บทที่ 629 ปรากฏการณ์แสงประกายอรุณ การใหญ่ของเอ้อร์หนิว
เทือกเขาทนทุกข์
เพราะการแผ่ปกคลุมของแสงสีเลือดที่ขอบฟ้า พระจันทร์สีชาดจะกลับมา จิตชั่วร้ายของสรรพชีวิตจึงสูญเสียการความคุมและระเบิดออกมา จึงเกิดความวุ่นวายไปทั่วทุกหัวระแหง เกิดการฆ่าฟันอย่างต่อเนื่อง
มีเพียงหมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่งบนภูเขาชายขอบเทือกเขาทนทุกข์ที่ยังคงเป็นเหมือนเดิม อบอุ่นอย่างยิ่งมาโดยตลอด
ใบหน้าประดับรอยยิ้ม ต่างไม่มีจิตอริคิดร้ายใด เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ
ประชาชนที่อยู่ในเมืองดินนี้ครึ่งหนึ่งเป็นลูกน้องของศิษย์หลี่โหยวเฝ่ย เนื่องจากสัมผัสได้ถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของรัฐทายาท จึงยินยอมพร้อมใจอยู่ที่นี่ ส่วนผู้บำเพ็ญอีกครึ่งหนึ่งเป็นผู้มาเยือนจากด้านนอกในช่วงนี้
ก่อนที่ผู้ที่มาจากด้านนอกเหล่านี้จะเข้าเมืองดิน ในใจเต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่ง แต่หลังจากที่เข้ามาก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของที่แห่งนี้ จึงปล่อยวางความคิดชั่วร้าย โอบรับความดีงามไว้
‘ความอบอุ่นของที่นี่ มีเพียงตอนที่เสด็จพ่อยังมีชีวิตอยู่ พื้นแผ่นดินผืนนี้ถึงมีบรรยากาศแบบเดียวกัน ทุกเผ่าพันธุ์สมานฉันท์กลมเกลียว’
เดินอยู่บนถนนที่คึกคัก รัฐทายาทรู้สึกทอดถอนใจ
สายตาองค์หญิงหมิงเหมยในชุดสีขาวหยุดอยู่ที่กลุ่มคนรอบๆ พยักหน้า นางรู้ว่ารัฐทายาทชอบที่นี่จริงๆ
สายตาของน้องหญิงห้าก็ฉายแววระลึกย้อน เทียบกับช่วงที่ถูกผนึกไปนานปี ตอนนี้กลับมาที่โลกมนุษย์ ต่อให้ได้เยือนแค่ที่เดียว แต่ก็ยังทำให้จิตใจที่เยือกแข็งของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้าง
แต่ตอนนี้เอง ชายหนุ่มร่างกำยำที่เดินตามอยู่ด้านหลังพวกเขา ก็เอ่ยอย่างทนไม่ไหว
“ท่านพี่ ท่านจะสนใจเจ้าสิ่งที่เรียกว่าความอบอุ่นทำไมกัน ที่นี่ต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นล้วนมีพลังของท่านปกคลุมอยู่ ลมจะพัดอย่างไร หญ้าจะไหวเช่นไร ล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ของท่าน…”
สีหน้าของรัฐทายาทมืดครึ้ม มองน้องแปดอย่างไม่สบอารมณ์
องค์หญิงหมิงเหมยหันหน้า สายตาเปลี่ยนเป็นเย็นชา
น้องหญิงห้าขมวดคิ้วอยู่ทางนั้น มองไปเช่นกัน
ถูกพี่น้องทั้งสามจ้องเขม็ง ชายหนุ่มร่างกำยำก็สั่นเทิ้ม สูดลมหายใจตามสัญชาตญาณ ใบหน้าฉายแววประจบเอาใจ ร่างกายยิ่งไหววูบ แปรเปลี่ยนไปอยู่ในร่างชายชรา
“สถานที่ดี อบอุ่นยิ่ง ชอบมาก!”
รัฐทายาทสีหน้าไร้อารมณ์ เดินหน้าต่อ
องค์หญิงหมิงเหมยกับน้องหญิงห้าก็ถอนสายตากลับมา
ผู้อาวุโสแปดถอนหายใจโล่งอก
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด มองความสัมพันธ์ระหว่างบุตรธิดาของเจ้าเหนือหัวไม่กี่คนนี้ออกแล้ว
‘องค์หญิงหมิงเหมยฐานะสูงที่สุด รัฐทายาทคล้ายจะรองลงมา แต่พวกเขาล้วนยอมให้องค์หญิงห้า ส่วนผู้อาวุโสแปด…’
สวี่ชิงนึกถึงตอนที่เห็นอีกฝ่ายผ่านประสาทสัมผัสเทพก่อนหน้านี้
‘น่าจะไม่ต่างกับหนิงเหยียนเท่าไร’
ระหว่างที่ทำความเข้าใจ สวี่ชิงก้าวเท้าตามองค์หญิงหมิงเหมยกับองค์หญิงห้าอยู่ด้านหลัง เข้าใกล้ร้านยาขึ้นเรื่อยๆ
เพียงไม่นาน ร่างของอู๋เจี้ยนอูกับบรรพจารย์โม่กุ่ยก็สะท้อนอยู่ในครรลองสายตาสวี่ชิง กลอนใหม่ที่อีกฝ่ายคิดก็ดังเข้ามาในหูตอนนี้
“สิบชั้นฟ้า เก้าแผ่นดิน แปดสายลม เจ็ดสมุทร หกวิถี ห้าอาชีพ จงรีบมาซื้อ หนึ่งมา สองไป สามยา สี่ไท่ ห้าวิญญาณหกอักขระ ต่อราคาจะไม่ขาย!”
ในช่วงนี้กลอนของอู๋เจี้ยนอูด้านนอกร้านขายยาในเมืองดินเปลี่ยนฉันทลักษณ์หลากหลายยิ่ง ตอนนี้ยิ่งมีสร้างสรรค์ใหม่บ้าง สั่นสะเทือนไปทั้งถนน ดึงดูดคนให้แห่แหนมาซื้อยาไม่น้อย
บรรพจารย์โม่กุยข้างๆ ดูคล้ายจะยอมรับชะตากรรม ทำหน้าเบื่อหน่ายแทบขาดใจอยู่ตรงนั้น แต่เขาก็ขบคิดในใจว่าจะหนีไปจากที่นี่อย่างไรอยู่เสมอ
เขาระมัดระวังมาก ดังนั้นหลายวันนี้จึงไม่ทำการบุ่มบ่าม คอยสังเกตอยู่ตลอด
และตอนนี้เขาก็เห็นเบาแสบางอย่างแล้ว ขณะที่วิเคราะห์แผนออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าในใจ จู่ๆ ปลายสายตาก็สังเกตเห็นคนที่เดินมาบนถนน เขาตัวสั่นเทาไปตามสัญชาตญาณ ฉายแววประจบเอาใจ กำลังจะกล่าวทวนกลอนของอู๋เจี้ยนอู แต่พริบตาต่อมา…
เขาเห็นหญิงชราสองคนหนึ่งสวมชุดดำหนึ่งสวมชุดขาวข้างกายรัฐทายาท
ตอนที่เห็นหญิงชราในชุดขาวผู้นั้น บรรพจารย์โม่กุยก็สมองลั่นครืนครัน
‘เตรียมสู่เทวะอีกตนหรือ’
‘นี่ก็เตรียมสู่เทวะ!’
บรรพจารย์โม่กุยมองไปทางชายชราร่างกำยำสูงใหญ่ด้านหลังผู้นั้นอย่างเลื่อนลอย
‘ยังมีอีก…’
บรรพจารย์โม่กุยแทบยุดหายใจ เขารู้สึกว่าทั้งหมดนี้หลอกลวงกันเกินไป ราวกับอยู่ในฝัน เขากระทั่งคิดว่าต่อให้ฝันก็ยังไม่กล้าจินตนาการไปไกลถึงเพียงนี้
ทั้งหมดนี้ ทำให้เขาร่างทรุดฮวบทันที ทิ้งตัวคุกเข่าเสียงดังตุบ
เขายอมแล้ว ยอมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาในตอนนี้ไม่มีความคิดที่จะหนีอีกแล้ว เขารู้สึกว่าในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรานี้ นอกจากตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดจะทุ่มสุดกำลัง หรือชื่อหมู่อาจจะต้องจุติเองเท่านั้น ไม่เช่นนั้นคงไม่มีผู้ใดช่วยตนออกไปได้แล้ว
อู๋เจี้ยนอูประหลาดใจ มองตามสายตาของบรรพจารย์โม่กุยไปทางถนน เมื่อสังเกตเห็นสวี่ชิงรวมถึงท่านปู่ชรารัฐทายาท เขาที่กำลังจะทักทาย แต่พริบตาต่อมา เขาก็เห็นหญิงชราทั้งสองรวมถึงชายชราที่อยู่ด้านหลัง
ภาพที่ท่านปู่ท่านย่าชราทั้งสี่คนเดินมาด้วยกัน ทำให้อู๋เจี้ยนอูตกตะลึง ขยี้ตาไปตามสัญชาตญาณ เมื่อมั่นใจว่าตนไม่ได้ตาฝาด สมองของเขาก็มีอัสนีฟาดผ่า
‘ไม่จริงน่า หรือว่า…มาเพิ่มอีกสามคน!’
อู๋เจี้ยนอูเหม่อลอยไปแล้ว ไม่แน่ใจว่าการคาดเดาของตนเป็นจริงหรือไม่ แต่นี่ก็ไม่ส่งผลกระทบกับจิตใจที่โหมคลื่นยักษ์ลูกมหึมา
ขณะที่ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น พวกสวี่ชิงก็เดินผ่านหน้าเขาไป
จนกระทั่งผู้อาวุโสแปดเดินมาถึงด้านหน้าเขา กวาดตามอง แสยะยิ้ม
“เจ้าหนูน้อย กลอนไม่เลวนี่”
ระหว่างที่ประโยคนี้ดังเข้ามาในหูอู๋เจี้ยนอู แปรเปลี่ยนเป็นอัสนีบาตในใจ ร่างทรุดฮวบ คุกเข่าลง มองทุกร่างเงาเดินเข้าไปในร้านขายยาอย่างโง่งม
จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อ กัดลิ้นไปตามสัญชาตญาณ และพึมพำเสียงต่ำออกมาอย่างไม่อยู่กับร่องกับรอยท่ามกลางความเจ็บปวดรุนแรงนั้น
“นี่ข้าเห็นเตรียมสู่เทวะที่ยังมีชีวิตถึงสี่คนเลยหรือ!”
และในร้านยา พริบตาที่สวี่ชิงเดินเข้ามา หลิงเอ๋อร์ที่กำลังจะวิ่งออกมาอย่างดีใจ แต่เมื่อสังเกตเห็นว่าข้างกายสวี่ชิงมีท่านปู่ท่านย่าชราอีกสามคน นางก็ชะงักฝีเท้า สับสนระคนไม่แน่ใจ
“เด็กสาวเผ่าวิญญาณบรรพกาลคนนี้ ไม่เลวเลย”
องค์หญิงหมิงเหมยมองมาทางหลิงเอ๋อร์ ใบหน้าแย้มยิ้ม
นางชื่นชมลักษณะการต่อสู้ของเผ่าวิญญาณบรรพกาล เมื่อก่อนก็มีสหายรักที่เป็นเผ่าวิญญาณบรรพกาลอยู่บ้าง จึงไม่รู้สึกแปลกหน้ากับหลิงเอ๋อร์ทางนี้
ถึงอย่างไร ตอนที่สวี่ชิงช่วยนางไว้ตอนนั้น หลิงเอ๋อร์ก็อยู่กับสวี่ชิง
“คารวะท่านย่า” หลิงเอ๋อร์ได้ยินก็ค่อยๆ เดินมาอยู่ข้างกายสวี่ชิง ดึงชายเสื้อของเขา เอ่ยขึ้นอย่างน่าเอ็นดูกับองค์หญิงหมิงเหมย
รอยยิ้มขององค์หญิงหมิงเหมยแฝงความเมตตา พยักหน้าให้
น้องหญิงห้าข้างๆ ก็มองความสัมพันธ์ของสวี่ชิงกับหลิงเอ๋อร์ออก สีหน้าจึงอ่อนโยนขึ้นมาก น้องแปดจึงยิ่งรู้ถึงระดับความสำคัญของสวี่ชิงในใจเหล่าพี่น้องของเขา จึงยิ้มแหยออกมา
ขณะเดียวกัน นกแก้วไม่มีขนก็บินออกมาจากลานด้านหลังอย่างรวดเร็วพลางคร่ำครวญ
“ท่านปู่ท่านกลับมาแล้ว สองสามวันมานี้ข้า…”
ร่างของเจ้านกแก้วยังไม่ทันเข้าใกล้ ก็ร้องแกว๊ก ถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งคว้าไว้กลางอากาศในพริบตา
ผู้ที่จับมันคือผู้อาวุโสแปด
ดวงตาผู้อาวุโสแปดเปล่งประกายประหลาด จ้องที่เจ้านกแก้วเขม็ง เอ่ยอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ท่านพี่ สายโลหิตของเจ้านี่ ท่านไม่คิดว่ามันคุ้นๆ หรือ”
“เป็นลูกหลานของท่านผู้นั้นกระมัง เจ้าเด็กน้อยข้างนอกนั่นอบรมบ่มเพาะ”
รัฐทายาทแย้มยิ้ม
“ถูกอบรมบ่มเพาะหรือ” สีหน้าผู้อาวุโสแปดประหลาดใจ กวาดตามองอู๋เจี้ยนอู จากนั้นก็จับเจ้านกแก้วมาพิจารณาอย่างละเอียด
เจ้านกแก้วตัวสั่น ดวงตาฉายแววตื่นกลัว หมดสิ้นความสามารถจะดิ้นรน มันรู้สึกว่าชายชราตรงหน้าผู้นี้น่ากลัวอย่างยิ่งง ทั้งตัวคนเหมือนเป็นเตาไฟขนาดยักษ์ที่ร้อนแผดเผา ราวกับแค่ปล่อยออกมาเพียงนิด ตนก็คงจะกลายเป็นฝุ่นผง
ตอนนี้ที่สั่นเทายังมีหนิงเหยียนที่กำลังถูพื้น เขาก็เหมือนกับอู๋เจี้ยนอูด้านนอก สมองครืนครันไม่หยุด มองเหล่ารัฐทายาทอย่างเหม่อลอย จิตใจโหมกระหน่ำไม่หยุด เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
หลี่โหยวเฝ่ยก็คุกเข่าตัวสั่นเทาบนพื้นนานแล้ว
แต่เมื่อเทียบกับพวกเขา โยวจิงทางนั้นกลับดูนิ่งกว่ามาก
พริบตาที่เห็นพวกองค์หญิงหมิงเหมย แม้ในใจนางจะพรั่นพรึง แต่ก็สงบลงอย่างรวดเร็ว จะอย่างไรรับใช้เตรียมสู่เทวะหนึ่งคนกับสี่คน คล้ายว่าจะไม่ได้ต่างกันมาก อย่างไรเสียก็แค่ต้มน้ำ
ที่นางสนใจที่สุด สุดท้ายก็ยังเป็นความรังเกียจรวมถึงความเคียดแค้นที่มีต่อนายกอง
ส่วนนายกองตอนนี้สีหน้าตื่นเต้น ใบหน้าประจบเอาใจเสียเต็มประดา วิ่งออกมาจากห้องด้านหลังอย่างรวดเร็ว
“ท่านปู่ชรากลับมาแล้ว วันนี้ตอนเช้าข้าได้ยินเจ้านกแก้วร้อง ข้าก็เดาไว้แล้วว่าท่านปู่น่าจะกลับมาวันนี้ ดีเสียจริง”
“คารวะท่านย่าชรา คารวะท่านปู่ชราขอรับ” นายกองก้มหน้าค้อมตัวลง พยายามทำให้เสียงของตนหวานเล็กน้อย แต่ใจกลับสั่นสะท้าน แม้เขาจะคาดการณ์ไว้บ้างแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าสวี่ชิงจะพากลับมาทีเดียวถึงสี่คน
“ให้ตายเถอะ…”
ผู้อาวุโสแปดละสายตาจากตัวเจ้านกแก้ว กวาดมองไปทางนายกอง เอ่ยกับรัฐทายาทว่า
“ท่านพี่ ทำไมท่านทางนี้ถึงมีเทพพิบัติอยู่ด้วยเล่า
“อีกทั้งกลิ่นอายก็คุ้นเคยนัก ข้าจำได้หลายปีก่อน ตอนที่ข้ายังมีสติปัญญาอยู่บ้าง มีผู้บำเพ็ญกลิ่นอายเช่นนี้อยู่หน้าประตูที่ผนึกข้าไว้ ทุกครั้งที่ข้าซัดประตู อีกฝ่ายก็จะเคาะกลับด้วยท่าทางต่ำช้าอย่างยิ่ง
“ใช่เจ้าหรือเปล่า”
ผู้อาวุโสแปดดวงตาล้ำลึก กล่าวจบก็มองไปทางนายกอง
นายกองกะพริบตาปริบๆ กำลังจะพูด เสียงเย็นชาของน้องหญิงห้าข้างๆ ก็ดังขึ้น
“หลายปีก่อนมีผู้ใช้วิธีระบำบวงสรวงเทพเจ้า ใช้จิตเทพส่วนหนึ่งเข้าไปในที่ที่ผนึกข้าไว้ เสนอข้อเรียกร้องไร้ซึ่งความสมเหตุสมผล ข้าจึงกินเข้าไป”
คำพูดของพวกเขาทั้งสองคนทำให้หนิงเหยียนที่ได้ยินสูดลมหายใจ อู๋เจี้ยนอูที่อยู่ด้านนอกตัวสั่นเทา สวี่ชิงก็มองนายกองอย่างล้ำลึกผาดหนึ่ง
นายกองอกสั่นขวัญแขวน
“ท่านปู่ ท่านก็เห็นว่าข้าเชื่อฟังถึงเพียงนี้…นี่จะต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแน่ๆ ขอรับ!”
รัฐทายาทคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ไม่คาดคั้นเรื่องนี้ แต่พาเหล่าพี่น้องเดินไปยังที่นั่งในวันปกติ
ตอนที่นั่งลง โยวจิงก็รีบหิ้วกาน้ำเดินมา ชงชาให้สี่จอกอย่างนอบน้อม
องค์หญิงหมิงเหมยยกจอกชาขึ้นจิบ มองไปรอบๆ พยักหน้าเล็กน้อย
“ที่นี่ดีจริงๆ”
น้องหญิงห้ากวาดตามองร้านยาผ่านพวกหนิงเหยียน พยักหน้าเบาๆ
“หนุ่มสาวนี่ดีจริงๆ”
ผู้อาวุโสแปดจิบน้ำชารวดเดียวหมดจอก ผ่อนลมหายใจยาว
“พวกท่านรู้สึกว่าดี เช่นนั้นก็คงจะดีจริงๆ!”
ภายใต้ความอกสั่นขวัญแขวนของทุกคนในร้าน หนึ่งวันก็ผ่านไปเช่นนี้
ตอนเปิดร้านในวันต่อมา ร้านยายังคงเป็นปกติทุกอย่าง หนิงเหยียนถูพื้น โยวจิงต้มน้ำ อู๋เจี้ยนอูกับบรรพจารย์โม่กุ่ยร้องร้องตะโกน หลี่โหยวเฝ่ยทำนั่นนี่ ส่วนนายกองก็ยืนประจำตำแหน่ง
ที่ต่างออกไป วันนี้พวกเขาดูลงแรงเป็นพิเศษ แต่คนที่จิบชา กลายเป็นสี่คนไปแล้ว
แต่อันที่จริงก็ยังเป็นรัฐทายาทที่นั่งอยู่ตรงนั้นลำพังบ่อยครั้ง
เพราะครึ่งเดือนต่อมา องค์หญิงหมิงเหมยให้ความสำคัญกับหลิงเอ๋อร์อย่างเห็นได้ชัด พาหลิงเอ๋อร์ออกไปข้างนอกหลายครั้ง ทุกครั้งที่กลับมา หลิงเอ๋อร์จะตื่นเต้นอย่างยิ่ง คลื่นพลังบำเพ็ญก็เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
แต่กรงไก่ลานด้านหลังกลับดึงดูดความสนใจของน้องหญิงห้า นางชอบลูกเจี๊ยบเหล่านี้มาก รับช่วงต่องานของหนิงเหยียนมา
ส่วนผู้อาวุโสแปด หลังจากได้เจอกับทุกคน เขาก็รู้สึกสงสัยในตัวเฉินเอ้อร์หนิวไม่น้อย นายกองก็พยายามประจบเอาใจ ดังนั้นในยามปกติหนึ่งชราหนึ่งหนุ่มจึงพูดคุยกันถูกคอ
ส่วนสวี่ชิงทางนี้ ก็ปรับตัวกับน้ำหนักของดวงอาทิตย์ได้แล้ว ขณะที่พอฝืนรับหมวกบนศีรษะไว้ได้ รัฐทายาทก็พูดถึงการฝึกบำเพ็ญใหม่ของเขา
แตกต่างกับที่ผ่านมา ครั้งนี้องค์หญิงหมิงเหมยก็อยู่ด้วย
“สวี่ชิง วิถีสวรรค์ เขาเทพเตรียมสู่เทวะ รวมถึงปราณก่อกำเนิดที่แปรเป็นกรงของเจ้า สามสิ่งนี้ค่อนข้างพิเศษ หลังจากที่เจ้าทะลวงขั้นพลังบำเพ็ญค่อยไปสัมผัสรับรู้
“และขวดแห่งกาลเวลาของเจ้ารวมถึงแสงประกายอรุณที่เกิดขึ้นจากการแตกดับของดวงอาทิตย์นั่น พี่หญิงสามของข้าเหมาะจะเป็นผู้ชี้แนะให้เจ้ามากกว่า”
รัฐทายาทพูดถึงตรงนี้ ก็มองไปทางพี่หญิงสามข้างๆ
สวี่ชิงที่นั่งตรงข้ามกับรัฐทายาทฟังอย่างตั้งใจ เขาไม่ได้รู้สึกเกินคาดอะไรกับการที่รัฐทายาทเอ่ยถึงรายละเอียดของเขาออกมาทั้งหมดในรวดเดียว เวลานี้ก็มองไปทางองค์หญิงหมิงเหมยเช่นกัน
“ขวดแห่งกาลเวลาเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของราชวงศ์ ข้าก็ไม่รู้ที่มาที่ไปความลึกลับของมันเช่นกัน ทว่าในนั้นแฝงวิชาแห่งกาลเวลาเอาไว้ แต่วิชานี้ใช่ว่าเรียนแล้วจะได้มา เจ้าต้องสัมผัสรับรู้แล้วสลักลงไปในจิตใจเป็นกิจวัตรด้วย กาลเวลานั้นมหัศจรรย์พันลึกอย่างยิ่ง ทุกคนล้วนมีเส้นทางที่แตกต่างกัน”
สายตาองค์หญิงหมิงเหมยกวาดผ่านร่างสวี่ชิง
สวี่ชิงร่างกายแข็งทื่อ รู้สึกเหมือนถูกมองทะลุเข้าไปทุกส่วน
“ตะเกียงชีวิตเจ้า เดินอยู่บนวิถีแห่งกาลเวลาแล้ว ก็จงเดินต่อไป ส่วนเรื่องที่เจ้าไม่ได้มีสายโลหิตเจ้าเหนือหัวอย่างพวกข้าแต่กลับหลอมตะเกียงชีวิตของตัวเองได้ก็ไม่ธรรมดา คิดว่านี่ก็น่าจะเป็นสาเหตุที่รัฐทายาทคาดหวังกับเจ้า”
รัฐทายาทได้ยินก็ยิ้ม
“น่าเสียดายที่สถานที่ที่ผนึกเจ้าเก้า ด้วยความสามารถของพวกเราตอนนี้ยังไปปลดผนึกเงียบๆ ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นหากเจ้าเก้าหลุดออกมา ตะเกียงชีวิตเคล็ดเพลิงเทพเจ้าของเขาก็เหมาะกับเด็กคนนี้มากจริงๆ”
พี่หญิงสามพยักหน้า กล่าวต่อ
“ส่วนเรื่องแสงประกายอรุณ แสงนี้พบได้น้อยนัก ข้าก็ไม่ได้ศึกษามัน
“แต่ในตอนนั้นข้าเคยเห็นองค์ชายองค์หนึ่งของจักรพรรดิโบราณมีไว้ในครอบครอง ยามนั้นองค์ชายองค์นั้นสำแดงแสงประกายอรุณ แต่ก็กลายร่างเป็นดวงอาทิตย์ในพริบตาต่อมา
“แม้ยากจะสำแดงพลังทั้งหมดออกมาได้ แต่ก็มีพลังส่วนหนึ่งของดวงอาทิตย์อยู่ รัศมีแสงหมื่นจั้ง ยิ่งใหญ่น่าครั่นคร้าม ทุกเคล็ดวิชาล้วนไม่อาจทำร้ายได้แม้แต่น้อย!
“ดังนั้นเจ้าก็อย่าจำกัดความคิด บางครั้งพลังวิเศษบางอย่างแข็งแกร่งหรืออ่อนแอขึ้นอยู่กับพลังจินตนาการ เจ้าใช้ความสามารถอื่นๆ ของเจ้าควบคู่ไปกับมันด้วยได้”
องค์หญิงหมิงเหมยจ้องมองสวี่ชิง ดวงตาฉายแววคาดหวัง นางรู้ว่าเรื่องนี้พวกนี้พูดออกมาได้ง่าย แต่เมื่อคิดจนเข้าใจและผสานมันกับความรู้ความเข้าใจนั้นความยากอย่างยิ่ง
และวันนี้ สิ่งที่นางจะทำคือทำให้สวี่ชิงตระหนักว่าแสงประกายอรุณประสานงานกับวิหคทองได้ และการประสานงานนี้สามารถระเบิดพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าออกมา และเป็นวิธีประสานงานที่ดีที่สุด ใช้สิ่งนี้เป็นไม้ตายได้
แต่นางก็ไม่ได้บอกทันที นางจะให้เวลาสวี่ชิงไปขบคิดและย่อยสักพัก รอจนเขาตระหนักได้ถึงสิ่งนี้อย่างแท้จริง อาจตระหนักขึ้นมาด้วยตนเองได้
หากเป็นเช่นนี้ ก็จะส่งผลกระทบได้ลึกซึ้งมากกว่าการที่บอกออกไปตรงๆ
เมื่อสวี่ชิงได้ยินใจก็โหมระลอกคลื่น คำพูดแต่ละคำขององค์หญิงหมิงเหมยสะท้อนก้องในสมองเขาเนิ่นนานไม่จางหายไป
ความรู้สึกกระจ่างแจ้งบางอย่าง เกิดขึ้นมาเองในใจ
ความคิดในสมองก็แล่นพรวดพราดตามมาเช่นกัน วิธีการมากมายผุดขึ้นมา ตีกันและผสมผสานกันไม่หยุด จุดประกายความคิดครั้งแล้วครั้งเล่าขึ้นมา
ผ่านไปสักพัก สวี่ชิงก็ใจปลอดโปร่งโล่งสบาย ความคิดกระจ่างชัดแจ้ง เงยหน้าขึ้นพลัน สายตาเปล่งประกาย สีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง
“ขอบพระคุณผู้อาวุโสขอรับ ข้าเข้าใจแล้ว!”
ดวงตาสวี่ชิงเปล่งประกาย เมื่อกล่าวออกมา รัฐทายาทที่กำลังจิบชาในใจกลับมีเสียงตึกตัก
ข้าเข้าใจแล้วคำนี้ ทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี จึงจะพูดอะไรบางอย่าง แต่องค์หญิงหมิงเหมยทางนั้นก็เอ่ยเสียงเรียบ
“โอ้ เจ้าเข้าใจว่าอะไร” ถามจบ นางก็ยกมือหยิบจอกชาขึ้นมา
“ผู้อาวุโส ข้าเข้าใจสิ่งที่ท่านต้องการจะบอกแล้วขอรับ ท่านอยากจะเตือนข้าว่าแสง…ไม่ได้มีเพียงสภาวะเดียว!”
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก
“อันที่จริงมันสามารถปรับเปลี่ยนสภาวะได้ตามใจนึก และการปรับเปลี่ยน ก็เป็นความสามารถหนึ่งของแสง อีกทั้งเป็นพลังที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง”
มือที่ถือจอกชาขององค์หญิงหมิงเหมยชะงักไปเล็กน้อย
สวี่ชิงฮึกเหิม กล่าวต่อว่า
“ดังนั้น…ในเมื่อแสงประกายอรุณลบล้างได้ทุกวิชา เช่นนั้นมันย่อมปรับเปลี่ยนได้หมื่นวิธี!
“ไม่ผิดแน่ สิ่งที่ผู้อาวุโสจะสื่อคือ ขีดจำกัดความแข็งแกร่งและอ่อนแอของพลังวิเศษก็คือพลังจินตนาการของข้า ก่อนหน้านี้ข้าค่อนข้างมีขีดจำกัด!
“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว แสงประกายอรุณ ไม่ได้วิธีใช้แค่วิธีเดียว
“ข้าควรจะใช้แสงประกายอรุณเลียนแบบเคล็ดวิชาของผู้อื่นด้วย!
“และแสงมีความสามารถในการปรับเปลี่ยน ดังนั้นจะต้องสำเร็จแน่ และสิ่งนี้…ถึงจะเป็นแนวทางที่ถูกต้องของแสงประกายอรุณ!”
สวี่ชิงลุกตัวขึ้นพลัน ในใจเร่าร้อน มองไปยังองค์หญิงหมิงเหมย รอคำวิจารณ์ของอีกฝ่าย
รัฐทายาทเงียบนิ่ง
องค์หญิงหมิงเหมยก็เงียบนิ่งเช่นกัน เหมือนกำลังใคร่ครวญ ผ่านไปหลายอึดใจนางก็หยิบจอกชาข้างๆ ขึ้น พยักหน้าให้
เห็นว่าได้รับการยอมรับ สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก เขารู้สึกว่าองค์หญิงหมิงเหมยตรงหน้าผู้นี้สมกับเป็นผู้ที่ทำให้รัฐทายาทเคารพนับถือ อีกฝ่ายกล่าวเพียงรอบเดียว ทำให้เขาเหมือนได้เห็นแสงสว่างทันที
สวี่ชิงชอบความรู้สึกเช่นนี้มาก ประสานหมัดคารวะองค์หญิงหมิงเหมยแล้วหันหลังเดินไปที่ห้องด้านหลัง เริ่มศึกษา
หลังจากที่เขาจากไป องค์หญิงหมิงเหมยก็วางจอกชาในมือ หันหน้ามองไปทางรัฐทายาทอย่างแฝงความนัย
รัฐทายาทยิ้มขืน เปล่งเสียงกล่าวว่า
“สติปัญญาของศิษย์ไม่เป็นทางการของข้าเป็นอย่างไรบ้าง แปลกประหลาดมากใช่หรือไม่”
องค์หญิงหมิงเหมยสีหน้าปกติ เอ่ยเสียงเรียบว่า
“ระวังคำพูดของเจ้าหน่อย เขาไม่ใช่ศิษย์ไม่เป็นทางการของเจ้า หากในสามเดือนนี้ ทำให้เขาสัมผัสรับรู้ได้สำเร็จ จากนี้เจ้าก็ไม่ต้องสอนเขาแล้ว
“ข้าจะสอนเอง!”
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในสามวันนี้ สวี่ชิงจดจ่ออยู่กับการศึกษาแสงประกายอรุณ แผ่แสงประกายอรุณของตนออกมาลองปรับเปลี่ยนในห้องด้านหลังไม่หยุด
ระหว่างนั้นไม่ได้ราบรื่นนัก แต่สวี่ชิงไม่ได้ยอมแพ้ เขาขบคิดไม่หยุด กระทั่งคิดถึงแผ่นหยกบันทึกเงาเคลื่อนไหว
‘แผ่นหยกบันทึกเงาเคลื่อนไหว สามารถบันทึกได้ทุกสิ่ง หลักการของมัน…ก็เกี่ยวข้องกับแสง!
‘อีกทั้งตอนศิษย์พี่ใหญ่อยู่ในเศษชิ้นส่วนโลกตอนนั้น เอาตราประทับฝ่ามือนั่นประทับลงบนผิวหนัง หลักการของมันก็เป็นแบบเดียวกันคือใช้การรวมกันของแสง…’
คิดถึงตรงนี้ สวี่ชิงก็ทอดถอนใจ
‘ผู้อาวุโสหมิงเหมยนี่เป็นผู้วิเศษจริงๆ การชี้แนะของนางถูกต้องอย่างมาก เป็นข้าเองที่เคยโง่เขลา เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ ในตอนนั้นกลับไม่คิดถึงแสงประกายอรุณ!
‘เช่นนั้นสำหรับข้าแล้ว หากจะนำแสงประกายอรุณไปลอกเลียนผู้อื่น ข้าต้องมีตัวพาหะเสียก่อน!’
สวี่ชิงครุ่นคิด สิ่งแรกที่เขาคิดถึงคือแผ่นหยก จึงล้วงออกมาค้นคว้า
ในคืนนั้น ตอนที่สวี่ชิงศึกษาได้อะไรมาบ้างเล็กน้อย นายกองก็แอบเข้ามา ทำหน้าลึกลับซับซ้อน
“อาชิงน้อย เร็วๆ นี้จะไปทำการใหญ่กันแล้ว”
สวี่ชิงได้ยินก็เงยหน้าขึ้น มองไปทางนายกอง
เขารู้ว่าเป้าหมายที่นายกองมาเทือกเขาทนทุกข์ก็คือมาทำการใหญ่เรื่องหนึ่ง แต่สวี่ชิงยังไม่ได้ถามรายละเอียด
“อาชิงน้อย การใหญ่ของพวกเราอยู่ที่เทือกเขาทนทุกข์ โอกาสใกล้จะมาถึงแล้ว ตอนที่พวกเราเงยหน้ามองไปทางขอบฟ้า สิ่งที่เห็นไม่ได้มีเพียงแสงสีเลือดแต่ยังเห็นดวงดาราพระจันทร์สีชาดด้วย นั่นคือวันออกเดินทางของพวกเรา!
“หลายวันมานี้ข้าลองคำนวณดู ใกล้ถึงเวลาแล้ว และการใหญ่ครั้งนี้ของพวกเราจะแตกต่างกับที่ผ่านมา”
นายกองได้ใจ นั่งยองๆ อยู่ด้านหน้าสวี่ชิง เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“แต่ก่อนพวกเราแอบไปทำ จากนั้นก็รีบหนีออกมา คอยพิถีพิถันเรื่องการไปมาอย่างไร้ร่องรอย ทว่าครั้งนี้…
“พวกเราจะทำให้ทุกคนในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา มองเห็นร่างเงาของพวกเรา!”
นางกองสีหน้าหยิ่งผยอง
“เจ้าสามารถมองการใหญ่ครั้งนี้เป็นละครฉากหนึ่งที่พวกเราแสดงบนเวทีได้ และทุกคนในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราก็จะได้เป็นประจักษ์พยานด้านล่างเวที!
“อีกทั้งครั้งนี้ พี่เจี้ยนเจี้ยน หนิงหนิงน้อย และหลิงเอ๋อร์ก็ต้องร่วมมือด้วยเล็กน้อย พวกเราทุกคนจะออกปฏิบัติการด้วยกัน!
“แต่น่าเสียดาย หลายวันมานี้ข้าพูดคุยกับพวกท่านปู่ชรา อยากให้พวกเขาไปด้วย เช่นนี้พวกเราก็จะลดปัญหาไปได้มาก แต่พวกเขาไม่ไป”
นายกองพูดถึงตรงนี้ ก็ชักชวนขึ้นมา
“ที่ข้ามาหาเจ้า นอกจากมาบอกเจ้าว่าจะทำการใหญ่แล้ว ยังหวังว่าเจ้าจะช่วยกล่อมพวกเขา…”
สวี่ชิงลังเล กำลังจะเอ่ยปาก ในใจก็มีเสียงฮึของรัฐทายาทดังมา
‘ไม่ไป!’
สีหน้าสวี่ชิงเคารพนับถืออย่างยิ่ง มองไปทางนายกอง จ้องเขม็งตอบกลับ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ารู้สึกว่าหากพวกเราอยากเป็นผู้ใหญ่ ก็ควรจะต้องลับคมตัวเองให้มากจึงจะถูก”
นายกองกะพริบตาปริบๆ สวี่ชิงพยักหน้า
“เอาเถอะ…”
นายกองดิ้นรนในใจอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ออกไปอย่างจนใจ และในช่วงสามวันหลังจากเขาออกไป ที่ห้องของอู๋เจี้ยนอูก็จะมีเสียงนายกองกรีดร้องกลางดึกทุกคืน กระทั่งวันหนึ่งหนิงเหยียนก็ถูกเรียกไป
ทุกวันตอนเช้าตรู่ อู๋เจี้ยนอูมักเดินออกมาด้วยหน้าซีดขาว เหมือนเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง ส่วนหนิงเหยียนหลังจากไปครั้งหนึ่ง วันถัดมาก็หน้าขาวซีดเช่นกัน
หลิงเอ๋อร์อยากรู้อยากเห็นจึงไปถาม
อู๋เจี้ยนอูเงียบนิ่ง หนิงเหยียนถอนหายใจ
“ไม่มีอะไรหรอก ไม่ใช่ครั้งแรกด้วย…”
หลิงเอ๋อร์ยิ่งอยากรู้อยากเห็นกว่าเดิม
ทว่าเสียงกรีดร้องเช่นนี้ก็ดังติดต่อกันแค่สามวันเท่านั้น ตอนที่นายกองปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็หน้าขาวซีดเช่นกัน มองเหล่ารัฐทายาทที่กำลังจิบชาอย่างหมองเศร้า ไปหาสวี่ชิงที่ห้องด้านหลัง
“อาชิงน้อย ครั้งนี้พวกเราต้องพึ่งตัวเอง! ข้าเตรียมอุปกรณ์ดีๆ ไว้แล้ว จากนี้เจ้าเอาวิญญาณศัสตราของเจ้ามาให้ข้ายืมหน่อยสิ”
นายกองหายใจหอบฮัก ดวงตาฉายแววแน่วแน่
“การใหญ่ครั้งนี้ หลักๆ คืออะไรหรือขอรับ” สวี่ชิงดึงสมาธิออกมาจากการศึกษาแผ่นหยก โบกมือหยิบก้างปลาออกมา โยนให้กับนายกอง
“เล่นละครน่ะ” นายกองรับไป บรรพจารย์สำนักวัชระข้างในตัวสั่นเล็กน้อย
“วิญญาณศัสตราของเจ้านี่ ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เคยได้ยินเขาเล่านิทานได้คล่องแคล่วดี เช่นนั้นเขาน่าจะมีประสบการณ์เกี่ยวกับการเขียนบทละครมาก ข้าจะให้เขาเขียนบทละครให้ข้าหน่อย
“จากนั้นยังต้องใช้พวกชุดโบราณ อันนี้ค่อนข้างปวดหัว เสื้อผ้าเครื่องประดับยุคจักรพรรดิโบราณเน้นความงดงามประณีตเป็นหลัก วัสดุก็แพงยิ่ง…แต่ไม่เป็นไร นางก้นใหญ่ทางนั้นน่าจะสะสมไว้ไม่น้อย”
พูดถึงการใหญ่ นายกองก็มีชีวิตชีวา
“อาชิงน้อย การใหญ่ครั้งนี้ แตกต่างกับที่พวกเราเคยทำมาอย่างสิ้นเชิง!”