บทที่ 649 มีพายุคลั่งในใจ ถึงเรียกว่าเคยใช้ชีวิต
ชีวิตมนุษย์ไม่มีทางหวนกลับ
ดังนั้นไม่ว่าหนิงเหยียนจะทอดถอนใจเพียงใด พลาดไปแล้วก็คือพลาด
และการนึกเสียใจของเขา สวี่ชิงเห็นแต่พูดอะไรไม่ได้ ส่วนนายกองกลับภาคภูมิใจ ตอนนั้นเขาเห็นแก่หนิงเหยียนที่เป็นอาวุธในอนาคตของตนและสวี่ชิง ก็เคยเตือนไปแล้ว
แต่อีกฝ่ายไม่เชื่อ ไม่ยอมตัดลำไส้ เช่นนั้นก็ไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว
ตอนนี้ ในร้านยาเงียบไปหมด
ครู่ต่อมา รัฐทายาทวางจอกชาลง ใบหน้าแย้มรอยยิ้ม มองไปทางสวี่ชิง พยักหน้าให้เล็กๆ
“ไม่เลว”
สวี่ชิงลังเล เขามองออกว่ารอยยิ้มรัฐทายาทค่อนข้างฝืดเฝื่อน รู้ว่าสถานะวิถีสวรรค์ของตนน่าจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเกินประหลาดใจมาก จึงจะพูดอะไรบางอย่าง แต่รัฐทายาททางนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว
“วิถีสวรรค์ที่นี่นั้นเป็นเรื่องงานบ้านของเจ้า เจ้าตั้งใจสัมผัสรับรู้ก็พอ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว พวกเรามาว่ากันเรื่องเขาจักรพรรดิภูตของเจ้าดีกว่า
“เขานี้…” สายตารัฐทายาทหยุดอยู่ที่ร่างสวี่ชิง กำลังจะพูด องค์หญิงหมิงเหมยก็ยกจอกชาขึ้นมา
การกระทำนี้ทำให้รัฐทายาทชะงัก หลังจากครุ่นคิด เขาก็ส่งเสียงแหบพร่าออกมา
“เจ้าย้ายร่างเตรียมสู่เทวะเข้าไปในทะเลความรู้สึกให้กลายเป็นปราณก่อกำเนิดของตัวเองได้ คิดว่ามีแผนของตนเองอยู่ เช่นนั้นภูเขาลูกนี้ เจ้ายกระดับขึ้นตามความคิดของตัวเองก็พอ
“วันนี้ที่ข้าเรียกเจ้ามา สิ่งที่จะพูดกับเจ้าก็คือร่างมารฟ้าของเจ้า!”
“ร่างมารฟ้าหรือขอรับ” สวี่ชิงจ้องเพ่ง ขณะที่โบกมือภายนอกร่างก็มีเงามายาขึ้นนับร้อยเงาปรากฏขึ้น ทุกร่างแผ่กลิ่นอายเย็นเยียบออกมาเป็นระลอก คล้ายวิญญาณแต่ก็ไม่ใช่วิญญาณ
ร่างกายพวกมันเลือนราง ทำให้รู้สึกพร่าเลือน แต่ปราณพิฆาตเข้มข้นยิ่งนัก หลังจากปรากฏตัวออกมา ก็หนาวเย็นไปทั้งร้านยาทันที
น้องหญิงห้าสังเกตอย่างละเอียด หลังจากเจ้าแปดที่อยู่ไม่ไกลกวาดมองอย่างรวดเร็ว ก็ร้องเอ๊ะเบาๆ
“นี่มันพลังวิเศษอะไร หลอมชีวิตเป็นวิญญาณ ความคิดผสานกับยมโลก เจตจำนงของนรกภูมิ ลี้ลับมหัศจรรย์ ไม่ใช่สิ่งที่คนปกติจะครอบครอง!”
องค์หญิงหมิงเหมยคล้ายครุ่นคิด
รัฐทายาทแอบกระตุ้นตัวเองให้กระปรี้กระเปร่า สำหรับพวกปราณก่อกำเนิดแปลกประหลาดในตัวสวี่ชิงเหล่านั้นรวมถึงสติปัญญาที่น่ากลัว เขาตัดสินใจจะไม่ชี้แนะแล้ว ทว่าสำหรับวิชาพลังวิเศษ เขาคิดว่าตนยังมีสิทธิ์พูด จึงเอ่ยเสียงเรียบ
“วิชาปราณก่อกำเนิดที่อาจารย์เจ้าถ่ายทอดให้ ประกอบกับวิชาสูดอายุขัยสวรรค์ของเจ้า สร้างร่างเช่นนี้ขึ้นมาได้เยี่ยมมาก
“แต่เจ้าก็คงยังไม่ได้ศึกษาวิชานี้เหมือนกัน อันที่จริงร่างมารฟ้าเหล่านี้ของเจ้ายังมีวิธีใช้ที่ดีกว่านี้”
สวี่ชิงใจสั่นสะท้าน มองไปทางร่างมารฟ้าของตัวเองเหล่านั้น ครุ่นคิดขึ้นมา ย้อนนึกถึงสิ่งที่อาจารย์สอนในตอนนั้น
เขาจำได้ว่าสิ่งที่ท่านอาจารย์อธิบายเกี่ยวกับร่างมารฟ้า คือการใช้พวกมันรับทัณฑ์ลิขิตสวรรค์แทนตัวเอง
เพียงแต่การพัฒนาของเรื่องราวเกิดการคลาดเคลื่อนเล็กน้อย ทัณฑ์ลิขิตสวรรค์ที่สวี่ชิงประสบหลังจากพบกับรัฐทายาทน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้ง ประโยชน์ในการใช้ร่างมารฟ้ารับทัณฑ์จึงไม่มากนัก
“โปรดผู้อาวุโสชี้แนะด้วยขอรับ” สวี่ชิงเงยหน้ามองรัฐทายาท คารวะอย่างนอบน้อม
เห็นว่าเรื่องราวกลับมาอยู่ในการควบคุม ในที่สุดรัฐทายาทก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่พิจารณาความเป็นไปได้แล้วยังมีเรื่องแปลกประหลาด เขาจึงมองไปทางพี่หญิงสามของตัวเองตามสัญชาตญาณ
จู่ๆ องค์หญิงหมิงเหมยก็เอ่ยขึ้น
“สวี่ชิง ร่างมารฟ้าเหล่านี้ของเจ้า ข้ามองออกว่าด้านในแฝงประกาศิตซีหนานเอาไว้ อาจารย์ของเจ้าไม่ธรรมดาเลย ตอนที่เขาสร้างพลังวิเศษนี้ให้กับเจ้า จะต้องอ้างอิงประกาศิตซีหนานแน่นอน
“ประโยชน์ของร่างนี้ อยู่ที่การรับทัณฑ์แทน
“แต่เจ้าเคยคิดมาก่อนหรือไม่ว่าหากใช้แสงประกายอรุณของเจ้าคลุมร่างพวกมัน ให้มารฟ้าเหล่านี้ปลอมจิตวิญญาณปลอมเป็นตัวเจ้า
“เมื่อทำเช่นนี้ ตอนที่เจ้าสู้กับใครแล้วสำแดงออกมากะทันหัน สิ่งที่ศัตรูเห็น คือเจ้าที่ปรากฏตัวขึ้นมาเบื้องหน้านับไม่ถ้วน แยกตัวจริงตัวปลอมไม่ออก ล้วนเหมือนเป็นร่างแยกของเจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าจะสู้ก็ได้ถอยก็ย่อมได้ มีความเป็นไปได้ไร้ที่สิ้นสุด”
เมื่อรัฐทายาทได้ยินก็ยิ้ม พยักหน้าเอ่ยว่า
“ข้าเองก็อยากจะสื่ออกมาเช่นนี้ และหากเจ้าสับเปลี่ยนระหว่างภาพมายาและความจริงได้ เช่นนั้นพลังต่อสู้ของเจ้าย่อมเพิ่มพูนมหาศาลแน่นอน อีกทั้งยังรับมือได้ยากยิ่ง”
เมื่อทั้งสองคนกล่าวออกมา นายกองทางนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอูยิ่งรู้สึกประหลาดใจ คิดว่าหากตนลงมือกับใคร แล้วจู่ๆ ก็ปรากฏร่างแบบเดียวกันกับอีกฝ่ายขึ้นมานับร้อย ภาพนี้มันก็แปลกประหลาดอย่างมากจริงๆ
ดวงตาสวี่ชิงเปล่งประกาย สิ่งที่กล่าวมานี้เขาก็ไม่เคยนึกถึงมาก่อน หลังจากที่ได้ฟัง เขาก็เกิดความนับถือในใจขึ้นมา
แต่เทียบกับการปรับเปลี่ยนวิชา เขาคาดหวังกับการเปลี่ยนแปลงปราณก่อกำเนิดของตนมากกว่า จึงมองไปทางรัฐทายาทและองค์หญิงหมิงเหมย รอการชี้แนะถัดไปของพวกเขา
“ผู้อาวุโส ในปราณก่อกำเนิดของข้ายังมีอีกหนึ่งปราณที่ค่อนข้างพิเศษ ด้านในมีนิ้วของเทพเจ้าอยู่นิ้วหนึ่ง เป็นคุกแห่งหนึ่ง ชื่อว่าติงหนึ่งสามสอง”
“อย่าทะเยอทะยานมากเกินไป”
สายตารัฐทายาทฉายแววเข้มงวด
“เจ้ากลับไปก่อน ลองพัฒนาร่างมารฟ้า อย่าใจร้อนนัก ต้องพิจารณาให้รอบคอบ”
สวี่ชิงพยักหน้า รู้ว่าตนใจร้อน จึงคารวะแล้วเดินกลับไปยังห้องด้านหลัง นั่งลงขัดสมาธิ เริ่มทดลอง
เวลาก็ไหลผ่านไปเช่นนี้
นับตั้งแต่พวกสวี่ชิงออกจากดินแดนเจ้าเหนือหัวประหารเทพเจ้า จนถึงตอนนี้คือวันที่หกแล้ว
ในหกวันนี้ ลมพายุสีเทาในทะเลทรายยังคงหวีดหวิวต่อเนื่อง บดบังฟ้าซ่อนเร้นดวงตะวัน ปกคลุมไปทั้งแปดทิศ
ส่วนด้านนอกทะเลทราย พื้นที่มากมายในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราก็มีพายุคลั่งครืนครันเช่นกัน เพียงแต่พายุนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง มันโหมกรรโชกในใจของสรรพชีวิต
ภาพที่เจ้าเหนือหัวหลี่จื้อฮว่าประหารชื่อหมู่ก็คือต้นกำเนิดของพายุนี้ หลังจากซัดโหมอยู่ในสมองของสรรพชีวิตอย่างต่อเนื่อง ก็จุดไฟจิตวิญญาณในการต่อต้านขึ้นมาอย่างสมบูรณ์
เวลานับถอยหลังของชีวิตเหลือไม่ถึงหนึ่งปี ถ้าไม่ต่อต้าน ก็จะกลายเป็นอาหาร
ถ้าต่อต้านแม้จะต้องตาย แต่อย่างน้อยในชีวิตชาติที่เลวร้ายเคยมีการระเบิดที่เจิดจรัสเช่นนี้
อย่างน้อย ก็ได้ใช้ชีวิตจริงๆ!
เทพเจ้าหาได้อยู่ชั่วนิรันดร์ แต่ความหวังทำให้บรรพกาลนั้นคงอยู่ เช่นนี้…ก็ดิ้นรน บ้าระห่ำ ต่อต้านกันสักเล็กน้อย เพื่อชีวิตสุดท้ายนี้ของตน ทิ้งสีสันที่หลากหลายเอาไว้
อย่างน้อย นี่ก็เป็นความหวัง!
พายุคลั่งในใจของสรรพชีวิตน่าตื่นตะลึง ทุกชนเผ่า ทุกสำนัก ทุกเมืองต่างส่งเสียงกู่ร้อง ต่างแสดงอากัปกิริยา
ขณะเดียวกัน ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ตั้งกองทัพต่อต้านขึ้นในจุดต่างๆ และเผชิญหน้ากับการระเบิดปะทุที่สั่นฟ้าสะเทือนดิน ผู้บำเพ็ญนับไม่ถ้วนแต่เดิมที่ด้านชาหลั่งทะลักเข้ามา
ชนเผ่าและสำนักจำนวนมาก มองตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดด้วยสายตาโกรธแค้นคุ้มคลั่ง ชูดาบในใจขึ้นมา!
รองเจ้าตำหนักขบถจันทร์ทั้งห้า ยิ่งเลือกเดินออกมาจากฉากด้านหลังในตอนนี้ พวกเขาเปิดเผยฐานะตัวเองออกมาเป็นครั้งแรก ร้องเรียกให้สรรพชีวิตต่อต้าน
ห้าคนนี้ บ้างเป็นผู้นำเผ่าใหญ่ บ้างเป็นผู้อาวุโสระดับสูงของสำนัก บ้างก็เป็นผู้บำเพ็ญที่หายตัวไปหลังจากสร้างชื่อโด่งดังไปทั่วครั้งหนึ่ง
พลังบำเพ็ญของพวกเขา ล้วนอยู่ในระดับสูงสุดหวนสู่อนัตตาขั้นสี่
ฐานะ พลังบำเพ็ญ ความกล้าหาญของพวกเขา ชั่วขณะหนึ่งกลายเป็นคลื่นวนขนาดยักษ์ห้าวง ดึงดูดผู้บำเพ็ญทั่วสารทิศให้มารวมตัวกัน
กลายเป็นสนามรบใหญ่ห้าแห่ง!
ตำหนักพระจันทร์สีชาดเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ จึงเปิดฉากสยบขึ้นมาด้วยเหตุนี้
แต่ที่ปลกประหลาดคือ…จักรพรรดิตำหนักพระจันทร์สีชาดกลับไม่ได้ลงมือด้วยตัวเอง เหมือนเขาค่อนข้างหวาดกลัว เลือกนั่งควบคุมที่สาขาหลัก
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ขั้วอำนาจตำหนักพระจันทร์สีชาดมีอยู่มากมาย ดังนั้นการสยบจึงดำเนินต่อไป
ไฟสงครามปะทุขึ้นในจุดต่างๆ ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา
มีเพียงทะเลทราย ที่กลายเป็นดินแดนบริสุทธิ์
สวี่ชิงยังคงศึกษาร่างมารฟ้าของตน ด้วยการปกคลุมของแสงประกายอรุณ เขาทำให้ร่างมารฟ้าเหล่านั้นกลายเป็นตัวเองได้แล้ว
แต่แปรเปลี่ยนยากนัก สภาวะคุณสมบัติภายในแตกต่างกัน ทำให้มีอุปสรรคในการแปรเปลี่ยน ดังนั้นจุดสำคัญของสวี่ชิงจึงไปอยู่ที่การอำพราง
ใช้วิชาอำพราง บรรลุเป้าหมายการต่อสู้อย่างอ้อมๆ โดยที่อีกฝ่ายไม่คาดคิด
ส่วนสงครามที่ด้านนอก สวี่ชิงก็สังเกตการณ์ผ่านตำหนักขบถจันทร์ตลอดเวลา เขามีความรู้สึกแรงกล้าอย่างหนึ่งว่าไฟสงครามนี้อยู่ไม่ไกลจากเขาแล้ว
เพราะเขาพบว่า ท่านปู่แปดกับท่านย่าห้าหายตัวไป
ไม่รู้ว่าไปที่ใด
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด คาดเดาในใจมากมาย และในวันถัดมา เขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติของศิษย์พี่ใหญ่
ศิษย์พี่ใหญ่เอาใจใส่และเอาอกเอาใจรัฐทายาทและองค์หญิงหมิงเหมยมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกับรัฐทายาทยิ่งเป็นเช่นนี้
คิดไม่ถึงว่าเขาจะไปต้มน้ำให้ด้วยตัวเอง ชงชาให้รัฐทายาท ทั้งยังขันอาสานวดไหล่นวดขาให้รัฐทายาท ท่าทางกตัญญูกตเวทีอย่างยิ่ง
สวี่ชิงชี้ขาดได้ทันทีว่าศิษย์พี่ใหญ่จะต้องมีเรื่องขอร้องรัฐทายาทแน่ๆ
และก็ได้คำตอบ หลังผ่านไปห้าวัน
วันนี้ สวี่ชิงกำลังศึกษาร่างมารฟ้าของตน เสียงของรัฐทายาทก็ดังมาจากโถงใหญ่
“สวี่ชิง เจ้ามานี่หน่อย”
สวี่ชิงลืมตาขึ้นมองโถงใหญ่ สังเกตเห็นว่านายกองกำลังพัดให้รัฐทายาท สีหน้าตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
สวี่ชิงครุ่นคิดก็สาวเท้าเดินออกไป ตอนที่สบตากับนายกอง นายกองก็หัวเราะฮี่ๆ ออกแรงพัดมากกว่าเดิม
“ผู้อาวุโส”
สวี่ชิงเดินเข้าไปใกล้ เอ่ยอย่างสงบนิ่ง
“มีของอย่างหนึ่ง เดิมคิดว่าผ่านช่วงนี้ไปอยากจะมอบให้เจ้า แต่เอ้อร์หนิวค่อนข้างใจร้อน เช่นนั้นก็ให้เจ้าล่วงหน้าเลยแล้วกัน”
รัฐทายาทเอ่ยเรียบๆ โบกมือหยิบกระจกชิ้นหนึ่งออกมา
ของชิ้นนี้คือเศษชิ้นส่วนเนตรสวรรค์ที่ดินแดนเจ้าเหนือหัวประหารเทพเจ้าเชื่อมต่อกับตำหนักขบถจันทร์ สะท้อนภาพทั้งหมดเข้าไปในสมองของสรรพชีวิตนั่นเอง
เห็นเศษชิ้นส่วนกระจก ดวงตานายกองฉายความปรารถนาออกมา การเอาใจใส่ในช่วงนี้ของเขาก็เพื่อกระจกชิ้นนี้
สวี่ชิงก็กวาดตามอง รู้ว่าของชิ้นนี้ไม่ธรรมดา
“ร่างก่อนหน้านี้ของตำหนักขบถจันทร์ คือเนตรสวรรค์ล้ำค่าของเสด็จพ่อ แต่มันแตกหักในสงครามกับชื่อหมู่ และชิ้นนี้เป็นเศษชิ้นส่วนชิ้นหนึ่งในกระจกเนตรสวรรค์ที่ใหญ่ที่สุด”
“ใช้ของสิ่งนี้เข้าไปในตำหนักขบถจันทร์ แตกต่างกับการเข้าไปด้วยกระจกอื่นๆ
“ของสิ่งนี้ สามารถเปิดบททดสอบรับตำแหน่งเจ้าตำหนักขบถจันทร์ได้
“หากผ่านการทดสอบ ก็สามารถกลายเป็นเจ้าตำหนักขบถจันทร์ หากล้มเหลว ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะกลายเป็นรองเจ้าตำหนัก รองเจ้าตำหนักขบถจันทร์ทั้งห้าตนล้วนปรากฏตัวขึ้นจากวิธีการนี้
“แต่เปิดการทดสอบได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากพวกเจ้าทั้งสองเข้าไปครั้งนี้ กระจกชิ้นนี้ก็จะลบจำนวนผู้ทดสอบ มีเพียงหลังจากตำหนักขบถจันทร์สงบลงจึงจะฟื้นฟูอีกครั้ง ถึงมีจำนวนผู้ทดสอบใหม่”
กล่าวพลาง รัฐทายาทก็วางกระจกลงบนโต๊ะ
“พวกเจ้าสองคนเข้าไปพร้อมกันได้ ลองดูว่าใครจะได้วาสนานี้”
รัฐทายาทลุกขึ้นเดินออกจากร้านยา ช่วงนี้เขามีเรื่องมากมายต้องไปจัดการ เตรียมตัวเพื่อศึกใหญ่ถัดจากนี้
เห็นรัฐทายาทจากไป นายกองก็ยักคิ้ว หยิบกระจกขึ้นมาด้วยสีหน้าบ้าคลั่ง
“อาชิงน้อย ในที่สุดข้าก็ได้โอกาสนี้มาเสียที ฮ่าๆ ข้าเดาว่าเจ้าคงจะเป็นลูกกลอนเก้าใช่หรือไม่ ไม่เป็นไร ถึงมีความเป็นไปได้มากว่าเจ้าจะเป็นลูกกลอนเก้า แต่ครั้งนี้…ข้าจะเป็นเจ้าตำหนักขบถจันทร์!
“เพื่อการนี้ ข้าเตรียมตัวมานานมาก
“อาชิงน้อย อีกเดี๋ยวหลังจากพวกเราเข้าไป เจ้าก็ไปเดินเล่นตามสบายเลยไม่ต้องกดดัน และไม่ต้องสนใจข้า ไม่ว่าข้าจะเปลี่ยนไปเป็นอะไร เจ้าก็ทำเป็นมองไม่เห็นเสีย
“ข้ามีแผนของข้า!”
นายกองมองสวี่ชิง ดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับ