Skip to content

Outside Of Time 667

บทที่ 667 เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงขบถจันทร์

ริมแม่น้ำเซ่นทมิฬ ตาแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมที่มาจากเขตปกครองผนึกสมุทรไกลหมื่นลี้ ข้ามน้ำข้ามทะเลมาอย่างยากลำบาก เหน็ดเหนื่อยยากเข็ญตลอดทางมาถึงที่นี่ หลิงเอ๋อร์ที่เขาบอกว่ากินไม่อิ่ม นอนไม่หลับ ทั้งหนาวทั้งหิว…

ตอนนี้กำลังนั่งขัดสมาธิอย่างมีความสุขในห้องด้านหลังร้านยา ชีวิตที่ไร้ทุกข์ไร้กังวลในช่วงนี้ตลอดจนการยอมรับความปากหวานว่าง่ายเรียบร้อยจากเหล่าท่านปู่ท่านย่าชรา รวมกับความสัมพันธ์กับสวี่ชิง ทำให้นางราวกับองค์หญิงน้อย ใบหน้าเล็กๆ กลมขึ้นมาอีกเป็นกอง

ดูกลมยุ้ย น่ารักเป็นอย่างมาก

ตอนนี้ในมือของนางถือลูกกลอนที่สวี่ชิงให้เอาไว้

ลูกกลอนกระดูกเม็ดนี้จิ้งจอกดินเหนียวเก็บสะสมเอาไว้ ย่อมเป็นของไม่ธรรมดา จะต้องแปรสภาพมาจากผู้วิเศษยิ่งใหญ่คนใดของเผ่าวิญญาณบรรพกาลแน่นอน

บางทีสำหรับเผ่าพันธุ์อื่นอาจจะไม่มีความหมายเท่าใด แต่สำหรับเผ่าวิญญาณบรรพกาลแล้ว นี่เป็นของวิเศษล้ำค่า

โดยเฉพาะทางหลิงเอ๋อร์ทางนี้ นางมีพลังชะตาเผ่าวิญญาณบรรพกาลปกป้องคุ้มครอง ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่จำเป็นต้องขบคิดเรื่องสายเลือดถูกสาป ดังนั้นดูดซับพลังลูกกลอนกระดูกเม็ดนี้ ไม่มีข้อจำกัดอย่างอื่น ขีดจำกัดสูงสุดของร่างกายนาง ก็คือขีดจำกัดสูงสุดของการดูดซับ

รวมกับสวี่ชิงคุ้มกันให้นาง ก็ยิ่งปลอดภัยไร้ปัญหา

ดังนั้น ไม่นานนัก จากการโคจรของพลังบำเพ็ญ ลูกกลอนกระดูกละลายอย่างช้าๆ เกิดเป็นหมอกสีเงินเป็นกลุ่มๆ ทะลักเข้าไปตามจมูกของหลิงเอ๋อร์ ในขณะที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง ระลอกคลื่นพลังบำเพ็ญของนางก็พลันพุ่งเพิ่มขึ้น

ในตอนที่เพิ่งมาถึงแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรากับสวี่ชิง พลังบำเพ็ญของหลิงเอ๋อร์ก็เป็นระดับสร้างฐาน เพียงแต่ยังไม่เสถียร หลังจากผ่านเรื่องราวต่างๆ ตอนนี้ก็มั่นคงแล้ว

และการบำเพ็ญของเผ่าวิญญาณบรรพกาลไม่เหมือนกับเผ่าอื่นๆ เหมือนว่าไม่จำเป็นต้องผ่านการทะลวงช่องเวทหรือขั้นไฟแห่งชีวิต ตอนนี้จากการดูดซับลูกกลอนกระดูก กลิ่นอายบนร่างของหลิงเอ๋อร์ก็เข้าใกล้ขั้นแก่นลมปราณแล้ว

ภาพนี้สวี่ชิงรู้สึกน่าอัศจรรย์นัก

‘คล้ายกับลูกกลอนพิษต้องห้าม…วิธีการฝึกฝนในอดีตไม่เหมือนกับตอนนี้’

สวี่ชิงพึมพำในใจ ลูกกลอนพิษต้องห้ามที่เปิดได้จากกล่องปรารถนา หลังจากผสานไปในร่างกายแล้วก็เป็นเช่นนี้ เพียงแต่เนื่องจากสวี่ชิงตอนนั้นกับลูกกลอนพิษต้องห้ามไม่ได้มีต้นกำเนิดพลังเดียวกัน เขาจึงเลือกผสานมันเข้าไปในวังสวรรค์ ใช้วิธีการอ้อมๆ นี้ เป็นวิชาควบคุมขั้นต้นในตอนนั้น

แต่ทางหลิงเอ๋อร์ต่างออกไป

จากหมอกสีเงินทะลักไปหาหลิงเอ๋อร์ทั้งหมด ลูกกลอนกระดูกหายไปจากมือของนาง ในยามที่ปรากฏอีกครั้งก็มาปรากฏในร่าง เหมือนกลายเป็นแก่นพลังภายใน

เพียงพริบตา พลังสายเลือดก็พลันปะทุในร่างหลิงเอ๋อร์ ขณะที่เลือดลมโหมทะลัก ก็จะเห็นว่าข้างหลังหลิงเอ๋อร์มีเทพีนักรบสวมชุดเกราะองค์หนึ่งปรากฏขึ้นรางๆ

สตรีผู้นี้ร่างสูงโปร่ง งดงามบริสุทธิ์ จิตสังหารทั่วทั้งร่างเด่นชัด มือถือทวนยาว จะเห็นอสรพิษมังกรวนล้อมอยู่รอบกาย คำรามไปยังท้องฟ้าอย่างหยิ่งทะนง

นี่ถึงจะเป็นร่างจริงของเผ่าวิญญาณบรรพกาล

เผ่านี้ยามเด็กเป็นงู บรรลุนิติภาวะเป็นมนุษย์ เมื่อสายเลือดบริบูรณ์ก็จะมีมังกรสวรรค์เคียงข้าง อสรพิษมังกรคุ้มกาย กำลังรบน่าตื่นตะลึง

‘ปีศาจ!’

สวี่ชิงดวงตาฉายประกายวาบ เขามองออกแล้ว วิธีการฝึกบำเพ็ญของหลิงเอ๋อร์เหมือนกับการฝึกบำเพ็ญของอสูรร้ายบางประเภท คือการฝึกฝนแก่นพลังภายในของตัวเอง ขุดค้นสายเลือดของตัวเองเป็นหลัก

และการทะลวงขั้นครั้งนี้ สำหรับหลิงเอ๋อร์แล้วมีความหมายเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่อาจสำเร็จในระยะเวลาเพียงสั้นๆ ต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งในการหล่อเลี้ยง ดังนั้นไม่นานนัก หลิงเอ๋อร์ที่จมอยู่ในการฝึกบำเพ็ญ ก็แปรเปลี่ยนเป็นแสงทางหนึ่ง พุ่งมาบนแขนของสวี่ชิง กลายเป็นตราประทับ

สวี่ชิงสามารถสัมผัสได้ถึงสภาวะของหลิงเอ๋อร์ได้อย่างชัดเจนผ่านตราประทับ หลังจากพบว่าทุกอย่างราบรื่น สวี่ชิงก็สำรวจปราณของตัวเองเล็กน้อย

‘ต้องรีบทำให้ปราณอื่นๆ นอกจากปราณพระจันทร์สีม่วงยกระดับถึงเหนี่ยวนำห้าทัณฑ์ได้ทั้งหมด

‘หลังจากผ่านทัณฑ์ที่ห้า ข้าก็จะเป็นระดับปราณก่อกำเนิดบริบูรณ์

‘แล้วก็มีศิษย์พี่ใหญ่ทางนั้น ต้องเอาไตไปให้เขา’

คิดถึงตรงนี้ สวี่ชิงก็เอากระจกออกมา ก้าวไปในตำหนักโถงสูงสุดตำหนักขบถจันทร์ หลอมรวมไปในรูปสลักเทพเจ้า ทันทีที่ลืมตาขึ้น เขาก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกของนายกอง

‘อาชิงน้อย ข้าสัมผัสไตได้แล้ว!

‘ศิษย์น้องเล็ก เพื่อข้าแล้วเจ้าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่แสนสาหัสอย่างแน่นอน เรื่องนี้ศิษย์พี่ใหญ่ไม่มีทางลืมแน่!’

บนประตูใหญ่ สัญลักษณ์ขนาดเล็กของนายกองปรากฏขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าที่ตื่นเต้น

สวี่ชิงมองเขาผาดหนึ่ง เพียงสะบัดมือก็มีไตสีทองชิ้นหนึ่งพุ่งไปยังสัญลักษณ์ ผสานไปในนั้นในพริบตา ไม่นานในสัญลักษณ์ก็มีเสียงสบายใจของนายกองดังมา

‘ในที่สุดข้าก็กลายเป็นชายอกสามศอกที่สมบูรณ์อีกครั้งแล้ว!

‘ศิษย์น้องเล็ก คราวนี้พวกเราก็เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว ขาดแค่เปิดประตูบานนี้เท่านั้น วางใจเถอะ เจ้าและข้าโจมตีทั้งภายในและภายนอก รวมกับสายเลือดเทพพิบัติพวกนั้น อีกไม่นานพวกเราก็ทลายได้!’

นายกองสีหน้าพยศดื้อดึง ในใจเต็มไปด้วยความฮึกเหิม เห็นได้ชัดว่าการได้ไตกลับคืนมา ทำให้ความมั่นใจของเขาพุ่งเพิ่มมหาศาล

‘จริงสิ ศิษย์น้องเล็ก ตัวตนของจิ้งจอกดินเหนียวตัวนั้นคืออะไร เจ้ามีเบาะแสหรือยัง’

สวี่ชิงพยักหน้า

“เป็นเทพชั้นสูงซิงเหยียน”

นายกองดวงตาจ้องเพ่ง

สวี่ชิงไม่รีบไม่ร้อน เล่าเรื่องให้นายกองฟัง รวมไปถึงสถานที่สุดท้ายที่เขาไปกับจิ้งจอกดินเหนียว และประตูที่เพิ่มขึ้นมาบานนั้น

นายกองเมื่อฟังแล้วก็คล้ายครุ่นคิด

‘ที่แท้ก็เป็นท่านผู้นี้นั่นเอง ข้าไม่เคยเจอมาก่อน แต่ศิษย์น้องเล็ก จากที่เจ้าเล่าให้ฟัง เทพชั้นสูงสวยสะคราญหยาดเยิ้มผู้นี้น่าจะมีจุดประสงค์ไม่ดี’

นายกองเลียริมฝีปาก เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม

‘ศิษย์น้องเล็ก เจ้าทำเพื่อศิษย์พี่ใหญ่มากพอแล้ว ข้าทนเห็นเจ้าเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ เอาอย่างนี้…เจ้ากลับไปแนะนำข้ากับแม่สาวยั่วสวาท…อะแฮ่ม เทพชั้นสูงผู้นี้

‘ข้าจ่ายค่าตอบแทนเอง!’

นายกองน้ำเสียงจริงจัง ทำท่าทางเหมือนเพื่อศิษย์น้องของตัวเองแล้ว ไม่เอาอะไรก็ได้ทั้งนั้น

“เรื่องแบบนี้ ในฐานะที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ ไม่ว่าจะด้วยมิตรไมตรีหรือด้วยศีลธรรม เมื่อเผชิญกับภาระหน้าที่ก็จะเข้ามาแบกรับอย่างไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น ข้าจ่ายค่าตอบแทนเอง ข้าจะมอบปราณพลังหยางของข้าให้กับเทพชั้นสูงผู้นี้!’

นายกองน้ำเสียงโศกเศร้าโกรธแค้น ในสีหน้ายิ่งฉายความเด็ดเดี่ยวออกมา

“ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่เป็นอย่างมาก ข้าได้แนะนำแล้ว องค์ท่านรังเกียจที่ท่านอัปลักษณ์”

สวี่ชิงจนปัญญา ความจริงนี่ก็เป็นหนึ่งในแผนการแต่เดิมของเขาเหมือนกัน

พูดคำพูดนี้ออกมา นายกองอึ้งตะลึง มองไปทางสวี่ชิงอย่างลังเล เขาไม่ค่อยแน่ใจว่าคำพูดนี้ของสวี่ชิงคือเป็นการปฏิเสธหลังจากที่ฟังความหมายของเขาออก หรือความจริงก็เป็นอย่างนี้จริงๆ

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร แม้จะมีเทพชั้นสูงเพิ่มขึ้นมา ทำให้เรื่องใหญ่ในอนาคตมีปัจจัยเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย แต่จะอย่างไรก็เพิ่มความเป็นไปได้ของความสำเร็จ นายกองจึงกระแอมออกมาทีหนึ่ง ไม่ได้พูดเรื่องก่อนหน้านี้อีก

วันเวลาหลังจากนั้น สวี่ชิงนอกจากฝึกบำเพ็ญตามปกติทุกวันแล้ว ก็มาส่งเลือดบุตรเทวะให้ เพิ่มพลังทั้งในและนอกกับนายกอง ทำให้เสียงครืนครันสนั่นหวั่นไหวของประตูตำหนักโถงสูงสุดยิ่งสั่นสะเทือน

สัญลักษณ์ชื่อหมู่บนนั้นก็เริ่มเผาไหม้ รางเลือนอย่างเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป วันที่ทำลายลงได้ ก็อีกไม่ไกลแล้ว

แต่สำหรับผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ พวกเขาชินกับการสั่นสะเทือนของตำหนักโถงสูงสุดทุกวันแล้ว ก็ไม่ได้มีจิตใจสนใจสักเท่าไร เพราะช่วงนี้จากการประชิดเข้ามาของดาวพระจันทร์สีชาด จากการเก็บตาข่ายของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด กองทัพต่อต้านเซ่นจันทราก็ล้วนอยู่ในวิกฤตอันตราย

และเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง ในสิบกว่าวันหลังจากนั้นก็เกิดขึ้นแล้ว

รองเจ้าตำหนักที่สองตำหนักขบถจันทร์ รบตาย!

การตายของเขาสำหรับตำหนักขบถจันทร์ทั้งหมดแล้วเป็นการความเสียหายครั้งใหญ่ ศึกนั้นเลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ในขณะที่เสียงร้องโศกเศร้าดังไม่สิ้นสุด ก็ทำให้จิตใจมุ่งมั่นสั่นคลอน

เทียนหนานจื่อรองเจ้าตำหนักสี่ที่มุ่งหน้าไปช่วยเหลือก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ไร้แรงพลิกสถานการณ์ ทำได้เพียงนำกำลังรบที่หลงเหลือของทั้งสองฝ่ายกลับไปอย่างพ่ายแพ้

และยังไม่ทันให้ขวัญกำลังใจของตำหนักขบถจันทร์ฟื้นคืนกลับมาจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ เรื่องที่ใหญ่ยิ่งกว่ารองเจ้าตำหนักรบตายก็ราวสายฟ้าน่าตกใจฟาดผ่ามายังทั้งตำหนักขบถจันทร์อีกครั้ง

รองเจ้าตำหนักหนึ่งและรองเจ้าตำหนักห้าตัดสินใจหักหลังตำหนักขบถจันทร์ เข้าร่วมกับพระจันทร์สีชาด เป็นผู้บำเพ็ญพระจันทร์สีชาด

ยิ่งเพื่อที่จะแสดงความภักดี พวกเขาก็ใช้อำนาจของตัวเอง ปิดทางเข้าตำหนักขบถจันทร์ ทำให้ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ทั้งหมดไม่สามารถเข้าไปในตำหนักขบถจันทร์ได้

เรื่องนี้ทำให้เกิดคลื่นท่วมฟ้า ต้องรู้ว่าการเข้าไปในตำหนักขบถจันทร์เป็นปราการสุดท้ายของผู้บำเพ็ญขบถจันทร์ ตอนนี้ไม่สามารถอาศัยตำหนักขบถจันทร์หลบหลีกได้ ก็เท่ากับเป็นการตัดเส้นทางมีชีวิตรอดของผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์

แม้รองเจ้าตำหนักสามและรองเจ้าตำหนักสี่คนหนึ่งยังคงยืนหยัด คนหนึ่งแพ้พ่ายถูกไล่สังหารแต่ยังมีชีวิตอยู่ แต่อำนาจของรองเจ้าตำหนักหนึ่งในบรรดาพวกเขามีมากที่สุด ดังนั้นภายในระยะเวลาสั้นๆ พวกเขาไม่อาจลบผนึกตำหนักขบถจันทร์ได้

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หลังจากเผชิญกับเรื่องนี้ ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ต่างเกิดวิกฤตความเชื่อมั่นซึ่งกันและกันอย่างรุนแรง

ต้องพูดเลยว่าการทรยศของรองเจ้าตำหนักทั้งสองไม่ว่าจะเป็นการเตรียมการแต่เดิมของพระจันทร์สีชาด หรือเกิดจากความปรารถนาในชีวิตของพวกเขาทั้งสองคน ก็ทำให้ตำหนักขบถจันทร์ในตอนนี้แตกแยกซ่านกระเซ็น

และสาเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ไล่เรียงไปดูที่ต้นเหตุแล้ว ก็เป็นเพราะเนิ่นนานมานี้ตำหนักโถงสูงสุดของตำหนักขบถจันทร์ไม่เคยเปิดออก ไม่มีเจ้าตำหนักที่แท้จริงปรากฏตัว เช่นนั้นก็เป็นฝูงมังกรไร้ผู้นำ ไร้ความสามัคคี

สถานการณ์มาถึงในช่วงที่สิ้นหวังที่สุด ความปั่นป่วนวุ่นวายในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราก็เช่นกัน ดาวพระจันทร์สีชาดที่อยู่ที่ไกลปกคลุมมาเกือบครึ่งของม่านฟ้า

ไม่มีใครรู้ว่าความหวังอยู่ที่ไหน จะปรากฏขึ้นมาหรือไม่

ทุกอย่างเข้าสู่การนับถอยหลังแล้ว

ทะเลทราย ดินแดนสุขสงบเพียงแห่งเดียวในตอนนี้เหมือนตะเกียงดวงสุดท้ายในราตรีมืด

ตอนนี้ นอกตะเกียงดวงนี้ รองเจ้าตำหนักสี่ที่อาการบาดเจ็บยิ่งทวีความสาหัสขึ้น นำลูกน้องใต้บังคับบัญชาของตัวเองและกองทัพหลงเหลือของรองเจ้าตำหนักสองใกล้เข้ามาเงียบๆ

พวกเขาไม่มีที่ไหนให้ไปแล้ว มีเพียงทะเลทรายเท่านั้นที่เป็นเป้าหมายที่เหลือของพวกเขา

ผู้บำเพ็ญหลายแสนเหล่านี้ล้วนสับสนทำอะไรไม่ถูก สีหน้าหมองหม่น สำหรับความตายความจริงพวกเขาไม่ได้สนใจขนาดนั้นแล้ว ความเฉยชาแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ความเหนื่อยล้ากลายเป็นภาระของชีวิต สลัดไม่หลุดแม้แต่น้อย

คล้ายว่าความเหนื่อยล้าไม่ใช่ภาระของพวกเขา เพราะมีความหวังลุกไหม้อยู่ในใจของพวกเขา กลายเป็นเปลวเพลิง กำลังลุกไหม้โชติช่วง

จำนวนของคนเหล่านี้มีประมาณพันคน พวกเขาเหมือนก่อเป็นขั้วอำนาจกลุ่มหนึ่ง รวมตัวอยู่ด้วยกัน ในนั้นพลังบำเพ็ญแข็งแกร่งอ่อนแอล้วนมีทั้งนั้น

ระหว่างพวกเขาสมัครสมานสามัคคีกันเป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะเสื้อผ้าอาภรณ์ แม้สีและรูปแบบจะแตกต่างกัน แต่มีจุดที่เหมือนกัน

ที่หน้าอกปักตัวอักษรคำว่าเก้าเอาไว้

ที่หลังปักอักษรคำว่าลูกกลอนเอาไว้

คนกลุ่มนี้ก็คือผู้ติดตามปรมาจารย์ลูกกลอนเก้าที่ทั้งลึกลับและเป็นตำนานในตำหนักขบถจันทร์คนนั้นนั่นเอง!

พวกเขามีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นผู้นำ ผู้หญิงคนนี้พลังบำเพ็ญระดับสมบัติวิญญาณ แม้จะสวมชุดคลุมยาวแต่ก็ยากจะปกปิดรูปร่าง โดยเฉพาะใบหน้าที่ไม่ถึงกับโฉมสะคราญหยาดเยิ้ม แต่ก็นับว่าเป็นสาวงามชั้นเลิศคนหนึ่งเช่นกัน

นางไม่ใช่คนที่มีพลังบำเพ็ญแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม แต่ผู้ติดตามปรมาจารย์ลูกกลอนเก้ากลุ่มนี้กลับยอมรับนางเป็นผู้นำเอง เห็นได้ว่าผู้หญิงคนนี้ในบรรดาผู้ติดตาม ฐานะตำแหน่งสูงมาก

“ทุกคนอดทนอีกหน่อย พวกเราใกล้จะถึงทะเลทรายครามแล้ว!

“จากที่ข้าได้ยินเสียงเต๋าของปรมาจารย์เมื่อสองเดือนก่อน ข้าสัมผัสได้ถึงความอัศจรรย์ของปรมาจารย์ ปรมาจารย์ใช้ทรายครามเป็นเตา ตะวันจันทราเป็นไฟ ใช้กฎเกณฑ์ฟ้าดินเป็นวัตถุดิบยา หลอมรวมลมขาว เป็นลูกกลอน!

“และลมขาวมีอยู่ในทะเลทรายครามเท่านั้น ดังนั้น…ปรมาจารย์จะต้องอยู่ในทะเลทรายนี้อย่างแน่นอน!”

เสียงของผู้หญิงคนนี้ฮึกเหิม เอ่ยเสียงดังกับคนทั้งหลายอย่างองอาจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!