักทันที ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย แสงพรายห้าสีนั่นแปรเปลี่ยนเป็นนกแก้วตัวหนึ่ง เสียงหยิ่งทะนงดังออกมาจากปากมัน

“นกแก้วตัวหนึ่งปรากฏตัว บิดานับเป็นอะไรกัน รีบเรียกท่านพ่อท่านปู่โดยเร็วพลัน!”

พูดจบนกแก้วก็มองไปทางสวี่ชิง ยกเท้าสูงทำท่าทางมั่นอกมั่นใจ

“เฮ้ ไอ้ใครๆๆ คนนั้นน่ะ เฉินอะไรสักอย่างหนิวให้ข้ามาเรียกเจ้า ไปรีบจุดไฟอะไรนั่น”

“จุดไฟอะไร” สวี่ชิงรู้จักนกแก้วตัวนี้ ฟังคำของมันเขาก็ขมวดคิ้ว ฟังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก

“ข้าจะไปรู้ว่าไปจุดไฟบ้าอะไร อะไรสักอย่างหนิวนั่นให้ข้ามาเรียกเจ้าไปจุดไฟ จุดไฟๆ รีบไปจุดไฟ!”

นกแก้วเอ่ยอย่างหยิ่งยโส จากนั้นก็หันไปกัดต้นอ่อนคำหนึ่ง เคี้ยวหงุบหงับ

เจ้าต้นอ่อนน้อยสั่นสะท้าน ไม่กล้าหลบ

หลิงเอ๋อร์มุดออกมาจากปกเสื้อสวี่ชิง มองนกแก้วอย่างโมโห

“เจ้าหยุดนะ!”

นกแก้วกวาดตามองหลิงเอ๋อร์ แล้วมองไปทางสวี่ชิง จากนั้นก็เชิดหน้า ร่างทำท่าเป็นท่อนไม้ทีเด็ดประจำ ใช้จมูกมองคน ทำตัวหยิ่งยโสต่อไป

“ข้าไม่หยุด!”

บรรพจารย์สำนักวัชระพุ่งไปทันที แต่ในพริบตาที่เข้าไปใกล้ นกแก้วก็พลันหายไป เคลื่อนย้ายชั่วพริบตาไปยังอีกข้างของต้นอ่อน แล้วกัดไปอีกคำ

“ไม่ซะอย่าง!”

ความเร็วเช่นนี้ทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระตกใจ ในตอนที่กำลังจะไล่ตามต่อไป นกแก้วก็กะพริบวูบวาบไม่หยุด เคลื่อนย้ายชั่วพริบตาไปรอบต้นอ่อนน้อย กัดคำแล้วคำเล่า

“ข้าไม่หยุด ไม่หยุด ไม่หยุดๆๆ!”

ในตอนที่นกแก้วกำลังได้ใจ จู่ๆ ร่างก็สั่นสะท้าน ดวงตาเล็กๆ เบิกโพลง กระอักเลือดสดๆ ออกมา

“ข้า…แกว้ก…”

“เจ้ามีพิษ!!”

มันมองต้นอ่อนน้อยอย่างโมโห เจ้าต้นอ่อนสั่นสะท้าน ส่วนนกแก้วตอนนี้กระอักเลือดแล้วกระอักเลือดอีก ร่างเริ่มเน่าเปื่อย มันก็สัมผัสได้แล้วเช่นกันว่าไม่ใช่ต้นอ่อนน้อยมีพิษ แต่เป็นรอบๆ ตัวมันมีพิษ ดังนั้นกำลังจะอ้าปาก แต่กลับหัวทิ่มลงมา หลังจากร่วงอยู่บนพื้น มองไปทางสวี่ชิงอย่างตื่นกลัว

ขณะเดียวกัน ต้นอ่อนน้อยถอนรากของตัวเองออกมาอย่างรวดเร็วแล้วพลันกระโดดลงมา กระทืบไปบนตัวนกแก้วอย่างบ้าคลั่งเพื่อแก้แค้น

นกแก้วครวญครางโหยหวน คิดอยากจะหนีแต่ก็ทำไม่ได้ ทำได้เพียงกลิ้งไปบนพื้นไม่หยุด จนกระทั่งบรรพจารย์สำนักวัชระปรากฏตัว นกแก้วไม่กล้าขยับแล้ว ในดวงตาหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง

ต้นอ่อนน้อยไม่กล้าทำต่อ คลานเนิบนาบกลับไป ปลูกตัวเองลงไปต่อ

สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ นั่งลงข้างๆ ก้มหน้ามองนกแก้วที่ดิ้นรนอยู่บนพื้น

“ตอนนี้จะพูดจาดีๆ ได้แล้วใช่หรือไม่”

นกแก้วพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ในที่สุดมันก็รู้แล้วว่าทำไมบิดาของตนปกติถึงได้กลัวคนที่อยู่ข้างหน้าคนนี้นัก คนคนนี้ไม่พูดจาด้วยเหตุผล คนกันเองยังวางยาพิษ

“อาจารย์ลุงสวี่ ท่านแก้พิษให้ข้าก่อนได้หรือไม่…” พูดจบ นกแก้วก็กระอักเลือดอีกครั้ง ลมหายใจรวยริน ร่างจะเน่าหมดแล้ว

สวี่ชิงสะบัดมือ พิษบนตัวนกแก้วสลายไปกว่าครึ่ง มันฮึกเหิมขึ้นมาทันที แต่หลังจากที่สายตาสวี่ชิงกวาดมา ร่างของมันก็สะท้านเฮือก รีบเปลี่ยนมาว่าง่ายเรียบร้อย

“ท่านอาจารย์ลุงสวี่ ข้าผิดไปแล้ว อาจารย์ลุงเอ้อร์หนิวให้ข้ามาเรียกท่านไปจุดไฟจริงๆ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจุดอะไร เหมือนว่าจะเกี่ยวกับดวงอาทิตย์”

สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด มองนกแก้ว ความเร็วของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ทำให้เขาแปลกใจเล็กน้อย จึงถามขึ้นประโยคหนึ่ง

“เจ้ามีความสามารถอะไรบ้าง”

“ข้าเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาได้ ในบรรดาลูกของท่านพ่อข้า ข้าเร็วที่สุด อีกทั้งพลังเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาของข้าไม่ว่าจะสภาพแวดล้อมเลวร้ายเพียงใด หรือจะอยู่ในพื้นที่ผนึก ล้วนไม่มีผลกระทบ ก่อนหน้านี้บิดาข้าเจออันตรายล้วนเป็นข้าที่พาเขาเคลื่อนย้ายหนีไป สรุปแล้วข้า…เอ่อ ข้าน้อยล้วนเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาได้ทั้งนั้น”

นกแก้วพูดจบ ก็มองไปทางสวี่ชิงอย่างระมัดระวัง

สวี่ชิงพยักหน้า กำลังจะอ้าปาก แต่เสี้ยวขณะต่อมาใจของเขาก็สัมผัสอะไรได้ เดินไปข้างหน้าต่าง

ลม พัดมาจากปลายขอบฟ้ามายังเมืองดิน บ้านเรือนสั่นคลอน ประตูไม้ไหวโยก และพัดมาที่หน้าสวี่ชิง พัดเส้นผมเขาปลิวพริ้วเช่นกัน

ท้องฟ้าที่ไกลๆ ลมพายุเชื่อมต่อผืนฟ้า ลมทรายระลอกใหญ่แต่ละระลอกๆ ประดุจทะเลหมอก เดือดพล่านไม่หยุด แผ่ลามไม่หยุด สายฟ้าแต่ละทางๆ แลบแปลบปลาบในนั้น เสียงเลื่อนลั่นแต่ละทางๆ ดังก้องไปทั่ว

เหมือนมีเทพเจ้าอยู่ในนั้น ขับไล่ลมทรายเคลื่อนไปข้างหน้า ทุกที่ที่ผ่านฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมเมฆหอบม้วน

นั่นคือพายุทราย

และสีของมันก็เปลี่ยนจากสีครามอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งกลายเป็นสีขาวโดยสมบูรณ์

เสียงหวีดหวิวดังก้องวนเวียนอย่างรุนแรงเป็นอย่างยิ่งในเสี้ยวขณะนี้ คล้ายว่าท้องฟ้าโศกเศร้า ผืนดินกำลังร้องคร่ำครวญ จะฝังสรรพชีวิตทุกอย่าง ใช้ทุกสรรพสิ่งร่วมฝังไปด้วย

พลังกดดันที่น่ากลัวยิ่งกว่า จากการปรากฏขึ้นของพายุทรายสีขาว มาเยือนทั่วทั้งทะเลทราย

ลมทรายสีขาวมาถึงแล้ว

มันหอบม้วนผืนดิน ปกคลุมผืนฟ้า ส่งผลกระทบไปยังเทือกเขาทนทุกข์ ทำให้ทุกอย่างในเสี้ยวขณะนี้ล้วนเป็นสีขาวคลุมเครือ แผ่ความอัปมงคลออกมาอย่างรุนแรง

สายตาสวี่ชิงจ้องเพ่ง ก้มหน้ามองไปที่เท้าของตัวเอง เจ้าเงาล่าเหยื่ออยู่ข้างนอกไม่ได้กลับมา…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!