Skip to content

Outside Of Time 643

บทที่ 643 ใบหน้าที่แท้จริงของสวี่ชิง ปรากฏสู่แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา

ภาพจากห้วงบรรพกาลสะท้อนในหัวของคนทั้งหลายในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา กลายเป็นสายฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นเสียงกัมปนาทกึกก้อง ฟาดผ่าสะท้านเลื่อนลั่น!

เสี้ยวขณะนี้ จิตใจของคนทั้งหลายเกิดคลื่นยักษ์ท่วมฟ้าถาโถมโหมซัด!

ทุกอย่างที่พวกเขาเห็นในวันนี้ล้วนอยู่นอกเหนือความเข้าใจทั้งนั้น หักล้างความคิด สั่นคลอนร่างกายวิญญาณ

ความเฉยชาหลังจากที่พวกเขาบ้าคลั่งสิ้นหวัง น้ำแข็งที่แต่เดิมเรียบนิ่งแต่ตอนนี้…น้ำแข็งนี้เกิดรอยร้าวแล้ว กำลังแตก กำลังทลาย

ดาบนั้นสังหารชื่อหมู่ และทำลายโซ่ตรวนในใจของพวกเขาด้วยเช่นกัน!

บางทีโซ่ตรวนอาจจะไม่ได้ถูกฟันขาดไปโดยสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยบนนั้นก็เกิดรอยแตกขนาดใหญ่ขึ้นแล้ว!

และภายใต้รอยแตกนี้สะสมไว้ซึ่งความแค้นและความบ้าคลั่งอันเนิ่นนาน

ดังนั้นรอยแตกนี้…สำคัญเป็นอย่างยิ่ง!

แม้สิ่งที่แสดงในภาพนี้จะเป็นชื่อหมู่ในอดีต คล้ายว่าจะยังไม่เป็นเทพ แต่นี่ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือ…เทพนิยายเคยพ่ายแพ้มาก่อน

สิ่งที่สำคัญคือ ชื่อหมู่ก็เคยเป็นคนธรรมดามาก่อนเหมือนกัน!

ชื่อหมู่เคยโดนสังหาร!

และไม่มีใครยินดีที่เกิดมาก็เป็นทาส ยิ่งไม่ใครยินดีที่จะจมอยู่ในวัฏสงสารชะตากรรมที่ต้องเป็นอาหาร

เพียงแต่ ความเฉยชาในอดีตควบคุมการต่อต้านเอาไว้ ความเป็นทาสแทนที่กลิ่นคาวเลือด ก้มหน้าก้มตายอมรับภายใต้ความกดดันจากรุ่นสู่รุ่น คล้ายว่าจะสลักไปในจิตใต้สำนึก

แต่…

ใครเล่ายินดีที่ชั่วชีวิตจะเป็นเช่นนี้ ใครยินดีที่จะใช้ชีวิตในความมืดมน

ดังนั้น รอยแตกที่ปรากฏขึ้นมาก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ในจิตวิญญาณ ทำให้ภูเขาพังถล่มในจิตใจ!

ภายใต้การประชิดเข้ามาจากดวงดาวพระจันทร์สีชาดบนท้องฟ้าสีเลือด ในเสี้ยวพริบตาที่ชีวิตก้าวสู่การนับถอยหลัง การต่อต้านของสรรพชีวิตทั้งหลาย ไปตามรอยแตก พลันปะทุขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม!

การปะทุนี้สะสมพลังในที่รกร้างทั่วทุกแห่งในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ปะทุขึ้นในเมืองแต่ละแห่งๆ พวยพุ่งขึ้นจากทุกๆ เผ่า ท่วมจมผืนฟ้าจากในใจของผู้บำเพ็ญนับไม่ถ้วน

เสี้ยวขณะนี้ ประกายไฟกำลังจะลุกลาม

เพียงแต่ เหมือนจะขาดอะไรบางอย่างไป ทำให้ประกายไฟนี้เหมือนยังคงกำลังสะสมพลัง กำลังเฝ้ารอ!

ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดเดือดดาลสุดขีด ผู้บำเพ็ญตำหนักเทพนับไม่ถ้วนพุ่งไปยังทะเลทรายคราม ค้นหาต้นกำเนิด

และภาพในหัวของทุกคนก็ยังดำเนินต่อไป มันยังคงเดือดพล่าน เติมเชื้อไฟไปในประกายไปไม่หยุด ทำให้เปลวเพลิงยิ่งลุกไหม้รุนแรงทุกชั่วขณะ

ขณะเดียวกัน สถานที่ถ่ายทอดภาพ ฟ้าดินเปลี่ยนสีเช่นเดียวกัน

จากการปรากฏขึ้นมาของความทรงจำแท่นประหารเทพเจ้าก็สั่นคลอนไปทั่วสารทิศ โดยเฉพาะฟ้าเป็นดาบ ดินเป็นแท่น ดวงอาทิตย์เป็นฟันเฟือง ภาพที่ยิ่งใหญ่ทรงพลังน่าครั่นคร้ามทำให้ในใจของคนทั้งหลายเกิดคลื่นยักษ์หมื่นจั้ง

และภาพยิ่งใหญ่เกรียงไกรนี้ในขณะนี้ดึงดูดสายตาทุกคู่ พวกหนิงเหยียนแต่ละคนก็ไม่อาจรักษาสีหน้าที่จำเป็นต่อการแสดงเอาไว้ได้ตั้งนานแล้ว ต่างถอยหลังตัวสั่นงันงก

ดีที่การปรากฏขึ้นของความทรงจำห้วงบรรพกาลบดบังร่างของพวกเขา คนนอกมองไม่เห็น

ดังนั้นพวกเขาจึงถอยมาอยู่ข้างกายรัฐทายาทตามสัญชาตญาณอย่างรวดเร็ว

โยวจิงก็เช่นกัน นางเป็นหนึ่งในคนที่หนีได้เร็วที่สุด เหมือนกลัวว่าหากแท่นประหารเทพเจ้านี้มีปัญหาอะไรก็จะสังหารนางไปตามสถานการณ์

จากนั้นก็เป็นนายกอง

เพียงแต่หลังจากที่กลับมาทางรัฐทายาททางนี้แล้ว จิตใจของพวกเขาก็ยังคงสั่นสะท้าน ความเดือดพล่านของภาพความทรงจำแท่นประหารเทพเจ้า ส่งข้อมูลมหาศาลออกมา ข้อมูลพวกนี้ล้วนเต็มไปด้วยความน่าตื่นตะลึง

ความหมายแฝงที่แสดงออกมายิ่งใหญ่นัก

หลี่จื้อฮว่ามาจากที่เดียวกันกับชื่อหมู่!

เขาเคยเป็นเทพเจ้า!

และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ คิดเชื่อมโยงถึงว่าหลายพันปีหลังจากที่ชื่อหมู่ถูกสังหาร การมาเยือนของเสี้ยวหน้าเทพเจ้า…

ชื่อหมู่สำเร็จเป็นเทพ จึงเหนี่ยวนำเสี้ยวหน้ามาใช่หรือไม่

คนทั้งหลายเงียบงัน

มีเพียงการคาดเดา ไม่มีคำตอบ

และสาเหตุการปรากฏขึ้นมาของเสี้ยวหน้าเทพเจ้าเดิมก็เป็นความลับที่คนจำนวนน้อยนักจะรู้ เกี่ยวกับเรื่องนี้จริงหรือไม่…ในหมู่คนทั้งหลายอาจจะมีคนรู้ แต่คนจำนวนมากกว่านั้นไม่รู้เรื่องนี้

นายกองก้มหน้า บดบังประกายแสงเย็นในดวงตา เงียบนิ่งไปเช่นกัน

และสิ่งที่ทำให้ในใจของคนทั้งหลายเกิดระลอกคลื่นรุนแรงขึ้นคือการพึมพำประโยคสุดท้ายที่เจ้าเหนือหัวหลี่จื้อฮว่า

ประโยคที่ง่ายๆ ธรรมดาๆ ประโยคนี้ คนในโลกภายนอกไม่ได้ยิน แต่ทุกคนที่อยู่ในสถานที่ถ่ายทอดภาพล้วนได้ยินอย่างชัดแจ้ง!

มันเหมือนเป็นยิ่งกว่าอัสนีสวรรค์ คล้ายเบิกฟ้าเบิกแผ่นดิน แปรเปลี่ยนเป็นเสียงสะเทือนกึกก้อง ปะทุขึ้นในใจพวกเขา

โดยเฉพาะพวกรัฐทายาท…

สีหน้าของพวกเขาในพริบตานี้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เจ้าแปดดวงตาเบิกกว้าง น้องหญิงห้าสีหน้าสับสันงุนงง

ส่วนรัฐทายาท สายตาของเขาจับจ้องไปยังที่ไกล คล้ายว่าสุดปลายสายตามองทะลุที่นี่ไปยังที่ราบสำนึกบาป

ณ ที่ราบสำนึกบาป มีรูปสลักที่แปรเปลี่ยนมาจากกายเนื้อที่แตกดับไปของเจ้าเหนือหัว และมีสาขาหลักของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด

‘เสด็จพ่อ…ในเมื่อท่านรู้ทุกอย่างนี้ตั้งแต่แรก เช่นนั้นท่าน…กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่’

รัฐทายาทพึมพำในใจ

ส่วนองค์หญิงหมิงเหมย นางเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองเงาร่างของเสด็จพ่อที่กำลังเลือนหายไปในภาพที่ปรากฏออกมาจากความทรงจำแท่นประหารเทพเจ้าที่อยู่ห่างไปไม่ไกลอย่างเหม่อลอย

ความทรงจำของแท่นประหารเทพเจ้ากำลังเลือนหายไป ลมแห่งห้วงบรรพกาลพัดมาจากในภาพ แปรเปลี่ยนมันกลายเป็นลมทราย ค่อยๆ กลายเป็นเถ้าธุลี คล้ายจะสลายไป

และในขณะเดียวกับที่สลายไป มีของบางอย่างยังคงอยู่

ดาบสวรรค์ที่แปรเปลี่ยนมาจากเทือกเขาด่านที่หนึ่งยังคงอยู่บนฟ้า ร่องดาบที่แปรเปลี่ยนจากหุบเขาด่านที่สองยังคงอยู่บนดิน

คนคนนี้เป็นชายหนุ่ม สวมชุดนักพรตสีดำ ผมยาวราวหมึกเกล้าเอาไว้ด้วยกวานหยก เส้นผมปลิวไปตามลม สะบัดพริ้วอยู่ข้างหน้าเขา เป็นเส้นเป็นกลุ่คล้ายจะบดบังโฉมหน้าอันเลิศล้ำของเขาเอาไว้

นั่นเป็นใบหน้าที่มากพอจะทำให้คนทั้งหลายหลงใหล งดงามจนเกินปกติ

เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น แม้ดวงตาทั้งสองจะปิดอยู่ แต่ก็สามารถจินตนาการได้ว่าในนั้นจะต้องซ่อนดวงตาที่สุกปลั่งดุจดวงดาราเอาไว้อย่างแน่นอน

เป็นสวี่ชิงนั่นเอง

แท่นประหารเทพเจ้าที่ปรากฏขึ้นก่อนหน้านี้ก็ปรากฏขึ้นโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง ส่วนภาพของแท่นประหารเทพเจ้าก็ปรากฏขึ้นโดยมีเขาเป็นจุดเริ่มเช่นกัน ต้นกำเนิดทุกอย่างนี้ก็คือเขา!

ตอนนี้ จากการเลือนหายไปของความทรงจำแท่นประหารเทพเจ้า เงาร่างของสวี่ชิงก็ปรากฏออกมาตามธรรมชาติ

เขาที่นั่งขัดสมาธิ ประกอบกับแท่นประหารฟ้าดินเจ้า ดูแล้วเหมือนว่า…เขาก็คือแท่นประหารเทพเจ้า!

เสี้ยวขณะนี้ คนทั้งหลายของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราในโลกภายนอก สมองเกิดระลอกคลื่นอีกครั้ง เพราะภาพในใจพวกเขายังคงฉายต่อไป นี่ทำให้พวกเขาในเสี้ยวขณะนี้เห็นสวี่ชิงอย่างกระจ่างชัด

และนี่เป็นครั้งแรกที่สวี่ชิงเผยใบหน้าที่แท้จริงของตัวเองให้ทุกคนได้เห็นในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราเช่นกัน

“เขาคือ…”

“เจ้าเหนือหัวเงาร่างเลือนหายไป คนคนนี้ก็ปรากฏตัวขึ้น หรือนี้จะแฝงด้วยนัยยะอะไร!”

“นี่เป็นความทรงจำของห้วงบรรพกาล หรือเป็นภาพปัจจุบัน”

“หากเป็นห้วงบรรพกาล คนผู้นี้มีฐานะอะไร หากเป็นปัจจุบัน…หรือภาพอันล้ำค่าที่ไม่เคยมีมาก่อนนี้ ล้วนเป็นคนผู้นี้ควานขึ้นมาจากในห้วงเวลา”

“เขา เป็นใครกัน”

ความตื่นตะลึงของคนทั้งหลายเกิดการคาดเดานับไม่ถ้วน และสำหรับผู้บำเพ็ญแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราแล้ว ระลอกคลื่นในใจของพวกเขายิ่งรุนแรง โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งเหล่านั้น พลังบำเพ็ญแตกต่างกัน ทำให้ภาพในหัวของพวกเขาปรากฏข้อมูลที่มากยิ่งขึ้นออกมา

“เขากำลังสัมผัสรับรู้อย่างนั้นหรือ?!”

“หรือคนผู้นี้จะหาสถานที่ที่ชื่อหมู่ถูกประหารในตอนนั้นเจอ ทำการสัมผัสรับรู้ที่นั้น จึงกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์ฟ้าดินที่นั่น ทำให้เกิดภาพที่พวกเราได้เห็น!”

“หากเป็นเช่นนี้จริงๆ…การสัมผัสรับรู้เช่นนี้…ข้าไม่เชื่อว่ามีคนทำได้จริงๆ!”

เสียงตื่นตะลึงเป็นระลอกๆ ดังมาจากทั่วทุกหนแห่งในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา โดยเฉพาะคนของตำหนักขบถจันทร์เหล่านั้น ระลอกคลื่นในใจยิ่งรุนแรง กระทั่งว่ามีคนเริ่มตรวจสอบประวัติความเป็นมาของสวี่ชิง

พวกเขารู้สึกว่าผู้ที่สามารถยืมพลังของตำหนักของตำหนักขบถจันทร์ได้ มีความเป็นไปได้สูงมากว่าก็เป็นคนของตำหนักขบถจันทร์เอง

ในตอนที่คนทั้งหลายต่างตื่นตะลึง ร่างของเจ้าเหนือหัวก็หายไปอย่างสมบูรณ์ และเงาร่างของสวี่ชิงก็ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน

ดวงตาทั้งสองของเขาในเสี้ยวขณะนี้ลืมขึ้นช้าๆ

ดวงตาสุกสกาว ราวระลอกคลื่นน้ำ ไปตามภาพ สะท้อนไปในหัวของทุกคน

พลังการบรรลุกลุ่มหนึ่งที่แฝงอยู่ในนั้น ก็ผ่านจากภาพนี้ส่งไปในการรับรู้ของคนทั้งหลายเช่นกัน ทำให้คนธรรมดาและผู้บำเพ็ญแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราในเสี้ยวขณะนี้ต่างเหม่อลอย เกิดระลอกคลื่น

และหลังจากระลอกคลื่น ที่มากกว่านั้นคือเสียงสูดลมหายใจและเสียงอึ้งตะลึง

“สัมผัสรับรู้จริงๆ ด้วย!”

“นี่…นี่จะเป็นไปได้อย่างไร ทุกอย่างนี้เป็นเขาสัมผัสรับรู้ออกมา เขาทำให้ความทรงจำแห่งห้วงบรรพกาลปรากฏขึ้นอีกครั้ง!!”

“การสัมผัสรับรู้เช่นนี้…ฝืนกฎสวรรค์นัก!!”

“เขาเป็นใครกันแน่!”

ความตื่นตะลึงและความไม่อยากเชื่อไม่อาจควบคุมได้ ปะทุอย่างรุนแรงไปทั่วสารทิศ

เสี้ยวขณะนี้ ความน่ากลัวในการรับรู้บรรลุของสวี่ชิงสั่นคลอนคนทั้งหลาย

เสี้ยวขณะนี้ ร่างของเขา อยู่ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราเช่นกัน พัดหอบพายุท่วมฟ้า

บนทะเลทรายคราม ความเร็วของผู้บำเพ็ญตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดเร่งเร็วขึ้น ในหัวของพวกเขามีภาพของสวี่ชิงปรากฏขึ้นเช่นกัน จักรพรรดิตำหนักทางนั้นออกคำสั่งทันที ให้สวี่ชิงอยู่ในรายชื่อประกาศจับพระจันทร์สีชาด!

กระทั่งว่าสาขาหลักของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดตอนนี้ก็แผ่ประกายแสงสีแดงน่าครั่นคร้ามออกมา แปรเปลี่ยนเป็นตาข่ายบนม่านฟ้า หลังจากที่ขานรับกับดาวพระจันทร์สีชาด ก็พุ่งไปยังแผ่นดินใหญ่ทำการสะกดอย่างโหดเหี้ยม

ในตาข่ายสีแดง จะเห็นโครงกระดูกไร้ศีรษะโครงหนึ่งรางๆ กำลังปะทุพลังไร้เทียมทานออกมา

โครงกระดูกนั่น…ก็คือซากร่างก่อนเป็นเทพของชื่อหมู่ที่ถูกประหารนั่นเอง!

การปรากฏขึ้นของมันทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ส่งผลกระทบต่อเนตรสวรรค์ที่อยู่ในสถานที่ถ่ายทอดภาพ ทำให้ภาพในหัวของคนทั้งหลายรางเลือน คล้ายจะดับไป

ต่อให้พวกรัฐทายาทยืนหยัด ก็ไม่อาจรักษาเอาไว้ได้ สุดท้าย…ภาพก็หายไป

แต่ในเสี้ยวพริบตาที่ภาพหายไปจากในหัวของทุกคน เสียงต่ำทุ้มเสียงหนึ่งก็พลันดังออกมาจากในภาพ ดังสะท้อนไปในจิตใจของสรรพชีวิตนับไม่ถ้วนในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา

“เทพเจ้าหาใช่สิ่งนิจนิรันดร์…”

เสียงนี้แต่ละคำๆ ประดุจสายฟ้า คำรามลั่นฟ้าดิน ระเบิดขึ้นในใจของคนทั้งหลาย มันก็คือสิ่งที่ขาดไปในใจของคนทั้งหลาย

ตอนนี้ขณะที่ดังสะท้อน เหมือนปะทุประกายไฟ ทำให้สรรพชีวิตนับไม่ถ้วนอ้าปากไปตามสัญชาตญาณ ส่งเสียงคำรามที่ออกมาจากจิตวิญญาณ เสียงตะโกนจากการต่อต้านชะตาชีวิต

“ความหวังนั้นคงอยู่ตลอดกาล!!”

เสียงคำรามและเสียงตะโกนนี้รวมเป็นเสียงกัมปนาทกึกก้อง จุดความแค้นที่สะสมในใจของทุกคนให้ลุกไหม้ขึ้นมาโดยสมบูรณ์ ไปตามรอยแตกของโซ่ตรวน ปะทุขึ้นทุกด้าน

เสี้ยวขณะนี้ ประกายไฟไม่ได้ใกล้จะลุกไหม้

มัน…กำลังลุกไหม้แผ่ลาม!

แผ่ลามเทือกเขา แผ่ลามที่ราบ แผ่ลามไปทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา

ผู้บำเพ็ญที่สิ้นหวังนับไม่ถ้วน ดวงตาแดงก่ำ เริ่มต่อต้าน

คนธรรมดาที่เฉยชานับไม่ถ้วนเปล่งเสียงคำราม เริ่มดิ้นรน

พลังแห่งเจตจำนงตั้งมั่นไร้รูปร่างแต่ละกลุ่มแผ่ออกมาจากร่างของคนทั้งหลายในเสี้ยวขณะนี้ พวยพุ่งขึ้นจากทั่วทุกสารทิศ ผสานไปในความว่างเปล่า สุดท้าย…ก็รวมมาทางแท่นประหารเทพเจ้าทางนี้!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!