Skip to content

Outside Of Time 720

บทที่ 720 หมู่ดาราสิ้นแสง ตะวันจันทราหลบเลี่ยง

ความฮึกเหิม แผ่ขยายไปทั่วสารทิศจากการยืนอย่างองอาจบนฟากฟ้าของนายกองกับสวี่ชิง

ผู้ครองกระบี่ทั้งหมดล้วนฮึกเหิม คล้ายกลับไปเสี้ยวขณะการเปลี่ยนแปลงของเจ้าเขตปกครองผนึกสมุทรในตอนนั้น

ตอนนั้น สวี่ชิงก็ยืนอยู่ระหว่างฟ้าดินเช่นนี้ ร่างเงาประทับอยู่ในใจของทุกคน

และวันนี้ เงาร่างนี้ทรงพลังอย่างยิ่ง รัศมีอำนาจดั่งสายรุ้ง สะท้านฟ้าสะเทือนดิน

ผู้ครองกระบี่จึงทยอยเหาะเหินออกมาภายใต้ความตื่นเต้นนี้ รวมตัวกับสวี่ชิงทางนั้น เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ทั้งเขตปกครองผนึกสมุทรในยามนี้ ก่อเจตจำนงต่อสู้ที่แข็งแกร่งขึ้น

แม้พลังบำเพ็ญและตำแหน่งของนายท่านเจ็ดและโหวเหยาเหนือกว่าสวี่ชิงมาก ทว่าตำแหน่งที่อยู่ในใจทุกคนสูงยิ่ง มองได้เพียงไกลๆ แต่ไม่อาจเข้าใกล้

เพราะห่างกันเกินไป

ทว่าสวี่ชิงไม่ใช่ สวี่ชิงเป็นสหายร่วมรบของพวกเขา ร่วมเป็นร่วมตายกันมา ขณะที่คุ้นเคยกันดี พวกเขาก็ยอมรับในอุปนิสัยของสวี่ชิงด้วย

พวกเขาจึงเคารพและรู้สึกสนิทสนมกับสวี่ชิงมาก

ตอนนี้ผู้ครองกระบี่ทั้งหมดยืนอยู่ข้างสวี่ชิง ยืนอยู่กับเขา

เมื่อมองสหายร่วมรบเหล่านี้ ในใจสวี่ชิงก็เกิดระลอกคลื่น เขาจำคำพูดที่จื่อเสวียนเคยพูดกับตนได้มาโดยตลอด ตอนนั้นเขาที่เพิ่งมาถึงเขตปกครองผนึกสมุทร ยังรู้สึกไม่ยอมรับผู้ครองกระบี่เท่าไรนัก และไม่แน่ใจว่าตนจะเข้าร่วมได้อย่างแท้จริงหรือไม่

เป็นจื่อเสวียนที่บอกกับเขาว่า เมื่อไรที่เขามีความรู้สึกเคารพก่อน จนพัฒนาไปเป็นความนับถือกลุ่มคนรวมถึงบุคคลในนี้ ก็อาจจะหาคำตอบได้แล้ว

ความเคารพ มาจากความเข้าใจ ความนับถือ มาจากข่งเลี่ยงซิว เจ้าวังคนเก่าของวังครองกระบี่

ความรู้สึกหลายอย่างปะทุขึ้นมาในใจสวี่ชิง เขาสูดลมหายใจลึก สะกดมันลงมา เพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลารำลึกอดีต

วิกฤติของเขตปกครองผนึกสมุทรครั้งใหญ่นี้ยังไม่จบ

ที่ตายไปเป็นเพียงบรรพจารย์หลิงอวิ๋นรวมถึงผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรที่ทรยศส่วนหนึ่งเท่านั้น พวกเขาอาจจะคิดว่าตัวเองไม่ธรรมดา เรียกลมเรียกฝนในอาณาเขตของตนเองได้ จึงรู้สึกว่าได้รับการให้ความสำคัญ

แต่ความจริงในใจชายกลางคนที่นั่งอยู่บนช้างสีขาว คนเหล่านี้เป็นเพียงนกกระจอกบ้านนอกเท่านั้น

สำหรับผู้ที่มาจากดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิที่คุ้นเคยกับความเหนือกว่าของเขาไปแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ได้สลักสำคัญ

เขาก็เพียงเสียดายบรรพจารย์หลิงอวิ๋นเท่านั้น

แต่ไม่ได้เสียดายมากนัก

สิ่งที่ทำให้เขาเคร่งขรึม คือสวี่ชิงรวมถึงนายกองในระดับสมบัติวิญญาณสังหารหวนสู่อนัตตาได้ ต่อให้เป็นในดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิ เรื่องนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

‘มีเพียงเผ่าใหญ่โตในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์เหล่านั้นเท่านั้น ถึงจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ได้ แต่ก็หายากอย่างยิ่ง’

ชายกลางคนหรี่ตาลง สายตาหยุดอยู่ที่ร่างสวี่ชิงและนายกอง

ก่อนหน้านี้ เขาเคยได้ยินชื่อของสวี่ชิง และรู้ว่าชื่อนี้สำคัญอย่างยิ่งกับเขตปกครองผนึกสมุทร ในใจก็ยอมรับ ว่าอัจฉริยะฟ้าประทานเช่นนี้ จะต้องถูกเขตปกครองผนึกสมุทรให้ความสำคัญอย่างแน่นอน

‘เด็กคนนี้ใกล้จะเติบโตเต็มที่แล้ว แต่เจ้าคนข้างๆ นั่น ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน’

คิดถึงตรงนี้ เขาจึงเอ่ยขึ้นเนิบๆ

“เจ้าคือสวี่ชิงหรือ

“ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ เคยได้ยินองค์ชายเจ็ดเอ่ยชื่นชมเจ้า จักรพรรดิหยั่งใจหมื่นจั้ง กระทั่งฝ่าบาทยังประทานรางวัลให้

“ดังนั้นเรื่องที่เจ้าสังหารหลิงอวิ๋น ข้าจะไม่ติดใจเอาความชั่วคราว

“เจ้าที่ได้แต้มความชอบเป็นอันดับหนึ่งของเผ่ามนุษย์ ได้รับพระราชทานป้ายทอง ชุดคลุมสีเหลืองรวมถึงคุณสมบัติเข้าวังศึกษา คิดแล้วคงจะเข้าใจสถานการณ์โดยรวมเป็นอย่างดี

“การเกณฑ์ทหารในเขตปกครองผนึกสมุทรครั้งนี้ ให้เจ้าเป็นผู้นำทัพไปที่สนามรบ สร้างคุณความดีชดเชยความผิด เจ้าจะยอมรับหรือไม่”

ชายกลางคนบนหลังช้างสีขาวเอ่ยเสียงเรียบ

เมื่อเขากล่าวออกมา เหล่าผู้บำเพ็ญในชุดเกราะสีเลือดที่นั่งอยู่บนแมงป่องยักษ์นับหมื่นตน ก็ก้าวออกมาด้านหน้า การเคลื่อนไหวของพวกเขาโหมคลื่นยักษ์น่าครั่นคร้ามขึ้นทันที ทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสี สายลมหวีดหวิวก่อตัวเป็นพายุ ปั่นป่วนเมฆลม

เยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง ราวกับเพียงสั่งการ พวกเขาก็จะทำลายอุปสรรคเบื้องหน้าทั้งหมดให้ราบคาบ

ที่เขตปกครองผนึกสมุทร ด้วยการเหนี่ยวนำของบรรยากาศนี้ จิตสังหารก็พวยพุ่งขึ้นมาเช่นกัน ผู้ครองกระบี่พากันชักกระบี่ รอเพียงคำสั่งของสวี่ชิง

ผู้บำเพ็ญสองวังรวมถึงศิษย์สำนักอื่นๆ ก็เคร่งขรึมขึ้นมา

สวี่ชิงเงียบนิ่ง ไม่ได้ตอบกลับคำถามผู้บัญชาการทหารในทันที แต่หันไปมองผู้ครองกระบี่รอบๆ มองผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรทั้งหมด สุดท้ายมองนายท่านเจ็ดและโหวเหยา

ในสายตาชื่นชมนายท่านเจ็ดเข้มข้นขึ้น ยิ้มออกมา

“เจ้าโตแล้ว”

ประโยคนี้ แสดงความในใจออกมาทั้งหมด เขาให้สวี่ชิงเป็นผู้เลือก

โหวเหยาทางนั้นก็มองสวี่ชิงอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย เขาคล้ายมองเห็นร่างของ ข่งเลี่ยงซิวในตอนนั้นบนร่างสวี่ชิงลางๆ จึงพยักหน้าให้สวี่ชิงด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าเคยสร้างคุณูปการน่าตกตะลึงให้สรรพชีวิตในเขตปกครองผนึกสมุทรหากมิใช่เพราะพลังบำเพ็ญเจ้าไม่สูงพอ เดิมตำแหน่งเจ้าเขตปกครองก็เป็นของเจ้า ข้าและอาจารย์ของเจ้า คอยดูแลเขตปกครองผนึกสมุทรระหว่างที่เจ้ายังไม่เติบโต แต่บัดนี้…

“เจ้าจงกำหนดเส้นทางอนาคตของเขตปกครองผนึกสมุทรเองเถิด”

จากการที่ทั้งสองเอ่ยปาก เจ้าวังทั้งสามวัง ผู้ดูแล รวมถึงผู้แข็งแกร่งสำนักต่างๆ ล้วนมองมาทางสวี่ชิงอย่างอ่อนโยน

สวี่ชิงสูดหายใจลึก คารวะไปทางนายท่านเจ็ดและโหวเหยา หมุนตัวมองไปรอบๆ มองสายตาผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทร เขารู้สิ่งที่อยู่ในใจพวกเขาแล้ว

ดังนั้น ดวงตาสวี่ชิงจึงมีระลอกคลื่น มองผู้บัญชาการทหารที่นั่งอยู่บนช้างสีขาว เอ่ยอย่างสงบนิ่ง

“จักรพรรดิมนุษย์มีโองการ ให้เขตปกครองผนึกสมุทรปกครองตนเอง คำสั่งของท่าน ข้ามิอาจทำตามได้!”

เมื่อสวี่ชิงกล่าวออกมา พลังอำนาจของเขตปกครองสมุทรพลันระเบิดขึ้น ประโยคนี้ ผู้คนในเขตปกครองผนึกสมุทรอยากจะพูดมานานแล้ว แต่ขาดความมั่นใจจึงทำได้เพียงอดกลั้นไว้

บัดนี้ สวี่ชิงพูดมันออกมา ราวกับทัณฑ์สวรรค์ฟาดผ่า กึกก้องไปทั่วทิศ

เมื่อผู้บัญชาการทหารกลางคนบนหลังช้างได้ยิน ดวงตาก็มีประกายเย็นพาดผ่าน จากนั้นดางตาหลุบลงเล็กน้อย เอ่ยเรียบๆ

“จับตัวสวี่ชิงเอาไว้ ส่งให้อ๋องสวรรค์ลงโทษ คนอื่นๆ หากขัดขืน ให้ตัดสินว่าเป็นกบฏ สังหารทิ้งไม่ละเว้น”

พริบตาต่อมา กองทัพเกราะสีเลือดนับหมื่นตนกลางท้องฟ้า ปราณพิฆาตบนตัวปะทุออกมาน่าครั่นคร้าม เคลื่อนพลอย่างยิ่งใหญ่ พุ่งครืนครันไปที่เขตปกครองสมุทรด้วยพลังอำนาจถล่มภูเขาล้มทะเล

มองไกลๆ เงาแมงป่องยักษ์สีเลือดตัวหนึ่ง ก็พุ่งออกมาจากการรวมตัวกันของกลิ่นอายที่พวยพุ่งออกมาจากร่างทหารนับหมื่นตน ส่งเสียงร้องคำรามดังสนั่นหวั่นไหวไปทางเขตปกครองผนึกสมุทรจากบนฟากฟ้า

เสียงระเบิดไร้รูปร่าง ก่อตัวเป็นลมพายุ

ทันใดนั้นผืนแผ่นดินสั่นสะเทือน เมฆหมอกตลบม้วน ตะวันจันทราไร้สี

ส่วนทางด้านเขตปกครองผนึกสมุทรที่อดทนมาจนถึงขีดจำกัดตั้งนานแล้ว บัดนี้ก็ระเบิดพลังออกมาเช่นกัน ร่างเงาหลายร่างแปรเป็นสายรุ้งยาว ก่อเป็นค่ายกลกลางอากาศ

สามวังสามค่ายกล ลักษณะแตกต่างกัน

วังครองกระบี่ทางนั้น กลิ่นอายรวมตัวกันเป็นเงากระบี่ สะบั้นได้ทุกสรรพสิ่ง

วังพิธีการรวมถึงวังอาญาก็เช่นกัน ต่างสำแดงรัศมีอำนาจ

บนพื้นดิน ยังมีหุ่นเชิดสูงใหญ่พุ่งออกมาอย่างรวดเร็วตัวแล้วตัวเล่า ทุกตัวล้วนมี ผู้บำเพ็ญจำนวนมากคอยควบคุม

ขณะเดียวกัน บนท้องฟ้าก็มีตาข่ายขนาดยักษ์ของวิเศษเวทต้องห้ามเขตปกครองผนึกสมุทรปรากฏขึ้น ผสานงานกับของวิเศษต้องห้ามของสำนักต่างๆ แผ่ปกคลุมไปทั้งฟ้าดิน

สงคราม บางทีสำหรับเผ่ามนุษย์ในเขตปกครองที่แผ่นดินอื่นอาจมีประสบการณ์ไม่มากนัก และส่วนใหญ่จะขนาดเล็ก แต่สำหรับเขตปกครองผนึกสมุทร พวกเขาผ่านสงครามขนาดใหญ่มานานปี คนเหล่านี้ที่เหลืออยู่ ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญที่เจนสงครามทั้งสิ้น

ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกคุ้นเคยกับสงครามเป็นอย่างดี

ทั้งสองฝ่ายก็เข้าประหัตประหารกันในพริบตา สวี่ชิงคารวะไปบนท้องฟ้า จะเชิญให้ผู้อาวุโสเก้าลงมือ แต่ไร้การตอบกลับ

สวี่ชิงลอบถอนใจ แต่เขาเข้าใจ ตัวตนระดับผู้อาวุโสเก้า ไม่ใช่คนที่ตนอยากจะให้ลงมือแล้วเขาจะลงมือ

ต้องดูระดับชั้นของศัตรูด้วย

ดังนั้นไม่นานนัก สนามรบก็ครืนครันไม่รู้จบ อัสนีสลายไป ส่วนผู้ใต้บังคับบัญชาเกราะสีทองรอบๆ ชายกลางคนบนหลังช้างสีขาวเหล่านั้นต่างดวงตาฉายแววเยือกเย็น ทยอยเหาะเหินออกมา ขณะที่พลังบำเพ็ญหวนสู่อนัตตาปะทุ นายท่านเจ็ดและ โหวเหยาก็เหาะออกไป

เปิดฉากสงครามของผู้แข็งแกร่งหวนสู่อนัตตาทั้งสองฝ่าย

ส่วนพวกศิษย์ทรยศเขตปกครองผนึกสมุทรที่ยังไม่ถูกเรือสวี่ชิงชนตายไปก่อนหน้านี้ในกลุ่มกองทัพใหญ่ เมื่อเห็นว่าเกิดสงคราม ต่างก็รู้สึกตึงเครียด แต่เมื่อเริ่มมั่นใจกับสถานการณ์แล้ว ความตื่นตระหนกก็หายไป จากนั้นก็เข้าร่วมสงคราม

สวี่ชิงหรี่ตาลง ร่างไหววูบ พุ่งไปหาคนเหล่านั้น ทุกที่ที่แล่นผ่าน ความว่างเปล่าครืนครัน ชั่วพริบตาสวี่ชิงก็เข้าประชิดผู้บำเพ็ญสมบัติวิญญาณคนหนึ่ง

สภาวะเทพขั้นที่หนึ่งของสวี่ชิงรวดเร็วเกินไป อีกฝ่ายพรั่นพรึง กำลังจะถอยหนีแต่ก็สายไปแล้ว สวี่ชิงเงื้อมือซ้ายขึ้นซัดหมัดออกไป

หมัดนี้ไม่ได้ชกไปที่ร่างฝ่ายตรงข้าม แต่กลับเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์รอบๆ ก่อเป็นแรงฉุดดึง ทำให้การถอยหนีกลายเป็นก้าวมาด้านหน้า

ทันใดนั้น ผู้บำเพ็ญสมบัติวิญญาณที่ถอยหลังไปคนนั้นก็กระอักเลือดออกมา กฎเกณฑ์ในร่างสะท้อนกลับ ร่างกายพุ่งมาหาสวี่ชิงอย่างไม่อาจควบคุม ในขณะที่เขาสิ้นหวัง สวี่ชิงก็แทงหอกยาวสีดำในมือขวาไปอย่างแรง

ไม่อาจหลบเลี่ยง ไม่อาจต้านทาน หอกต้องห้ามทะลวงเข้าไปในคอผู้บำเพ็ญคนนั้น พลังที่แฝงอยู่ด้านในปะทุ จนร่างกายและสมบัติลับของผู้บำเพ็ญนั้นกระจุยออกมา

แตกดับทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ

สวี่ชิงไม่หยุดชะงัก หันหลังพุ่งไปสังหารอีกคน

นายกองก็พุ่งออกไปเช่นกัน ตอนนี้แสงสีน้ำเงินปกคลุมคนผู้หนึ่ง เมื่อแสงสีน้ำเงินสลายไป ร่างอีกฝ่ายก็สลายไปด้วย เหลือเพียงนายกองที่เลียริมฝีปาก ทั้งตัวเปล่งแสงเจิดจ้า พุ่งไปหาอีกคน

รอบๆ ยังมีผู้ครองกระบี่ของกรมอาลักษณ์ในตอนนั้น พวกเขาเลือกกลายเป็นองครักษ์ ติดตามสวี่ชิงกับนายกองพุ่งไปสังหาร

ไม่นานนัก ด้วยการลงมือของทุกคน ศิษย์ทรยศเหล่านี้ก็ทยอยกรีดร้องล้มตายอย่างน่าเวทนา มีบางคนก่อนตายยังกล่าวสาปแช่ง

“เรื่องวันนี้ องค์ชายเจ็ดจะต้องได้รู้ สวี่ชิง พวกเราจะไปรอเจ้าในปรโลก!”

“ยามที่อ๋องเทียนหลันกลับมา จะต้องสังหารพวกเจ้าทุกคนเป็นแน่!”

สวี่ชิงนิ่งเฉย หลังจากสังหารพวกคนทรยศ เขาก็มองสนามรบบนท้องฟ้า

ยามนี้ขณะที่กองทัพใหญ่ของทั้งสองฝ่ายปะทะกันในช่วงสั้นๆ เนื่องจากการสนับสนุนของของวิเศษเวทต้องห้ามรวมถึงความดุดันของผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทร ฝ่ายเขตปกครองสมุทรจึงได้เปรียบอย่างมาก

ทหารเกราะสีเลือดนับหมื่นล่าถอยไปอย่างต่อเนื่อง

และศึกหวนสู่อนัตตาบนท้องฟ้าก็เป็นเช่นเดียวกัน

ภาพนี้ทำให้ผู้บัญชาการทหารกลางคนบนหลังช้างสีขาว สายตายิ่งเย็นเยียบ เขายอมรับว่าก่อนหน้านี้ดูถูกเขตปกครองผนึกสมุทรเกินไป แต่ไม่เป็นไร เขาในฐานะ ผู้บัญชาการทหาร กลับมาเกณฑ์ทหารจากสนามรบ ที่พึ่งไม่ใช่ทหารเหล่านี้ แต่เป็นโองการของอ๋องเทียนหลันที่เขาถือเอาไว้

เขาจึงชูมือขึ้นอย่างไม่ทุกข์ร้อย แผ่นหยกสีทองแผ่นหนึ่ง เปล่งแสงสูงส่งจากในมือเขา

แสงสีทองนี้แผ่ขยายออกไปไม่หยุด พร่างพรายน่าตื่นตะลึง ขณะที่แสบตาสุดขีด ก็มีกลิ่นอายเตรียมสู่เทวะแปรเป็นพลังสะกด ปะทุขึ้นจากด้านในอย่างบ้าคลั่ง

ท้องฟ้าหมองหม่น มิติขมุกขมัว ขณะที่พื้นดินสั่นสะเทือน ผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรพากันใจสั่นสะท้าน ต่างถอยร่นไป ตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธแค้นระคนโศกเศร้า พลังบำเพ็ญของพวกเขาถูกสะกด จิตวิญญาณของพวกเขาถูกสั่นไหว ทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขา อ่อนแอสุดขีดเมื่อเผชิญหน้ากับกลิ่นอายเตรียมสู่เทวะนี้

“แสงของหิ่งห้อยหรือจะกล้าต่อกรกับแสงจันทร์”

ชายกลางคนบนหลังช้างสีขาวเอ่ยเสียงเรียบ ขณะที่ในดวงตาฉายแววเย็นชา ลายอักษรสีทองขนาดยักษ์ก็ก่อตัวขึ้นเบื้องหน้าเขาอย่างรวดเร็วเป็นตัวๆ

“เกณฑ์สรรพชีวิตหมื่นเผ่าแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ออกรบ”

ขณะที่อักษรสีทองเหล่านี้ปรากฏขึ้น กลิ่นอายที่มาจากเตรียมสู่เทวะก็พวยพุ่งขึ้นมาถึงขีดสุด ฟ้าดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

และตอนนี้เอง สวี่ชิงก็เงยหน้ามองไปบนฟ้าที่สูงยิ่งกว่า ประสานหมัดคารวะ เอ่ยด้วยเสียงทุ้ม

“เรียนเชิญท่านปู่เก้าขอรับ”

เมื่อสวี่ชิงกล่าวออกมา แสงกระบี่บุกเบิกผืนฟ้าทางหนึ่งวาดผ่าท้องนภา ลงมาจากฟากฟ้า

กระบี่นี้ ฟ้าถล่มดินทลาย ปราณทำลายล้างหมื่นเคล็ดวิชา

กระบี่นี้ หมู่ดาราสิ้นแสง ตะวันจันทราหลบเลี่ยง

ม่านฟ้าผ่าแยก ปรากฏรอยแตกขนาดใหญ่ มิติพังทลาย กลายเป็นหลุมดำ

แสง เสียง จิตวิญญาณ เจตจำนงทั้งหมด เสี้ยวขณะที่กระบี่นี้ปรากฏขึ้นล้วนถูกเหนี่ยวนำ ถูกหลุมดำกลืนกิน

ทุกสิ่งสลายไป กาลเวลาก็หยุดนิ่ง

มีเพียงแสงกระบี่นี้ที่ฟาดลงมาอย่างไร้สุ้มเสียง มาพร้อมความงดงามน่าพิศวง แฝงความไร้เทียมทาน ฟาดลงไปบนที่แผ่นหยกกลิ่นอายเตรียมสู่เทวะที่แผ่ออกมาในมือชายกลางคนบนช้างสีขาว

กลิ่นอายของอ๋องเทียนหลัน สลายไปทันที แสงสีทองหมองหม่น กลับเป็นปกติ

อักษรขนาดใหญ่สีทองที่ทำให้สรรพชีวิตหวาดผวาตรงหน้าชายกลางคนบนช้าง สีขาวไม่อาจเปล่งแสงออกมาได้อีก เมื่อแสงกระบี่ฟันลงมาก็สลายไปตามกัน แตกเป็นเสี่ยงๆ ถูกพลังมหาศาลบดจนเป็นฝุ่นผง

ที่แตกไปพร้อมกัน ยังมีแผ่นหยกในมือชายกลางคนบนช้างสีขาวด้วย

แผ่นหยกที่แฝงโองการของอ๋องเทียนหลันเอาไว้ เกิดรอยแตกลามออกไปเรื่อยๆ ทันทีที่ลามไปทั้งชิ้น ก็สลายกลายเป็นผุยผง คละคลุ้งอยู่ที่ร่างชายกลางคนบนช้าง สีขาว

ร่างของชายกลางคนบนช้างสีขาวสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุม ในดวงตาฉายแววพรั่นพรึงอย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน เขาเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าอย่างยากลำบาก

มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น แต่เขานึกภาพออก ว่าที่นั่นมีตัวตนเช่นไรอยู่

“ข้า…”

ชายกลางคนบนช้างสีขาวอ้าปากคล้ายจะกล่าวอะไร แต่ไร้โอกาส เมื่อสายลมพัด ร่างของเขาก็กลายเป็นฝุ่นผง ฟุ้งกระจายไปทั่ว

มีเพียงเขาที่ตาย ช้างสีขาวใต้ร่างเขาไม่มีแม้แต่ริ้วรอย แต่หวาดกลัวจนตัวสั่นหมอบลงไปทันที

ส่วนทหารเกราะสีเลือดรอบๆ ไม่มีใครบาดเจ็บจากกระบี่นี้

นี่คือผู้อาวุโสเก้า กระบี่ของเขาอยู่ในระดับสูงสุด ผ่านกองทัพมานับพัน เพียงคิดก็กวาดล้างทุกอย่างได้ ทว่าสังหารเพียงคนเดียว

เห็นได้ชัดว่า แม้ผู้อาวุโสเก้าจะลงมือ แต่ใจเขายังเป็นเผ่ามนุษย์ จึงไม่สังหารมากเกินไป

แต่ก็เพียงพอแล้ว

เสี้ยวขณะที่แสงกระบี่หายไป ชายกลางคนบนช้างสีขาวเป็นกลายเป็นฝุ่นผง ฟ้าดินก็เงียบสงดไม่หมด

ทหารเกราะสีเลือดรวมถึงผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้บัญชาการทหารเหล่านั้นร่างกายสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ทั้งสีหน้าและจิตใจล้วนถูกความตื่นกลัวรุนแรงแทนที่ กลายเป็นลมพายุลั่นครืนครันไปทั่วร่าง

พวกเขาเห็นกระบี่นี้แล้ว ก็ทราบความนัยของกระบี่นี้ดี และด้วยความกระจ่างแจ้งเช่นนี้ ทำให้ทุกคนสมองขาวโพลน เหลือเพียงความหวาดกลัว

ส่วนฝ่ายเขตปกครองผนึกสมุทรก็เช่นกัน ผู้ครองกระบี่ทั้งหมดรวมถึงผู้บำเพ็ญสามวังและยังมียอดฝีมือจากสำนักต่างๆ ที่ในใจโหมซัดกระหน่ำ ราวกับคลื่นใหญ่แปรเป็นคลื่นโหมอันน่าสะพรึงกลัว

เจ้าสำนักต่างๆ กลางอากาศรวมถึงเจ้าวังทั้งสาม ผู้ดูแลก็เป็นเช่นเดียวกัน ใจพวกเขาสั่นสะท้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มองสวี่ชิงด้วยสัญชาตญาณและไม่อยากเชื่อ

พวกเขาจำได้ว่าก่อนที่กระบี่สะท้านฟ้าสะเทือนดินนี้จะฟาดลงมา สวี่ชิงคารวะไปบนท้องฟ้า เรียกชื่อท่านปู่เก้าออกมา…

จื่อเสวียนก็อึ้งตะลึงอยู่ตรงนั้น มองไปทางสวี่ชิงอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย

ส่วนโหวเหยาทางนั้นในใจก็เกิดระลอกคลื่นเช่นกัน ตอนที่เขาเห็นตัวอักษร จี้ชางบนเรือของสวี่ชิงก็รู้สึกคุ้นๆ ในฐานะตระกูลโหวสวรรค์ แม้ตระกูลจะตกต่ำ แต่ก็มีบันทึกโบราณอยู่มากมาย

เมื่อนึกเชื่อมโยงถึงแผ่นดินใหญ่ที่สวี่ชิงไปก่อนหน้านี้ เขาก็คล้ายจะนึกขึ้นได้เลาๆ ว่านานมาแล้วที่แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา รัฐทายาทของเจ้าเหนือหัวคนสุดท้าย มีชื่อว่าหลี่จี้ชาง!

แล้วบุตรเจ้าเหนือหัวคนที่เก้าคนนั้น เชี่ยวชาญกระบี่…

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ในใจโหวเหยาก็เต้นรัวเร็วอย่างยิ่ง

ส่วนนายท่านเจ็ด สีหน้าแปลกประหลาดอย่างยิ่ง เขามองท้องฟ้า สีหน้าทอดถอนใจเจือความโศกเศร้าเล็กน้อย จากนั้นก็คล้ายปล่อยวาง ส่ายหน้า และมองไปทาง สวี่ชิงกับศิษย์คนโตของตัวเอง แทนที่ทุกอย่างด้วยความปลาบปลื้มในดวงตา

นายกองเห็นภาพนี้แล้ว สวี่ชิงไม่ได้ใส่ใจมากนัก ความสนใจของเขาอยู่ที่กองทัพเกราะสีเลือดที่กำลังสั่นเทาเหล่านั้น

ผู้อาวุโสเก้าไม่ยอมสังหารคนเหล่านี้ สำหรับสวี่ชิงก็ยากจะจัดการ ดังนั้นหลังจากที่เงียบนิ่งไป สวี่ชิงก็หันหน้าไปมองเรือ

หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอูกำลังนั่งยองๆ อยู่ตรงนัน้ แอบประเมินโลกด้านนอก

เมื่อสังเกตเห็นสายตาสวี่ชิง หนิงเหยียนก็กะพริบตาปริบๆ ก้มใบหน้าขมขื่นลงไปตามสัญชาตญาณ ไม่กล้าสบตา แต่ก็อดลอบสังเกตสวี่ชิงไม่ได้

สวี่ชิงเห็นเช่นนี้ สายตาก็เย็นชา ขมวดคิ้วมุ่น

นายกองก็คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองไปเช่นกัน

หนิงเหยียนใจเต้นตุบๆ เขากลัวนายกอง แต่ที่กลัวที่สุดยังเป็นสวี่ชิง ถึงอย่างไรนายกองแค่กัดเขา แต่เมื่อรู้จักสวี่ชิงก็เกือบถูกฆ่าตาย

และตอนนี้ทั้งสองกำลังมองมาที่ตน หนิงเหยียนรู้ หากตนไม่เชื่อฟัง เกรงว่าผลลัพธ์คงไม่ดีเท่าไร จึงก้มหน้าถอนใจ กัดฟันกรอด ลุกขึ้นยืน เดินออกมาจากเรือ

อู๋เจี้ยนอูที่อยู่ข้างๆ กะพริบตาปริบๆ เขาย่อมรู้ว่าหนิงเหยียนจะทำอะไร จึงเริ่มแต่งกลอนในใจ

ส่วนการปรากฏตัวของหนิงเหยียน ในตอนแรกยังไม่ดึงดูดความสนใจเท่าไรนัก จนกระทั่งเขาเดินมาพร้อมกับปะทุสายโลหิต ก่อตัวกวานสีทองลอยขึ้นเหนือศีรษะ

ยิ่งมีมังกรทองสี่กรงเล็บอีกตัว จำแลงขึ้นมาขณะที่สายโลหิตนี้แผ่ขยายออกไปต่อเนื่อง เริงระบำในฟ้าดิน เงยหน้าเปล่งเสียงคำรามสะท้านฟ้าสะเทือนดินออกมา

เมื่อมังกรทองออกมา เสียงสั่นสะท้านทั่วสารทิศ ยิ่งมีชุดคลุมจักรพรรดิปรากฏขึ้นมาบนร่างหนิงเหยียน ทุกอย่างนี้ ทำให้หนิงเหยียนถูกสายตานับหมื่นจับจ้องมาในพริบตา

ผู้บำเพ็ญของเขตปกครองผนึกสมุทรมองมาพร้อมกัน ล้วนหน้าเปลี่ยนสี เต็มไปด้วยแปลกใจและตื่นตะลึง

ส่วนที่สั่นสะท้านยิ่งกว่า คือเหล่าทหารเกราะสีเลือดรวมถึงหวนสู่อนัตตาผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้บัญชาการทหารเหล่านั้นที่กำลังตื่นกลัว พวกเขาถูกกระบี่นั้นทำให้หวาดผวา จะบุกเข้าไปก็ลำบากจะถอยกลับไปก็ยากเข็ญ หลังจากเห็น หนิงเหยียนยามนี้ ก็หน้าถอดสีกันหมด

คลื่นพลังสายโลหิตที่มาจากหนิงเหยียนรวมถึงมังกรทองสี่กรงเล็บตัวนั้น ทุกอย่างทำให้พวกเขาที่มาจากดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิ สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายราชวงศ์ทันที

ภาพนี้ทำให้ทหารทั้งตกตะลึงและสงสัย แต่พวกเขาไม่รู้จักหนิงเหยียน จึงเห็นได้ชัดว่าหนิงเหยียนในบรรดาลูกหลานจักรพรรดิมนุษย์ ไม่ได้โดดเด่นนัก

ดังนั้นหนิงเหยียนที่ยืนอยู่กลางอากาศจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่จะให้เขาแนะนำตัวเองออกมาตรงๆ ก็คงไม่ดีเท่าไรนัก จึงทำได้เพียงยืนอยู่กลางอากาศ ปล่อยกลิ่นอายสายโลหิตของตัวเองออกมาสุดกำลัง

กลิ่นอายของเขาค่อยๆ เข้มข้นขึ้น คลื่นพลังสายเลือดราชวงศ์ ทรงพลังยิ่งใหญ่ แผ่ปกคลุมทั้งแปดทิศ

และตอนนี้เอง นายกองก็เหาะมาด้านหลังหนิงเหยียน ตวาดใส่กองทัพใหญ่เกราะสีเลือด

“บังอาจ พวกเจ้าเห็นองค์ชายสิบสองแล้วยังไม่คารวะอีก!”

เมื่อนายกองกล่าวออกมา รอบด้านก็ยิ่งสั่นสะท้าน และหนิงเหยียนก็โล่งอก รักษาสีหน้าเคร่งขรึม จ้องมองกองทัพเบื้องหน้าอย่างสงบนิ่ง เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“ข้าคือบุตรจักรพรรดิลำดับที่สิบสอง กู่เยว่หนิงเหยียน พวกเจ้าน่าจะเคยได้ยินชื่อของข้า”

เมื่อหนิงเหยียนกล่าวออกมา ทหารเกราะสีเลือดเหล่านี้ต่างก็ใจสั่น โดยเฉพาะ ผู้แข็งแกร่งหวนสู่อนัตตาในนั้น พวกเขาใจโหมซัด คิดถึงเหล่าองค์ชายในราชวงศ์มีองค์หนึ่งหลังจากที่มารดาผู้ให้เกิดตายไป ก็ไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนสักเท่าไร คนคนนั้นคือองค์ชายสิบสอง

ส่วนคลื่นพลังสายโลหิตจากร่างอีกฝ่าย ไม่สามารถปลอมแปลงขึ้นมาได้ ที่สำคัญสุดคือเงาแมงป่องยักษ์ที่เกิดขึ้นจากกองทัพใหญ่อย่างพวกเขา เวลานี้ล้วนก้มหน้ามองไปทางมังกรทอง

ทุกอย่างนี้ เพียงพอจะพิสูจน์ทุกสิ่ง

ดังนั้นหลังจากที่ทุกคนสับสน จึงพากันก้มหน้า คารวะไปทางหนิงเหยียน

“คารวะองค์ชายสิบสองขอรับ!”

ฝ่ายเขตปกครองผนึกสมุทรก็ใจโหมกระหน่ำกับการเปลี่ยนแปลงนี้ พากันก้มหน้าคารวะเขา

โหวเหยาก็เช่นกัน

เห็นทุกอย่างนี้ หนิงเหยียนก็รู้สึกหยิ่งผยองขึ้นมา เชิดหน้าขึ้น จนเกือบลืมฐานะของตนในเขตปกครองผนึกสมุทรไป ยังดีที่นายกองข้างหลังกระแอมไอ ทำให้หนิงเหยียนตื่นจากภวังค์ทันที

หนิงเหยียนตกใจ รีบสะกดความเย่อหยิ่งในใจลง หลังจากจัดการความรู้สึกแล้ว ก็กวาดสายตาไปยังกองทัพใหญ่ เอ่ยอย่างสงบว่า

“เขตปกครองผนึกสมุทรปกครองตนเอง เป็นคำสั่งของเสด็จพ่อ

“แม้พวกเจ้าจะถูกยุยงปลุกปั่น แต่ก็ล่วงเกินจริงๆ จงจับกุมตัวเองเสียเถิด รอข้าไปขอคำแนะนำจากเสด็จพ่อแล้วค่อยตัดสิน”

เมื่อหนิงเหยียนกล่าวออกมา ทหารนับหมื่นนี้ก็เงียบนิ่ง ก่อนหน้านี้มีกระบี่ที่น่าตกตะลึง ต่อมาองค์ชายก็ปรากฏตัว ในด้านเหตุผลและอารมณ์ พวกเขาไม่อาจขัดขืนได้

ขณะเดียวกันก็ทำให้พวกเขาโล่งใจ เดิมพวกเขาก็ขี่หลังพยัคฆ์แล้วลงยาก รู้ว่าอยู่ในวิกฤตเป็นตาย ตอนนี้ฟังคำสั่งองค์ชายย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

จึงพากันผนึกพลังบำเพ็ญอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย จับกุมตัวเองตรงนี้

ไม่ว่าจะเป็นคนที่ผู้บัญชาการทหารไว้ใจหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือกระบี่นั้น…ทำให้พวกเขาหวาดหวั่นไปแล้ว

กล่าวจบ หนิงเหยียนก็แอบชำเลืองมองสวี่ชิงผาดหนึ่ง เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของสวี่ชิง เขาก็อดกังวลไม่ได้ จึงมองไปทางนายกอง

นายกองกอดคอหนิงเหยียน หัวเราะฮี่ๆ เป็นสัญญาณว่าเขาทำได้ดีมาก

หนิงเหยียนถึงโล่งอก

และการจัดการเช่นนี้ เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้แล้ว ไม่นานนักโหวเหยาก็ให้ ผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรช่วยเหลือ คุมตัวผู้บำเพ็ญนับหมื่นตนไปที่กรมราชทัณฑ์เขตปกครองผนึกสมุทร

ไม่ได้ทรมาน ถึงอย่างไรก็เป็นเผ่ามนุษย์

ไม่นานนัก วิกฤติเขตปกครองผนึกสมุทรครั้งนี้ก็จบไป จากนั้นเป็นประกาศจากโหวเหยาให้สวี่ชิงขึ้นเป็นเจ้าเขตปกครอง คอยสั่งการทั้งเขตปกครองผนึกสมุทร

เพราะสถานการณ์ตอนนี้ยังไม่มั่นคง จึงไม่ได้จัดพิธี แต่อันที่จริงสวี่ชิงทางนี้ ด้วยเส้นสายอำนาจและชื่อเสียงของเขาในเขตปกครองผนึกสมุทร ก็ไม่จำเป็นต้องมีพิธีการอันใด

เขาก็คือเจ้าเขตปกครองผนึกสมุทร

ต่อให้มีผู้บำเพ็ญสำนักรวมถึงคนในของเขตปกครองผนึกสมุทรบางส่วนจากกาลเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านพ้นไป เรื่องราวที่สวี่ชิงทำไว้ค่อนข้างรางเลือนในความทรงจำในใจเกิดข้อกังขากับสวี่ชิงที่มีพลังบำเพ็ญเพียงเท่านี้ก็ได้รับตำแหน่งเจ้าเขตปกครอง

ทว่ากระบี่นั่นที่ฟาดลงมาจากฟากฟ้าก่อนหน้านี้ ก็ทำลายข้อกังขาทั้งหมด

กระทั่งทำให้สวี่ชิงลึกลับยิ่งขึ้นไม่รู้จบ ยังมีท่าทีขององค์ชายสิบสองที่มีต่อสวี่ชิงอีก ทำให้ผู้คนคิดเชื่อมโยงในใจไปต่างๆ นานา

สวี่ชิงไม่ปฏิเสธ เขารู้ภาระหน้าที่เจ้าเขตปกครองดี ก็ตัดสินใจจะแบกรับภาระหนักนี้ในที่สุด

และหลังจากที่เขาเข้าไปในจวนเขตปกครอง ก็ประกาศโองการออกมาจำนวนหนึ่งในวันเดียวกัน

ข้อแรกคือให้ทั้งเขตปกครองเตรียมตัวให้พร้อมกับศึกสงคราม

ข้อสองคือให้เปิดใช้ของวิเศษเวทต้องห้ามอยู่เสมอ

จากนั้นก็ประกาศตามมาอีกหลายข้อ ให้ผู้ครองกระบี่เคลื่อนพล จัดการพวกก่อความวุ่นวายในเขตปกครองผนึกสมุทรทั้งหมด

เตรียมตัวเผชิญหน้ากับองค์ชายเจ็ดรวมถึงอ๋องเทียนหลัน

จากการประกาศโองการเหล่านี้ออกมา เขตปกครองผนึกสมุทรที่เดิมทีอยู่ในความสับสน ก็พลังชีวิตลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง มวลประชารวมใจเพื่อเขตปกครองผนึกสมุทร

มหาวิหคชิงฉินก็ไม่ปิดด่านอีกต่อไป บินวนอยู่บนท้องฟ้าเหนือเขตปกครองอีกครั้งในคืนนั้น ส่งเสียงร้องไปทางจวนเจ้าเขตปกครอง

“แกว๊กๆๆ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!